กาลครั้งหนึ่งของผม

-

เขียนโดย HANTEI

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.32 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  4,946 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 10.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) กาลครั้งหนึ่งต่อกร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่

                                                 

 

ตกเย็น ผมเดินแบกร่างที่เพิ่งตื่นนอนเข้าห้องน้ำล้างหน้าเรียบร้อยแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหาของกินที่เมื่อวานจำได้ว่าเอามาเก็บไว้รอกินตอนนั่งดูหนังชิลๆ (ได้ข่าวว่ามึงเรียนแพทย์?) แต่ปรากฏว่ามันหายครับ เปิดมามีแต่อะไรไม่รู้เต็มไปหมด อย่างช็อกโกแลตงี้เพียบเลย นี่ๆ อันนี้โพสอิทยังไม่แกะออกเลย

 

‘ ให้น้องบิ้ก

พี่รอเชียร์เดือนแพทย์อยู่นะคะ

จากพี่แหวนเภสัช

 

อื้อหืออ ลงวันนี้เมื่อวานด้วย เหยด...ถึงขั้นเปย์ของให้เลยทีเดียวเชียว แล้วนี่อีก นั่นอีก ของกินแม่งออกจะเยอะอัดกันจนใส่ห่าไรไม่ได้แล้ว แต่ทำไมเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มกูถึงหายได้วะ ตอบ!!!

 

และสายตาผมก็เบนไปทางมนุษย์ท่านหนึ่งที่นั่งหน้าหล่อเหยียดกายควงรีโมทไปมา มืออีกข้างถือชีทเรียนของวิชาห่าไรนี่กูไม่ขอรับรู้ แต่ แต่ แต่!!

 

บนโต๊ะมีกล่องเค้กยี่ห้อคุ้นตาเปิดอาซ่าเพราะแม่งหมดไม่เหลือเผื่อกูสักเศษ

 

“มึง...” ผมเดินลากเท้าอันหมดแรงไปนั่งข้างมันยกกล่องเค้กที่มีช็อกโกแลตติดอยู่ริมๆ ขึ้นมาช้าๆ “เค้กกู..”

 

“อ้าว ของมึงเองเหรอ” เออสิ! คิดว่ามันจะบินมาพักร้อนในตู้เย็นเองรึไง หอก! ซ้ำมันยังทำตาโตเอามือปิดปาก แสยะยิ้มชั่วมาให้ “อร่อยดีนะ”

 

ฟ้าคคคคคคคคคคคคคคคคคคค กูไม่ได้ถามหารสชาติ ซัช!

 

กูต้องการคำอธิบายและถ้ามึงไม่มีมึงรอแดกตีนกูรองท้องเป็นรายการถัดไปได้เลย ดวก!

 

“แลกกับของในตู้เย็นทั้งหมด” มันพูดลอยๆ ไร้แก่นสารเหมือนพูดใส่ทีวีแต่กูต้องมารับรู้เสมือนตัวเองเป็นมือที่สามก็ไม่ปาน

 

“มันไม่เหมือนกันเว้ย เค้กเจ้านี้กว่ากูจะได้มาต้องต่อคิวรอนานมาก” และทำใจอยู่นานว่าจะกินดีมั้ย เพราะกูเสียดายและอันเนื่องมาจากความเสียดายของกูนี้ผมเล่นแช่มันในตู้เย็นที่บ้านมาสองวันแล้ว ถ้าดาวมันไม่นึกครึ้มอยากเข้าไปกวาดบ้านแล้วเปิดตู้เย็นไปเห็นเจ้า(เศษ)เค้กก้อนนี้ทั้งยังใจดีแบกมาให้ผมถึงหอ โอยยย นางฟ้าของผม งื้อออ แต่แย่ยิ่งกว่าปล่อยให้มันเน่าคาตู้เย็นนั่น...คือการที่โดนไอ้หมาจุมพลหน้าเหียกแดกนี่แหละ ไอ้บักหรรมส์!

 

“เค้กก็มี ดูดีๆ” มันยังคงต่อรองไม่เลิก

 

“เอ้ะ มึงนิ กูบอกว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือนดิวะ แม่ง!” เดินกระแทกส้นเท้าปึงปังออกจากห้องประชดแม่งเลย เบื่อขี้หน้ามัน ขอกันสักนิดได้มั้ยวะ อย่างน้อยก็จะได้แบ่งกันกิน ผมก็ใช่จะงกสักหน่อยมีอย่างที่ไหนเล่นแดกจนหมดไม่เหลือให้ผมสักคำ แถวก็ยาว รอก็นาน แต่กลับไม่ได้แดก แม่ง เฟล

 

 โอยยยยย โมโหหิวว้อยยย

 

“เย้ยยย” ตกใจไอ้ห่า เปิดประตูห้องเจอใครไม่รู้ยืนขวางอยู่ แถมมือยังค้างเติ่งในถ้าเคาะอีก เฮ้อ...รู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำบุญครั้งใหญ่ครับ..

 

ได้ปกป้องประตู...ถุยยย นี่กูเล่นไร?

 

“ตกใจหรอ โทษๆ จะเคาะประตูเรียกพอดีเลย” คนตรงหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา ผมมองหน้าเขายิ้มๆ แล้วพยักหน้าเข้าใจ “คือกู เอ้ย ผม..”

 

“กู ก็ได้” ผมเลือกให้มันเสร็จสรรพ คร้านจะแอ๊บเป็นผู้ดีให้ชีวิตแม่งอยู่ยากไปทำไม

 

“เอ่อ..กู น้ำ อยู่ห้อง 906 ยินดีที่ได้รู้จักนะ” น้ำ ฉีกยิ้มยิ้มกว้างไปถึงแยกราชประสงค์ ร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อสไตล์ลูกคนจีนเวลายิ้มทีตางี้บิดเป็นตัวสระอิเลยครับ  “อ่ะ ให้ เมื่อกี้ไปกินมา” น้ำยื่นถุงใสๆ ตรงถุงสกินชื่อร้านดังแถวสยามเป็นร้านค้อฟฟี่ช้อปขายของกินจำพวกของหวานซะส่วนใหญ่ครับ ที่จำได้เพราะร้านนี้ดาวกับมินพาผมแวะกินบ่อยๆ ช่วงเรียนพิเศษแต่ก็ไม่ใช่ร้านโปรดผมอยู่ดี..แป่ววว สงสัยต้องกินรองท้องไปก่อน ผมหยิบมาถือไว้เปิดปากถุงดูว่าเป็นอะไร

 

ว้าว เค้กหน้านิ่มเหมือนกันนี่หว่า หูยยย อยู่ดีๆ ของโปรดก็มาเหมือนรู้ใจ งื้อออออออ ดีใจมากเวอร์ ><

 

“ขอบใจนะมึง กูเทรซนะ มึงอะ กูไม่รู้จะให้ไรตอบแทนเลย ”

 

“เฮ้ยไม่เป็นไร กูเห็นแล้วนึกถึงมึงพอดีเลยซื้อให้”

 

“ฮึ?” คืออะไรที่เห็นเค้กแล้วนึกถึงกูวะครับ? คือจะบอกว่าผมหน้าดำเหมือนช็อกโกแลตงี้? ผมมองหน้ามันอย่างสงสัยแบบปิดไม่มิด

 

“คราวก่อนกูเห็นมึงยืนต่อคิวร้านเค้กเจ้อุ๋ย แถวยาวมากกูกราบเลยเถอะไม่ไหวจะต่อเลยซื้อร้านนี้มาแทนเจ้าดังเหมือนกัน” น้ำเล่าติดตลกพาผมที่ทำเรื่องแบบนั้นดูเป็นพวกมีความพยายามกับเรื่องปัญญาอ่อนไปเลยครับ แต่อย่าว่างู้นงี้เลยนะน้ำ

 

มันไม่เหมือนกันว่ะ ต่อให้ดังเทียบเท่ากันถ้าความรู้สึกมันไม่ใช่อะไรก็ไม่สามารถแทนที่กันได้หรอกครับ

 

แต่ยกให้ข้อหนึ่งได้มั้ยครับข้อนี้ผมยอมทิ้งศักดิ์ศรีเลยก็ได้  

 

ยกเว้นตอนหิว... งุ้ยยยยย ใครไม่เป็นผมไม่รู้หรอกว่าความหิวมันน่ากลัวแค่หนายยยย จริงๆ นะ!

 

“ไงก็ขอบใจนะมึง กูหิวพอดีเลยอะรู้ใจมากเลย” ผมพูดติดตลกชูถุงขนมให้มันเป็นการขอบคุณ

 

“จริงเหรอ กูกลัวแทบแย่ว่ามึงจะกินไม่ได้”

 

“อ้าว ไมอะกูดูเป็นคนเลือกกินหรอวะ” ฉิบหายละ รู้จักตัวเองมาก็จะสิบเก้าปีละ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นพวกเรื่องมากถึงขนาดที่คนเพิ่งรู้จักยังดูออก กรรม..

 

“เฮ้ยไม่ใช่ คือ พวกเด็กหอเค้าลือกันว่ามึงโดนต่อยปากแตกอะ ตอนแรกกูก็ไม่เชื่อแต่เมื่อกี้ขึ้นมาเห็นเลือดหยดเต็มลิฟท์เลย” อ่าว เหี้ยละ ผมก็นึกว่าแม่บ้านมาเช็ดตั้งกะบ่ายแล้ว งี้ใครเข้าออกลิฟท์แม่งไม่ลือกันให้แซ่ดหรอวะ เชี่ยยยยย

 

“เลือดกำเดาเว้ย!” ผมรีบแย้งทันทีแต่ดูเหมือนมันจะเข้าตัวยังไงไม่รู้ครับ

 

“ถึงขนาดเลือดกำเดาไหลเลยเหรอวะ!?” เหยดแหม่... “กูว่าคณะมึงเล่นกันแรงวะ เมื่อกี้เห็นอาจารย์รพีถามหามึงด้วย”

 

“....”

 

“เฮ้ย เป็นไร ทำไมทำหน้าเครียดงั้นวะ”

 

“อาจารย์ถามหากูทำไมอะ” หรือว่าจะเป็นเรื่องหนังสือ...? อ่า..ผมไม่กล้ามองหน้าอาจารย์เลยถ้าเกิดเป็นเรื่องนี้จริงๆ แต่ผมก็ควรที่จะไปขอโทษในเมื่อผมไม่สามารถดูแลรักษาของที่อาจารย์ให้ได้ ผมก็ควรที่จะยอมรับอย่างลูกผู้ชาย “น้ำ เดี๋ยวกูขอไปหาอาจารย์ก่อน ขอบใจสำหรับเค้กนะเว้ย”

 

 

 

ผมเดินจ้ำอ้าวมาถึงลิฟท์กดเลขเป้าหมายที่จะขึ้นรอสักพักลิฟท์ตัวเดิมได้พาผมมายังชั้น14 เพ้นเฮาส์ในตำนานที่เขาร่ำลือมา ชั้นนี้จะเป็นทางโล่งยาวๆ มีสองประตูครับ จำได้ว่าอาจารย์เคยบอกว่าอยู่ห้อง 1401 งั้นคงเป็นห้องฝั่งขวามือ ผมเคาะไปสามครั้งยืนรอสักพักก็มีคนมาเปิด

 

“น้องเทรซ เข้ามาสิครับ” อ่าว ไหงพี่ต้นคนดีของผมถึงอยู่ด้วยละเนี่ย สงสัยอาจารย์แกคงจะเหงาแน่เลยครับห้องออกตั้งกว้างใหญ่อยู่คนเดียวเหงาๆ เบื่อคุยกับกำแพงหน้าต่างประตูไรงี้

 

ผมเดินตัวลีบผ่านพี่ต้นไปเงียบๆ เข้ามาก็เห็นอาจารย์รพีนอนเหยียดกายถือโทรศัพท์เล่นคุ้กกี้รันอย่างขมักเขม้น ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเงียบๆ วางเค้กของน้ำที่ถือติดมือมาด้วยไว้บนโต๊ะรอเวลาอาจารย์จะตกหลุมไม่ก็ชนเสาจนพลังชีวิตหมดนั่นแหละ

 

“เทรซ” อาจารย์รพีเรียกหลังจากวางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วลุกขึ้นมานั่งหลังตรงในท่าเป็นกันเอง ผมมองหน้าอาจารย์รพีแล้วใจผมพลอยอ่อนหยวบรู้สึกอยากร้องไห้ซะตรงนี้

 

“อาจารย์..ของอาจารย์..ผม....ดูแล....ไม่ดี..” ผมเปล่งเสียงที่แห้งผากคล้ายจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหลออกมา “ผมขอโทษนะครับ..”

 

“ไม่เป็นไรครับน้องเทรซ ยืมหนังสือพี่ต่อก็ได้” พี่ต้นเดินมาวางนมสดคาราเมลร้อนๆ ไว้บนโต๊ะทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ

 

“แต่ว่า..ผมกลัวมันจะถูกเผาอีก..” ผมยิ้มเศร้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอาจารย์รพี ไม่รู้สิครับ จะว่าไม่กล้าสู้หน้าก็ได้มั้ง

 

“ถ้าถูกเผา ฉันก็จะให้เทรซไปเรื่อยๆ... จนกว่าพวกนั้นจะเบื่อเลย เอาไหม หึหึ” อาจารย์รพีคลี่ยิ้มอ่อนโยน คำพูดง่ายๆ ไม่แฝงความรู้สึกโกรธเคืองหรือตำหนิในตัวผมกลับเป็นถ้อยคำปลอบโยนอย่างดีให้กับจิตใจที่กำลังร่ำไห้ของผม

 

อ่า.....ผมรู้แล้วว่าทำไมตอนนั้นผมถึงร้องไห้

 

ผมแค่กลัว...กลัวว่าคนรอบตัวผมจะโกรธ

 

กลัวว่าอาจารย์รพีที่ใจดีคนนี้จะเกลียดผม

 

กลัวว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง...เหมือนกับตอนที่ต้องอยู่ให้ได้เมื่อไม่มีคุณย่า

 

บางครั้งน้ำตาไม่ได้ไหลออกมาแค่เพราะตอนเศร้าอย่างเดียว...เพราะตอนนี้ผมกำลังร้องไห้ผมร้องไห้เพราะโล่งอกระคนดีใจอยู่ข้างใน ผมไม่เคยหวังว่าชีวิตในหอจะพบเจอคนดีแต่ผมก็ได้พบแล้ว

 

ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วใช่มั้ยครับคุณย่า..

 

“เทรซมานี่มา” ผมลุกเดินไปตามเสียงเรียกของอาจารย์รพีเขาอ้าแขนสวมกอดผมไว้ในอ้อมอกของเขาลูบหลังของผมอย่างปลอบโยน

 

คุณย่าชอบทำแบบนี้เมื่อผมร้องไห้...ใครจะหาว่าผมเป็นลูกแหงก็ไม่เป็นไรเพราะการได้คิดถึงใครสักคนมันเหมือนคนๆ นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ในใจตลอดไป

 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมรีบออกจากหอเร็วผิดปกติ เช้านี้ผมมีเรียนภาษาไทยของอาจารย์รุจิรา ไม่รู้ทำไมตารางวิชาถึงมีคาบเช้าเยอะขนาดนี้ ใครบอกครับว่าปีหนึ่งจะสบายมาก ใครบอก!!

 

วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องสะสางครับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานผมค่อนข้างรับมันไม่ได้จริงๆ  เรื่องมันเกิดเพราะผมแท้ๆ แต่พวกมันยังลามปามมาถึงหนังสือของอาจารย์รพีและ(หน้าตากูด้วย)..ผมจำเป็นต้องแก้ไขก่อนที่เรื่องมันจะเลวร้ายมากไปกว่านี้

 

ไม่รู้ว่าตื่นเช้ามาแบบนี้ผมจะได้เจอพวกมันรึเปล่าน่ะครับถ้าบังเอิญว่าพวกมันดันมีนิสัยคับคล้ายคับคลากับไอ้รูมเมทผมก็ฉิบหายแย่ดิผมเล่นตื่นตั้งแต่ไก่โห่ไม่พอยังต้องมานั่งรอไอ้พวกเวรนั่นอีก ข้าวเช้าดันลืมแดกมาจากหอ ชีวิตไอ้เทรซนี่มันไอ้เทรซจริงๆ แต่ใช่ว่าที่อาคารเรียนรวมจะไม่มีให้ซื้อนี่หว่า

 

คิดได้ดังนั้นจึงรีบสาวเท้าอย่างว่องไปยังเป้าหมายที่รอคอย หลังจากเลือกซื้ออาหารเช้าเป็นขนมจีบกุ้งกับน้ำเต้าหู้ผมก็เดินเลือกโต๊ะเพื่อสิงสู่เป็นที่เป็นทาง(พูดขนาดนี้ไม่บอกว่าศาลพระภูมิเลยล่ะ) จนไปเจอโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นลีลาวดีเข้าให้ไม่นานเกินรอผมจึงเดินตัวปลิวไปนั่งจุมปุกแกะขนมจีบกินรอเวลา..

 

จนกระทั่งนิสิตเริ่มทยอยกันมาให้เห็นนั่นแหละผมถึงได้ฤกษ์งามยามดีเดินเอาขยะไปทิ้งแล้วทำเป็นเดินผ่านเพื่อนคณะแพทย์จากนั้นก็

 

“เธอๆๆ ไปไหนอะ ไม่เข้าเรียนหรอ” เสร็จโก๋ครับผมมม ผมรอให้หนึ่งในผู้หญิงสามคนทักเพื่อที่จะได้นำไปสู่แผนขั้นถัดไป

 

“คือเรากำลังตามหาบอยกับเพื่อนๆ น่ะ เธอพอจะรู้ไหม” ฉีกยิ้มตอแหลประหนึ่งซูอา ถามด้วยเสียงจริงจังที่สุดจนเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หึหึ เรื่องนี้ผมวางแผนมาอย่างดีเรื่องอะไรจะมาตายน้ำตื้นให้กับเรื่องโกหกคนล่ะครับ

 

“บอยหรอ เราไม่เห็นอะ เห็นแต่กิตกับเบนนั่งกินข้าวที่คณะใช่ปะวี” ผู้หญิงคนเดิมหันไปถามเพื่อนข้างๆ

 

“บอยก็อยู่ด้วยนะเห็นซื้อข้าวอยู่” ผู้หญิงชื่อวีตอบ

 

“เธอรีบไหมอะ ฝากพวกเราได้นะ” ผู้หญิงคนเดิมเพิ่มเติมคือใจดีมว้ากก ถามด้วยเสียงเป็นกังวล

 

และคำถามนี่แหละ ที่ผมรอมาแส้นนานนนน

 

“ดีเลย ถ้าพวกมันมาบอกว่าเรารออยู่ข้างห้องน้ำฝั่งเหนือนะ จะแวะเข้าห้องน้ำพอดี” ทำเป็นยิ้มเขินอายเล็กน้อย...อ่า บางทีกูก็เริ่มลำไยตัวเอง -*-

 

“อ่อ ได้ๆ เดินทางดีๆ นะ” แน่ะ ยังมีเล่นมุกส่งให้กันอีกนะ ผมโบกมือลาพวกหล่อนก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังพิกัดเดิมที่วางแผนไว้ ที่เหลือก็แค่

 

 

รอเวลา..

 

 

 

 

“กล้ามากนะที่เรียกพวกกูมา หึหึ” ไอ้บอยเดินนำเป็นจ่าฝูงลิงเข้ามายังห้องน้ำ พูดจาวางท่าเหยียดยิ้มเลวๆ ตามแบบฉบับคนเลว2018

 

“มันคงติดใจว่ะ เป็นพวกชอบความรุนแรงหรอจ๊ะ ฮ่าๆๆๆๆ” ไอ้เบนหน้าเหียกแหกปากหัวเราะลั่นห้องน้ำเหมือนเก็บกฎมาจากไหน ผมมองมันยิ้มๆ แต่ไม่ได้โต้ตอบกลับไป

 

รอแม่งเห่าให้เสร็จก่อน...

 

“คนมันเงี่ยนก็งี้แหละมึง ชอบอ่อยไปทั่วสงสัยพวกกูไม่เล่นด้วยถึงได้คันเรียกหากันถึงห้องน้ำ หึหึหึหึหึหึ” ไอ้สัดกิตหัวกระดอเหี่ยวพูดขณะส่งสายตาโลมเลียมาทางผม

 

หน้อยแน่ะ พูดซะกูเป็นกะหรี่เลยไอ้ฝัด! จากที่จะพยายามทนให้มันพล่ามให้จบสมองผมนี่เต้นตุ้บๆ ลามไปจนถึงตีนที่สั่นดิกๆ รอจะพุ่งใส่กระดอเหี่ยวๆ ของมันจะแย่

 

เดี๋ยวเถ้อออออออออ เดี๋ยวเถอะมึง เจอกูแน่ไอ้กิต กูเล็งหรรมมึงอยู่ รักษามันให้ดีแล้วก๊านนนน

 

“มึงก็ว่าไป อาจารย์รพีคนดังยังติดใจเลยนะเว้ยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ สงสัยไม่ใหญ่พอว่ะ หึหึหึหึ”

 

 

ขาด!

 

ฟางเส้นสุดท้ายของผมขาดลงพร้อมๆ กับฝ่ามือของผมพุ่งตรงไปยังเบ้าหน้าเหี้ยๆ ของไอ้บอย จุดตายจุดเดียวกับที่มันต่อยผมแต่ครั้งนี้ผมใส่แรงไปเต็มเหนี่ยวพาร่างกายใหญ่โตของมันลอยหวืดล้มลงไป

 

“โอ้ยยยยยยยยยยยย” มันร้องโอดโอยกุมจมูกหักๆ ของมันไว้ดิ้นกระแด่วๆ เหมือนโดนน้ำร้อนลวก หึ สมน้ำหน้า

 

“เฮ้ย ไอ้บอย! ไอ้สัดแคระ มึงทำไรว...” เสร็จจากไอ้บอยทันทีที่ไอ้กิตแหกปากจะพุ่งตัวมากระชากตัวผม หรรมเหี่ยวๆ ของมันพุ่งมาพอดิบพอดีกับองศาฝาตีนผมที่ยืนรอเรียบร้อยรถโรงเรียน

 

“ไอ้...สะ...อึกกก...” ง่อยไปเถอะมึง ลูกรักของมึงคงไม่ได้มายืนชูคอเต้นระบำไปอีกนานชาติเศษเลย ไปขอโทษแม่ถึงเถอะที่มิอาจมีทายาทมาสืบสกุล อย่ามาโทษกู

 

และปิดท้ายด้วย...ไอ้เบน  ผมหันขวับไปมองมัน

 

“มึงๆๆๆๆ กูขอโทษษษษ นะ กูไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้เลย เชื่อกูนะเว้ย ไอ้บอยมันชอบมึง มันทำไปเพราะมันชอบมึง!!!”

 

“ไอ้สัด...เบน บอก..ทำไม ไอ้โง่”

 

 

.

.

ห้ะ.......?

 

 

ที่กูโดนฉีกหนังสืองี้

 

 

อาบน้ำฉี่งี้

 

 

โดนต่อยจนกำเดาไหลงี้

 

 

โดนเผาหนังสืองี้

 

 

สรุปคือ แม่งชอบกู??

 

 

 

=[ ]=!!!

 

 

 

ถ้ามึงจะแสดงความรักด้วยวิธีแบบนี้นะไอ้บอย กว่ามึงจะได้เป็นเพื่อนกู..ก็รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ ไปเถอะไอ้สาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส!!!

 

 

 

 

เฮ้อ

 

จะยังไงก็แล้วแต่ ขอแค่ไม่เกลียดกันก็พอสำหรับผมแล้ว

 

ถึงผมจะยังรู้สึกโกรธพวกมันอยู่ แต่ผมไม่อยากไปทำลายความรู้สึกดีๆ ที่มันมีให้กับผม ไม่รู้สิครับ คุณย่ามักบอกกับผมเสมอว่า

 

ถ้ามีใครสักคนชอบเรา ไม่ว่าจะด้วยสถานะอะไรก็ตาม ขอให้เรารักษาสิ่งนั้นเอาไว้ให้ดี เพราะคนพวกนี้อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ ‘เกลียดเรา’

 

“บอยใช่ไหม” ผมจ้องหน้ามัน “ขอบใจสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กู” ถึงจะเหี้ยไปค่อนมากก็ตามจากนั้นผมได้ทำการใหญ่ด้วยการเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้ามัน เอื้อมมือไปแตะเลือดตรงปลายคางมัน

 

“เจ็บไหม” ผมถามเสียงเรียบ “แต่กูไม่ขอโทษหรอกนะ มึงทำกูก่อนอะ ไม่ว่ากันนะ” ^_^

 

ผมยิ้ม

 

และ

 

พวกมันก็นั่งอึ้งแดก จนกระทั่งผมออกไป

 

 

ผมเดินเข้ามานั่งเรียนตามปกติอาจเข้าสายไปบ้างสักครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แต่ก่อนจะได้มานั่งตามปกตินั้น...ระหว่างที่อุตส่าห์พยายามแง้มประตูให้เงียบเชียบที่สุดมิวายโดนอาจารย์รุจิราพูดออกไมค์เรียกให้ไปยืนหน้าห้อง ด้วยสาเหตุที่ว่า ชอบทำตัวเด่น(?) ชอบเป็นที่สนใจด้วยการมาสาย(?) และ

 

ผมต้องมายืนแนะนำตัวบ้าบอภาษาหอหีบ อีเหี้ยยยย!!!

 

เกือบได้โหมาเป็นหลีเลย เหยดแหม่...

 

ทุกคนก็ฮาครืนอย่างมีความสุขผมจึงได้ฤกษ์ให้เข้าไปนั่งที่ได้ สักพักอาจารย์แกก็สอนต่อเรื่อยๆ ครับ มีบ้างที่ชอบพูดออกไมค์กำชับผม ถาม

 

“เทรซเข้าใจไหม”

 

“ครับ”

 

“เทรซทันจดไหมคะ”

 

“ทันครับ”

 

“เทรซงงตรงไหนยกมือถามได้นะคะ”

 

“ครับผม”

 

“เทรซหลับหรือยังคะ”

 

“ยัง..”

 

“ยังไม่หลับหรือคะ?”

 

“ยังไม่หยุดถามอีก ซัซ!”

 

จะบร้าหราครับ ล่างสุดผมต่อเองขำๆ ครับ แหม... ขืนตอบไปแบบนั้นนะมึงเอ๋ย ไม่อยากจะเซ่ดเรื่องเกรดตัวเองเลยครับ เผลอๆ กูโดนไล่ออกด้วยทำไง

 

ขอเดาว่าชีวิตผมหลังจากจบคาบนี้ ปี1 ทุกคนไม่มีใครไม่รู้จักกูอะ บอกเลย แต่ พูดปี1 แล้วนึกถึงไอ้จุมพลเลยครับ นี่ก็ผ่านไปจะเกือบสองชั่วโมงแล้วมันยังไม่โผล่หัวมาอีกครับ

 

คอยดูเถอะมึง มึงจะเจอหนักยิ่งกว่า หอหีบ ของกู!

 

และสุดท้ายไอ้จุมพลมันก็ไม่มาจนหมดคาบเรียนปล่อยให้ผมเดินเคว้งคนเดียวเปลี่ยวๆ ออกจากห้องเรียนเพราะเป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบ...แม่งเศร้า

 

“เทรซ ไปไหนป่ะ” อะ อ้าววว คนน่ารักคนนั้นนิ ผู้หญิงคนที่ทักผมก่อนเข้าเรียนไง จำได้มั้ยครับ คนนั้นไง คนนั้นอะ แล้วๆ เหมือนจะใช่คนเดียวกันกับที่สะกิดผมตอนอาจารย์รพีมาหาคราวก่อนด้วยยย เหยดด

 

นี่ที่เค้าเรียกกันใช่มั้ยครับ

 

คำๆ นั้น

 

คำนั้นไง

 

พรมลิขิต!!!!

 

“ไม่รู้ดิ ไปไหนดีอะ” ผมเกาแก้มเขินๆ ว้า ไม่อยากจะโชว์เลยว่ากูไม่มีเพื่อนคบ T_T

 

“ดีเลย ไปกินข้าวกับพวกเราไหม มีเรา วี แล้วก็ซ่า มีแต่ผู้หญิงนะเทรซโอเคป่ะ” สไมล์(อ่านจากป้ายชื่อ)ชวนผมเสียงใส ชี้มือชี้ไม้ไปที่เพื่อนๆ ของเธอ วีกับซ่า โบกมือทักทายผม

 

เอ่อ..

 

ผมไปจะดีหรอครับ ดีใช่มั้ย ดีแน่นะ อืม...

 

เอาว้ะ! ผมจะไป! สไมล์อุตส่าห์ใจดีชวนผมทั้งที ไม่ไปก็แย่สิครับ

 

“ได้ๆ ไปดิ เรายังไงก็ได้ แล้วพวกสไมล์จะไปกินกันที่ไหนอะ”

 

“วันนี้พวกเรากะจะไปลองนั่งโรงอาหารของคณะบริหารดู ซ่าบอกมีร้านอร่อยๆ เยอะ”

 

“อ่อๆ ไปดิ ไปๆ หิวจะแย่แล้วเนี่ย” ผมชักชวนพวกเธอเดินไปยังเป้าหมาย ซึ่งก็คือ คณะบริหาร

 

เอ้ะ คุ้นๆ ว่าเคยไปแดก

 

อ้าวกู..

 

ดันลืมว่าไอ้มินกับดาวก็เรียนบริหารนี่หว่าแต่ตารางเรียนคงไม่น่าจะตรงกันหรอกครับ เชื่อผมสิ

 

“เทรซ?” ไม่ตรงกับผีน่ะสิ!!!

 

ดาวตัวเป็นๆ เดินมาทักผมตรงโต๊ะอาหารคณะบริหารเลยครับตามด้วยไอ้มินเดินแบกหน้าสวยๆ ของมันมายืนข้างดาว

 

“ง..ไง ดาว มินว่าไง กินข้าวหรอวะ นั่งๆ” ชักชวนให้พวกมันนั่งลงและไม่ลืมขอสามสาวที่นั่งทำหน้างงๆ อยู่ข้างผม “สไมล์ ให้เพื่อนเรานั่งด้วยนะ”

 

“อ่อ เชิญเลยๆ นั่งๆ” สไมล์ยิ้มแย้มสดใส ยกกระเป๋าของเธอมาไว้บนตัก

 

“ดาว?” ผมเรียกเพราะเห็นดาวยืนนิ่งจ้องมองสไมล์จากนั้นดาวก็เดินมาวางกระเป๋าไว้ตรงกลางระหว่างผมกับสไมล์..

 

อ่อ รู้ละ

 

ที่ประจำของดาวมันครับ ดาวมันชอบนั่งข้างผม ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

 

ผมหันไปขอโทษสไมล์แบบไม่มีเสียง เธอพยักหน้าเข้าใจไม่วายส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้บุ้ยปากไปที่ดาวซึ่งตอนนี้ดาวไปซื้อข้าวกับมินครับ

 

“แฟนหรอ?”

 

“เย้ย! เพื่อนสมัยเด็กเว้ย” มองยังไงว่าดาวเป็นแฟนผมเนี่ย โด่ ดาวรู้หัวเราะจนฟันร่วงแน่

 

“จริงอะ ไม่น่าใช่..” สไมล์มันทำหน้าไม่เชื่ออย่างแรงครับ นี่ผมต้องเดินไปเรียกไอ้มินมาเป็นพยานปากเอกมั้ย ถึงจะยอมเชื่อเนี่ย

 

“จริงๆ ครับ”

 

แก๊งงง

 

เชี่ย ตกใจ

 

จานข้าวของดาวตกกระแทกบนโต๊ะที่นั่งมันพอดี

 

ซุ่มซ่ามจริง ดีนะข้าวไม่หก

 

“ดาวถือไงเนี่ย เดี๋ยวข้าวหกไม่ได้กินกันพอดีอะ” ผมบ่นมันพลางเขยิบให้มันนั่งลงข้างๆ

 

“อ่ะ ข้าวมึง” มินเดินมาวางจานข้าวของผมแล้วทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้าม

 

“แต๊งกิ้ววว” รู้ใจอีกแล้วเพื่อนกู

 

“เทรซ งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อข้าวก่อนนะ” สไมล์ลุกขึ้นพร้อมกับเพื่อนของเธอ ผมพยักหน้ายิ้มๆ แล้วหันมาตั้งใจแงะกระดูกปลาในแกงส้ม แต่ยากแหะ ปกติคุณย่าจะเป็นคนเอากระดูกออกตลอดผมถึงได้กินอย่างสบายใจ

 

“มาเดี๋ยวดาวช่วย” ดาววางช้อนลงแล้วแย่งช้อนไปจากมือผมดึงจานผมไปจัดการกับเจ้ากระดูกวายร้ายตัวปัญหาจากนั้นก็เลื่อนจานมาไว้ตรงหน้าผมอย่างเดิม

 

ในสภาพที่ ปลาไร้ซึ่งกระดูกสักชิ้นให้เห็น

 

โอยยยยย ดาวววววววว ขอบคุณณณณณณณณณณณณณณ

 

“แต๊งกิ้วค้าบ” ผมยิ้มร่าเริงตักข้าวคำแรกเข้าปาก เคี้ยวๆ งับๆ อย่างเอร็ดอร่อย

 

หลังจากนั้นพวกสไมล์ก็มานั่งกินข้าว ผมแนะนำให้มินกับดาวรู้จักกับพวกเธอจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปเรียนคาบบ่ายกันต่อซึ่งวิชาต่อไปนั้นก็คือ ชีววิทยา ครับ

 

เข้าห้องมาก็เจอแต่พวกวิทย์สุขภาพนั่งหน้าสลอนตามมุมตามถิ่นของตัวเองครับ ผมเดินตามสไมล์ไปยังถิ่นของพวกเราแต่ผมไม่อาจหาญพอที่จะนั่งข้างพวกเธออะครับเลยแยกตัวเองออกมานั่งอีกชั้นแบบเจียมบอดี้วางกระเป๋าซูพรีมสีแดงตรงเก้าอี้ข้างตัวที่ว่างอยู่

 

ไหนๆ ผมก็มาก่อนไอ้จุมพลและเป็นคนดีมากพอที่จะจองที่ให้มัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันต้องระเห็จไปนั่ง นู้น เลยครับ บนพื้น!! เนื่องจากห้องมันก็ไม่ได้ใหญ่มากแต่เด็กมันเยอะเกินโควต้าไงครับ

 

เพราะงั้น ถ้ามันมาสายอีกผมจะได้รีบเสนอตัวช่วยมันเป็นคนแรกแลกกับขอจองโทรทัศน์ดูหนังคืนนี้ หึหึ ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว...

 

แต่!!!!!!

 

จนแล้วจนรอดมันก็ไม่มา

 

ผมกระแทกชีทเรียน(ของพี่ต้นที่ใจดีให้ผมยืม)ลงกับโต๊ะหลังจากอาจารย์ประกาศเลิกคลาสเรียนจากนั้นผมก็รีบเก็บข้าวของวิ่งกลับหอทันทีด้วยความสงสัยและอาจจะเฉียดๆ เป็นห่วงด้วยนิดหน่อย

 

 

 

อ้าว..

 

มันก็อยู่ในห้องนี่หว่า แต่วางรองเท้าแบบนี้.. ประจำครับ มันเพิ่งกลับมาจากไหนสักแห่งแน่นอนเพราะทุกครั้งที่มันไปไหนกลับมาไม่เคยคิดจะเก็บรองเท้าใส่ตู้ดีๆ เลยสักครั้ง อีเหี้ย!

 

ผมเดินสะดุดกับรองเท้าของมันหลายรอบจนวันหนึ่งผมกลัวว่าจะมาตายเพราะเดินสะดุดกับเห้นี่แหละ บ่นจนไม่ไหวจะบ่นละ ผมย่องเบาๆ เข้าห้องนอนแอบเห็นเสื้อมันถอดทิ้งไว้บนเตียงส่วนเจ้าของ

 

อาบน้ำอยู่ ผมได้ยินเสียงน้ำตกกระทบพื้น

 

เมื่อรู้ว่าผมเป็นห่วงผิดคนเลยได้แต่ปลงและเสียใจในความใจดีของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

แม่ง

 

เอาความเหนื่อยและเวลาสิบสองนาทีสามสิบเก้าวินาทีที่กูเสียไปกับมึงคืนมา! ไอ้ฝัด!

 

ผมกระแทกก้นนั่งตรงโซฟาอย่างขุ่นเคืองมือก็ความหารีโมทตรงโซฟาโดยไม่คิดจะใช้ตามอง อยากให้การ์ตูนหรือรายการตลกอะไรสักเรื่องมาผ่อนคลายสมองที่กำลังเดือดปุดๆ ของผมลง

 

แล้วนี่อะไรอีกวะ

 

บิลก็ไม่ไปทิ้งดีๆ ไอ้ห่าราก โอยยย รูมเมทกูว..ชอบหาช่องทางทิ้งขยะเศษเล็กเศษน้อยตามซอกหลีบอยู่เรื่อยเลย เศษแค่นี้กลืนลงคอกระเพาะยักษ์อย่างมันไม่สะเทือนหรอก โอ่เอ้ย

 

ว่าแต่บิลไรวะ

 

บางทีอาจจะเป็นรายการที่มันไปทำมาช่วงที่ไม่เข้าเรียนก็ได้  ไหน..ดูหน่อยดิ๊

 

นี่มัน

 

นี่มั้นนนนนน

 

มันคือร้านเค้กเจ้อุ๋ยของกูวววววววววววววววววววววววว

 

มันแอบไปกินโดยไม่คิดจะชวนกูเลย ไอ้..ไอ้ฟ้าคคคคคคคคคคคคค

 

โกรธ!!

 

“เตี้ย” ไอ้จุมพลเรียกผมแล้วเดินตัวหอมเปลือยท่อนบนตรงไปยังตู้เย็น

 

“....” เฮอะ กูงอน

 

“เตี้ย อมพระอยู่รึไงเรียกก็ตอบดิวะ” พระบ้านพ่อมึงสิ กูงอน กูโกรธ กูหน้ามืดเพราะมึงแอบไปกินเค้กโปรดของกูไม่ชวนกูไม่พอเสือกทิ้งหลักฐานให้กูเจ็บใจเล่นอีก

 

เฮอะ!

 

“มึงจะตอบกูดีๆ หรือจะให้กูเดินไปเปิดปากมึงด้วย...ปากกู?” ขู่ได้ขู่ไป กูไม่กลัว กูบอกแล้วว่ากูหน้ามืด!

 

“....”

 

“เอางั้นก็ได้ ชอบแบบนี้ก็ไม่บอก” มันเดินมากระชากเส้นผมของผมให้องศามันเงยขึ้นพอดิบพอดีกับปากมันและ และ และ และ

 

หน้ามันเริ่มเข้ามาใกล้แล้วววววว

 

เฮ้ยยยย มันเอาจริงดิ!?

 

“พูดแล้วๆๆๆๆๆๆๆ ออกไป!” เหี้ยยยยย เกือบเสียจูบแรกแล้วมึงเอ้ยยย ไอ้เทรซ!!

 

“ก็แค่นั้น” มันผลักหัวผม “เอานี่” แล้วยื่นถุงคุ้นตามาให้

 

แบบว่า คุ้นมากๆ คุ้นจนรู้สึก...

 

ดีใจ..

 

ผมรับถุงคุ้นตามาถือไว้มองเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มของโปรดที่ผมกับมันทะเลาะด้วยเรื่องนี้

 

“มึง..ไปซื้อมาให้กูหรอ?” ผมมองมันอึ้งๆ “..มึงขาดเรียนเพราะไปซื้อเค้กให้กู..?”

 

แถว...มันยาวมากนะเว้ย?

 

แถมอยู่ตั้ง สยาม?

 

คนละโยชน์กับมหาลัยเราเลย?

 

ทำไม?

 

“มึงโกรธ” มันบอกเสียงนิ่ง

 

“อ้าว..ก็ ไม่นึกว่ามึงจะเสียใจขนาดนี้นิ” แล่วกู ไปแล้วสมองกู ไม่เคยเจอไอ้จุมพลโมเม้นต์นี้

 

“หึ มโนอะไรวะเตี้ย แยกแยะหน่อย นี่กู ไม่ใช่พระเอกในละครที่มึงเคยดู” มันยิ้มชั่วกอดอกแล้วมองผมเหยียดๆ

 

ไอ้เหี้ย กูจะไปรู้มั้ย

 

แม่ง คุยกับมันทีไรไม่เคยมีความสุขเกินสามวิเลยสู้แบกเค้กของมันไปกินห้องอาจารย์รพีน่าจะอรรถรสมากกว่าเสวนาอยู่กับไอ้รูมเมทหน้าหล่อนี่อีก เฮอะ!

 

“ไปไหน?”

 

“ไปห้องอาจารย์รพี” ผมตอบมันเสียงเนือยลากเท้าเปล่าไปใส่รองเท้าแตะเรียบร้อยหันมาอีกทีไอ้จุมพลมันเดินแบกหน้าหล่อๆ ของมันตามผมมาถึงลิฟท์

 

“อะไรมึงเนี่ย”

 

“กูจะไปหาญาติกูด้วยจะทำไม”

 

“เออ!! จะทำอะไรก็เรื่องของมึงเถอะ”

 

แพ้!! ผมแพ้มันตลอด เบื่อโว้ยยยยยย!!

 

 

สักวันผมจะทำให้มันพูดไม่ออก เสียใจ เจ็บปวด ทรมานแสนสาหัสเลยคอยดูเด่!!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา