สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  16.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 3-4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ณ เวลานี้ในห้องโถง ตันฮั่นมองเซ่าเจินที่สวมชุดประณีตแต่สีหน้ากลับขาวซีดเหมือนคนป่วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เจ้าหน้าที่ที่สำนักราชทัณฑ์ส่งมาคนนี้ มองครั้งแรกก็ทำให้เขารู้สึกผิดปกติ ท่าทางการกระทำไม่ถือมารยาท ชุดที่สวมเป็นชุดประณีตอลังการแต่ไม่ใช่ชุดขุนนาง แสดงตัวตนเกินไปจนเหมือนคุณชายที่ขวางโลกอย่างนั้น ได้ยินชื่อของเขาก็วิเคาะห์ได้ว่าถึงแม้เขาจะเป็นขุนนางของสำนักราชทัณฑ์ แต่ก็มีอีกตัวตนที่เป็นองค์ชาย พอเป็นแบบนี้แล้วเรื่องที่วังหลวงคิดจะทำเป็นอะไรกลับทำเอาเขาคาดเดาไม่ได้

เซ่าเจินยกถ้วยชา ใช้ฝาเกลี่ยใบชาที่อยู่ข้างในด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แล้วจิบเบาๆ คิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อยมีความประหลาดใจอยู่บ้าง “ชาดี” เขาวางถ้วยชาลง เงยหน้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณชายใหญ่ช่างเป็นคนไม่มีเวลาเสียจริง ตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในเมืองก็ได้เชิญคุณชายใหญ่ไปที่ตระกูลฮวงสอบถามหลายครั้ง แต่ที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นการปฏิเสธเพราะไม่ว่าง ขนาดข้ามาหาถึงที่ก็ไม่เห็นเจ้าอยู่ในบ้านวันนี้ในที่สุดข้าก็ได้เห็นหน้าคุณชายใหญ่เสียที” จากนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไป ยิ้มอย่างเย้ยหยันแล้วพูดอีกครั้งว่า “หรือว่าคุณชายใหญ่อยากเผยสิ่งที่ปิดเอาไว้จึงยอมให้พบ?”

ตันฮั่นได้ยินดังนั้น ก็พูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ท่านก็คิดมากเกินไป ไม่มีคำว่ายอมหรือไม่ยอม ช่วงนี้เพราะท่านพ่อคิดจะขยายการค้าทางเหนือจึงไปคุยที่ต่านถิ่น เรื่องทั้งหมดในบ้านก็ต้องเป็นลูกชายคนโตอย่างข้าที่คอยจัดการ บวกกับเทศกาลดอกไม้ไฟที่ใกล้เข้ามายิ่งยุ่งจนไม่มีเวลา อีกอย่างจากคำพูดที่ท่านว่าข้ามีเรื่องปิดบัง จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”

ได้ยินเขาพูดปัดเหมือนมีเหตุผล เขาก็มีความรู้สึกอยากจะตบมือให้เขาอย่างอดไม่ได้

“เช่นนั้น กลับเป็นข้าเองที่คิดชั่วใส่คนดีเสียแล้ว ต้องขออภัยคุณชายใหญ่ด้วย”

“ไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็นถึงขุนนางจากสำนักราชทัณฑ์ สิ่งที่คิดอยู่ย่อมต่างจากคนทั่วไป ไม่ทราบว่าที่ท่านมาหาข้าหลายครั้งด้วยเรื่องอะไรหรือ?”

เซ่าเจินฉีกยิ้มพลางพูดว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องของตระกูลฮวง” จากนั้นก็แบมือทั้งสองข้างออก “ฮวงเซ่าเหรินที่เป็นบุตรชายตระกูลฮวงตายอย่างประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าข่าวก็ไปถึงสำนักราชทัณฑ์ในวังหลวง พวกข้าสำนักราชทัณฑ์รู้สึกเรื่องนี้มีเงื่อนงำจึงส่งข้ามาตรวจสอบให้กระจ่าง”

“ที่ท่านตรวจไปตรวจมาถึงกับมาตรวจสอบข้า คงไม่ใช่คิดว่าเป็นข้าที่ฆ่าฮวงเซ่าเหรินเสียกระมัง” เขารีบยกมือแสดงความบริสุทธิ์ “เช่นนั้นข้าคงต้องพูดให้กระจ่าง ตระกูลตันทำการค้าไม่ฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มือของข้านี้ไม่เคยถือดาบถือกระบี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสามารถใช้วิธีประหลาดนั้นฆ่าคนได้”

เซ่าเจินฟังเขาพูดอย่างเดือดพล่าน ก็พูดตอบว่า “ไม่ได้สงสัย ไม่ได้สงสัยว่าเป็นคุณชายใหญ่ที่ฆ่าคนอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นแท้จริงแล้ว...”

“พูดตามตรง ตอนที่มาที่เมืองนี้ข้าก็ได้ส่งคนไปสืบกิจวิตรประจำวันของฮวงเซ่าเหริน ความชอบต่างๆ และเพื่อนที่อยู่ด้วยอย่างละเอียดแล้ว” เขาทำท่าทางเหนื่อยล้า จากนั้นก็ทำท่ามีชีวิตชีวาขึ้น “สุดท้ายข้าก็พบว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลตันและลูกชายตระกูลฮวงเหมือนจะมีการค้าขายบางอย่าง ข้าจึงไปที่สำนักคุ้มกันที่ร่วมมือกับตระกูลตันมายาวนานมารอบหนึ่ง แล้วพลิกดูสมุดบัญชีบางส่วน...” เขาจ้องมองที่ตันฮั่น ถามอย่างนึกสนุกว่า “เจ้าเดาดูสิว่าข้าเจออะไร?”

“ท่านเจออะไร?” คำถามที่จงใจไม่เล่าความลับนี้ แม้ตันฮั่นจะสงบแต่แววตากลับมีความตกใจแล่นผ่าน

เซ่าเจินกลับหัวเราะออกมา “ก็ไม่เจออะไร ล้วนเป็นพวกสิ่งของโบราณ หรือหนังสือภาพวาดที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าทำคุณชายใหญ่ตกใจหรือไม่”

การแกล้งแบบนี้ทำให้ตันฮั่นอึ้งเล็กน้อยในตอนแรก จากนั้นก็ขยับมุมปากยิ้มพอเป็นพิธี

เซ่าเจินเห็นท่า จึงสะบัดมือพูดว่า “การล้อเล่นนี้ไม่น่าขำเท่าไหร่นัก ข้าขอโทษด้วย หวังว่าคุณชายใหญ่จะไม่ถือสา”

“ไม่เป็นไร เพียงแต่ไม่เจออะไรเช่นนี้ ทว่าท่านกลับมาหาข้าเสมอ ไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ” เขาถามหยั่งเชิงอีกครั้ง ก็กลัวว่าในมือเซ่าเจินจะซ่อนอะไรไว้อยู่แล้วไม่ยอมพูดออกมาให้ชัดเจน

“สำนักคุ้มกันปกปิดดังนั้นโดยปกติบัญชีจึงสะอาด ไปตรวจสอบร้านค้าของพวกเจ้าอย่างละเอียดก็คงจะตรวจสอบอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรการทำการค้าก็ต้องซื่อสัตย์ แต่ถ้าจะตรวจสอบการลักลอบก็ต้องมาตรวจสอบที่บ้านเจ้า เพียงแต่อำนาจทางราชการของข้าไม่ใหญ่พอ และข้าราชการท้องถิ่นตระกูลฮวงก็เพิ่งผ่านความเศร้าโศกที่เสียลูกชายไป ข้าก็ไม่อยากเพิ่งความทุกข์ให้กับเขาอีก เพราะอย่างไรลูกชายทั้งสองตระกูลสนิทกันดี การระแวงกันเช่นนี้เห็นได้ว่าเป็นข้าที่ผิด”

“ดังนั้นความหมายของท่านคือ?”

“คำที่คนว่าไม่มีการวางแผนระยะยาวช่วงเวลาอันใกล้ต้องเกิดเรื่องขึ้น คำพูดนี้ขอให้คุณชายใหญ่จำใส่ใจเสีย” คำพูดที่แฝงความหมายเช่นนี้ทำให้ตันฮั่นมั่นใจเซ่าเจินจะต้องหาหลักฐานอะไรบางอย่างเจอแล้ว แต่ที่เขาไม่ยอมพูดออกมาหรือจะให้เขายอมมอบตัว? แต่ทำไมไม่บังคับจับเขาเลยล่ะ?

ยังไม่ทันได้เข้าใจก็เห็นเซ่าเจินจัดเสื้อผ้าลุกขึ้นยืน ท่าทางเหมือนจะกลับบ้าน

ตันฮั่นลุกขึ้นยืนทันที “ท่านจะไปแล้วหรือ?”

“ใช่แล้ว พูดจบแล้วก็ขอไม่รบกวนคุณชายใหญ่อีก” เขาเก็บรอยยิ้ม สีหน้าเย็นชาลง

แต่สีหน้าที่เย็นชาเช่นนี้ทำเอาตันฮั่นเครียดขึ้นมา ออกปากเรียกอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “ท่าน!”

“หืม?” เขาหันกลับมามอง

“ขอให้เจ้าคิดตามคำพูดนี้เสียเถอะ”

“คำพูดอะไร?”

“ชะตาเป็นตายอยู่ในมือท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่ดึงคนอื่นในบ้านเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ความหวังที่หยั่งลึกเช่นนี้ เซ่าเจินจ้องมองเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “ชะตาลิขิต ตามเวรตามกรรม” พูดจบก็ก้าวออกจากบ้านไป

ตันฮั่นขอผิดคนเสียแล้ว เพราะอย่างไรคนที่สามารถเขียนชื่อคนในบ้านตระกูลตันบนสมุดเป็นตายนั้นได้ไม่ใช่เขาเซ่าเจิน แต่เป็นท่านอ๋องในอนาคต...

เซ่าเจินและหู่พั่วเดินผ่านทางเดินด้านซ้ายออกจากบ้านตระกูลตัน กลับไม่สังเกตเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่งดงามดั่งบุปผาที่เดินตามตันกุ้ยเข้าไปที่ลานบ้านตรงทางเดินด้านขวา

จีสิบสองมองดูรอบๆ โดยที่ไม่ใส่ใจว่ามีแขกคนอื่นออกจากบ้านไป กำลังดีใจที่ตัวเองหาที่พักไม่เลวได้

วันต่อมา

ตามที่ตันกุ้ยสั่ง เสวี่ยหรั่นถือถาดที่วางอาหารอยู่เต็มเดินมาที่ห้องพักแขก ปกติถึงแม้จะมีแขกที่ตันเป่าฉายเชิญจากที่ไกลมาพักชั่วคราวอยู่บ้าง แต่แขกในครั้งนี้กลับเป็นตันกุ้ยเชิญมาซึ่งยากจะได้เจอ ถึงแม้ว่าจะอยากรู้ตัวตนอีกฝ่ายแต่ก็ไม่น่าจะเป็นแม่นางจากหอคณิกา เพราะหากเป็นแม่นางจากหอคณิกาปกติตันกุ้ยก็จะนอนที่หอนางคณิกา ไม่ใช่ตั้งใจพากลับมาที่บ้าน

เมื่อวานได้เหลือบเห็นความงามของจีสิบสอง ช่างทำให้ยากที่จะลืมเสียจริง นางเดินไปถึงหน้าห้องแล้วเคาะประตู “แม่นางจี ข้านำอาหารเช้ามาส่ง”

ผ่านไปไม่นานประตูก็เปิดออก ที่ปรากฏเข้ามาในสายตาคือแม่นางจีสิบสองที่ยังไม่มัดผม “ช่างตื่นเช้าเสียจริงๆ” พูดไปพลางก็ถอยให้นางเข้าห้องไปพลาง เสวี่ยหรั่นวางถาดไว้บนโต๊ะ เห็นนางยังทำตาปรืออยู่ “แม่นางจีหลับสบายดีหรือไม่?”

จีสิบสองได้ยิน ก็หัวเราะอย่างเย็นชาพูดว่า “กลางดึกมีหมาป่าตัวหนึ่งพยายามจะบุกเข้าห้องข้า ข้าจะหลับอย่างสงบได้เสียที่ไหน”

หลังจากอ่านความหมายของนางก็แสดงสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย “คุณชายน้อยแค่อยากทำดี กลัวว่าเจ้าจะไม่ชินที่”

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจความตั้งใจของเขา” มันก็แค่มีงูอยู่บนหัวไม่ใช่หรือ

นางไม่อยากพูดถึงแต่ตันกุ้ยตลอด นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งถามเสวี่ยหรั่นว่า “เจ้าหวีผมเป็นหรือไม่?” เสวี่ยหรั่นอ่านความหมายจากการสะท้อนของกระจกอย่างลำบาก จากนั้นก็พยักหน้า

“งั้นช่วยหวีให้ข้าเถอะ ข้าหวีไม่เป็น” แล้วยิ้มเจื่อนๆ ส่งหวีให้นาง

นางรับหวีมาจับผมสีดำอย่างอ่อนโยน หลังจากที่หวีอย่างละเอียดก็จัดให้เป็นทรง ผมที่ตอนแรกยังยุ่งๆ อยู่ไม่ทันไรก็เริ่มจะเก็บเข้าที่ด้านซ้าย ผมทุกเส้นถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็หยิบสายคาดสีเหลืองมัดไว้ แล้วปักปิ่นปักผมที่มีลวดลายสวยงาม

“แม่นางจี แบบนี้ใช้ได้หรือไม่?” นางยิ้มถามจีสิบสอง จีสิบสองพยักหน้าด้วยความพอใจ “ขอบคุณเจ้ามาก ข้าชอบมาก” แน่นอนว่านางจะมัดหรือไม่มัดก็เป็นไม่เป็นไร แต่เพื่อ ‘แต่ง’ ให้เหมือน ด้วยความเบื่อหน่ายก็ต้องแต่งกันบ้างเล็กน้อย

“แม่นางจีชอบก็ดีแล้ว มากินข้าวเถอะ” นางเดินมาที่ข้างโต๊ะแล้วพูดขึ้น

จีสิบสองเงยหน้าลุกขึ้นยืน เพิ่งหันหลังมา ก็ตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น “อ๊ะ!”

เสวี่ยหรั่นเห็นท่าก็ตกใจ รีบย่อตัวลงจะประคองนางลุกขึ้น แต่จีสิบสองกลับคว้านางไว้แล้วร้องไม่หยุดว่า “เจ้าเห็นหรือไม่? เห็นหรือไม่?”

“เห็นอะไรหรือ?” นางถามอย่างไม่เข้าใจ

นางมีสีหน้าขาวซีดท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก “ผี!”

“ผี?” เสวี่ยหรั่นขมวดคิ้วรู้สึกประหลาดใจ

“ใช่ ผีที่หน้าตาเหี้ยมโหด และไม่มีความเป็นคนเลย”

การอธิบายที่เห็นภาพชัดเจนเช่นนี้ทำเอานางรู้สึกว่าน่าจะเป็นคนมากกว่ากระมัง “แม่นางจีเจ้าดูผิดแล้ว กลางวันเช่นนี้จะมีผีได้อย่างไร ข้าไม่เห็นอะไรเลย” จีสิบสองได้ยินก็ยังไม่เชื่อ ชะเง้อมองไปที่ข้างนอกตลอด

เสวี่ยหรั่นเห็นนางไม่วางใจจึงเดินตรงไปข้างนอกประตูมองดูรอบๆ แล้วพูดขึ้น “ไม่มีผีที่เหี้ยมโหดไม่มีความเป็นชั่วร้ายที่ไหนเลย” แล้วก็ประคองนางให้นั่ง ตักข้าวต้มส่งให้นาง พลางปลอบนางว่า ”แม่นางจีอย่าหลอกตัวเองเลย กินข้าวดีๆ เถอะ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”

จีสิบสองกินข้าวต้มด้วยท่าทางหวาดกลัว สองตากลมโตยังคงจ้องมองนอกประตู

เสวี่ยหรั่นเห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็อดไม่ได้ปิดปากหัวเราะขึ้นมา ห้องพักแขกตระกูลตันแต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินว่ามีข่าวสือเรื่องผี แม่นางจีสิบสองพอเข้ามาพักก็ร้องลั่นว่ามีผีเสียอย่างนั้น ทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่าเป็นคุณชายน้อยที่เมื่อคืนแอบย่องห้องนอนหญิงงามหรือไม่ ทำเอาแม่นางจีสิบสองประสาทเสีย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงก้มลงพูดว่า “ถ้าหากแม่นางจียังคงกลัวอยู่ละก็ ให้ข้าไปตามคุณชายน้อยมาหรือไม่?”

พอได้ยินจะให้ตันกุ้ยมา ข้าวต้มที่กำลังจะกลืนลงไปก็พ่นออกมาทันทีทำเอานางไออยู่หลายครั้ง เสวี่ยหรั่นรีบเอาผ้ามาเช็ดให้นาง “ไม่เป็นไรใช่ไหม? แม่นางจี”

นางไออยู่หลายทีถึงพูดว่า “เจ้าอย่าพูดถึงเขา ข้าก็ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”

“แม่นางจีไม่ชอบคุณชายสามหรือ?” แล้วทำไมถึงตามคุณชายน้อยกลับมา?

นางดื่มชาหลายอึกเพื่อให้ชุ่มคอ “เห็นชัดขนาดนั้นหรือ?”

เสวี่ยหรั่นไม่พูดอะไรแต่ยิ้มอย่างเดียว จีสิบสองเห็นท่ากลับถอนหายใจ “บอกตามตรงข้าก็คิดแค่ไม่อยู่ก็เสียเปล่าถึงได้ตามตันกุ้ยมา” นึกไม่ถึงว่าถึงกับเจอผีที่นี่ คนเราไม่ควรคิดชั่วเลยจริงๆ

เพียงแต่ว่าทำไม ‘ผี’ นั่น ถึงอยู่ที่นี่? เพราะนางอยู่ที่นี่จึงมาเตือนนางอย่างนั้นหรือ?

“แม่นางจีช่างเป็นคนซื่อตรงเสียจริงๆ พูดได้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้” ถึงแม้ว่าตามมารยาทของหญิงสาวจะพูดแบบนั้นไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมต่างถิ่นไม่เหมือนกัน ทำเอานางรู้สึกแปลกใหม่ “แม่นางจีคิดจะอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไหร่หรือ?”

“รอให้หาพี่ชายข้าเจอกระมัง” แล้วนางก็กินข้าวต้มต่อ อาหารในจานก็ค่อยๆ เข้าปากทีละอย่าง “ผีที่ข้าเห็นเมื่อสักครู่ก็เหมือนกับพี่ชายของข้า”

เสวี่ยหรั่นตกใจเล็กน้อย “พี่ชายของแม่นางจีเหมือนผีอย่างนั้นหรือ?”

--------------------------------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา