สาบสมิง

-

เขียนโดย ลูกคนเดียว

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.

  30 ตอน
  3 วิจารณ์
  22.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บที่หนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          จอมพลกำลังตรวจเอกสารกองโตบนโต๊ะไม้มะค่าขัดมันภายในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากประตูใหญ่เปิดเข้าออกของตัวบ้าน เขาเลยได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงเปิดประตูอย่างชัดเจน ชายวัยค่อนไปทางชราขมวดคิ้วเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เกือบจะตีหนึ่งแล้ว เขาถอนหายใจ โรคเก่าของจอมขวัญกำเริบอีกแล้วสินะ จอมพลลุกขึ้นบิดตัวคลายเมื่อยขบ ก้าวออกจากห้องทำงาน เขาพอจะมองเห็นเงาหลังในชุดนอนสีขาวของลูกสาวแวบๆก่อนที่บานประตูจะปิดลง จอมพลเปิดประตูออก ด้านนอกตัวบ้านมีเพียงแสงไฟสลัวๆสาดส่อง ไอ้ดำ หมาพันธุ์ทางที่จอมขวัญเก็บมาเลี้ยงครางหงิง เขาเดินตามเสียงหมา ร่างของหญิงสาวกำลังหยุดยืนมองไอ้ดำ พอร่างนั้นจะก้าวออกเดินต่อ จอมพลก็คว้าแขนบุตรสาวแล้วหมุนร่างแบบบางของจอมขวัญหันกลับมา แสงสลัวส่องต้องใบหน้านั้น จอมขวัญเป็นหญิงสาววัยสะพรั่งประดุจดั่งดอกไม้บานในยามเช้า ผมสีดำสั้นประบ่า  ริมฝีปากชมพูระเรื่อเผยอเล็กน้อย จมูกได้รูปรับกับใบหน้า คิ้วเข้มดกดำ มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าฉงน ดวงตาทั้งสองของหล่อนกลับปิดสนิทคล้ายอยู่ในห้วงหลับไหล แน่นอน หญิงสาวกำลังหลับ หลับสนิทอย่างที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงทำได้ บิดาของหล่อนถอนหายใจหนักหน่วงพลางเขย่าเรียก
                “ขวัญ ขวัญ”
                ครู่เดียว นัยน์ตาดำคล้ายกลางคืนค่อยลืมอย่างสะลึมสะลือ
                “ขวัญเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
                หญิงสาวกะพริบตา เมื่อเห็นได้ชัดว่าเป็นบิดา หล่อนก็พูดอย่างอ่อนเพลีย
                “พ่อ ขวัญละเมออีกแล้วใช่มั้ย”
                จอมพลพยักหน้า
                “พ่อเห็นขวัญเดินออกมาเลยตามมาดู ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะลูก ไปนอนต่อได้แล้ว”
                “แต่ทำไมครั้งนี้ขวัญรู้สึกไม่เหมือนเดิม ขวัญฝันร้ายมากเลยพ่อ”
                “ฝันอะไรลูก”
                “ขวัญเจอบางอย่างท่ามกลางสถานที่รกร้างดำมืด ดูคล้ายจะเป็นปราสาทโบราณเก่าแก่ มีบางสิ่งอาศัยอยู่ที่นั่น เจ้าสิ่งนั้นมันหัวเราะแล้วก็พยายามจะเข้ามาหาขวัญ พอดีคุณพ่อปลุกขวัญก่อน มันเลยหายไป”
                “ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่ความฝันน่ะ”
                “แต่มันเหมือนจริงมากเลยนะพ่อ” หล่อนพูดอย่างเลื่อนลอย “แล้วเจ้าสิ่งนั้นก็ยังพูดภาษาที่ขวัญไม่เคยได้ยิน แต่ขวัญกลับรู้ความหมายของประโยคเหล่านั้น”
                ดวงจันทร์กลมโตพ้นเหลี่ยมเมฆส่องสว่างทั่วผืนพิภพ แสงจันทร์มักจะมีอาถรรพ์อย่างประหลาดต่อมนุษย์ จอมพลเงยหน้ามองวัตถุทรงกลมบนท้องฟ้าแล้วถามเบาๆ
                “มันพูดว่าอะไรล่ะขวัญ”
                หญิงสาวตัวสั่นเล็กน้อย
                “มันบอกว่า ยังไงเราต้องได้เจอกันอีก คราวนี้มันจะไม่ปล่อยให้ขวัญหนีมันไปได้อีกแล้ว”
                จอมพลหรี่ตาครุ่นคิด
                “แค่ความฝัน ไม่มีอะไรหรอกลูก มา เดี๋ยวพ่อไปส่งที่ห้องนอน”
                แล้วเขาก็กึ่งจูงกึ่งลากบุตรสาวที่เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวผ่านบานประตูเข้าสู่ภายในตัวบ้าน จันทร์กลมโตถูกเมฆบดบังอีกครั้ง ไกลแสนไกลมีเสียงหัวเราะแผ่วต่ำแว่วลอยตามลม
 
                จอมพลกลับมานั่งประจำที่เก้าอี้ตัวเดิม เพียงแต่ว่าคราวนี้เขาวางมือทั้งสองสงบนิ่ง ก้มหัวลงจ้องมองเอกสารซึ่งตรวจเสร็จไปได้ครึ่งเดียวอย่างครุ่นคิด เปล่า เขาไม่ได้ติดใจสงสัยในเรื่องของงานแม้แต่น้อย ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้หวนคิดถึงอาการประหลาดที่รบกวนบุตรสาวมาเป็นเวลานานตั้งแต่ยังเด็ก โรคละเมอเดินมักจะเกิดจากปัจจัยที่หลากหลายทั้งพักผ่อนน้อยหรือแม้กระทั่งเป็นโรคและความผิดปกติบางชนิด จอมพลไม่ได้วิตกกังวลมากนักในตอนแรกเริ่ม แพทย์ที่ให้การดูแลรักษาจอมขวัญก็บอกกับเขาเองว่าไม่ให้เป็นกังวล โรคนี้จะหายไปเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านมาหลายปีจนจากเด็กสาวตัวน้อยกลายเป็นหญิงสาวเต็มสาว จอมขวัญก็ยังคงประสบกับโรคละเมอเดินของหล่อนอยู่ ชายวัยใกล้ชราถอนหายใจหนักๆ เขายังจำคำพูดของหมอคนล่าสุดที่ทำการรักษาหญิงสาวได้ ร่างกายจอมขวัญเป็นปกติดีทุกประการ ไม่มีความผิดปกติใดทั้งสิ้น แม้แต่หมอหนุ่มใหญ่คนนั้นก็หาสาเหตุของโรคประหลาดไม่ได้ เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น
                บิดาของหญิงสาวหลับตาลงหวังผ่อนคลายสมองอันหนักอึ้งสักเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มทำงานต่อไป เสียงฝีเท้าหนักแต่พยายามย่องให้เบาดังขึ้นในความเงียบขนาดเข็มตกยังได้ยิน จอมพลลืมตา ตะโกนออกไปกะว่าพอให้คนที่กำลังย่องผ่านห้องทำงานของเขาได้ยิน
                “ไอ้ภพ”
                เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ แม้แต่เสียงฝีเท้าก็หายไป
                “ไอ้ภพ”
                คราวนี้น้ำเสียงตหนักขึ้นเจือด้วยความเกรี้ยวกราดจึงมีเสียงขานรับอ่อยๆ แล้วชายหนุ่มซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่แต่ใบหน้าคลับคล้ายกับเจ้าของห้องเดินตัวลีบเข้ามานั่งสงบนิ่งอย่างสำนึกผิดอยู่บนเก้าอี้เบื้องหน้า ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีเทาเข้มจนเกือบดำ กางเกงยีนส์หนาเตอะ รองเท้าผ้าใบเก่าคร่ำ
                “ล่าสัตว์อีกล่ะสิ”
                “โธ่ พ่อ”
                “ไม่ต้องโธ่ต้องธ่ออะไรทั้งนั้น แกไปล่าสัตว์มาใช่มั้ย”
                “ผมแค่ไปตรวจไร่เฉยๆพ่อ ไอ้จืดมันรายงานว่าชอบมีหมูมาลงไร่เรา”
                จอมพลพยักหัวหงึกหงัก
                “แกก็เลยคว้าลูกซองไปส่องหมูล่ะสิ”
                “ผมแค่ไปดูเองพ่อ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
                “เฮอะ ไปดูไร่ซะดึกเลยนะ ขยันจริงลูกชายฉัน ระวังเถอะสักวัน พวกป่าไม้จะมาลากคอแกไปเข้าคุก”
                “โธ่ พ่อ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมไม่เคยข้ามเข้าไปวุ่นวายในเขตอุทยานเลย”
                บิดาของเขาเอนหลังพิงพนัก
                “ฉันล่ะสงสัยว่าใครกันที่มันสั่งสอนให้แกชอบทำเวรทำกรรมแบบนี้”
                “โธ่”
                “เก็บคำว่าโธ่ของแกไว้เถอะ สักวันบาปกรรมจะสนองตอบ”
                “แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะพ่อ”
                “เออ ไม่ทำก็ดีแล้ว แกโตแล้ว น่าจะรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ไม่ต้องให้ฉันมานั่งพูดสอนแบบนี้”
                จอมภพนิ่งเงียบ แทบจะไม่กล้าสบตาบิดาบังเกิดเกล้า ในชีวิตเคล้ากลิ่นเลือดของชายผู้สั่งสมบารมีในเชิงนักเลงอย่างเขา ชายหนุ่มบอกกับตัวเองในใจว่าเขายอมลงให้คนเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือบิดาผู้ให้กำเนิด สองคือน้องสาวร่วมสายเลือด ส่วนคนอื่นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หน้าไหน จอมภพก็ไม่เคยหวั่น กลับยินดีเสียอีกที่บางครั้งจะมีคนหลวมตัวมาเป็นศัตรูกับเขา สร้างสีสันแดงเถือกให้ชีวิตครื้นเครง ชายหนุ่มเงยหน้ามองบิดาเมื่อเห็นว่าเงียบไปนาน จอมพลเหม่อลอย
                “พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า”
                “โรคเก่าของยัยขวัญกำเริบอีกแล้ว”
                จอมภพขมวดคิ้ว
                “แล้วน้องเป็นอะไรมากหรือเปล่าพ่อ”
                บิดาส่ายหัว
                “ไม่เป็นอะไร ดีที่พ่อเห็นก่อน ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าน้องสาวแกจะเดินไปไหน”
                จอมภพไม่ตอบอะไร เขาเลยพูดต่อ
                “กลางค่ำกลางคืนหัดอยู่ติดบ้านบ้าง แกก็รู้ว่าน้องสาวแกไม่ปกติ ลำพังแค่คนแก่อย่างพ่ออาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง”
                “พ่อยังไม่แก่ซะหน่อย ยังหล่อล่ำ”
                จอมพลหัวเราะเบาๆโบกมือไล่บุตรชาย
                “แกจะไปไหนก็ไป พ่อจะทำงานต่อแล้ว”
                “ดึกแล้ว ผมว่าพ่อไปพักผ่อนเถอะ”
                “อีกนิดน่า”
                “งั้นพ่อก็ดูแลตัวเองแล้วก็อย่าทำงานดึกมากนะครับ”
                ชายหนุ่มพูดมาเป็นประโยคสุดท้ายแล้วปล่อยให้พ่อบังเกิดเกล้าจมอยู่ในห้วงคำนึงถึงโรคประหลาดของน้องสาวรวมทั้งเอกสารกองโต
                จอมภพทิ้งตัวบนเตียงนุ่มทั้งที่ยังอยู่ในชุดเก่า คราบฝุ่นยังปรากฎตามแขนเสื้อและปลายกางเกง เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกระคนยินดี วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง หมูป่าที่ล่าได้เป็นหมูโทนตัวใหญ่ยักษ์ ปืนกระบอกใหม่ที่ชัชวาลนำมาให้ลองทรงประสิทธิภาพอย่างที่เคยบอกกับเขาไว้ รอยยิ้มผุดที่มุมปากเมื่อภาพในความทรงจำย้อนกลับมา
                ท่ามกลางความมืดอันหนาวเหน็บของฤดูหนาวทารุณ จอมภพนั่งสัปหงกอยู่บนห้างสูงจากพื้นเกือบสี่เมตร ชัชวาลสร้างไว้เมื่อตอนบ่ายคล้อย ชายหนุ่มผู้เป็นประดุจดั่งแขนขาของจอมภพนั่งฟังเสียงต่างๆอย่างสงบนิ่ง เขามั่นใจว่าเลือกทำเลไม่ผิด ไอ้หมูยักษ์จะต้องผ่านทางนี้อย่างแน่นอนจากร่องรอยที่มันทำเอาไว้ บนพื้นด้านล่างในความมืดห่างออกไปราวสิบเมตร บ่อน้ำขุนคลั่กกำลังเชื้อเชิญสัตว์ป่าผู้หิวกระหายให้มาลิ้มลองโดยที่ไม่รู้เลยว่าเพชฌฆาตสองคนกำลังรออยู่ แล้วเสียงเหยียบใบไม้แห้งก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจากทางด่านด้านทิศตะวันตก ชัชวาลยิ้มเครียดเอื้อมมือไปสะกิดปลุกผู้เป็นนาย จอมภพลืมตาแล้วพยักหน้ารับรู้ ไม่มีอาการง่วงหาวให้เห็นสักนิดเดียว เขาขยับตัวแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงฝีเท้านั้นซะอีก จนกระทั่งอยู่ในท่าทางทะมัดทะแมง เสียงฝีเท้าเงียบลงแล้วอย่างเป็นปริศนา ทั้งคู่จึงได้เพียงแต่รอคอย
                แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ใกล้เข้ามาเรื่อยจนกระทั่งผ่านใต้ห้าง เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสัตว์ป่าตัวนั้นมุ่งตรงไปยังหนองน้ำ เสียงนั้นเดินๆหยุดๆ สักพักเดียวก็มีเสียงกินน้ำดังขึ้นแทน ชัชวาลฉายไฟขึ้นยอดไม้ก่อนจะค่อยลดระดับต่ำลงจนกระทั่งเห็นหมูโทนตัวนั้นชัดเจน จอมภพยิ้มในความมืด หมูโทนผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเนื่องด้วยมั่นใจในความแข็งแกร่งและสัญชาตญาณของตัวหันกลับมา นั่นเท่ากับเป็นการสร้างโอกาสอันดีงามให้แก่เขา จอมภพเล็งอย่างปราณีตแล้วลั่นไก สิ้นเสียงปืน หมูยักษ์ร้องลั่นแล้วกระโจนสุดตัวก่อนจะหน้าขมำกองแน่นิ่งไม่ไหวติงห่างจากจุดเดิมเกือบหนึ่งเมตร หมูป่าตัวนั้นทรหดสมคำร่ำลือที่เขาเคยได้ยินมา
                ด้วยความดีใจในความรู้สึกถึงการกลายเป็นผู้พิชิต จอมภพจึงทำผิดธรรมเนียมพราน เขาคว้าไฟฉายแล้วไต่ลงจากต้นประดู่ใหญ่อย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังเสียงคำทัดทานของชัชวาล ชายหนุ่มตรงรี่ไปดูผลงานของตนเอง หมูป่ายักษ์ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม เขาหันหลังกลับไปก็พอดีกับที่ชัชวาลวิ่งหน้าตื่นตามลงมาสมทบ
                “นายไม่ควรลงจากห้างก่อนฟ้าสาง มันผิดธรรมเนียม”
                จอมภพหัวเราะ
                “คิดมากน่าชัช ฉันแค่อยากลงมาดูไอ้หมูเวรนั่น แล้วอีกอย่าง ที่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ป่า ท้ายไร่ของเราต่างหาก”
                “แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควร”
                “ไม่เป็นไรน่า” เขายังคงยิ้มแล้วหันกลับไปมองเหยื่อสังหาร “พรุ่งนี้นายให้คนงานมาเอาไปจัดการด้วยนะ ฉันอยากกินผัดเผ็ดหมูป่าแกล้มเหล้า”
                “ครับนาย”
                “ขอบใจมากชัช ตอนนี้ไม่มีอะไรทำแล้วนี่ เรากลับกันเถอะ”
                “แต่เราควรรอถึงฟ้าสาง ตอนนี้มันอันตราย”
                จอมภพยังคงหัวเราะเอื่อยๆ ชัชวาลเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของพรานใหญ่คนหนึ่งตั้งแต่สมัยยังรุ่นๆ ยังไม่ได้เข้ามาทำงานที่ไร่นี้ด้วยซ้ำ เขาจึงเข้าใจถึงธรรมเนียมพรานของชัชวาล ชายหนุ่มผู้เป็นนายสะพายปืนแล้วโอบไหล่คนสนิท
                “เถอะน่าชัช ไปกันเถอะ”
                แล้วเขาก็ฉายไฟออกเดินนำ ชัชวาลทำตามอย่างเสียไม่ได้ นายของเขาไม่เคยเข้าใจในธรรมเนียมซึ่งสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ครั้งหรือสองครั้งที่ชัชวาลมั่นใจว่าเขาได้ยินเสียงฝีเท้าย่องตามมา ถึงแม้จะเบาขนาดไหน แต่โสตสัมผัสซึ่งเคยชินกับป่าดงก็ยังได้ยิน เขาลองฉายไฟดูก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
                ผิดกับจอมภพ ชายหนุ่มแน่ใจว่าครั้งหนึ่งบริเวณแนวต้นไม้ซึ่งห่างออกไปไม่มากนัก สัตว์บางอย่างกระโจนแผล็วหายไปในพุ่มทึบ เขาหยุดเล็กน้อยแล้วออกเดินต่อโดยไม่ได้พูดอะไร ชัชวาลมองตามอย่างสงสัย แต่เมื่อเขาไม่พูด ชัชวาลก็ไม่ถาม จนกระทั่งอยู่บนรถยนต์และเส้นทางที่จะนำกลับสู่ตัวบ้าน จอมภพจึงพูดขึ้น
                “แกรู้สึกมั้ยว่ามีตัวอะไรสักอย่างตามเรามา”
                ชัชวาลเหลือบมองกระจกมองหลัง ความมืดเหมือนสีน้ำหมึกปกคลุมไปทั่ว ดวงจันทร์กลมโตซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ
                “ครับนาย แต่อาจจะเป็นพวกชะมดอีเห็น พวกนี้มันหากินกลางคืน”
                จอมภพไม่ได้พูดอะไรอีกจนกระทั่งถึงบ้านแล้วเผชิญหน้ากับบิดา
                ชายหนุ่มดึงตัวลุกขึ้นนั่ง ถอดเสื้ออย่างช้าๆ ทบทวนและครุ่นคิดถึงสิ่งที่เจอมาในวันนี้ เขามั่นใจว่าไม่ใช่ชะมดหรืออีเห็น มันตัวใหญ่กว่านั้น หรือจะเป็นเสือ แล้วเขาก็หัวเราะหึให้กับความคิดนั้นพร้อมทั้งส่ายหน้า ไม่มีใครเจอเสือแถวนี้มาจะยี่สิบปีแล้ว ลูกชายคนโตของบ้านเหวี่ยงเสื้อกับกางเกงไปกองอยู่มุมหนึ่งของห้องแล้วพาร่างเปลือยเปล่าเหลือเพียงชั้นในก้าวเข้าสู่ห้องน้ำ
 
                ลมวูบหนึ่งพัดผ่านเข้าห้องของหญิงสาวทางบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ จอมขวัญขยับตัวเล็กน้อยบนเตียงนอน เงาทะมึนดำมืดมาพร้อมกับสายลมปรากฏเป็นรูปร่างพล่ามัวสลับชัดเจน เงาของชายรูปร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์ ร่างนั้นก้าวเข้ามาหมายจะแตะต้องตัวหญิงสาว แต่แล้วเหมือนมีบางอย่างรั้งไว้พร้อมทั้งฉุดกระชากกลับอย่างรุนแรง เงานั้นขืนไว้จึงทำให้ถอยหลังไปเพียงสองสามก้าว มันเดินหน้าขึ้นมาอีกอย่างลำบากยากเย็นแต่เหตุการณ์เหมือนเช่นเดิม ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วสั่นไหวนั้นจะถูกส่วนหนึ่งส่วนใดของจมขวัญ มันก็ถูกกระชากกลับด้วยอำนาจบางอย่างซึ่งครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิม มันถูกดูดออกทางหน้าต่างแล้วหายไปทิ้งไว้เพียงเสียงครวญครางอย่างทรมานแว่วกับลมกลางคืน
                หญิงสาวผวาตื่นขึ้นกุมหน้าอก สีหน้าหวาดหวั่น หล่อนมองไปรอบๆด้วยดวงตาเบิกโพลง ไม่มีใครหรืออะไรทั้งนั้น เราฝันไป มันเป็นแค่ความฝัน จอมขวัญบอกกับตนเองพร้อมถอนใจเฮือก แค่ฝันเท่านั้นเอง แต่ช่างเป็นความฝันที่น่ากลัวอะไรอย่างนั้น หล่อนมองที่ตำแหน่งปลายเตียงซึ่งฝันเห็นเงาประหลาด หูทั้งสองยังคงได้ยินเสียงสุดท้ายของร่างประหลาดนั้น เจ็บปวด ทรมานแต่กลับมีน้ำเสียงแห่งความยินดีซ่อนอยู่ หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง หล่อนลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างห้อง ปกติจอมขวัญมักจะเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมอยู่เสมอ แต่สำหรับคืนนี้น่ากลัวเกินกว่าที่หล่อนจะทำอย่างนั้น หญิงสาวจ้องเข้าไปในความมืดของรัตติกาลอันน่าพิศวงอย่างใจลอย
                แล้วหล่อนก็ได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก เงาร่างเดินสี่ขากระโจนแวบหายไปหลังพุ่มไม้รกทึบ หล่อนพยายามชะเง้อคอมอง ไม่มีส่วนใดของร่างกายนั้นโผล่มาให้เห็นอีก ไอ้ดำเหรอ ไม่ใช่หรอก เงานั้นใหญ่เกินกว่าจะเป็นไอ้ดำ หล่อนพยายามเพ่งสายตามองจนกระทั่งอ่อนใจ เมื่อแน่ใจว่ามองไม่เห็นแน่แล้ว จอมขวัญผละจากหน้าต่างกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คืนนี้น่าประหลาดนัก เงาปิศาจ เสียงที่ฟังไม่รู้เรื่องแต่กลับเข้าใจ ความฝันน่าหวาดกลัว แล้วยังโรคละเมอเดินซึ่งหายไปจากหล่อนได้เกือบหกเดือนแล้ว หญิงสาวพลิกตัวนอนหันหลังให้กับหน้าต่างเมื่อแสงจันทร์เริ่มส่องสว่างอีกครั้งจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นนัยน์ตาสีเหลืองแกมแดงคู่หนึ่งจ้องมองหล่อนจากในเงามืดบนต้นมะม่วงใหญ่ข้างบ้าน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา