มนต์รักในคำสัญญา

-

เขียนโดย Hanuna

วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.42 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,623 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 00.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ความฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บรรยากาศที่แสนจะร่มรื่น ลมพัดใบไม้พลิ้วไหว นทีกำลังยืนมองภาพชายหญิงคู่หนึ่ง ที่นั่งกอดกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เบื้องหน้าเป็นหนองน้ำที่เขารู้จักว่าคือที่ใด เป็นสถานที่ที่เขาชอบมานั่งเล่นเป็นประจำนั่นเอง

เขาพิจารณาชายหญิงคู่นี้ว่าเป็นใคร จึงได้รู้ว่าผู้ชาย คือ นายศร วิญญาณที่ชอบตามติดเขาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ส่วนหญิงสาวหน้าตาขาวสะอาด ใบหน้ารูปไข่ ไร้ซึ่งเครื่องสำอางตกแต่ง ผมสีดำขลับทรงดอกกระทุ่มตัดกับสีผิวเป็นอย่างดี ดวงตากลมโตสวยสดใส มองยังไงสองคนนี้ก็เป็นคู่รักกัน

“พี่มีความสุข ที่ได้ครองรักกับเจ้าเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องฉาวขึ้นกับครอบครัวพี่ เจ้าคงไม่ถือโทษโกรธใช่หรือไม่” ชายหนุ่มได้ก้มมองหญิงสาว ที่อยู่ภายในอ้อมกอดของเขาด้วยความรู้สึกกังวลใจ

“ไม่เลยพี่ศร ถึงจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแต่คนละคน จันไม่เหมารวมหรอกจ้ะ” หญิงสาวส่ายหน้าใช้มือน้อยของเธอจับที่หน้าของชายที่เป็นที่รักอย่างแผ่วเบา ศรยิ้มให้กับหญิงสาวด้วยความรู้สึกรักใคร่

“พี่สัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าจวบจนสิ้นลมหายใจ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่” ชายหนุ่มก้มหน้ามองคนรักเพื่อรอคำตอบ

“จ๊ะ จันขอสัญญาจะรักและซื่อสัตย์ต่อพี่ จวบจนสิ้นลมหายใจเช่นกัน” หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของชายที่เป็นที่รักได้กล่าวตาม

“ถ้าเช่นนั้นขอให้เทวดาฟ้าดินเป็นพยานในความรักของเราทั้งสอง” ชายหนุ่มประกาศเสียงดังฟังชัด พร้อมกับยิ้มหวานให้แก่หญิงคนรักในอ้อมแขน ที่ยิ้มรับรอเขาอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกันนั้นชายหนุ่มได้บรรจงประทับริมฝีปากที่ได้รูปสวยของหญิงสาว เพื่อเป็นการประกาศความรักของพวกเขาทั้งสอง

นทีมองภาพชายหญิงตรงหน้าที่พลอดรักกัน ด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย จึงแอบเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่จู่ ๆ ภาพเหล่านั้นได้หายไป ถูกตัดมาเป็นภาพของหญิงสาวคนเดิม ที่กำลังยืนร้องไห้มีน้ำตาอาบเต็มแก้ม

มองดูชายคนรักที่นอนกอดหญิงอื่น ด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า ใต้ผ้าห่มบนเตียงนอนของเธอ เหมือนเสียงร้องไห้ของสาวน้อยที่ชื่อจัน จะเข้าไปปลุกชายหญิงคู่นี้ให้ลืมตาตื่นขึ้นมา

“แม่จัน เดี๋ยวก่อน ฉันอธิบายได้” ผู้หญิงคนนั้นตื่นตกใจรีบแก้ตัวทันที

“พี่อธิบายได้เช่นกัน ไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็น” ศรได้สติก็รีบแก้ตัวตาม

“จะอธิบายอะไร ฮึก ในเมื่อเห็นได้ชัดอยู่แล้ว” จันพูดทั้งน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสองข้าง มองมายังชายหญิงที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาที่ผิดหวังและเสียใจอย่างที่สุด

เธอไม่อาจดูภาพที่ทำร้ายจิตใจของเธอได้อีก จึงหันหลังกลับไป ทิ้งให้ทั้งสองอยู่ในห้อง ศรเห็นหญิงคนรักเบือนหน้าหนีตนทั้งน้ำตา ยิ่งทำให้ใจของเขาแทบแตกสลาย

“เดี๋ยวก่อนแม่จัน อย่าพึ่งไปฟังพี่อธิบายก่อน”

“เฮือก!”

นทีตกใจตื่น เขาลุกขึ้นนั่งกอดเข่าทบทวนความฝันที่คล้ายชีวิตจริง เหมือนตัวของเขาเองหลุดอยู่ในความฝันนั้น ร่องรอยของคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มยังคงอยู่ เขานำมือไปจับคราบน้ำตาที่เปื้อนเต็มแก้มด้วยความรู้สึกที่สับสน ทั้งที่เขาไม่ได้ชื่อจัน แต่ทำไมถึงต้องร้องไห้กับเรื่องในฝันด้วย ทำอย่างกับเกิดขึ้นกับตัวเอง

นทีลงมาทานอาหารเช้าด้วยจิตใจที่หดหู่ จนคนในบ้านมองและเป็นห่วงเขาว่าเป็นอะไร

“วันนี้พร้อมไหม อาเตรียมสอนเราจนทนไม่ไหวแล้ว”

พศินดูร่าเริงมากในเช้าวันนี้ นทียิ้มให้กับผู้เป็นอา หัวสมองดันคิดย้อน ถึงสิ่งที่อาของเขาลักลอบเป็นชู้กับพิมสาวใช้ แล้วมาเทียบกับการกระทำของศรกับหญิงที่เขาไม่รู้จักในฝัน จึงเผลอถามบางอย่าง ทำให้ทุกคนในห้องเงียบกันหมด

“อาศิน คิดยังไงเวลาที่ผู้ชายแอบมีหญิงอื่น ลับหลังภรรยาของเขา” พศินได้ยินถึงกับสะดุ้ง ซึ่งขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่ในห้อง รวมถึงสาวใช้ที่กำลังทำงานอยู่นั้น หันมามองคนทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ

“ทีเราพูดอะไรนะ ทำอย่างกับอาศินแอบมีเมียน้อย” รัตนาเหลือบมองพศินด้วยความสงสัย และระแวงในคราเดียวกัน จนนทีได้สติ จึงรีบพูดขัดขึ้น

“ไม่ใช่อาศินหรอกครับ ผมนึกถึงผู้ชายทั่วไปนะครับ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และรู้สึกยังไงในตอนนั้น ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ เท่านั้นเองครับ ไม่เกี่ยวกับอาศินหรอกนะ” นทีหันไปยิ้มให้พศิน ที่ทำสีหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เขาเริ่มรู้สึกว่าตนถามในสิ่งที่เป็นอันตรายกับตัวเองหรือเปล่า

“อาก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เขาคิดอะไรอยู่ เพราะอาไม่ใช่คนแบบนั้น อารักเดียวใจเดียว” พศินพูดจบ เขาได้หยิบมือของรัตนาขึ้นมาหอมโชว์คนในบ้านทั้งหมด เป็นการประกาศว่า เขาไม่เคยนอกใจหญิงสาวตรงหน้าแม้แต่น้อย รัตนาถึงกับเขินจนหน้าแดง ส่วนนทีนึกขำในใจทำไมเขารู้สึกรังเกียจสิ่งที่พศินทำ

เมื่อจบบทสนทนาอันชวนน่าคลื่นไส้ในความคิดของนที เขาต้องเริ่มเรียนรู้งานทั้งหมดจากพศิน นทีได้เดินตามพศินไปรู้จักกับพื้นที่ 400 ไร่ ที่เขาต้องรับผิดชอบว่าปลูกอะไรบ้าง พาไปรู้จักกับหัวหน้าคนงานทั้งหมดว่ามีกี่คน โดยรวมมี 4 คนรับผิดชอบคนละ 100 ไร่ นี่ยังไม่รวมคนงานที่ทำงานในไร่อีก แต่พศินบอกว่ารู้จักแค่หัวหน้าก่อน ลูกน้องคนอื่นค่อยรู้จักกันวันหลังยังทัน

กว่าจะจบสิ้นการทำความรู้จักสถานที่รวมถึงคนที่ดูแล เล่นเขาหมดเวลาเป็นวันและต้องลากสังขารมานอนตากลมใต้ต้นไม้ใหญ่ หน้าหนองน้ำตามเดิม

“เจ้าเหนื่อยหรือไม่ แม่จันของพี่” เสียงของศรทำให้เขาตื่นจากการพักผ่อน เขาได้ลืมตาและเห็นใบหน้าของศรเต็มสองตา เพราะศรยื่นหน้าเกือบจะแตะริมฝีปากของเขาอยู่แล้ว โชคดีที่นทีหันหน้าหนีได้ทัน ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น

“เจ้าโกรธพี่เรื่องอะไร ดูท่าทางเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน” ศรอดสงสัยไม่ได้เพราะเมื่อวานเขาไม่ได้มานอนเฝ้านที เขาออกไปฝึกเพิ่มพลังวิญญาณกับแก้ว

“ไม่มีอะไรหรอก ผมขอตัวนะ” นทีรีบลุกและเดินกลับเข้าบ้าน แต่ศรกางแขนทั้งสองข้างออกจากกัน เพื่อกันนทีไม่ให้ไปไหน

“เจ้าจำเรื่องระหว่างเราได้แล้วใช่ไหม ถึงได้เมินพี่เช่นนี้” ศรจับกระแสความคิดได้บางอย่าง แต่เหมือนนทีจะพยายามหยุดมัน เพื่อไม่ให้เขารับรู้ ศรจึงจับไม่ได้ว่านทีคิดอะไรต่อ

“พี่ศรเข้าใจผิดแล้ว...เฮ้ยย! ไม่ใช่ ๆ คุณเข้าใจผมผิดแล้ว ผมไม่ได้ฝันอะไรทั้งนั้น” นทีรีบเบือนหน้าหนีไม่ให้ศรเห็น ว่าเขานั้นรู้สึกเขินที่ตัวเองเผลอเรียกชายตรงหน้าว่าพี่ แต่หารู้ไม่ว่าการที่นทีพูดเช่นนี้ เท่ากับเปิดทางให้ศรรับรู้ว่านทีฝันถึงอดีตให้แล้ว

“เจ้ายังเข้าใจพี่ผิดอยู่นะ สิ่งที่เจ้าฝันนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเลยสักนิด มีคนจัดฉากให้เจ้าผิดใจกับพี่” ศรพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารแต่นทียังคงยืนนิ่งอยู่ท่าเดิม เพียงเวลาไม่นานมีเสียงฝีเท้ากำลังเดินตรงเข้ามาหานที ทำให้ศรต้องหายตัวไป

“นายมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ เราโทรหาตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับ เราเลยเป็นห่วง” ปถวีเดินตรงเข้ามาหานทีที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่กับที่

นทีหันกลับมามองปถวีขณะที่คิ้วขมวดกันเป็นปม เขามองซ้ายมองขวาหาศรแต่ไม่เห็นเสียแล้ว เห็นแต่เพื่อนของเขาที่มองหน้าเหมือนมีคำถาม

“เออ...คือ เราเมื่อยนะ เลยมายืนรับลม เฮอะ เฮอะ” นทีเกาหัวกลบเกลื่อน ซึ่งแน่นอนว่าปิดปถวีที่รู้จักนทีตั้งแต่เด็กไม่ได้ แต่เขาไม่ได้พูดสิ่งใดออกไปเพราะรู้ว่านทียังไม่อยากบอก คงต้องสังเกตเอาเอง

“อืม ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”

“ว่าแต่วี นายมีอะไรถึงมาหาถึงนี่” นทีถามกลับไป แต่ปถวีส่ายหน้า

“เราได้ข่าวว่า ทีปฏิเสธเรื่องพินัยกรรม เลยอยากรู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงปฏิเสธออกไปแบบนั้น” ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าลมพายุเสียอีก นทีถอนหายใจเฮือกใหญ่จนปถวียิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม

“เราคิดว่าจะมาฟังพินัยกรรมเท่านั้น พอจบแล้วจะกลับบ้านคุณยาย ไปหางานทำตามที่เราเรียนมา ค...คือใจเราไม่อยากอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่คุ้นเคย” นทีอธิบายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอย่างกับกลัวใครจะได้ยิน

“ทำไมล่ะที มีเราอยู่ทั้งคน นายมีอะไร ทำไมไม่ปรึกษาเราล่ะ เราเป็นห่วงนะ” ปถวีขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มกึ่งดุคนตรงหน้า เขารู้สึกหงุดหงิด ที่ตนเองวิ่งเต้นเป็นห่วงนทีเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนกลับไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยสักนิด นทีไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา เขาเงียบและรีบเดินหนีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา กลับเข้าบ้านไปด้วยความเหนื่อยล้า

เช้าวันใหม่มาถึง ชายหนุ่มไม่อยากลุกจากที่นอน เพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทำความรู้จักสถานที่ทั้งวัน แต่เขาจำต้องลุก เนื่องจากวันนี้พศินนัดให้ดูงานในสวนส้ม ซึ่งเป็นหนึ่งในผลไม้ที่คุณย่าของเขาปลูกขาย

“หอมจัง”

จมูกของนทีได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่มาที่นี่ เขาหยิบดอกกระดังงาขึ้นมาสูดดม ซึ่งมันช่วยลดความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี เคยแอบสงสัยหลายครั้งเหมือนกันว่า ทำไมต้องเป็นดอกไม้ชนิดนี้ด้วย

“เพราะเจ้าเป็นคนบอกพี่เองว่า ดอกกระดังงาจะช่วยให้ผ่อนคลาย ลดอาการเมื่อยล้าได้ แถมยังช่วยให้สมองโล่งคิดอะไรได้มากขึ้น เมื่อก่อนเจ้ามักจะวางบนหัวเตียงให้พี่ทุกวัน เจ้าพอจำได้ไหม” ศรรอนทีตื่นเพื่อที่จะได้เข้าไปคุยใกล้ ๆ เหมือนอย่างเคย แต่นทีกลับทำเป็นไม่ได้ยินหรือเห็นวิญญาณตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตน เป็นวิญญาณที่โดนเมิน เขาจึงรีบไปขวางนทีไม่ให้ลุกจากเตียง

“เฮ้ย! คุณจะทำอะไรนะ”

นทีโดนศรใช้พลังงานผลักให้นอนหงายอยู่บนเตียง และทับทั้งตัวจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ ความรู้สึกที่คนอื่นบอกว่าเป็นอาการผีอำ แต่สำหรับเขาเป็นอาการผีทับมากกว่า จนเขารู้สึกหายใจไม่ออกอยากจะพูดแต่พูดออกมาไม่ได้ ส่วนศรกำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดที่นทีไม่ได้ดั่งใจเขา จนนทีต้องร้องก้องในใจให้ศรปล่อยตัวเขาเสียที

‘ผมหาย...ใจ...อึก...ไม่ออก’

เสียงที่ร้องก้องอยู่ในใจ เตือนสติให้ศรปล่อยนทีด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด เมื่อนทีถูกปล่อย เขารีบลุกขึ้นนั่ง แล้วสูดอากาศเข้าปอดให้เต็มที่ พร้อมกับค้อนวิญญาณตรงหน้าด้วยความโกรธ

“คุณจะฆ่าผมหรือไง”

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ยกโทษให้พี่เถอะ” ศรรู้สึกแย่กับสายตาของคนตรงหน้า จึงใช้ความพยายามตามไปขอคืนดีกับนที แต่นทียังคงหลบและหนีเขาอยู่อย่างนั้น ทำให้ศรหมดความอดทนอีกครั้ง

“พี่จะไม่ให้เจ้าไปไหน จนกว่าเราทั้งสองจะเข้าใจกัน”

“มีอะไรต้องคุย ผมกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว!” ถึงจะหมดความอดทนกับการขัดขวางทางเดินของวิญญาณตรงหน้า ถึงอย่างนั้นกลับรู้สึกว่า ตนโกรธเรื่องอะไรกันแน่ระหว่างเรื่องที่ตนฝัน หรือโกรธที่ศรทำเขารุนแรงจนเกือบขาดอากาศหายใจตาย

“ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจพี่ผิด พี่ยังไม่ทันบอกความจริง เจ้ามักชอบหนีพี่เสมอ” ศรพยายามอธิบายอีกครั้ง คราวนี้นทีหยุดหนีศรและหันมาเผชิญหน้า เขาอยากรู้เหมือนกันว่า ความจริงที่ว่าคืออะไร

“ความจริงอะไรครับ”

“พี่ยังบอกไม่ได้ เพราะ...” ศรหยุดพูดไปเสียอย่างนั้น ทำให้นทีเริ่มหัวเสียอีกครั้ง

“เพราะอะไร!”

“ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าควรรู้ พี่ขอร้อง อย่าทำเหมือนเราไม่มีเยื่อใยต่อกัน” ศรมีเหตุผลที่ไม่สามารถบอกได้ ถ้าบอกทุกอย่างกับคนตรงหน้า นทีคงลำบากกว่าเดิมแน่ เขาจึงจับแขนของนทีให้หันมาฟังเขาอีกครั้ง

“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณตั้งแต่แรกแล้ว ปล่อยผมเถอะ”

“ได้โปรดอย่าพูดอย่างนี้กับพี่ได้ไหม มันทำร้ายจิตใจของพี่” ศรพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร จนนทีต้องถอนหายใจ จังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ก๊อก ก๊อก ที ตื่นยัง” เสียงของพศินดึงสติของคนและวิญญาณ ที่ยืนอยู่ในห้องให้กลับมา

“ครับ” นทีจึงต้องจำใจขานออกไป

“พี่ขอเตือนเจ้า ให้ระวังตัว!” เสียงเบาราวกับกระซิบของศรดังก้องในหัวของนทีก่อนที่เขาจะหายตัวไป

“ที วันนี้ต้องไปแต่เช้านะ”

“ครับ ๆ ผมขอเวลา 5 นาทีครับ”

“เร็วด้วย อารีบ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา