สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  16.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) บทที่ 3-5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             นางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ใช่แล้ว ชาตินี้เขาเกิดมาเป็นคนน่าเสียดายนัก ประโยคที่ว่าไม่รู้จักอย่าเข้าใกล้เห็นได้บนตัวเขาอย่างชัดเจน ทุกคนเห็นเขาล้วนถูกหลอกจนสีหน้าซีดเผือก พูดถึงเขาข้าก็เกือบกินข้าวไม่ลงเสียแล้ว”

“งั้นทำไมเจ้าถึงยังมาตามหาเขา?” นางพรรณนาพี่ชายตัวเองถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าน่าจะเกรงกลัวพี่ชายคนนี้ไม่น้อย

“เพราะมีแม่นางคนหนึ่งมาถึงที่บ้านอยากจะเจอพี่หก แต่ก็ไม่รู้ว่าพี่หกจะกลับมาเมื่อไหร่ เช่นนั้นท่านพ่อจึงให้ข้าออกมาตามหา” แต่ว่าไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเหนื่อยเปล่า พี่หกไม่ยอมไปต่อให้เอาม้าสิบตัวมาลากเขาก็ไม่ไป

จะว่าไปทำไมเขาถึงมาในที่ที่ไกลเช่นนี้ได้ ความเป็นไปได้เดียวที่นางนึกถึงก็คือที่เมืองนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้มาที่นี่ นางวางถ้วยชามลง มองไปที่เสวี่ยหรั่นถามว่า “ช่วงนี้ในเมืองได้เกิดเรื่องอะไรหรือไม่?”

เสวี่ยหรั่นส่ายหน้ายิ้มด้วยท่าทางขอโทษ “เพราะข้าไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องต่างๆ ที่อยู่ในเมือง แต่ได้ยินเป่าฉือเล่าว่าไม่กี่วันก่อนลูกชายของขุนนางฮวงถูกลอบสังหารกลางดึก งานศพก็เพิ่งจะเสร็จเมื่อไม่นานนี้”

เทียบกับคดีฆาตกรรมจีสิบสองกลับประหลาดใจที่นางไม่ได้ยินมากกว่า “เจ้าไม่ได้ยิน? งั้นทำไมถึงสนทนากับข้าได้อย่างลื่นไหลเช่นนี้?”

นางยิ้มเจื่อนๆ “ข้าไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด แต่เพราะอุบัติเหตุในตอนหลัง นายหญิงสงสารข้าจึงตั้งใจหาคนสอนวิธีอ่านรูปปากให้ข้าเพื่อเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ดังนั้นข้าจึงรู้ความหมายที่เจ้าพูดได้”

“ช่างลำบากเจ้าเสียจริงๆ แต่ว่านายหญิงตันก็ดูแลเจ้าดีเสียจริง ถึงกับจ้างคนที่มีความสามารถด้านนี้มาสอนเจ้า” นางคิดต่ออีกเล็กน้อย แล้วพูดว่า “แต่เมื่อวานข้าเห็นเพียงผู้เฒ่าตัน ไม่ได้เห็นนายหญิงตันเลย”

“นายหญิงตันได้เสียไปเพราะอาการป่วยเมื่อห้าปีก่อนแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะยกเรื่องที่น่าเศร้าเช่นนี้ขึ้นมา ขอโทษด้วย” จีสิบสองพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

เสวี่ยหรั่นส่ายหน้ายิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร แม่นางจีทานอิ่มหรือยัง?” นางมองอาหารเช้าที่เกือบจะหมดแล้วบนโต๊ะ ปริมาณการกินของแม่นางคนนี้กลับไม่ต่างจากผู้ชายเลย ช่างกินเก่งเสียจริง

“อืม กินอิ่มแล้ว”

“เช่นนั้นข้าขอตัว” พูดจบ เสวี่ยหรั่นก็เริ่มเก็บกวาด ขณะจะออกไปก็เห็นจีสิบสองมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง “แม่นางจี มีเรื่องอะไรหรือ?”

“เดี๋ยวพวกเราไปเดินเล่นที่ตลาดดีไหม?” จีสิบสองยิ้มเชื้อเชิญนาง

“หากจะหาคนไปช่วยถือของ ข้าคนเดียวเกรงว่าจะไม่ไหว อย่างไรเสียให้ข้าพาคนงานอีกคนไปด้วยดีไหม?”

“ไม่ใช่จะให้เจ้าถือของ ข้าแค่อยากให้เจ้าเดินเป็นเพื่อนข้าจะได้ไม่ต้องให้ตันกุ้ยมายุ่งกับข้า”

เสวี่ยหรั่นหัวเราะเล็กน้อย พูดขึ้น “งั้นแม่นางจีไปรอข้าหน้าบ้านก่อนได้หรือไม่? อีกสักพักข้าจะตามไป”

“ได้ได้ได้ อย่าลืมมานะ” จีสิบสองหลีกทางให้อย่างดีใจ

เห็นนางเดินไป จีสิบสองกำลังจะปิดประตูกลับรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ทำเอานางตัวสั่นและมองข้างนอกประตูอีกครั้ง “แปลกจริง บ้านตระกูลตันนี้ไม่สะอาดหรือเปล่า” นางพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย  กลัวว่าเมื่อสักครู่ ‘ผี’ ที่ตาลายมองเห็นจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในใจของนางไม่สงบ แล้วรีบวิ่งไปรอเสวี่ยหรั่นหน้าบ้าน

ผ่านไปครู่หนึ่งพวกนางก็เดินอยู่ในตลาดเบียดเสียดกับฝูงชน ร้านค้าต่างๆ ก็เริ่มแขวนโคมไฟสวยงามขึ้นมา เป่าฉือเงยหน้ามองโคมไฟสีสันสวยงามแล้วตื่นเต้นไม่น้อย ข้างหลังเสวี่ยหรั่นและจีสิบสองก็เดินคู่กันมา

“แม่นางจีขอโทษด้วย เพราะเป่าฉือร้องจะตามออกมา ข้าปฏิเสธนางไม่ไหวจึง...”

“ไม่เป็นไร อย่างไรก็ไม่เกะกะ คนที่เกะกะที่สุดในสายตาข้าก็มีเพียงตันกุ้ยเท่านั้น”

คำพูดที่ไม่เกรงใจทำเอาเสวี่ยหรั่นรู้สึกอายขึ้นมาไม่รู้จะพูดอะไร

จีสิบสองมองดูรอบๆ แล้วพูดว่า “มะรืนนี้ก็เป็นวันเทศกาลดอกไม้ไฟแล้วกระมัง คนที่อยู่บนถนนเยอะกว่าเมื่อวานที่ข้าเห็นเสียอีก”

“ใช่แล้ว ทุกปีก็จะเป็นเช่นนี้ วันก่อนเทศกาลดอกไม้ไฟสองวันคนก็จะมาจากทั่วทุกหนแห่ง” พูดจบ นางก็มองไปที่เป่าฉือแต่กลับหานางไม่เจอ นางมองดูรอบๆ ด้วยความร้อนรน “เป่าฉือหายไปแล้ว”

จีสิบสองไม่ได้ตกใจ พูดอย่างนิ่งเฉยว่า “อาจจะถูกฝูงชนเบียดไปข้างหน้าแล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

ทว่าเพราะเสวี่ยหรั่นมัวแต่มองดูรอบๆ จึงไม่ได้อ่านปากของนาง เพิ่งนึกเรื่องที่นางไม่ได้ยินขึ้นมาได้ขณะที่กำลังจะตบไหล่นางนั่นเอง ฝูงชนที่จู่ๆ ก็เบียดเสียดเข้ามาก็แยกนางออกจากเสวี่ยหรั่น ขณะที่นางเบียดออกจากฝูงชนหอบหายใจอยู่นั้นเสวี่ยหรั่นก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้านางเสียแล้ว

“หืม? ทำไมหายไปกันหมดเลย?” ทีนี้นางจึงได้แต่เดินตามฝูงชนค่อยๆ ตามพวกนางขึ้นไป

เสวี่ยหรั่นที่จู่ๆ ก็ถูกเบียดจนแยกจากกันก็สังเกตว่าจีสิบสองหายไป ขณะที่นางคิดจะเดินย้อนกลับแต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ถูกฝูงชนเบียดเดินไปข้างหน้า เห็นว่าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง นางคิดอยู่เล็กน้อยจึงตัดสินใจไปซอยข้างๆ รอให้ฝูงชนผ่านไปค่อยตามหาเป่าฉือและจีสิบสอง

แต่เพิ่งจะเดินไปด้านข้างไม่กี่ก้าว คนที่มาจากด้านหลังก็ชนเข้ากับนางพอดี นางทรงตัวไม่อยู่ขึ้นมารู้สึกเหมือนจะล้มลงไปบนพื้น พอนึกถึงว่าอาจจะถูกฝูงชนเหยียบย่ำ ก็หลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวด แต่รออยู่พักหนึ่งกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแถมเหมือนยังไม่ล้มลง นางจึงลืมตาครึ่งหนึ่งด้วยความสงสัย ถึงเพิ่งสังเกตว่าตัวเองได้ออกจากฝูงชนทั้งยังถูกปกป้องอยู่ในอ้อมกอดเสียด้วย

ที่ประหลาดใจมากขึ้นอีกคือ คนที่กอดนางอยู่กลับเป็นเขา!

“เจ้าเอง!”

เห็นท่าทางดีใจของนาง เขาเผยอมุมปากเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่ไหม” แล้วลูบผมสีดำของนางเล่น “เดินระวังบ้าง อย่ามัวแต่มองซ้ายมองขวา”

เห็นตัวเองถูกเขามองเป็นเหมือนเด็กสามขวบ นางจึงยิ้มเจื่อนๆ “คนที่ออกมากับข้าถูกเบียดหายไปแล้ว ข้ากำลังตามหาพวกนางอยู่”

เซ่าเหยียนตบฝุ่นที่อยู่ตรงไหล่แทนนาง “ดูแลตัวเองให้รอดก็พอ คนอื่นย่อมมีวิธีของตัวเอง”

เห็นท่าทางของเขาที่ตบฝุ่นให้ตัวเอง ในใจก็เกิดความรู้สึกที่อบอุ่นและหวานซึ้ง

แล้วนางก็ถึงเรื่องปิ่นปักผมขึ้นมาได้ทันที จึงหันไปถามเขาว่า “ทำไมบนตัวเจ้าถึงมีเงิน? เจ้าไม่ใช่ว่าเป็น...” ขอทานสองคำนี้ช่างพูดออกมายากเสียเหลือเกิน

ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ว่าจะใช้คำอะไรที่ดีกว่านั้น เซ่าเหยียนก็ยกหน้าของนางขึ้นพูดออกมาตรงๆ ว่า “ข้าไม่ใช่ขอทาน”

เสวี่ยหรั่นคว้าสองมือของเขาทันทีด้วยความละอายใจ บนหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษจริงๆ เป็นข้าเองที่ตัดสินคนที่หน้าตา”

“ไม่เป็นไร เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยๆ”

“หืม?”

เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยๆ? ไปปลอมตัวเป็นขอทาน?

“นี่เป็นความชอบ...ของเจ้า?” นางถามอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะพูดผิดทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย

“จะว่าเช่นนั้นก็ได้”

เสวี่ยหรั่นจ้องเขา ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

เขาในวันนี้ดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ การกระทำทุกอย่างล้วนมีความวดวามที่นิ่งสงบบางอย่าง ที่จริงแล้วต่อให้เขายังมีท่าทางที่เป็นขอทานเย็นชา สำหรับนางแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

อีกอย่างตอนนี้เขาสามารถปฏิบัติต่อตัวเองได้อ่อนโยนเช่นนี้ก็ได้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ทำเอานางอดไม่ได้ที่อยากจะรู้ด้านที่แตกต่างไปของเขาให้มากขึ้น

ไม่รู้ว่าอารมณ์ที่เป็นเช่นนี้จะหมายถึงนางได้มีใจให้เขาหรือไม่ พอนึกถึงตัวเองชอบเขาเข้าให้ใบหน้าก็แดงจนเหมือนมะเขือเทศทันที

เซ่าเหยียนเห็นเช่นนี้ ก็ยื่นมือแตะไปที่ริมฝีปากของนาง พูดว่า “ความรักของเจ้าข้ารับไว้แล้ว เสวี่ยหรั่น”

“หืม?” ยังไม่ทันเข้าใจความหมาย ริมฝีปากนั้นก็แตะบนริมฝีปากตัวเอง

ความอ่อนนุ่มที่สัมผัสซึ่งกันและกันทำเอานางอดไม่ได้ที่จะเขย่งเท้าเข้าไปหาเขา สองแก้มที่ร้อนแรงแทบทำเอานางขาดอากาศหายใจ

ผ่านไปอยู่นาน เขายังคงจูบอย่างไม่หายอยาก จนนางเขินอายถึงกับต้องซุกที่อกเขาถึงยอมเลิก เซ่าเหยียนกอดนางอยู่พักใหญ่ไม่ยอมปล่อยมือ จนตัวนางเองถอยออกมาเงยหน้ามองมาที่ตัวเอง กลับได้ยินนางพูดว่า “ข้า ข้าเป็นแค่สาวใช้ เพียงแค่... เพียงแค่สาวใช้คนหนึ่ง แบบนี้จะสามารถอยู่กับเจ้าได้หรือ?”

แถมยังเป็นสาวใช้ที่ไม่ได้ยินอีก นางที่เป็นเช่นนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับความรักจากคนอื่นหรือไม่ แล้วจะเอาอารมณ์รักใคร่ใส่ให้กับคนที่มีอนาคตอีกยาวไกลได้อย่างไร

บางทีตั้งแต่ที่ได้เจอเขาตัวเองก็อยากจะไปหาเขาโดยไม่รู้สึกตัว บางทีครั้งแรกที่เขามองนางตรงๆ ก็ให้ใจไปแล้ว และวันนี้ก็ได้เจออีกด้านหนึ่งของเขา แววตาและรูปลักษณ์ภายนอกช่างแตกต่างกันเช่นนี้ แววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความรู้สึกที่เต็มปี่ยมทำเอานางหลง แม้แต่การเหลือบมองด้วยความเย็นชาหรือยิ้มอย่างอ่อนโยนก็ทำเอาอยากจะมองอีกอย่างไม่รุ้ตัว

“ข้าข้าไม่อยากให้เจ้ารู้สึกเป็นภาระ”

ได้ยินดังนั้น เขาขมวดคิ้วเชยแก้มของนางขึ้น “นี่ไม่เป็นภาระของข้า ถ้าหากติดใจเรื่องฐานะที่เป็นสาวใช้ งั้นขอแค่ไม่ใช่ก็ได้แล้ว”

อืม... จะว่าแบบนี้หรือ? เสวี่ยหรั่นเอียงหัวใช้ความคิด เขากลับชูหน้านางให้มองตรงไปที่ตัวเอง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “งั้นเจ้าก็จะไม่ได้เป็นในไม่ช้านี้”

นางตอบสนองไม่ถูก เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไร

“เชื่อข้า!”

คำพูดสั้นๆ สองคำพูดได้กระทบเสียงในหัวใจของเสวี่ยหรั่น แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็อดไม่ได้ที่อยากจะตอบเขากลับไป “ข้าเชื่อเจ้า” เขาก็พยักหน้ารับ “ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า”

เสวี่ยหรั่นเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขาและทำให้นางไม่สามารถเมินเฉยๆด้ จึงยื่นมือแตะไปที่หางตาของเขาอย่างไม่รู้ตัว “ข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายข้า”

การสัมผัสนี้เหมือนแตะถูกบางอย่างในใจของเขา ความอยากครอบครองในแววตาปรากฏอย่างเป็นธรรมชาติ “ที่เจ้าเอื้อมไม่ถึงข้าจะให้เจ้าเอง เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจสิ่งเหล่านั้น” จากนั้น เขาก็ก้มหน้าจูบไปที่ริมฝีปากของนางอีกครั้ง การจูบในครั้งนี้ยิ่งเข้มข้นและเอาแต่ใจมากขึ้น

เสวี่ยหรั่นถูกเขาจูบจนสมองว่างเปล่า ยังไม่สังเกตว่าเป่าฉือกำลังร้องไห้หอบหายใจมองไปที่พวกเขา จนเศ่าเหยียนถอยออกยกหน้านางมองไปที่เป่าฉือถึงได้เห็นดวงตานั้นนอกจากน้ำตาแล้วยังมีความประหลาดใจแฝงอยู่

“เป่า เป่าฉือ!” นางตกใจ รีบเดินไปหานาง “ฉือ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ พอหันหัวมาจู่ๆ ก็ไม่เห็นเจ้าและแม่นางจี” นางถอนหายใจ คว้านางไว้แน้น จากนั้นก็สังเกตชายหนุ่มเมื่อสักครู่ก็หายไปโดยไม่กล่าวลา ส่วนเสวี่ยหรั่นก็ไม่ได้ห้ามเขาจากไป

เป่าฉือทนความอยากรู้ไม่ไหว จึงดึงแขนเสื้อเสวี่ยหรั่นถามว่า “ทำไมเจ้าถึงสนิทกับคนนี้ แถมยังจูบปากกันอีก”

คำพูดนี้พูดออกมาตรงเกินไป จนนางไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี จึงได้แต่เปลี่ยนเรื่อง “พวก พวกเราก็รีบตามหาแม่นางจีกันเถอะ”

ตลอดทางเป่าฉือหลับไม่คิดจะปล่อยนางไป ถามอยู่ตลอดจนทำเอานางรับมือไม่ไหว

ในเวลาเดียวกัน จีสิบสองกลับถูกคนพาออกจากฝูงชน ภายใต้การจ้องมองของใบหน้าที่มีอาการป่วยก็ยังคงทำหน้าเหมือนเห็นผีอย่างนั้นเช่นเดิม

--------------------------------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา