สายสืบสุดอึด

-

เขียนโดย Vorapoch

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.42 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,781 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

          โอบกิจส่งสายประหลับประเหลือกค้อน  ราวสาวแรกรุ่นก็ไม่ปานก่อนที่บ่นกระปอดกระแปด  ภายหลังจากที่ปีนลงมาจากหลังรถเก็บขยะได้แล้ว

          “เรื่องของข้าเถอะ”

          “ฮะๆๆๆฮาๆๆๆ”

โด่งระบือยังคงส่งเสียงหัวเราะต่อเนื่อง

          ขณะที่โอบกิจทำปากขมุบขมิบเจริญพรอีกฝ่ายด้วยคำด่า...

                                                *        *        *

          หนุ่มใหญ่วัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานที่ยืนอยู่ด้านหน้าของประตูกระจกของห้องที่ด้านหน้าเขียนเอาไว้ว่า “ประธานกรรมการบริหาร” แห่งนั้นด้วยการยืนจัดการกับเสื้อสูทที่เขาสวมอยู่ให้เรียบร้อย  กลัดกระดุมด้านหน้าด้วยการติดจนเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว  จึงเคาะกระจกที่ติดอยู่ตรงประตูเบาๆ

          ก๊อก!ๆๆๆ

          “เชิญ”

พอเสียงห้าวๆจากภายในห้องเอ่ยอนุญาตแล้ว  ชายผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ก็ผลักประตูกระจกที่เขายืนคอยอยู่เข้าไปข้างใน

          “อา  สวัสดีครับ  คุณคือ?...”

เจ้าของห้องผู้มีวัยกลางคน  ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ภายในห้องที่ค่อนข้างหรูแห่งนั้น  เลิกคิ้วเอ่ยทักทำนองถามต่อผู้เขามาพบไปด้วย  เนื่องจากไม่รู้จักมาก่อน

          “ผมถิรนัย  เป็นหัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษที่ท่านอยากจะพบ”

ผู้เข้ามาพบที่มีวัยไม่ต่างจากเจ้าของห้องมากนัก  ยิ้มเย็นแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

          “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณถิรนัย...ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถยืนต้อนรับได้  เนื่องจากผมมีปัญหาตรงขาทั้งสองข้างมาหลายปีแล้ว”

          เจ้าของห้องซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการบริหารของบริษัทแห่งนี้  เสียงขรึมว่าพร้อมเข็นรถที่ตนเองนั่งอยู่เลื่อนมาทางผู้มาพบ  ก่อนที่จะยื่นมือให้อีกฝ่ายสัมผัสจับเพื่อทักทายตามทำเนียมสากล

          หัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษยิ้มขรึมๆ  พร้อมกับยื่นมือเขย่าตอบรับเจ้าของห้องอย่างเป็นพิธีการพลางกล่าวอย่างเอาใจ

          “ไม่เป็นไรหรอกครับท่าน...แค่ท่านเข็นรถมาทักทายผมอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ”

          “ผมเจตน์นะคุณถิรนัย”

เจ้าของห้องแน่ะนำชื่อของตนเองให้ผู้ที่มาขอพบรับรู้  พลางผายมือไปทางชุดโซฟาซึ่งวางเอาไว้รับแขก  ที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพร้อมกับกล่าวชวน

“เชิญนั่งครับคุณถิรนัย”

          “ขอบคุณครับท่าน”

ถิรนัยรับคำพร้อมกับเดินไปนั่งตามที่เจ้าของห้องเชื้อเชิญ

          คุณเจตน์โบกมือแล้วสำทับ

          “ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านอะไรหรอก  เพราะดูๆแล้วคุณกะผมก็คงมีอายุไล่ๆไม่หนีกันเท่าไหร่หรอกมั้ง  ผมว่า...เรียกผมคุณเจตน์ก็พอแล้วล่ะ”

          “ได้ครับคุณเจตน์”

ผู้มาเยือนรับปากเจ้าของห้องอย่างเอาใจ

          “เออคุณทำงานเป็นข้าราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินี่ก็ต้องเป็นตำรวจด้วยสิ...ไม่ทราบว่าคุณมียศหรือตำแหน่งอะไรเหรอ..ขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วงถาม?”

คุณเจตน์ชวนคุย

          “หน่วยของพวกเราทำงานให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จริง  แต่ว่าไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจโดยตรงหรอกครับ”

ถิรนัยขยับตัวที่ค่อนข้างจะเจ้าเนื้อของเขาให้นั่งอย่างสะดวกขึ้น  ก่อนที่จะเอ่ยบอกเสียงเรียบๆ

          “อ้าวแล้ว...”

คุณเจตน์ชะงักคำพูดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูกระจกด้านหน้าของห้องตนดังขึ้น  หันไปมองทางประตูแล้วเอ่ยเสียง

“เชิญ  เข้ามาได้”

          “ขอโทษค่ะท่าน”

          พอประตูถูกเปิดออก  เลขาฯสาวของคุณเจตน์ก็พูดออกตัว  พร้อมกับเดินนำพนักงานงานแม่บ้านที่กำลังยกถาดที่วางแก้วสำหรับบรรจุของร้อนไว้บนนั้น 2 ใบตามเข้ามาด้วย  เลขาฯยิ้มให้กับเจ้านายของหล่อนและถิรนัย  ก่อนที่จะเอ่ยพูดขึ้น

          “กาแฟสำหรับคุณและชาโสมสำหรับท่านค่ะ”

พูดพร้อมกับทำมือเป็นสัญญาณให้พนักงานแม่บ้านที่เดินตามมา  วางแก้วเครื่องดื่มให้ถูกคนตามที่หล่อนบอก

          “ขอบคุณครับ”

          ถิรนัยยิ้มรับแล้วก็เลยถือโอกาสมองเลขาฯหน้าห้องของคนที่เขามาพบอย่างไม่อยากวางตาเลยทีเดียว  เนื่องจากหน้าตาและรูปร่างทรวดทรงองเอวของเจ้าหล่อนอึ๋มอร่ามตาดีเหลือเกิน

          “ขอบใจนะทรงอัปสร”

คุณเจตน์บอกเสียงขรึมๆ

          “ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรจะใช้หนูอีกรึเปล่ะคะ?”

          เจตน์สั่นหน้า

          “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ...เธอไปทำงานที่ค้างต่อเถอะ  ถ้ามีอะไรแล้วฉันจะเรียกเอง”

          “ค่ะ  งั้นหนูไปพิมพ์หนังสือที่ค้างไว้ต่อนะคะ”

          เจตน์หงึกหน้าแทนคำตอบ  ซึ่งพอเลขาฯพร้อมกับพนักงานแม่บ้านออกจากห้องไปแล้วเจ้าของห้องก็หันไปมองหัวหน้าหน่วยสายสืบที่มาพบเขา  พลางส่งเสียงกระแอม

          ถิรนัยยิ้มเหนียมๆให้กับเจ้าของห้อง  ก่อนที่จะหยิบแก้วกาแฟขึ้นจิบแก้เกี้ยว  พลางพูดออกตัวว่าทำนองชมลูกน้องของเจ้าของห้อง

          “เลขาคุณเจตน์นี่หน้าตาดีนะครับ”

          “แล้วก็อึ๋มด้วยใช่ไม๊ล่ะ?”

เจ้านายของสาวที่ถูกชมลับหลัง  ต่อคำพูดที่อยู่ในใจของให้อีกฝ่ายฟังอย่างเข้าใจความรู้สึก

          “แหะๆๆ...ก็ทำนองนั้น”

          “ไอ้ผมมันอายุมากแล้ว...แถมช่วงล่างลงไปยังใช้ไม่ได้อีก  ก็เลยต้องหาสาวๆมาช่วยงานมันจะได้เพลินๆตาไม่เครียดกับธุรกิจจนเกินไปนัก”

เจตน์ว่าให้ชายวัยเดียวกันที่ชอบ  แอบมองหญิงสาวที่ละอ่อนกว่ารับรู้ทำนองออกตัว

          “ผมก็ไม่ต่างกับคุณเจตน์เท่าไหร่หรอกครับ  ถึงแม้จะเดินเหินสะดวกก็จริง  แต่ไอ้เรื่องพรรณหยั่งว่าน่ะบอกตรงๆเลย...บ้อลัดมานานแล้ว...มันก็ไอ้ประเภทชอบมองเพื่อความสำราญทางสายตาความรู้สึกแหละครับคุณเจตน์”

          “ดีแล้วล่ะคุณถิรนัย  ทำอะไรที่มันมีความสบายใจโดยที่ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นเขา...แค่นี้ก็หาความสุขทางใจกันได้แล้ว”

          ถิรนัยยิ้มเรียบๆรับไม่ได้โต้ตอบคำพูดใดอีก  นอกจากยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มแทน

ขณะที่เจ้าของสถานที่เปลี่ยนเรื่องโดยวกกลับถึงการสนทนาที่ค้างกันเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้

          “เออเมื่อกี้ก่อนเลขาของผมจะเข้ามาผมพูดอะไรกับคุณถิรนัยค้างไว้นะ?” 

          “รู้สึกคุณเจตน์จะถามเกี่ยวกับหน้าที่การงานของผม”

          “เออใช่ๆ...ผมนี่  มันขี้หลงขี้ลืมเอาจริงๆจังๆเลย...เมื่อกี้ที่คุณบอกว่าไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจโดยตรง  แล้วงานที่ทำอยู่มันเป็นยังไงกัน?”

          ถิรนัยดื่มกาแฟอีกอึกหนึ่ง  ก่อนที่จะกระแอมเล็กน้อย  แล้วจึงบอกเรื่องที่อีกฝ่ายอยากรู้ด้วยเสียงขรึมๆ

          “งานของหน่วยเราถ้าจะพูดให้มันชัดเจนก็เปรียบไปได้เหมือนกับพวกทหารรับจ้างที่ไปรบที่เวียดนามหรือลาวในยุคที่มีจีไอเดินกันไปมาเต็มเมืองไทยนั่นแหละครับ...”

          คุณเจตน์หงึกหน้าอย่างเข้าใจในการบอกเล่าของถิรนัยอย่างพอควร  ขณะที่ทำการดื่มชาโสมไปด้วยนั้น  ก่อนที่จะเอ่ยแสดงความคิดเห็นของตนออกมาบ้าง

          “เหมือนกับพวกทหารพรานรึเปล่า?”

          “คล้ายๆหยั่งงั้นเหมือนกันครับคุณเจตน์...แต่ว่าพวกทหารพรานแม้เขาจะไม่มียศแต่พวกเขาก็สามารถเปิดเผยตัวว่าเป็นใครได้...แต่  งานของพวกเรานี่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนหรือหน้าที่การงานให้ใครรู้ได้เลย”

          “เป็นพวกประเภททำงานปิดทองหลังพระ”

คุณเจตน์ต่อคำพูดให้อีก

          “ก็ทำนองนั้นครับคุณเจตน์”

เสียงซึมๆรับแต่ซึมเพียงแป๊บเดียว  ถิรนัยก็ยืดอกอย่างภาคภูมิใจขึ้นก่อนที่จะเอ่ยเสียงอย่างเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง

            “ถึงใครๆจะไม่ได้รับรู้กับการทำงานของพวกผม  แต่ผมก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ว่าได้กระทำการที่มีคุณค่าต่อสังคมส่วนรวมหรือที่เรียกกันว่างานที่เป็นจิตสาธารณะนั่นเองล่ะครับคุณเจตน์...ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากว่างานที่ปฏิบัติการอยู่นี้จะมีผู้ใดหรือใครจะมารับรู้อะไรทั้งสิ้น  พวกเราทำงานเพื่องานกันอย่างเดียวเท่านั้น”

                “นับว่าเป็นพวกมีอุดมการณ์สูงส่งจริงๆ  ผมขอปรบมือให้ครับ...”

                พูดจบพร้อมกับกระทำการอย่างที่บอกผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า  ขณะที่ผู้ได้รับการปรบมือให้ก็ยกมือไหว้พร้อมเสียง

                “ขอบคุณมากครับ”

                “ผมมีลูกชายคนเดียว...”

                เจ้าของห้องเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเสียเฉยๆอย่างนั้นเอง  ซึ่งผู้มาเยือนก็ขยับตัวรับกับการว่าของอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าคงจะเริ่มพูดถึงงานที่เรียกตนเองให้มาพบนั่นเอง

                “ครับคุณเจตน์”

                “ผมก็เหมือนเจ้าของกิจการทั้งหลายในเมืองไทยนี่แหละ  ก็คือต้องการให้ทายาทมาสืบทอดกิจการที่ตนเองได้ก่อตั้งขึ้นมา”

                เจตน์ว่าเพิ่มอีก

                “ครับ...”

                “ผมจึงได้ส่งให้จรัสพงศ์เขาไปเรียนบริหารธุรกิจที่เมืองนอก  เพื่อให้เขาเกิดความพร้อมในการทำงานอย่างที่บอกคุณถิรนัยให้ฟังไปแล้วแหละครับ...”

                “ผมเข้าใจครับ...ว่าต่อได้เลยครับคุณเจตน์...”

                “เดือนนี้ก็จะครบการกำหนดที่จรัสพงศ์เขาจะเรียนจบและกลับมาเมืองไทย...ซึ่งผมจะให้เขาทำงานที่บริษัทของผมโดยเริ่มจากการเป็นพนักงานปฏิบัติการที่ตำแหน่งเล็กที่สุดของบริษัทไปก่อน  เพื่อเป็นการค่อยๆสอนให้เขาเข้าใจในการทำงานมากกว่านี้  เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีประสบการณ์กับการทำงานมาก่อนเลย  เพราะผมให้เขาเรียนโดยตลอดก็เลยคิดว่าจะต้องให้มาเรียนรู้ในการทำงานตั้งแต่เริ่มต้น  ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำงานต่อในตำแหน่งผู้บริหารได้...”

                “ครับ...”

                “คุณคิดว่าผมทำถูกหรือเปล่าล่ะคุณถิรนัย...ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของผมครั้งนี้ด้วยสิครับ?”

                ท้ายเสียงถามอย่างข้อความคิดเห็นจริงๆ

                “ก็ดีนะครับ  เพราะเจ้าหน้าที่ในหน่วยของผมหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจทั่วไปก็เริ่มจากการทำงานตำแหน่งชั้นผู้น้อยกันมาก่อนแทบทั้งนั้น  ก่อนที่จะขยับตำแหน่งขึ้นไปตามเวลาการทำงานและผลงานที่ได้ทำเอาไว้นะครับ...ว่าแต่แล้วเรื่องนี้  ขอโทษเถอะครับมันเกี่ยวกับที่เรียกผมมาพบหรือครับคุณเจตน์?”

                คนถูกถามหงึกหน้ารับ  ก่อนที่จะเฉลยบอกต่อเนื่อง

                “จรัสพงศ์เป็นทายาทคนเดียวของผมที่จะสืบทอดกิจการของผมก็จริง  แต่บริษัทของผมมันเป็นมหาชนเพราะฉะนั้นมันก็เลยมีคนที่อยากได้ตำแหน่งนี้จากที่ผมวางทายาทเอาไว้ก่อนก็ว่าได้...และการจะได้ตำแหน่งนี้มันก็ต้องทำให้ทายาทที่ถูกวางเอาไว้มีอันเป็นไปเสียก่อนนั่นเอง...ตอนนี้คุณถิรนัยพอจะเข้าใจการที่ผมเรียกมาพบเพื่อขอคำปรึกษาหรือยังล่ะครับ?”

                ท้ายเสียงเจ้าของห้องย้อนถามกลับ  หัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรออกมาได้

                “หมายความว่าบุตรชายของคุณเจตน์กำลังถูกปองร้ายอย่างนั้นใช่ไหมครับ?”

                “ถูกต้องแล้วครับ...ฝ่ายข่าวกรองของผมรายงานให้ฟังว่า  หลังจากที่จรัสพงศ์กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่จะถูกเล่นงานทันที!”

                ว่าอย่างมีความกังวลเต็มเปี่ยม  ขณะที่ถิรนัยเข้าใจหัวอกของพ่อที่เป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรชายคนเดียว  จึงถามอย่างเอาใจ

                “แล้วจะให้ผมและหน่วยช่วยอะไรคุณเจตน์ได้ครับ?” 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา