มนต์รักในคำสัญญา

-

เขียนโดย Hanuna

วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.42 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,625 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 00.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ใช่เขาไหมนะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นทีนั่งในรถของพศิน ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน เพราะเขาดูเหมือนรีบร้อนเสียจนไม่สนใจคนที่นั่งติดรถมาด้วย

“ขอโทษนะที อาต้องรีบไปตามนัด เลยทำให้เราอดทานข้าวเช้าเลย” พศินบ่นออกมาอย่างคนอารมณ์เสีย

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกันครับ” นทีสงสัยว่าพศินจะพาเขาไปที่ไหน เพราะไม่ใช่ทางไปสวนส้มที่ตกลงกันเอาไว้

“อ๋อ อาจะพาเราไปเจอลูกค้า ที่เขาจองผลไม้ในสวนนะ คราวนี้เขาจองกล้วยหอมทั้งหมดที่เรามีเลยนะ แต่มานัดกะทันหันแบบนี้ ทำอาหัวหมุนเลย” พศินพูดไปบ่นไปอย่างหัวเสีย

“แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

“ไม่ต้องหรอก คราวนี้ดูอาไปก่อนแล้วกัน ถึงแล้วแหละ ดีนะยังทัน”

รถของพศินจอดเทียบหน้าร้านกาแฟ ซึ่งนทีคาดเดาว่าลูกค้าคนสำคัญคงอยู่ที่นี่เป็นแน่ เขากวาดตามองลูกค้าที่พศินนัดไว้ จึงเห็นชายวัยกลางคนกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายใจ โดยมีลูกน้องยืนประกบซ้ายขวาอย่างระวังตัว ทำอย่างกับเป็นพวกคนมีอิทธิพลในที่แห่งนี้

“สวัสดีครับคุณศักดา ขอโทษครับที่ทำให้คุณต้องรอ” พศินตรงไปยกมือไหว้ชายที่อายุมากกว่าเขาหลายปีอย่างร้อนรน

“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ” เมื่อพศินเห็นว่าศักดาไม่ต่อว่าสิ่งใด เขาจึงดึงนทีให้ศักดารู้จักทำให้นทีต้องรีบยกมือไหว้

“คนนี้ไงครับ ที่เป็นลูกชายของพี่กนกกับน้องพิมล”

แทนที่ศักดาจะรับไหว้นที แต่ศักดากลับมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่นิ่ง แล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่า ชายคนนี้เคยรู้จักเขาหรือไง

“โตขึ้นเยอะเลยนะ เราหน้าสวยเหมือนแม่ไม่มีผิด จำลุงได้ไหม ลุงเป็นเพื่อนกับพ่อกนกของเรานั่นแหละ”

ถึงจะพูดแบบนั้น นทีก็ยังคงนึกอะไรไม่ออกอยู่ดี เรื่องวัยเด็กนอกจากอุบัติเหตุในตอนนั้น ก็จำอะไรไม่ค่อยได้มากเท่าไหร่นัก อย่าพูดถึงคนอื่นเลย นอกจากคนในบ้าน เขายังจำใครไม่ได้เลยสักนิด แต่ศักดาไม่สนใจรอคำตอบของนทีว่า จำได้หรือไม่ได้ เขาได้หันไปคุยกับพศินต่อ โดยทิ้งให้นทียืนมึนงงอยู่อย่างนั้น

“แล้วพามานี่ อย่าบอกนะว่า ข่าวที่เขาพูดกัน จะเป็นความจริง” สิ่งที่ศักดาพูดออกมานั้น ทำให้พศินอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าข่าวเรื่องพินัยกรรมประหลาดของปิ่นมณี จะแพร่มาไกลขนาดนี้

“ไม่เชื่อว่าข่าวจะไวขนาดนั้นนะครับ”

“ไวจนไม่น่าเชื่อเลยแหละ แต่ก็นะ ที่คุณย่าท่านให้เราเป็นคนดูแล แสดงว่าท่านคงเห็นอะไรในตัวของเรานั่นแหละ ขอให้มั่นใจในตนเองเข้าไว้” ศักดาหันไปคุยกับนที ที่กำลังนั่งเก็บข้อมูลในการสนทนาครั้งนี้อย่างตั้งใจ

ทำให้นทีคิดถึงผู้ที่เป็นบิดาว่า ชายตรงหน้าเขาเหมือนกับบิดาของเขามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้กำลังใจคนอื่น หรือมองว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่แปลกใจเลย ที่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะนิสัยเหมือนกันนั้นเอง

การสนทนากับศักดาราบรื่นไปได้ด้วยดี โดยที่นทีขมวดคิ้วตั้งใจฟังทุกอย่างไม่ให้ขาดสิ่งสำคัญแม้แต่น้อย ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องธุรกิจการค้าขาย ที่ทั้งสองคนกำลังทำกันอยู่ แต่เขาคิดว่าถ้าตั้งใจเสียอย่างถึงจะไม่ใช่เส้นทางที่เขาเรียนมา ยังไงก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน นทีมั่นใจเช่นนั้น

การสนทนาในครั้งนี้ได้ใช้เวลาถึงสามชั่วโมงด้วยกัน โดยจบลงด้วยการกำหนดวันเก็บ และวันส่งสินค้าให้ตรงจำนวนตามที่ต้องการ นทีจึงรับงานนี้ไว้ เพราะมันไม่ยากเกินความสามารถของเขา

“เดี๋ยวพรุ่งนี้อาพาไปดูสวนกล้วยหอม ที่คุณย่าได้ลงเอาไว้ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่านะ วันหลังค่อยไปดูสวนส้ม” พศินเอ่ยกับหลานชายขณะที่ตนกำลังขับรถกลับบ้าน

“ครับ” นทีพยักหน้ารับ เขารู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน และไม่อยากเครียดเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นงานอาจจะออกมาแย่ก็ได้

“จริงแล้วไม่ยากหรอกนะ เรื่องขายกล้วยหอมให้ได้ราคาดี เพียงแค่เจอแหล่งที่เขาต้องการสินค้าของเรา และไว้ใจได้พร้อมกับให้ราคางาม นอกนั้นก็เป็นหน้าที่ของเรา ต้องคัดสินค้าที่มีคุณภาพที่ดี ให้กับเขาเท่านั้น อาว่าทีทำได้อยู่แล้ว” พศินส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้นที จนนทีรู้สึกอุ่นใจที่มีพศินคอยสอนงานแบบนี้ ถึงเขาจะแอบทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ แต่บางอย่างเขาก็มีส่วนที่ดีอยู่

“ที อามีเรื่องจะขอร้อง” น้ำเสียและสีหน้าของพศินเปลี่ยนไป เหมือนมีบางสิ่งคิดอยู่ในใจ

“เรื่องอะไรครับ”

“อย่าบอกอารัตเรื่องที่ อาติดต่องานกับคุณศักดานะ” สิ่งที่พศินบอกยิ่งสร้างความสงสัยมากยิ่งขึ้น

“ทำไมครับ”

“คือ...คุณศักดาเป็นต้นเหตุให้คุณย่าเรา ไล่แม่ของเราออกจากบ้านในวันนั้นนะสิ” เพียงแค่ได้ยินเท่านี้นทีถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย แต่พศินยังไม่จบเท่านั้น เขายังคงเอ่ยต่อไป

“ทีจำวันนั้นได้ไหม วันที่คุณพ่อและคุณแม่ของที ต้องหอบทีไปอยู่บ้านคุณยายแล้วไปไม่ถึง เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ตั้งแต่วันนั้นมา อารัตก็ไม่พูดกับคุณศักดาอีกเลย แต่อย่าพึ่งโกรธอานะ คุณศักดาเขาเป็นคนมีอิทธิพลแถวนี้ เวลาให้ราคาสินค้าก็งามตามมาด้วย อาเห็นเขาสนใจผลไม้ของคุณย่า เลยทำธุรกิจด้วยกัน เราต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกนะที”

“ครับ ผมเข้าใจ” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ใจของนทีกลับไม่คิดเช่นนั้น วันที่โดนไล่ออกจากบ้าน เขาจดจำได้ดีและไม่เคยลืม

“เอามันออกไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้า หญิงชั่ว! แอบมีชู้ลับหลังลูกชายของฉัน”

นทีแอบมองย่าของเขา ที่กำลังไล่มารดาของเขาหลังเสากลางบ้าน โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะว่าทุกคนในบ้านกำลังตื่นตกใจกับเจ้าของบ้านอย่างปิ่นมณี ที่ใจดีในสายตาของคนภายนอก กำลังโยนกระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย ใส่ลูกสะใภ้อย่างไม่มีเยื่อใยอันใด

“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ คุณแม่โปรดฟังมลก่อน” พิมลได้ลุกขึ้นและกำลังคลานเข้าไปจับมือแม่สามีของเธอพร้อมกับแก้ไขเรื่องที่ถูกเข้าใจผิด

“อย่ามาแตะตัวฉัน เธอไม่ใช่ลูกของฉัน ออกไปจากบ้านหลังนี้ และห้ามมาเหยียบที่นี่อีก!” เหมือนปิ่นมณีเองจะรับฟังอะไรมา ที่ทำให้อารมณ์ขึ้นสูงจนไม่อาจลงได้ จึงปฏิเสธการแก้ตัวของลูกสะใภ้อย่างไร้เยื่อใย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะต่อว่าอะไรไปมากกว่านี้ ลูกชายของเธอหรือบิดาของนทีได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน

“คุณแม่ครับเกิดอะไรขึ้น” เขารีบลงมาดูภรรยาสุดที่รักที่นั่งกองอยู่ที่พื้น โดยมีคราบน้ำตาแอบเต็มแก้ม

“ก็แม่นี่ แอบมีชู้กับเพื่อนเรา แม่เห็นเต็มสองลูกตาของแม่เลยนะลูก ว่าแม่คนนี้กำลังกอดกับศักดาอยู่” ปิ่นมณียังคงมั่นใจกับสิ่งที่เห็น

“ไม่จริงครับ มลไม่มีทางทำแบบนี้แน่ ไม่เป็นอะไรนะ พี่เชื่อว่าเราไม่นอกใจพี่” กนกเถียงมารดาของเขา เขามั่นใจในภรรยาที่น่ารักของเขาว่า ไม่มีทางที่จะนอกใจอย่างที่ถูกกล่าวหาอย่างแน่นอน คงมีเรื่องที่เข้าใจผิดอะไรสักอย่าง

“เมื่อไหร่จะตาสว่างเสียที ทำไมแกมันโง่แบบนี้ แกกำลังโดนสวมเขาอยู่นะ!” ปิ่นมณีตะคอกลูกชายของเธออย่างเหลืออด เธอทนไม่ไหวที่ลูกชายของเธอโดนความรักบังตาจนมืดมัว แล้วโดนหลอกไปทั้งตัวแบบนี้

“ผมไม่เชื่อครับ ผมไว้ใจเมียผม” เขายังคงมั่นใจในความรักของเขา และไม่มีทางที่จะเป็นอย่างที่มารดาของเขาพูดแน่

“ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอมาอยู่ร่วมกับฉัน ในบ้านหลังนี้หรอกนะ แล้วไปแต่ตัว ห้ามเอาอะไรไปทั้งนั้น ส่วนหลานฉันจะเป็นคนเลี้ยงเขาเอง” ปิ่นมณีหมดความอดทน เธอเข้าไปดึงลูกสะใภ้ออกมาจากลูกชายของเธอ แต่ถูกกนกลูกชายของเธอดึงกลับไปเสียก่อน

“ไม่ครับ ผมจะไม่ให้เมียกับลูกผมไปไหนทั้งนั้น ถ้าจะไป ผมจะต้องไปด้วย จะไม่มีใครแยกพวกเราออกจากกัน”

“คุณพ่อครับ ฮือ คุณแม่ครับ”

นทีทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ไหว เขาเดินร้องไห้ออกมาหาคนทั้งสอง ทุกคนในห้องตกใจกันหมดรวมถึงปิ่นมณีด้วยเช่นกัน เธอลืมคิดไปว่า ในบ้านมีเด็กอยู่ด้วย

“ไปลูกพ่อ เราไปหาที่อยู่กันใหม่นะ ไม่ต้องร้องไห้ คุณไม่ต้องกลัวนะพี่เชื่อใจเรา” กนกดึงลูกชายและภรรยาเข้าหาตัวเอง แล้วปลอบให้หายตกใจ พร้อมกับเดินออกจากห้องไป ปิ่นมณีเห็นลูกชายกับหลานกำลังจะออกจากบ้าน เธอจึงร้องห้ามเอาไว้

“กลับมานะ ฉันให้แม่นั้นไปเท่านั้น ห้ามเอาหลานฉันไป”

“คุณแม่ ผมขอโทษนะครับ ถ้าคุณแม่ใจเย็นกว่านี้ ผมจะกลับมาหาครับ”

กนกหันมามองมารดาของเขาด้วยสีหน้าที่หมองเศร้า เขาจำใจต้องให้ภรรยากับลูกไปจากที่นี่เสียก่อน พอทุกอย่างลงตัว แล้วค่อยกลับมาใหม่

“ที...ตื่น...ที ถึงแล้ว เราถึงบ้านแล้ว” เสียงของพศินปลุกให้นทีตื่นจากความฝัน และรีบลงจากรถด้วยท่าทางตื่นๆ

“ครับ ครับ ผมลงไปก่อนนะครับ”

“ตามสบาย” พศินยิ้มให้กับท่าทางของนที ที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย และรอให้นทีเดินเข้าบ้านไปจนไม่เห็นหลัง แล้วค่อยขับรถออกไปข้างนอกตามเดิม

ส่วนนทีไม่ติดใจที่พศินไม่เข้ามา เพราะรายนี้มีงานยุ่งตลอดเวลา เขาจึงกลับขึ้นห้องกระโดดนอนแผ่ที่เตียงอย่างสบายตัว เรื่องในอดีตก็แค่อดีต เขาไม่อยากเก็บมาสนใจ ยังไงก็คงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ปล่อยให้เป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ส่วนตัวของเขานั้น คงได้แต่ทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น ถึงเขาไม่อยากได้ก็ตาม

“คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผมกลัว พวกเราจะตายไหม” นทีในวัย 9 ขวบ กำลังตื่นตกใจกลัว อยู่ในอ้อมกอดของพิมลมารดาของเขา ภายในรถที่กำลังค่อย ๆ จมลงไปในน้ำ

“พวกเราต้องรอด”

กนกได้หันไปหาลูกชายและภรรยาของเขา ไม่ให้ตื่นตกใจกลัวไปมากกว่านี้ เขาพยายามหาทางออกจากรถโดยการทุบกระจก เพราะประตูไม่สามารถเปิดออกได้ และเขาไม่สามารถเลื่อนกระจกลงได้เช่นกัน เนื่องจากรถโดนกระแทกอย่างแรงกับต้นไม้ ก่อนจะตกลงมาในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เขาพยายามทุบด้วยแท่งเหล็กของหมอนรองคอ แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำให้แตกได้ และตอนนี้น้ำกำลังไหลเข้ามาในรถที่กำลังจมดิ่งลงไป เหลือเพียงอากาศท้ายรถเริ่มน้อยลง โดยมีน้ำเข้ามาแทนที่

“ไม่ต้องกลัวนะลูก”

พิมลได้โอบกอดปลอบนที ที่เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก เพราะอาการเริ่มน้อย และน้ำที่ไหลเข้ามาจนจมไปครึ่งตัว นทีได้เกาะมารดาของเขาแน่นด้วยความกลัว ส่วนกนกพยายามหาสิ่งของอื่นที่สามารถทุบกระจกให้แตกเพื่อจะได้ออกจากรถได้ แต่ก็สุดความสามารถ เพราะพวกเขาทั้งสามคน ได้ติดอยู่ในรถที่กำลังตั้งฉากจมดิ่งลง และกำลังหมดลมหายใจเพราะอากาศที่เหลือน้อย แล้วต้องหมดสติและจมอยู่ในน้ำภายในรถยนต์ของพวกเขา

ก่อนที่สติของนทีจะดับวูบไป เพราะสำลักน้ำเข้าเต็มปอด ได้เกิดแสงประหลาดทำให้เขาได้สติเพียงเล็กน้อย แสงนั้นพาร่างของเขาออกมาจากรถที่กำลังจมดิ่ง

“เจ้าอย่าพึ่งเป็นอะไร พี่มาช่วยแล้ว แม่จัน”

เสียงเรียกที่ก้องอยู่ในหัวของนที ทำให้เขาไอเอาน้ำออกมาจนหมด ถึงสติจะเลือนรางแต่เขายังคงได้ยินเสียงจากภายนอกอยู่

“เร็วเข้า มีเด็กจมน้ำ”

ชาวบ้านบริเวณนั้นได้ยินเสียงประหลาดที่เกิดขึ้น จึงรีบออกมาดูและต้องตกใจ ที่เห็นรถยนต์สีขาวจมอยู่ใต้น้ำและมีเด็กนอนไม่ได้สติอยู่บนฝั่ง ก่อนที่จะมีคนแห่กันมาช่วยเด็กที่นอนไม่ได้สตินั้น สติอันเลือนรางของนทีได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะดับมืดลง

“คำสัญญาที่เจ้าเคยให้ไว้กับพี่ เจ้าจำได้ไหม พี่รอคอยเวลาที่จะพบเจอเจ้ามานานแสนนาน ไม่ว่ากี่พบกี่ชาติพี่ไม่มีวันลืม”

“เฮือก!” นทีตื่นขึ้นจากคำพูดที่ก้องในหัวสมองของตนเอง ด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาเต็มตัว

“ฝันอีกแล้วเหรอ คงเป็นเพราะคำพูดของอาศินแน่เลย ทำให้ฝันแบบนี้”

นทีไม่รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปตอนไหน และยังฝันถึงอดีตอีก เขาคิดทบทวนความฝันที่เป็นเรื่องจริง ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตของเขา และคนที่มาช่วยเขานั้นเป็นใครกันแน่

ถ้าได้ยินไม่ผิด เขาเรียกเราว่าแม่จัน จะเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นศร วิญญาณที่คิดว่าเขาเป็นคนรักในอดีต นทีสะบัดหัวของตนเองไปมา เพื่อทิ้งความฝันที่ยังติดอยู่ในสมองให้หมดไป และเดินออกจากห้องเพื่อตรงไปยังห้องครัว ได้เจอพิมกำลังทำความสะอาดห้องอยู่ เขาจึงคิดถึงเรื่องที่พศินกับพิมแอบลักลอบทำอะไรกัน

“พิมฉันขอคุยอะไรหน่อยสิ”

“ค่ะ คุณที”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา