Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  11.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ซาลาเปาโง่งม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

7. ซาลาเปาโง่งม

 

เบื้องหน้าของฮุ่ยหมิ่นราวกับเป็นฮอกวอตต์ของจีนโบราณ อาคารกว้างใหญ่หลายหลังภายในกำแพงสูงตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะที่แยกโดดเดี่ยวเป็นเอกเทศ ล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ที่กว้างพอๆกับแม่น้ำสายกลางเส้นหนึ่ง เชื่อมกับผืนแผ่นดินที่นางเหยียบยืนด้วยสะพานขนาดรถม้าสามคันวิ่งไปพร้อมๆกันได้ ดอกไม้พันธุ์พื้นเมืองปลูกอยู่ตรงคันดินตามแนวของสะพาน


รถม้าของนางวิ่งไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าของสำนักหย่งฉือ คนเฝ้าประตูได้แจ้งกับขันทีของเซวียนชงอวี้ว่าจากนี้ไม่อนุญาตให้นำรถม้าจากภายนอกเข้าไป จำต้องใช้วิธีการเดินเท้าเท่านั้น


เซวียนชงอวี้บัดนี้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชาวยุทธ์ทั่วไปมาเป็นอาภรณ์แบบทางการสีน้ำเงินเข้มเนื้อดีตามแบบฉบับคุณชายจากเมืองหลวง ผมสีดำยาวถูกมัดขึ้นสูงด้วยผ้าไหมสีเดียวกับชุด หยกพกที่ห้อยเอวแสดงถึงตราประจำพระองค์ขององค์ชายสามแห่งราชวงศ์เซวียน เด็กชายกระโดดลงจากรถม้าก่อนแล้วส่งมือให้ฮุ่ยหมิ่น


ไม่รอให้เด็กหญิงทำหน้าตาเหรอหรานานกว่านี้ องค์ชายผู้เอาแต่ใจก็รั้งมือกลมป้อมให้นางลงมายืนอยู่ข้างกายเขา เมื่อแน่ใจว่าซาลาเปาข้างตัวจะไม่เสียหลักกลิ้งหลุนๆก็ยอมปล่อยมือ


ฮุ่ยหมิ่นถูกจับแต่งตัวเช่นกัน เด็กหญิงตัวกลมอยู่ในชุดพลิ้วไหวสีฟ้าอ่อน แบบที่ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันไม่แคล้วต้องโดนเรียกว่าโดราเอมอนเมื่อพิจารณาจากหุ่น ผมเส้นเล็กนิ่มมือถูกถักเป็นเปียแล้วใช้ผ้าผูกไว้อย่างเรียบง่าย


ดวงตาสีไม้เหอเถาลอบมองเด็กชายข้างๆ


นี่ถ้าจับเปลี่ยนชุดกันคงไม่มีใครรู้เพศที่แท้จริงขององค์ชายสามแน่นอน แค่เขาใส่ชุดบุรุษยังสวยกว่านางแล้วเลย

 

หนานกงกงเดินไปมอบจดหมายที่นำติดตัวมาให้กับคนเฝ้าประตู ชายคนนั้นคุกเข่าคารวะเซวียนชงอวี้ สั่งความกับลูกน้องให้เข้าไปเรียนผู้อาวุโสด้านใน


ใช้เวลาไม่นานชายวัยกลางคนร่างท้วมท่าทางภูมิฐานในชุดสีดำเรียบ มือข้างหนึ่งถือพัด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบัณฑิตเดินออกมาต้อนรับ พลางเชื้อเชิญทั้งคณะให้เข้าไปด้านใน


ตลอดทางเดินจากด้านหน้าประตูทางเข้าไปจนถึงตัวอาคารหลัก มีสายตาสงสัยลอบมองมาทางฮุ่ยหมิ่นกับเด็กชายสูงศักดิ์ข้างตัวเป็นจำนวนมาก เขาคงจะเคยชินกับการเป็นจุดสนใจ แต่ไม่ใช่กับฮุ่ยหมิ่น เด็กหญิงแทบจะเดินสะดุดกระโปรง ดีที่เซวียนชงอวี้คว้าตัวนางไว้ทัน


ก็บอกแล้วว่าชาติก่อนไม่เคยเป็นนางเอกที่มีสปอตไลท์ส่องอย่างใครเขา เคยเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น


“ซาลาเปาโง่งม ถ้าเจ้าล้มไปตรงนี้ให้ขายหน้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้จักเจ้า”


ซาลาเปายังพอว่า นี่มา ซาลาเปาโง่งม เชียวรึ อย่าเผลอละกัน เดี๋ยวจะโดนดีจากมารดา


“ตามแต่องค์ชายจะโปรดเถิดเพคะ”


ฮุ่ยหมิ่นกลอกตา เขาไม่รู้จักนางสิดี นางไม่ได้อยากเป็นจุดเด่นสักนิด นางอยากเป็นคนธรรมดา ถ้าทำได้นี่จะเปลี่ยนแซ่ใช้ชื่อปลอมไปเลยด้วยซ้ำ รำคาญสถานะ บุตรีภรรยาเอกแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ จะแย่อยู่แล้ว


“เจ้ามันไม่น่ารักสักนิด”


“ขอบพระทัยเพคะ”


ที่กล้ากวนประสาทกลับไปเพราะนางมั่นใจว่าอย่างไรเสีย เซวียนชงอวี้ก็ไม่กล้าลงมือกับนางในตอนนี้ที่มีทุกสายตาจับจ้องแน่ๆ

 


หนานกงกงเป็นคนแนะนำกับคนทางสำนักว่าทั้งนางและเซวียนชงอวี้เป็นใคร มีจุดมุ่งหมายในการมาอย่างไร พวกนางถูกพาไปยังห้องของเจ้าสำนัก


ซ่งฉางอาน หรือเจ้าสำนักหย่งฉือยืนเอามือไขว้หลังอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ใบหน้าที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาที่ผันผ่านแย้มยิ้มน้อยๆ มือข้างครึ่งลูบเคราสีเงินของตัวไปด้วย จากที่ฮุ่ยหมิ่นประเมิน ซ่งฉางอานน่าจะมีอายุกว่าหกสิบปีแล้ว แต่รูปร่างยังสมส่วน ไม่มีพุงพลุ้ย ท่วงท่ายังคงสง่าผ่าเผย ไม่ต่างจากบัณฑิตหรือนักรบ ราวกับว่าสิ่งที่เวลาพรากเขาไปก็แค่ริ้วรอยเท่านั้น คนผู้นี้มีส่วนผสมของทั้งบัณฑิตและนักรบจริงๆ


ซ่งฉางอานกล่าวทักทายกับเซวียนชงอวี้และนาง ชายชราทบทวนสิ่งที่พวกเขาต้องการเล่าเรียนอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปสั่งความกับผู้อาวุโสที่พาพวกนางมา


เป็นอย่างที่เซวียนชงอวี้บอก นางในตอนนี้อายุน้อยเกินกว่าจะเรียนวิชาหนักๆหลายอย่างพร้อมกัน เจ้าสำนักบอกว่ารอให้นางถึงวัยแปดขวบปีก่อน จึงจะให้เรียนเพิ่มเติมในด้านอื่นๆที่สนใจอีก


เขาพาเซวียนชงอวี้ออกไปกราบอาจารย์ทั้งสามท่าน ตามสาขาวิชาที่เขาต้องการศึกษา ส่วนนางนั้นซ่งฉางอานเพียงยิ้มแล้วบอกว่า


“อาจารย์ของเจ้า คือ ข้า”


ดวงตาสีไม้เหอเถาเบิกกว้างขึ้นอย่างน่าขัน อะไรนะ ง่ายๆอย่างนี้น่ะหรือ หญิงวัยกลางคนผู้ติดตามของซ่งฉางอานไม่รอให้นางเสียมารยาท นางบอกให้ฮุ่ยหมิ่นไปคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าสำนัก ก่อนจะคารวะน้ำชาเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์


หลังจากทำพิธียกน้ำชากราบอาจารย์แล้ว ฮุ่ยหมิ่นถึงได้รู้ว่าแม้แต่ละวิชาแต่ละคนจะกราบกับอาจารย์เพียงหนึ่งท่าน แต่เมื่อเข้าเรียนแล้ว ย่อมมีห้องเรียนที่ต้องเรียนร่วมกัน แม้จะไม่ใช่กับอาจารย์ที่ตนเองฝากตัว เนื่องจากอาจารย์แต่ละท่านในสาขาวิชานั้นๆต่างก็มีความถนัดที่แตกต่างกันไป แต่อาจารย์ที่กราบนั้นจะเป็นอาจารย์ผู้ดูแลรับผิดชอบหลักยามที่ยังศึกษาอยู่ภายในสำนักนี้


ฮุ่ยหมิ่นนึกเทียบกับอาจารย์mentorในมหาวิทยาลัย เมื่อชาติก่อน ดูแล้วน่าจะคล้ายๆกัน แต่นางก็ยังสงสัยอยู่บ้างว่าเหตุใด ในวิชาการแพทย์ที่มีอาจารย์อยู่ถึงเจ็ดคน นางกลับได้อาจารย์เป็นถึงเจ้าสำนัก


อย่ากระนั้นเลย ความฉงนงงงวยนี้จะได้รับการเฉลยภายหลังยามที่นางได้เข้าชั้นเรียน


ที่พักที่ทางสำนักจัดไว้ให้เป็นห้องขนาดใหญ่ ด้านในมีสองห้องนอน และหนึ่งห้องรับรอง ปัดกวาดทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย แน่นอนว่าห้องนอนเดี่ยวหนึ่งห้องนั้นย่อมเป็นของฮุ่ยหมิ่น ส่วนบ่าวไพร่อีกห้าชีวิตที่ติดตามนางมานั้นนอนห้องเดียวกัน แต่พิจารณาแล้วก็ไม่ได้แออัดแต่อย่างใด


บ่าวรับใช้ที่ฮุ่ยหมิ่นเลือกให้อยู่กับนางต่อ ไม่ได้ส่งกลับไปพร้อมขบวนมีห้าคน คนแรกคือแม่นมจิน แม่นมของมารดา หว่านอิ๋นและเฟิ่งอิง คนรับใช้ส่วนตัวของนางที่ผู้เป็นมารดาจัดหาไว้ให้เฉิงฮุ่ยหมิ่นตั้งแต่ก่อนจะคลอด เหม่ยเย่ และสุดท้ายหรงผิง เด็กหญิงวัยใกล้กันกับนางที่เป็นคนของท่านลุงเหอ


ฮุ่ยหมิ่นไม่เก็บคนของฝั่งบิดาไว้แม้สักคนเดียว ระหว่างสองเดือนที่มาถึงโลกแห่งนี้และเวลาหนึ่งเดือนที่พำนักอยู่ในตำหนักขององค์ชายสาม ฮุ่ยหมิ่นลอบสังเกตถึงพฤติกรรมของผู้ติดตามแต่ละคน แม่นมของนางมีพฤติกรรมจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ ซ่อนในที่แจ้ง แอบหยิบในที่ลับ คนนึงหน้าไหว้หลังหลอก คนนึงจงใจทำร้ายเล็กๆน้อยๆตามแต่คำสั่งของฮูหยินรองเหลียงซีหม่า คนนึงคอยส่งข่าวกับทางบิดาตลอดเวลา


ไม่ค่อยมาเยี่ยมเยือนไต่ถาม แต่กลับสนใจสถานการณ์ภายในวัง ตลกสิ้นดี


การเลือกของเด็กห้าขวบไม่ได้มีอะไรมาก แค่ใช้มารยาเด็กน้อยยึดโยงบุคคลที่ต้องการไว้ ไม่มีใครกล้าโต้แย้งสิ่งใดเพราะหนานกงกงกับหลี่กงกงยังอยู่ และคอยดูแลทุกอย่างให้เป็นไปตามที่นางปรารถนา


ฮุ่ยหมิ่นจัดของส่วนตัวในห้องไม่ทันเสร็จ เสียงเคาะประตูจากด้านหน้าก็ทำให้เด็กหญิงต้องกระวีกระวาดออกจากห้องนอน


“มีเรื่องอันใดหรือแม่นมจิน”


“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ องค์ชายสามเสด็จเจ้าค่ะ แจ้งว่ามาพบคุณหนู เดี๋ยวเรื่องจัดของบ่าวทำให้เองนะเจ้าคะ คุณหนูออกไปพบองค์ชายเถิดเจ้าค่ะ”น้ำเสียงออกจะลนลานทำให้คิ้วบนใบหน้าเยาว์วัยแทบจะผูกปมได้ นึกข้องใจว่าเหตุใดแค่องค์ชายสามมาจึงเป็นไปได้ขนาดนี้


แม่นมจินพอเผ่นเข้าห้องได้ก็ถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก ก่อนหน้านี้ยามนางเจอองค์ชายพระองค์นี้ล้วนเป็นเวลาที่คุณหนูของนางอยู่ด้วย ไม่คาดคิดเลยว่ายามนางตอบองค์ชายที่ถามหาคุณหนู ว่าคุณหนูยังคงจัดของอยู่ในห้อง กลับได้รับสายตาตำหนิที่น่าหวาดหวั่นกับน้ำเสียงเย็นยะเยียบ


“เดี๋ยวนี้คุณหนูจวนแม่ทัพต้องจัดของเองแล้วหรือ”


โธ่ ก็ปกติคุณหนูชอบทำอะไรเอง บ่าวผู้ใดจะกล้าขัด องค์ชายไม่เคยรู้ใช่หรือไม่ว่ายามคุณหนูโกรธก็น่ากลัวไม่เบา


ทำไมเด็กแปดขวบกับห้าขวบถึงมีบรรยากาศแบบนี้ได้นางไม่เข้าใจ

 

 

อย่าว่าแต่แม่นมจินเลย ฮุ่ยหมิ่นเองก็ไม่เข้าใจ เพราะภาพแรกที่นางเห็นจากองค์ชายน้อยตรงหน้าคือดวงหน้าสวยนิ่งสงบ แววตาทอดยาวล้ำลึก ลมที่พัดแผ่วๆพาให้เส้นผมที่ถูกเจ้าตัวมัดรวบไว้ปลิวน้อยๆ ครั้นพอเห็นนางความเยือกเย็นจนน่าวิตกนั้นก็ปลาสนาการไป


“องค์ชายเสด็จมาที่นี่มีสิ่งใดให้หม่อมฉันรับใช้หรือเพคะ”


“ข้าคอแห้ง”


“...”


ฮุ่ยหมิ่นถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ นึกอยากย้อนถามกลับเสียเหลือเกินว่า แล้วที่เรือนพักของพระองค์ไม่มีชาหรืออย่างไร เด็กสาวกะพริบตาปริบๆก่อนจะบอกให้เฟิ่งอิงไปนำชามารับรองแขกไม่ได้รับเชิญ


“หม่อมฉันจะให้หว่านอิ๋นจัดชาถวายไปให้พระองค์ยามเสด็จกลับนะเพคะ” ผู้มีพระคุณก็ส่วนผู้มีพระคุณ ยามนี้มากวนกันก่อนนางก็ขอรวนกลับ


แม้ใบหน้าขององค์ชายสามจะเรียบเฉย แต่ดวงตาหงส์นั้นหรี่ตาลงทีละน้อย คล้ายจะเริ่มไม่ชอบใจ


“ข้าเพิ่งมานั่ง ชาก็ยังไม่ได้ นี่เจ้าจะไล่ข้าแล้วหรือ ซาลาเปาน้อย”


“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”


เด็กน้อย เจ้ากล้า และกล้ามากเสียด้วย


“ข้ามาเพื่อจะบอกเจ้าว่าช่วงวันหยุดสองวันระหว่างสัปดาห์นั้น ข้าจะสอนวรยุทธ์ให้เจ้าในช่วงเช้า เดี๋ยวจะมีคนของข้ามาพาเจ้าไปเอง”


“ขอบพระทัยเพคะ” ขอบคุณอีกฝ่ายพลางรู้สึกผิดขึ้นมา ฮุ่ยหมิ่นคอตก ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาอยู่กับเขาแล้ว ถ้าเขาแกล้งนางขึ้นมา แทนที่จะตอบกลับด้วยความนิ่งสุขุมอย่างที่ทำกับคนอื่น กลับกลายเป็นเต้นตามเขาไปเสียได้


เซวียนชงอวี้กวาดตามองไปรอบๆห้องพักของนาง สีหน้าเรียบเฉยไม่สื่อสิ่งใด แต่ก็สร้างความสงสัยให้กับฮุ่ยหมิ่น เขาก็ทำหน้าเฉยๆนั่นล่ะ แต่ทำไมเหมือนนางจะรู้ว่าเขาพึงพอใจอยู่น้อยๆ ส่วนเหตุผลของความพึงพอใจนั่นก็สุดที่นางจะรู้ เลือกที่จะชวนเขาคุยเรื่องห้องพักแทน


“องค์ชาย หม่อมฉันแปลกใจมาก เหตุใดสำนักศึกษาจึงให้นักเรียนพักอยู่ในห้องที่โอ่อ่าถึงเพียงนี้ หม่อมฉันว่ามันออกจะเกินความจำเป็นไปสักหน่อย”


ฮุ่ยหมิ่นนึกเทียบกับหอพักมหาวิทยาลัยสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ ตอนนั้นต้องแชร์ห้องกับเพื่อนอีกสองคน อยู่ด้วยกันภายในพื้นที่จำกัด เสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็นับว่ามีความสุขดีที่ได้หัวเราะด้วยกัน


ส่วนที่นี่นอกจากนอนในห้องเดี่ยวคนเดียวแล้วสภาพกลับเหมือนห้องชุดในโรงแรมเมื่อชาติก่อนมากกว่า มีทั้งห้องโถงกลาง ห้องนอนของนายและบ่าวแยกกัน แต่ละห้องต่างมีอ่างอาบน้ำอีก


“เพราะที่นี่คนที่มาเรียนโดยมากแล้วย่อมเป็นลูกหลานของผู้มีอันจะกินอย่างไรเล่า จะพักแบบไหนอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับค่าเล่าเรียนที่บิดาเจ้าจ่ายให้”


อ้อ เช่นนั้นรึ แล้วเหตุใดนางจึงไม่ได้ไปนอนในห้องเก็บฟืนเล่า


โป๊ก! “โอ๊ย!!”


ฮุ่ยหมิ่นเบ้ปาก เอามือกุมหน้าผากตัวเองที่ถูกเซวียนชงอวี้ใช้พัดประจำตัวตีนางเบาๆ ถึงไม่ได้แรงอะไรแต่มันก็รู้สึกล่ะน่า


“บิดาเจ้าเป็นถึงแม่ทัพ เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างซอมซ่อหรอก เพราะที่นี่ไม่ใช่ในจวนที่เขาจะปิดเงียบเช่นไรก็ได้ อยู่ข้างนอกแบบนี้ถ้าเขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เหมาะสมย่อมมีคนติฉินนินทา และย่อมดูไม่ดีในสายตาฮ่องเต้กับบรรดาขุนนาง”


ฮุ่ยหมิ่นคิดตามทันแล้ว พยักหน้าหงึกๆอย่างเข้าใจ นางว่านางเป็นคนฉลาดคนนึงนะ แต่เหตุใดอยู่ต่อหน้าเขาแล้วความฉลาดดูจะวิ่งหนีเอาเสียอย่างนั้น กลายเป็นดูโ..


ไม่ทันฮุ่ยหมิ่นจะคิดจบ


“ซาลาเปาโง่งม”


นั่น!! อีตาองค์ชายปากร้าย


“หัดเก็บสีหน้าของเจ้าด้วย ฮุ่ยหมิ่น คิดอะไรถูกเขียนอยู่บนหน้ากลมๆของเจ้าหมดเช่นนี้อีกหน่อยจะเป็นภัยแก่ตัวเจ้า”


“ขอบพระทัยองค์ชายที่ชี้แนะเพคะ” ก้มหน้าขอบคุณแต่ในใจกัดฟันกรอดๆ

 


เมื่อถึงวันเริ่มเรียนฮุ่ยหมิ่นไปเข้าชั้นเรียนวิชาแพทย์ เด็กนักเรียนในชั้นคนอื่นอีกสิบกว่าคนต่างตกใจที่เห็นนาง แต่ฮุ่ยหมิ่นก็เพิกเฉยต่อทุกความสงสัย ในเมื่อไม่กล้าเข้ามาถาม เหตุใดนางจะต้องไปอธิบายด้วย


สำหรับอาจารย์ แต่ละคนคงมีคนแจ้งแล้วเรื่องที่นางเป็นนักเรียนใหม่ เพราะพวกเขาไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจอันใด หรือไม่ก็เพราะพวกเขาประหลาดเกินไปที่จะมาสนใจคนประหลาดน้อยกว่าเช่นนาง


วิชาแรกที่ฮุ่ยหมิ่นได้เรียนคือวิชาสมุนไพร อาจารย์ฉี เป็นหญิงวัยกลางคนที่โลกทั้งโลกเหมือนจะมีแต่เพียงสมุนไพร นางสอนอยู่หน้าห้อง แต่คล้ายว่ากำลังพูดกับตนเองเสียมากกว่า ฮุ่ยหมิ่นได้ยินบางประโยคไม่ชัดแต่ยังดีที่มีหนังสือเรียน นางจึงสามารถอ่านไปด้วยฟังไปด้วยและจดเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายได้


การเรียนบรรยายจะเป็นช่วงเช้า เริ่มตั้งแต่ยามซื่อ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม จากนั้นจะให้ไปพักรับประทานมื้อเที่ยงกันแล้วยามอุ้ยจึงจะเป็นการเรียนการสอนภาคปฏิบัติแตกต่างกันไปแล้วแต่รายวิชา


วันนี้วิชาสมุนไพร อาจารย์ฉีพาเหล่านักเรียนออกมารู้จักกับสมุนไพรเบื้องต้น ที่มักใช้เป็นส่วนประกอบของยาต่างๆ ใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้นการเรียนในวันนี้


ระหว่างกอดตำราเดินกลับห้องพัก จู่ๆก็มีเด็กผู้ชายสองสามคนแต่งกายด้วยชุดหรูหรากระโดดมาขวางหน้านาง ประเมินแล้วน่าจะราวๆแปดเก้าขวบ


“เจ้าเหรอ เด็กที่เขาว่าเก่งจนได้เข้าเรียนตั้งแต่ห้าขวบ” หัวโจกพูดขึ้น พลางเดินรอบตัวนาง มองขึ้นมองลงอย่างประเมิน


เอาละไง ไม่ว่ายุคสมัยไหน การกลั่นแกล้งในโรงเรียน มันก็เป็นปัญหาจริงๆ


ฮุ่ยหมิ่นขยับจะเดินหนีไปอีกทางแต่เจ้าเด็กคนเดิมก็ก้าวมาขวางนางไว้


“จะหนีไปไหน เจ้าเด็กอ้วน!”


ฮุ่ยหมิ่นถอนหายใจพลางกลอกตา ไม่อยากจะเสียเวลาเสวนาด้วยจริงๆ


“ข้าต้องกลับที่พัก ขอลา”


“เจ้ากล้าเมินข้า!! รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!!”


ประโยคนี้ที่คุ้นเคยมาทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน อยากรู้ว่าตนเป็นใครก็ไปถามมารดาเจ้าเถิด เบ่งเจ้าออกมาเขาคงจะรู้อยู่


ไม่พูดเปล่า แต่ยังยื่นมือมาจะจับตัวนาง เด็กหญิงขยับเบี่ยงหลบ มีเด็กชายอีกคนที่คอยรั้งเจ้าหัวโจกนี่ไว้


“ลู่เฉิง เจ้าอย่าไปยุ่งกับนางเลย เจ้าก็เห็นตอนนางมาแล้วไม่ใช่หรือว่านางมากับผู้ใด”


“มากับผู้ใดแล้วอย่างไร ถือตัวว่าห้าขวบแล้วฉลาดกับเป็นลูกแม่ทัพ ก็จะมาเดินอาดๆในสำนักหย่งฉือได้อย่างนั้นรึ! แถมได้เป็นศิษย์ท่านเจ้าสำนักอีก”


อ้อ สรุปเจ้าเด็กนี่อิจฉานาง ฮุ่ยหมิ่นพยายามนึกเรื่องของสกุลลู่เท่าที่เคยได้ยิน เห็นว่าใต้เท้าลู่เป็นขุนนางขั้นสี่ในเมืองหลวง สังกัดกรมพิธีการ สรุปแล้วไม่ได้ใหญ่ไปกว่าท่านลุงเสนาบดีหรือบิดาพรรค์นั้นของนาง เช่นนั้นก็ช่างเถิด


แต่เจ้าเด็กลู่เฉิงนี่กินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร รู้ทั้งรู้ว่าบิดาพรรค์นั้นของนางตำแหน่งใหญ่กว่า ยังจะกล้ามาหาเรื่องนางอีก ไม่รู้ว่ากล้าหรือโง่กันแน่


เด็กชายคนเดิมขยับกระซิบที่ข้างหูลู่เฉิง ทันใดสีหน้าของเด็กลู่เฉิงก็เปลี่ยนไป ทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่นาง จากนั้นก็พาพรรคพวกเดินจากไปทันที


ฮุ่ยหมิ่นนิ่วหน้า หรือว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้น ตอนนั้นถึงได้..


พลันรอยยิ้มอบอุ่นก็ถูกวาดขึ้นบนใบหน้ากลม เกลี้ยงเกลาของเด็กหญิง เขาไม่มีทางเป็นแค่เด็กแปดขวบแน่นอน แต่จริงๆเขาจะเป็นใคร ฮุ่ยหมิ่นไม่นึกอยากรู้แล้วล่ะ

 


ฮุ่ยหมิ่นเดินมาถึงห้องพักของตัวเองอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ร่างป้อมก้มตัวลงถอดรองเท้าออก ฝากของไว้กับหรงผิงให้นางนำไปเก็บ ตรงห้องรับแขกมีบุคคลหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว


“คารวะท่านหลี่กงกงเจ้าค่ะ”


“โอ้ คุณหนูเฉิงขอรับ ไม่ต้องมากพิธีกับข้าหรอก”ขันทีวัยกลางคนรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับเธอ


“ท่านมาที่ห้องพักข้า ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยท่านได้บ้างไหมเจ้าคะ”


ถ้อยคำอ่อนหวานทำให้กงกงคนสนิทขององค์ชายขยับยิ้ม นึกเอ็นดูเด็กหญิงในใจ ทีแรกเด็กน้อยอ้วนกลมไม่ได้เป็นที่ต้องตาของหลี่กงกงผู้นี้นัก แต่ยามที่อยู่ในตำหนักนิสัยที่น่ารักและความฉลาดเกินวัยรวมไปถึงความเวทนาสงสารที่มีมาแต่เริ่ม ก็ทำให้นางขโมยหัวใจเขาไปอย่างไม่ยากเย็น


“ข้ามาที่นี่ตามรับสั่งขององค์ชายสามขอรับ องค์ชายบอกว่ามีของที่ท่านต้องนำไปให้องค์ชาย เลยให้ข้ามานำทางคุณหนูไปขอรับ”


ฮุ่ยหมิ่นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก อีกฝ่ายบอกให้มานำทางไป แสดงว่าฝากไปไม่ได้ นี่คงตั้งใจให้นางเอาไปส่งด้วยตัวเองล่ะสิ


“อ้อ อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ท่านกงกงกรุณารอข้าจัดเตรียมสักครู่นะเจ้าคะ” ใช้เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวสิ่งของที่เซวียนชงอวี้ต้องการก็อยู่ในหีบห่อเรียบร้อย มีเฟิ่งอิงเดินถือของตามไปให้


เพราะได้เวลามื้อเย็นแล้ว ผู้คนตามทางเดินจึงมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะกลับห้องเพื่อรับประทานอาหารกันมากกว่า เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามทางชั่วเวลาไม่นาน จากอาคารที่แบ่งเป็นห้องพักย่อยๆ ก็ปรากฎเป็นเรือนหลายๆหลังขนาดแตกต่างกันไปให้เห็น หลี่กงกงมาหยุดหน้าเรือนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ทหารองครักษ์สองคนที่ฮุ่ยหมิ่นเคยเห็นหน้าตอนที่อยู่วังองค์ชายสามยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าทางเข้าเรือน ครั้นเห็นคนที่มาก็เปิดทางให้อย่างสะดวก


“เชิญเลยขอรับ องค์ชายรอท่านอยู่” หลี่กงกงหันมาผายมือให้นางเดินเข้าไป


สิ่งที่นางได้เห็นทำให้นึกชิงชังระบบศักดินาขึ้นมาทันที ภายในเรือนพักของเซวียนชงอวี้ดูคล้ายตำหนักขนาดย่อส่วนของเขา เครื่องประดับตกแต่งมีตามความสมควรล้วนแต่เป็นของมีราคา พร้อมด้วยเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่มีลวดลายสวยงาม


ฮุ่ยหมิ่นรับของจากเฟิ่งอิงส่งให้เซวียนชงอวี้


“หม่อมฉันนำชาดอกเหมยกุ้ยมาถวายองค์ชายเพคะ”


หนานกงกงที่ยืนอยู่ข้างกายเซวียนชงอวี้เป็นคนมารับของในมือนางไป จัดการไล่นางกำนัลไปชงมาให้เรียบร้อยอย่างรู้หน้าที่


“วันนั้นที่เอาให้ข้าก็เป็นชาดอกเหมยกุ้ยหรือ”


“เพคะ”


“องค์ชาย นี่ก็ได้เวลาแล้ว ให้กระหม่อมตั้งโต๊ะเสวยเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงกงมาเลียงๆเคียงๆถาม พยายามสังเกตสีหน้าผู้เป็นนาย


“เอาสิ เจ้าก็อยู่กินเป็นเพื่อนข้าแล้วกันซาลาเปาน้อย” ประโยคหลังเขาหันมาคุยกับนาง ฮุ่ยหมิ่นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เริ่มชินกับการเป็นซาลาเปาน้อยซะแล้ว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา