สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  16.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ 3-2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในเมืองนี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารนอกจากโรงเตี๊ยมหนานเทียนแล้วก็เป็นหอหมั่นเว่ย ทุกวันมีลูกค้าเต็มร้านจนหาที่นั่งไม่ได้ อาหารของหอหมั่นเว่ยอร่อยถึงขั้นลืมรสชาติไม่ลงทีเดียว แม้แต่ตันโหรวอีของตระกูลตันที่เรื่องมากยังชอบอาหารของที่นี่เป็นพิเศษ เพื่อทานอาหารของหอหมั่นเว่ยจึงมักจะสั่งให้คนใช้มาห่ออาหารกลับบ้านเป็นพิเศษเสมอ

ตันกุ้ยที่เดินเล่นนอกบ้านกำลังทานอาหารแสนอร่อยที่อยู่เต็มโต๊ะ อาจเป็นเพราะเทศกาลดอกไม้ไฟ หอหมั่นเว่ยที่ปกติก็มีลูกค้าเต็มอยู่แล้ว วันนี้ยังตั้งโต๊ะอีกหลายตัวที่นอกร้านเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าคนอื่นที่ไม่มีที่นั่งได้มีโอกาสชิมอาหารรสชาติอร่อย

โต๊ะที่อยู่รอบๆ ร่วมโต๊ะกับคนอื่น ก็คือยัดเก้าอี้ล้อมจนเต็มโต๊ะ มีแต่โต๊ะของตันกุ้ยนี่ที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ครองทั้งโต๊ะ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสังเกตว่าโต๊ะของเขายังว่าง แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นใครจึงไม่ไปร่วมโต๊ะกับเขา

ช่วงนี้มีข่าวลือว่าฮวงเซ่าเหรินลูกชายของขุนนางฮวงกับตันฮั่นคุณชายใหญ่ของตระกูลตันเป็นเพื่อนรักกัน คดีของคุณชายฮวงยังไม่คลี่คลาย ก็มีข่าวอีกว่าคุณชายตระกูลตันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นปกติที่เห็นคุณชายตันกุ้ยออกจากบ้านก็ต้องไปสร้างความสัมพันธ์ แต่ตอนนี้จะกล้าเข้าไปคุยได้อย่างไร ก็กลัวว่าจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน รักษาระยะห่างต่างคนต่างอยู่ย่อมจะดีกว่า

ตันกุ้ยกินไปพลางมองรอบๆ ไปพลาง มากน้อยก็พบว่ามีคนบางส่วนที่นินทาเขา แต่นี่ก็ไม่ได้ทำลายอารมณ์ดีๆ ของเขา พวกเขาชอบพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แม้ว่าความจริงแล้วการตายของฮวงเซ่าเหรินจะน่าตกใจไม่น้อย แต่ระหว่างพี่ใหญ่กับฮวงเซ่าเหรินก็แค่เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขนาดนั้น จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร

ขณะที่ทุกคนกินดื่นพูดคุยกันอย่างครึกเครงนั่นเอง หญิงงามผู้หนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาที่หอหมั่นเว่ย ลูกค้าที่อยู่ในหอคุยกันเสียงดังพอได้เห็นร่างสะโอดสะอง หน้าตาและท่าทางที่งามหยาดราวเทพเซียนของหญิงผู้นั้น ก็ทำเอาทุกคนหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างกับว่าหอหมั่นเว่ยเป็นอาคารร้างเสียอย่างนั้น แม้แต่ลูกค้าที่อยู่โต๊ะข้างนอกก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ถึงขั้นมีบางคนทำตะเกียบหลุดมือ ข้าวร่วงออกจากปากเพราะความงามของหญิงผู้นี้

‘ความเงียบสุดขีด’ ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำเอาตันกุ้ยรู้สึกสงสัย ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงทำให้ทุกคนพลันเงียบเสียงลง เขาหยุดการกระทำที่กำลังคีบอาหารเข้าออกแล้วเงยหน้าขึ้นมอง และก็บังเอิญได้สบตากับหญิงผู้นั้น ทันใดนั้นตะเกียบที่กำแน่นอยู่ในมือก็ร่วงลงบนโต๊ะเกิดเสียงขึ้นมา เขามองตาไม่กะพริบเหมือนกับคนอื่นๆ อ้าปากค้างน้ำลายเกือบหกออกมา ไม่น่าเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีหญิงสาวที่งามเช่นนี้ และหญิงสาวที่เหมือนเทพเซียนผู้นี้ก็กำลังเดินมาทางเขาแล้วยังฉีกยิ้มให้เขาไม่หยุด

“ต้องขออภัยด้วย...ไม่ทราบว่าจะร่วมโต๊ะกับท่านได้หรือไม่?” หญิงสาวผู้นี้ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

ตันกุ้ยนอกจากพยักหน้าอย่างเหม่อลอยแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ทันใดนั้นทุกคนต่างถอนหายใจส่ายหน้า ถึงขั้นมีคนผลักคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ออก เพื่อหวังให้หญิงผู้นี้เปลี่ยนใจนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขา แต่พวกเขานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตันกุ้ยที่เจ้าชู้จนเป็นนิสัยกลับโชคดีเช่นนี้ ถึงกับได้ร่วมโต๊ะกับหญิงงามผู้นี้

หญิงสาวยิ้มนั่งลงตรงข้ามเขา สำหรับใบหน้าที่ตกตะลึงของเขานั้นเห็นจนชินแล้ว นางยิ้มให้รอบๆ แล้วโบกมือเรียกเสี่ยวเอ่อร์สั่งอาหาร จนนางสั่งอาหารเกือบครบทุกอย่างที่มีในร้านจึงขอบคุณเสี่ยวเอ่อร์แล้วมองตันกุ้ยที่ยังตะลึงงันอยู่

นางปิดปากหัวเราะเบาๆ คนปกติเห็นนางแต่งตัวแบบนี้ล้วนอึ้งจนพูดไม่ออก วิญญาณไม่อยู่กับร่องกับรอย ถึงแม้ว่านางจะชินกับภาพที่เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังต้องร่วมโต๊ะกินข้าวกับเขา ถ้าหากต้องเจอสีหน้าแบบนี้ของเขาอยู่ตลอดนางไม่คลื่นไส้ก็แปลกแล้ว

นางยื่นมือผ่านโต๊ะไปตบไหล่เขาอย่างอ่อนโยน พูดเสียงเบาว่า “คุณชายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ทันใดนั้นตันกุ้ยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสายฟ้าฟาดผ่าน ทั่วทั้งร่างชาวาบ พยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ไม่เป็นอะไร ไม่ได้เป็นอะไรเลย”

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดที่มีหน้าตางดงามได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นแม่นางของหอคณิกาทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหนานหยางก็ไม่งดงามเท่านางเลย หญิงคณิกาที่ถูกจัดอยู่ในลำดับหนึ่งเมื่อเทียบกับนางแล้วล้วนด้อยกว่ามาก

“งั้นก็ดี รีบกินเถอะ อาหารจะเย็นเสียก่อน”

“ได้ได้ได้” เขายังตอบอย่างเหม่อลอย หยิบตะเกียบขึ้นมากลับไม่คีบอาหารใดๆ สายตายังคงหยุดอยู่ที่ร่างของนาง

เพื่อรักษาท่วงท่าจึงทนความรู้สึกที่อยากจะกรอกตาใส่ นางยิ้มให้เขาด้วยท่าทางงดงามแล้วเสมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เห้อ ถ้ารู้เช่นนี้ตอนแรกนางน่าจะสั่งให้คนเก็บห้องหนึ่งไว้ให้นาง ให้นางได้ลิ้มรสอาหารเลิศรสเพียงลำพัง

เห็นสาวงามไม่สนใจเขาต่อ ถึงได้ดึงสติกลับมาด่าตัวเองที่เสียมารยาทและโง่เขลา พอเห็นสาวงามก็เหม่อลอยจนทำให้ตอนนี้นางไม่ประทับใจเขา เขารีบเขี่ยข้าวเข้าปากหลายคำดึงสติกลับมาแล้วมองไปที่นางอีกครั้ง แต่เพิ่งได้เห็นใบหน้าด้านข้างของนางก็อดไม่ได้เหม่อลอยอีกครั้ง ยังดีที่ห้ามตัวเองไว้โดยบีบตัวเองทีหนึ่งถึงพอรักษาสติได้

“แม่ แม่นางมาจากต่างถิ่นหรือ?” เขาพยายามถามอย่างเป็นธรรมชาติ

นางเหลือบมองแล้วพยักหน้า “อืม ข้าได้ยินว่าเทศกาลดอกไม้ไฟที่เมืองหนานหยางคึกคักมากถึงได้มาที่นี่ แล้วมาเยี่ยมพี่ชายของข้าด้วย”

อีกไม่กี่วันก็เป็นงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่จัดขึ้นปีละครั้งของเมืองหนานหยาง เทศกาลที่จัดขึ้นปีละครั้งนี้ได้ดึงดูดนักเดินทางต่างถิ่นหรือนักเดินทางที่สนใจเข้าร่วมอยู่ไม่น้อย แม้เมืองหนานหยางจะไม่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงแต่ก็มีภูมิประเทศที่ดี ทิวทัศน์ทะเลสาบของเมืองหนานหยางที่ชื่อทะเลสาบจิ้งสุ่ยเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเมือง มีเรือท่องเที่ยวไม่น้อยอาศัยทะเลสาบนี้ประทังชีวิต จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของทะเลสาบจิ้งสุ่ยก็คือน้ำใสดั่งกระจก เมฆบนท้องฟ้าสะท้อนบนทะเลสาบเหมือนดั่งกระจก ทั้งสงบและสวยงามทำให้สามารถชมอย่างสงบบนเรือได้ทั้งวัน

“ใช่ใช่ เทศกาลดอกไม้ไฟในเมืองพวกเราสวยงามที่สุด ดูไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะอดไม่ได้อยากมาดูทุกปี” เขาเอาใจเต็มที่ บ้างก็รินเหล้า บ้างก็คีบเอาหารให้ ไม่ให้นางได้ขยับเลย

“ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอะไร แล้วพี่ชายพักอยู่ที่ไหนหรือ?” เขายิ้มพลางเอ่ยถาม “เจ้าไม่คุ้นที่คุ้นทาง ไม่เช่นนั้นให้ข้าพาเจ้าไปหาเขาเถอะ”

“คุณชายเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็เอาใจเช่นนี้ ข้าน้อยชักเขินขึ้นมาแล้วสิ” นางปิดปาดแอบหัวเราะ ในใจมองออกอย่างชัดเจนว่าชายคนนี้เป็นพวกเจ้าชู้

ตันกุ้ยได้ยินดังนั้นยังคิดว่านางเขินจริงๆ หัวเราะอย่างซื่อๆ แล้วพูดว่า ”แม่นางคงเคยได้ยินมีสหายมาแต่แดนไกล มิควรยินดีหรือ แม้ว่าจะเป็นการเจอกันครั้งแรก แต่ในเมื่อเจ้าและข้าถูกลิขิตให้ได้ร่วมโต๊ะกันก็เป็นการจัดเตรียมของฟ้าสวรรค์ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”

“จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ผิด” นางฉีกยิ้มหยาดเยิ้ม แล้วพูดต่อว่า “ที่บ้านข้าอยู่ในลำดับที่สิบสอง ดังนั้นท่านพ่อเพื่อจะให้จำได้ง่าย จึงตั้งชื่อให้ข้าว่าจีสิบสอง[1] คุณชายอย่าหัวเราะล่ะ”

“ไม่ ไม่ ชื่อนี้ไพเราะยิ่งนัก จะหัวเราะเจ้าได้อย่างไร”

จีสิบสองมองอาหารที่ส่งมาที่โต๊ะเรื่อยๆ แล้วเริ่มคีบอาหารขึ้นมากิน นางเดินทางมาไกลถึงที่นี่ หิวจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ก็ต้องกินให้อิ่มก่อนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้นเกรงว่านางคงจะหมดแรงล้มไปจริงๆ

“งั้น พี่ชายของเจ้าล่ะ?” ตันกุ้ยมองการเคลื่อนของนางตาไม่กะพริบ ว่าแล้วคนสวยแม้กินอาหารก็ยังดูดี

“หืม?” นางอึ้งเล็กน้อย เงยหน้าพูดว่า “พี่ชายข้าชื่อใบ้หก ไม่ชอบพูดและไม่ร้องตั้งแต่เด็ก ดังนั้นท่านพ่อจึงตั้งชื่อนี้ให้กับเขา” นางแนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใส่ใจเลยว่านั่นเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกพี่ชายคนที่หก “เขาชอบเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย จึงยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่จากข่าวที่ได้มาดูแล้วเขาน่าจะอยู่ในเมืองนี้ ดังนั้นเลยมาเสี่ยงดวงดูว่าจะได้เจอเขาหรือไม่”

“แม่นางจีสิบสองช่างเป็นน้องสาวที่ดีเสียจริงๆ ถึงกับคิดถึงพี่ชายเช่นนี้ คิดว่าเขาคงรักเจ้ามากแน่ๆ ” ตันกุ้ยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าไม่หยุด ความชื่นชมในแววตายิ่งเพิ่มมากขึ้น

ได้ยินแบบนี้ ก็สำลักน้ำแกงร้อนๆ ที่กำลังจะกลืนลงคอ ทำเอานางไอไม่หยุดขึ้นมา ไอจนแก้มแดง ท่าทางแบบนี้ทำเอาตันกุ้ยเห็นแล้วทรมานใจยิ่งนัก แต่นางกลับตัวสั่นเพราะคำพูดเช่นนี้ของตันกุ้ย

รักมากงั้นหรือ? อย่ามาล้อเล่นเลย ขอแค่เขาไม่ถึงกับไม่นับญาติกับใครก็ขอบคุณสวรรค์แล้ว

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ตันกุ้ยเดินมาข้างหลังนางแล้วลูบหลังเบาๆ การกระทำนี้ทำเอาทุกคนอิจฉาขึ้นมา ส่งสายตาที่โหดเหี้ยมไปที่การกระทำเกินขอบเขตนั่นไม่หยุด

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางสะบัดมือหลบไปข้างๆ อย่างเงียบๆ

เห็นนางหายใจสะดวกขึ้นก็ไม่กล้าเอาเปรียบนางต่อ เพราะอย่างไรหญิงงามก็ต้องชอบชายที่มีมารยาท “ไม่ทราบว่าแม่นางจะอยู่ที่นี่นานขนาดไหนหรือ?” เขาหวังว่ายิ่งนานยิ่งดี

ฟังจุดประสงค์ของเขาออกอย่างชัดเจน จึงพูดอย่างสงบว่า “รอให้หาพี่หกเจอก่อนกระมัง ดังนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะอยู่นานเพียงใด”

“งั้นให้ข้าช่วยแม่นางตามหาเถอะ” เขาทำตาโตพูดอย่างกระตือรือร้น

“จริงหรือ?” นางแสร้งทำท่าประหลาดใจ แต่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไร

“แน่นอน เพราะอย่างไรข้ากับเจ้าก็มีชะตาที่ได้เจอกัน”

“งั้นต้องขอบคุณคุณชายก่อนแล้ว ไม่ทราบว่านามของคุณชายคือ?” นางพูดอย่างซาบซึ้ง เหลือแค่ไม่หลั่งน้ำตาสองสามหยดให้เขาดู

พอพูดถึงชื่อ เขาก็ยกอกพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าแซ่ตัน นามกุ้ย ในเมืองนี้ไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลข้า ท่านพ่อของข้าเป็นเศรษฐีด้วยล่ะ”

“อย่างนั้นหรือ คุณชายตันช่างมีตระกูลที่ใหญ่โตเสียจริง” นางทำหน้าชื่นชมแต่ในใจกลับดูถูกอย่างมาก

จะพูดถึงเงิน พ่อนางมีมากกว่านั้น ตระกูลตันเล็กๆ นางไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

พอได้ยินคำชมของหญิงงามก็ยิ่งดีใจจนแทบบินขึ้นสวรรค์จึงถือโอกาสรุกต่อ “ไม่ทราบว่าแม่นางจะพักที่ใด? ถ้าหากยังหาที่พักไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปที่บ้านข้าสักสองสามวันเป็นอย่างไร?”

จีสิบสองแสล้งทำสีหน้าลำบากลังเลใจแล้วขมวดคิ้ว ทำไมนางจะมองจุดประสงค์ของตันกุ้ยไม่ออก ก็แค่อยากพาคนเข้าบ้านตัวเองก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลังก็ไม่มีใครรู้แล้ว

เห็นนางคล้ายกับลังเลทำเอาเขาใจร้อนขึ้นมา รีบอ้าปากถามว่า “มีอะไรน่ากังวลหรือ?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้ายิ้มพูดว่า “ไม่มี เพียงแต่เกรงว่าจะรบกวนคนในบ้านคุณชายตัน ดังนั้น...”

“ไม่ ไม่” เขารีบพูดขึ้น “คนในบ้านข้าชอบต้อนรับแขก ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

มองดูความกระตือรือร้นของเขาทว่ากลับมีใบหน้าหมาป่าหิวโซ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกดีกับเขา แต่การมีที่พักไม่เสียเงินสำหรับนางแล้วก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไรถึงอย่างไรนางรู้แต่แรกแล้วว่าเขามีแผนอะไรป้องกันไว้ก่อนก็หมดเรื่อง เจอการเชื้อเชิญแบบนี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าปฏิเสธ ถึงเวลาเมื่อรู้ ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของนางจะไม่ทำเอาเขาตกใจจนเป็นลมก็พอ

“งั้นก็รบกวนคุณชายแล้ว” นางยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น

ทันใดนั้น บอกได้เลยว่าตันกุ้ยดีในจนบินขึ้นฟ้าไปแล้ว ในใจเขาโห่ร้องด้วยความดีใจ เพียงแต่เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่า การเชิญหญิงงามมาเป็นแขกที่บ้านกลับกลายเป็นฝันร้ายที่เศร้าสลดบนโลกนี้ของเขา

--------------------------------------------------------------------

 

[1] จี เป็นนามสกุล ส่วนสิบสองคือลำดับการเกิดของบุตรหรือสตรีในตระกูลนั้นๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา