Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  11.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ต้องทรมานใจเพียงใด เด็กคนหนึ่งถึงจะเลือกไปอยู่ที่ไกลแสนไกล แทนที่จะต้องกลับบ้าน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

4. ต้องทรมานใจเพียงใด เด็กคนหนึ่งถึงจะเลือกไปอยู่ที่ไกลแสนไกล แทนที่จะต้องกลับบ้าน


“ชงอวี้ เจ้าคิดจะไปจริงๆหรือ”


“เสด็จพี่ กระหม่อมตัดสินใจแล้ว” ร่างเล็กพยักหน้ายืนยันความคิดของตนอย่างหนักแน่น


เขาจะไปเข้าสำนักศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทั้งวรยุทธ์และกลศึก หลังจากนั้นพอถึงวัยก็จะเข้าร่วมกองทัพ


“พี่ไม่อนุญาต!!” องค์ไท่จื่อสวนกลับแบบไม่ต้องคิด


สิ่งที่ราชวงศ์เซวียนยังขาดอยู่ในตอนนี้คือนักรบ จริงอยู่ที่สมัยก่อนเมื่อมีศึกใหญ่เสด็จอาจะร่วมกรีธาทัพไปด้วยเพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจ แต่.. เขาก็ยังไม่ใช่แม่ทัพ


บรรดาทหารนายกองปัจจุบันต่างขึ้นตรงต่อแม่ทัพ แม่ทัพแต่ละตระกูลล้วนมีกำลังในมือ ทหารภักดีต่อตระกูลเจ้านาย มิใช่ฮ่องเต้


หากวันใดแม่ทัพมีใจออกห่าง นั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อราชวงศ์


ในเวลานี้แคว้นฉินมีสองตระกูลหลักที่มีกำลังทหารที่แสนยานุภาพสูง คือตระกูลเสิ่นและตระกูลเฉิง ที่เป็นคู่แข่งและคอยคานอำนาจกันอยู่ แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าวันใดสองตระกูลนี้จะร่วมมือกันล้มราชบัลลังก์หรือไม่


ในสายตาเซวียนชงอวี้ แค่บุตรสาวคนเดียวที่ภรรยาสุดที่รักทิ้งไว้ก่อนจากโลกไป เจ้าตัวยังเคียดแค้นเด็กน้อยไร้เดียงสาถึงเพียงนี้


กระทั่งลูกตัวเองยังไม่เอา แล้วนับประสาอะไรกับราชวงศ์


เขาเองที่จะต้องเป็นแม่ทัพที่คุมกองกำลังหลักไว้ในมือ เพื่อหนุนรากฐานบัลลังก์ของพี่ชายให้แข็งแรง เรื่องการเมืองการปกครอง การบริหารประเทศ เขาไม่ห่วงพี่ชายเลยสักนิด ภายใต้ใบหน้านุ่มนวลสุภาพซ่อนความร้ายกาจไว้อย่างแนบเนียน รวมไปถึงดวงตาที่มองทุกอย่างได้ปรุโปร่งและหาทางแก้ไขวิกฤตต่างๆได้อย่างรวดเร็ว


เซวียนหย่งเต๋อเกิดมาเพื่อเป็นนักปกครองโดยแท้


“ชงอวี้ เจ้ากำลังจะหาเรื่องออกนอกวังใช่หรือไม่”ดวงตาดำขลับขององค์ไท่จื่อจ้องน้องชายเขม็ง กอดอกแน่น พอเป็นเรื่องที่น้องชายจะไปห่างไกลตัวก็สลัดมาดเดิมๆที่ใช้ทิ้งเสียสิ้น เหลือเพียงตัวจริงที่หวงห่วงน้องอย่างหนัก


“เสด็จพี่ ท่านก็รู้ว่ามันเป็นผลพลอยได้ แต่จุดประสงค์จริงๆของข้าคือสิ่งใด ข้าเชื่อว่าเสด็จพี่ย่อมแจ้งอยู่แก่ใจ” น้ำเสียงใสของเด็กที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มว่าเรื่อยเจื้อยอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า


“จริงๆถ้าอยากเรียนวรยุทธ์ กลศึก ในวังก็สามารถเรียนได้นะชงอวี้” องค์ไท่จื่อเริ่มเสียงอ่อย ค่อยๆปะเหลาะพระอนุชา


“เสด็จพี่ ข้าต้องการแข็งแกร่ง ข้าต้องการเป็นแม่ทัพเพื่อรบให้ท่าน ได้โปรดอนุญาตน้องด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เซวียนชงอวี้คุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับ


เพียงเท่านี้พี่ชายผู้หลงน้องก็ใจอ่อนยวบ ได้แต่ทอดถอนใจเมื่อครานี้ก็รบแพ้พระอนุชาอีกแล้ว


“ตกลงตามที่เจ้าว่า ข้ายอมให้เจ้าไปเรียนและไปเข้าร่วมกองทัพ แต่เจ้าต้องสัญญากับพี่ว่าหากมีวันหยุดต้องกลับวัง ต้องส่งจดหมายให้พี่ทุกสัปดาห์ ถ้าเจ้ารับปากพี่ก็จะยอมไปพูดกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้”


เซวียนชงอวี้คิ้วกระตุก ให้ตายเถอะ เสด็จพ่อยังมิทรงห่วงใยเขาเท่านี้เลยกระมัง ไม่รู้ว่าเพราะพี่ชายทำตัวเหมือนบิดารึเปล่า บิดาตัวจริงจึงไม่ได้มาอะไรกับเขามากนัก แต่เพื่อเป้าหมายและอิสระอันเป็นของแถมแล้ว ไม่ว่าเซวียนหย่งเต๋อมีเงื่อนไขใดเขาก็พร้อมยอมรับ


“อวี้เอ๋อร์รับปากเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ” เด็กชายลอบถอนใจด้วยความโล่งอก เขาไม่กลัวสักนิดว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะไม่อนุญาต คนที่เป็นผู้ปกครองเขาตอนนี้คือเสด็จพี่ใหญ่ต่างหาก


คิ้วเข้มขององค์ไท่จื่อขมวดแน่น ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่เซวียนชงอวี้กล่าวมา ย่อมต้องสร้างความพึงพอใจให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างแน่นอน กระทั่งองค์ไทเฮาเองก็ยังคงต้องกล่าวชื่นชมความมีน้ำใจกตัญญูของเซวียนชงอวี้ที่มีต่อราชวงศ์ต่อพี่ชายคนนี้


ในฐานะพี่ ย่อมต้องรู้สึกตื้นตันที่น้องรักตนถึงเพียงนี้ แต่ในฐานะพี่ชายที่หลงน้องสุดหัวใจ เมื่อน้องชายต้องห่างจากอกตนเองไป ความรู้สึกอาวรณ์ย่อมเกินจะทานทน


เซวียนชงอวี้ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ขับให้ใบหน้านั้นดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก


ถ้าใช้ไม้นี้ไม่ได้ผล คงต้องยอมขายหน้ากลับไปใช้วิธีแบบดั้งเดิม เข้าไปกอดแขนทำหน้าตาน่าสงสารใส่พี่ชายตัวเอง .. ขายหน้าต่อข้าราชบริพารหนักไปอีก ชื่อเสียงของเขาตอนนี้ป่นปี้จนไม่รู้จะป่นอย่างไรได้แล้ว

 


สำนักศึกษาที่เซวียนชงอวี้หมายถึงคือสำนักศึกษาหย่งฉือ สถานที่เล่าเรียนอันดับหนึ่งในบรรดาแคว้นทั้งหมดสี่แคว้นนี้ คือ ฉิน ฉู่ เว่ย และหาน


สำนักหย่งฉือตั้งอยู่ที่ชายแดนแคว้นฉินด้านตะวันออกที่ติดกับแคว้นเว่ย เป็นสำนักศึกษาแบบกินนอนอยู่ภายใน จะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อมีช่วงเทศกาลสำคัญที่ได้หยุดเท่านั้น ภายในสำนักหย่งฉือประกอบไปด้วยการเรียนการสอนหลากหลายสาขา ได้รับการยอมรับว่าเป็นเลิศในทุกด้าน ทั้งวรยุทธ์ การทหาร การแพทย์ ดนตรี กาพย์กลอน การเมืองการปกครอง โดยเหล่านักเรียนมักจะมาจากตระกูลขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์จากแต่ละแคว้น อาจจะมีชาวบ้านที่ความรู้ความสามารถโดดเด่นได้รับทุนเรียนด้วยเช่นกัน


สำนักหย่งฉือเป็นที่ยอมรับในด้านความปลอดภัย เพราะมียอดยุทธ์ยอดวิชาอยู่มากมาย แต่ละแคว้นจึงไม่อาจกระทำล่วงเกินต่อสำนักนี้ได้ ฮ่องเต้และฮองเฮาจึงยินดีปล่อยให้โอรสองค์นี้ไปเล่าเรียนได้


ได้ส่งตัวป่วนประจำวังออกไปแล้วได้แม่ทัพกลับมา ใครจะไม่โล่งใจบ้างเล่า


คนที่จะอาลัยอาวรณ์เห็นทีจะมีเพียงองค์ไท่จื่อพระองค์เดียวเท่านั้นเอง

 


ฮุ่ยหมิ่นบอกความต้องการของตนเองที่จะเรียนวิชาแพทย์กับเหอซือถง เด็กหญิงได้ยินได้ฟังเรื่องของสำนักศึกษามากมายระหว่างที่พำนักในตำหนักของเซวียนชงอวี้ คราแรกท่านลุงของนางไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก เพราะฮุ่ยหมิ่นเป็นสตรีในห้องหอและยังเยาว์วัย


แต่เด็กน้อยตัวอ้วนกลมคุกเข่าโขกศีรษะคำนับท่านลุงของตนเสียจนหน้าผากแดง


“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะท่านลุง หลานไม่ต้องการกลับไปที่จวนแม่ทัพอีก หลานอยากเล่าเรียนเจ้าค่ะ”


หยาดน้ำที่คลอหน่วยในดวงตาของเด็กหญิง กระตุกหัวใจของเสนาบดีหนุ่มวัยใกล้สามสิบนัก ต้องทรมานใจเพียงใด เด็กคนหนึ่งถึงจะเลือกไปอยู่ที่ไกลแสนไกล แทนที่จะต้องกลับบ้าน


“เอาเถิด ลุงจะคุยกับบิดาของเจ้าให้ ถ้าเขาอนุญาต ลุงจะเป็นผู้ติดต่อเรื่องสำนักศึกษาให้เอง ลุงก็สำเร็จวิชาจากที่นั่น”


สำนักที่เหอซือถงหมายถึงย่อมเป็นสำนักหย่งฉือ


แม้สาขาการแพทย์ที่เด็กหญิงต้องการจะไม่ค่อยถูกใจเขามากนัก เพราะเห็นว่าไม่ใช่วิชาที่จำเป็นต่อกุลสตรีชั้นสูง แต่ถ้าฮุ่ยหมิ่นมีใจต้องการ เขาก็ไม่อยากขัดเจ้าตัว ได้แต่บอกให้อีกฝ่ายหาโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ของสตรีไว้ด้วย เพราะอย่างไรนางก็เป็นถึงบุตรสาวจากภรรยาเอกแห่งจวนแม่ทัพใหญ่


ฮุ่ยหมิ่นรับปากในจุดนั้น ใจลอบโอดครวญ นี่นางนอกจากจะต้องเรียนด้านการแพทย์และวรยุทธ์ที่สนใจแล้ว ยังต้องไปเรียนเย็บปักถักร้อย โคลงฉันท์กาพย์กลอน ดีดพิณ วาดรูป เขียนพู่กัน อย่างที่ไม่ชอบด้วยใช่หรือไม่


ชาติที่แล้วหนีได้เพราะถือตัวว่าเป็นสตรียุคใหม่แค่ผ่าตัดก็ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาให้งานกุลสตรีเหล่านี้


แต่มาอยู่ในชาติภพนี้นางต้องเรียนในสิ่งที่เกลียดทั้งหมดเสียด้วย


ช่างปะไร ออกมาจากจวนนั่นได้ ให้เรียนจนหัวฟูเป็นเฮอร์ไมโอนี่นางก็ยอม


ด้วยการสนับสนุนจากองค์ไท่จื่อและเสนาบดีเหอ เฉิงจิ๋นหลี่จึงยอมส่งบุตรสาวไปเรียนที่สำนักหย่งฉือ โดยผู้เป็นบิดารับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด เหอซือถงมอบเงินและเครื่องประดับที่ภรรยาเอกจัดหาให้มามอบให้หลานสาวไว้เป็นค่ากินค่าอยู่เพิ่มต่างหาก นอกเหนือไปจากที่บิดาเด็กหญิงเตรียมไว้


เด็กหญิงคำนับลุงและป้าสะใภ้อย่างตื้นตัน


..เฉิงฮุ่ยหมิ่น หนูยังมีญาติฝั่งมารดาที่รักหนูนะลูก

 


ไม่จำเป็นต้องกลับไปเก็บของที่จวนแม่ทัพ เมื่อฮุ่ยหมิ่นหายดีนางก็ได้ออกเดินทางไปสำนักศึกษาพร้อมกับผู้ติดตามที่ฝั่งบิดาและท่านลุงจัดหาให้ ข้าวของส่วนตัวของเด็กหญิงมีไม่มากนัก ข้ารับใช้จัดเพียงไม่นานก็เสร็จสิ้น


ก่อนจะออกเดินทาง เด็กหญิงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่ตำหนัก ทั้งคู่ไม่กล่าวสิ่งใดมาก แม้จะขมวดคิ้วกับสิ่งที่เด็กหญิงตั้งใจจะเรียน รับสั่งเพียงให้เดินทางปลอดภัย


ฮุ่ยหมิ่นมาคารวะอำลาเซวียนหย่งเต๋อที่ตำหนักขององค์ไท่จื่อ หลังจากพำนักในวังมาหนึ่งเดือน ทั้งๆที่เขาล่วงรู้ความคิดสกปรกของบิดานาง แต่ก็ยังปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี ไม่มีท่าทีเดียดฉันท์ เบี้ย ที่ถูกทิ้งไว้แม้แต่น้อย


สิ่งที่นางได้รับรู้ล้วนแต่ทำให้คิดในใจว่าดีแล้ว


เป็นวาสนาของดินแดนแห่งนี้เหลือเกินที่ว่าที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นบุคคลเยี่ยงนี้ ใช่ว่าฮุ่ยหมิ่นจะดูไม่ออกถึงจิ้งจอกที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมหนังแกะ แต่เขาคือนักปกครองที่จะสามารถนำพาแว่นแคว้นให้เจริญก้าวหน้าได้ นางยอมรับบุคคลตรงหน้าจากใจ


จากนั้นนางตั้งใจจะไปกล่าวอำลากับเด็กชายสูงศักดิ์ที่มีพระคุณต่อนางที่สุด แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ จึงได้แต่ยอมแพ้แล้วฝากความไว้กับกงกงคนสนิทของเซวียนชงอวี้


ฮุ่ยหมิ่นถอนใจก่อนขาสั้นป้อมจะตะกายปีนขึ้นรถม้า นางไม่ยอมให้ใครช่วย จึงเรียกสายตาเอ็นดูได้จากบรรดาคนรับใช้


ภายในรถม้าขนาดใหญ่ มีพื้นที่ให้เด็กหญิงได้นอนหลับสบายบนนั้น เบาะนุ่มปูด้วยกำมะหยี่สีเลือดหมูนิ่มมือ หมอนหนุนสองใบจัดวางอย่างเรียบร้อย โต๊ะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งไว้เผื่อรับประทานอาหารระหว่างทาง


ทุกสิ่งอย่างช่างลงตัวเหมาะเจาะยกเว้น.. ร่างเล็กของเด็กผู้ชายที่แต่งกายเยี่ยงชาวยุทธ์ทั่วไปนั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาง


นัยน์ตาสีไม้เหอเถาเบิกกว้างขึ้นอย่างน่าขัน ริมฝีปากสีชมพูเข้มอ้าแล้วหุบอยู่สองครั้ง ไม่มีเสียงใดหลุดพ้นลำคอออกมาได้


“ตกใจอะไรนักหนาฮุ่ยหมิ่น ข้าแค่จะขออาศัยเดินทางไปด้วยเท่านั้น”


รถม้าที่เคลื่อนตัวทำให้ฮุ่ยหมิ่นที่ยืนอยู่เซเล็กน้อย เด็กหญิงจับม้านั่งไว้ก่อนจะกลิ้งหลุนๆไปให้ได้อายอีกฝ่าย


เซวียนชงอวี้เล่าให้นางฟังว่าเขาจะต้องไปศึกษาด้านพิชัยสงครามและวรยุทธ์ที่สำนักหย่งฉือเช่นกัน เดิมมีกำหนดการออกเดินทางในวันมะรืน แต่เขาอยากออกไปเร็วหน่อยจึงอาศัยขบวนของนางไปด้วย


แม้จะเรียกว่าขบวน แต่ก็มีเพียงรถม้าสองคัน สำหรับนางและผู้ติดตามแยกกัน ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มากนัก โดยมีคนคุ้มกันเพียงแปดคน ดูเหมือนการเดินทางของลูกขุนนางทั่วไป ไม่ได้เอิกเกริก


สำหรับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายรอบตัวแต่ชอบสร้างมันขึ้นมาเองอย่างเซวียนชงอวี้ เด็กหญิงพอจะเดาได้ว่าเหตุใดเขาจึงแอบมาขึ้นรถม้าของนาง


“พระองค์ทำเช่นนี้แล้วฝ่าบาทและองค์ไท่จื่อทรงทราบหรือไม่เพคะ”


ถามไปอย่างนั้น นางมั่นใจว่าเด็กชายไม่มีทางบอกก่อนแน่นอน อย่างเก่งก็คงแค่ฝากความไว้หลังจากตัวเขาออกมาแล้วเท่านั้น


เซวียนชงอวี้ไหวไหล่


“อย่าห่วงเลย เสด็จพี่ใหญ่ย่อมต้องทราบแน่ แต่เป็นหลังจากที่เราออกพ้นประตูเมืองแล้วน่ะนะ”


เด็กหญิงกลอกตามองบน ทำไมชาติก่อนนางมั่วข้อสอบไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ แล้วนี่นางจะหาทางบอกกับบ่าวไพร่ที่เหลืออย่างไรดี


“แล้วองครักษ์ของพระองค์ล่ะเพคะ”


“ข้าให้พวกเขาตามมาต่างหากแล้ว แค่ไม่ได้มาร่วมในขบวนของเจ้าเท่านั้น แต่คงอยู่ไม่ไกลนี้หรอก”


ฮุ่ยหมิ่นสังเกตแล้วว่าองครักษ์คนสนิทห้าคนขององค์ชายน้อยตรงหน้าล้วนเป็นองครักษ์เงา ยามปกติหากอยู่นอกตำหนักจะเป็นองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งที่องค์ไท่จื่อจัดหามาให้ ทั้งห้าคนนี้จะไม่เปิดเผยตัวเว้นแต่เซวียนชงอวี้จะเรียก


แน่นอนว่าส่วนใหญ่ที่เรียกล้วนไม่ใช่หน้าที่องครักษ์ ฮุ่ยหมิ่นจึงมีโอกาสได้เจอองครักษ์เงาของเซวียนชงอวี้บ้างประปราย เท่าที่เห็นดูเหมือนองค์ชายน้อยจะไม่ถนัดการเรียกใช้ขันที อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เป็นคนขององค์ไท่จื่อที่คอยสำรวจความซุกซนของตน เซวียนชงอวี้จึงไม่ค่อยเรียกใช้ ดังนั้นแล้ว หน้าที่เดิมที่เคยเป็นของขันที จึงกลายเป็นหน้าที่องครักษ์เงาไปเสียฉิบ


ฮุ่ยหมิ่นได้ยินหนานกงกงเล่าให้ฟังว่าเซวียนชงอวี้ชอบทำอะไรด้วยตนเอง ไม่โปรดการปรนนิบัติทั้งการแต่งตัวอาบน้ำจากบ่าวไพร่ ขันทีและนางกำนัลส่วนพระองค์จึงไม่ค่อยมีความจำเป็นนัก


อย่างไรเสียคนตรงหน้านางก็เป็นเพียงเด็กชายวัยแปดขวบ ตำแหน่งเป็นถึงองค์ชาย ให้เดินทางด้วยตนเองแบบนี้มันน่าอันตรายเกินไปแล้ว!


หากฮุ่ยหมิ่นไม่เคยรู้เลยว่าวรยุทธ์ขององค์ชายน้อยสูงส่งเพียงใด


แม้เดินทางในยุทธภพเพียงคนเดียว เซวียนชงอวี้ก็สามารถเอาตัวรอดได้ การป้องกันตัว ความสามารถในการประเมินสถานการณ์ล้วนเกินกว่าวัยไปมาก


กลับมาที่ตำหนักขององค์ไท่จื่อ ร่างสูงขบกรามแน่นอย่างข่มโทสะ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ด้วยไม่สามารถระบายออกได้เพราะตัวต้นเหตุก็ออกนอกเมืองหลวงไปแล้ว มือใหญ่ฉีกจดหมายที่น้องชายตัวดีทิ้งไว้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บ่าวไพร่ที่ยืนรอรับใช้ได้แต่คุกเข่าก้มหน้าคอหด ไม่มีใครกล้าปริปากอะไรต่อหน้าองค์ไท่จื่อที่กำลังพิโรธหนักในเวลานี้


ในจดหมายฝากบอกให้พี่ชายอย่างเขาช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ให้ขบวนบ่าวไพร่ออกเดินทางตามกำหนดเดิม ยามนี้เจ้าตัวออกมากับองครักษ์เงาทั้งห้าแล้วพร้อมกับของจำเป็น


“ชงอวี้!!!!!!” เสียงทุ้มห้าวคำรามลั่นตำหนัก หลัวซานซานพระชายาเอกในองค์ไท่จื่อที่นั่งปักผ้าอยู่ไม่ไกลเลิกคิ้วขึ้นเพียงเล็กน้อย ไม่ค่อยมีใครทำให้องค์ไท่จื่อเสียกิริยา เว้นแต่น้องชายคนเล็ก


ไม่ทราบว่าองค์ชายน้อยก่อเรื่องอะไรอีก สามีของนางถึงโกรธควันออกหูแบบนี้ หญิงสาววางสิ่งที่ทำอยู่ลงก่อนจะเดินไปทางห้องครัว ลงมือปรุงอาหารว่างให้เซวียนหย่งเต๋อ นึกรายชื่อของหวานเย็นๆที่อีกฝ่ายชอบเพื่อมาดับโทสะที่กำลังแผดเผา

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา