นักรบพันธุ์โหด ตอน ณัชฐานันท์

-

เขียนโดย กนกพัชร

วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.18 น.

  88 ตอน
  16 วิจารณ์
  60.95K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

71) ตอนที่ 71 แตกคณะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เข้าโซนเขตประทะ
   "ทุกคนระวังให้ดีนะจากตรงนี้ไปจะเข้าเขตของพวกอันเดธแล้ว" พันตรีเลนนี่กล่าว พร้อมกับเดินนำขบวนด้วยความเงียบเชียบ ซึ่งแน่นอนว่าการเดินต้องไม่มีเสียงฝ่าเท้าเสียดสีกับพื้นเด็ดขาด เพราะอันเดธบางตนประสาทสัมผัสด้านเสียงค่อนข้างไว
   ซึ่งก็ร่วมทั้งต้องปิดวิทยุสื่อสารทุกอย่างด้วยดังนั้นการส่งคำสั่ง จะเป็นภาษามือชะมากกว่าอย่างไรก็ตามสำหรับแท็กกับศุภรัศมิ์ ที่อยู่กลางหมู่แถวนั้นต้องยอมรับว่าระเบียบการทำงานของทหารที่นี้ ก็เป็นระบบและเป็นมืออาชีพไม่ต่างจากทหารของฟรอนร์เทียร์ ตามข้อมูลที่เขาได้รับมานั้นทหารของไวด์โร๊ดนั้นได้รับการฝึกร่วมกับนานาประเทศ หลังผ่านวิกฤตทางการเมืองมาได้ 13 ปี แล้วท่านทูตอากิระเคยเล่าให้ทั้งสองฟังว่า ช่วงแรกที่แม่บุญธรรมของพวกเขาเดินทางมาเจริญไมตรีนั้น ดูแย่กว่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้
   เสียงการปะทะระหว่างทหารกับพวกอันเดธดังไม่ขาดสาย ทำให้พันตรีเลนนี่ต้องพาเดินอ้อมเลาะจากทางสวนสาธารณะไป พวกเขาจำเป็นต้องก้มต่ำเอาไว้เพราะว่าตรงนั้นฝูงอันเดธยึดครองหมดแล้ว แต่ จ่าสิบโทศุกลวัฒน์ ซึ่งอยู่เดินหน้าแท็กนั้นบอกว่าจะมีหน่วยเก็บกวาดมาจัดการอีกที แปลว่าตลอดการเดินเท้าต้องเลี่ยงปะทะเท่านั้น มันทำให้แท็กไม่ค่อยพอใจอย่างมากเพราะเขานึกว่าจะได้จัดการกับพวกนายแป๋วเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาทำภารกิจแบบนี้เนี่ยนะ หลังจากที่เดินเลาะอ้อมจากสวนสาธารณะออกมาแล้วนั้น พันตรีเลนนี่กับร้อยเอกสก็อตต์เรียกร่วมกลุ่ม     
   "ฟังนะพวกเราจะเข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้น ตามรายงานครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดวิทยุสื่อสาร พลเรือน 6 คนหลบอยู่ข้างในนั้น"
   ห้างสรรพสินค้าดั่งกล่าวนั้นอยู่ไม่ไกลมากหากดูด้วยตา แต่ถ้าต้องเดินด้วยเท้าค่อนข้างไกลพอสมควร อย่างไรก็ตามร้อยเอกสก็อตต์ได้ดูแผนที่อีกครั้งโดยเขาบอกว่ามันมีทางลัดที่น่าจะไม่มีอันเดธอยู่ เพราะหากเดินเลาะตามถนนนั้นอาจเสี่ยงเจอกับฝูงอันเดธที่จะตามไปสมทบกับพวกที่ปะทะกับกองรบอยู่ ดังนั้นถ้าเดินอ้อมไปทางข้างหลังของห้างมันจะง่ายกว่า เพราะมันจะมีทางเชื่อมไปอีกถนนแต่ทว่าแท็กกลับคิดอีกแบบ
   "ถ้านี่เป็นกับดักละ เราจะรู้ได้ยังไงว่าพลเรือนอยู่ที่นั้น" เสียงของแท็กทำให้ทั้งทีมหันมามองหน้าเดียว
   "อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นยุวชนทหารหญิงณัฐฐานันท์" พันตรีเลนนี่ถามขึ้น
   "ผมดูจากจุดมาร์กสีแดงที่มีมากกว่าเขตที่ถูกยึดคืนชะอีก นั้นย่อมแปลว่าหากพลเรือนยังติดอยู่ในเขตนั้นจริง พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงเอาชีวิตมาทิ้งแน่นอน เพราะอันเดธคงเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มถนนแน่นอน"
   คำพูดของแท็กใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลชะทีเดียวเพราะเท่าที่พันตรีเลนนี่กับร้อยเอกสก็อตต์ไปสำรวจมา อันเดธหลายสิบตนก็เพ่นพ่านตามถนนจริงซึ่งมันยากมากที่จะเดินหลบเลี่ยงออกมาได้ แล้วทำไมพลเรือน 6 คนที่ไม่มีอาวุธสู้แถมยังมีคนเจ็บด้วย ยิ่งเคลื่อนย้ายลำบากแน่นอน แต่ยังไงก็ขอลองเสี่ยงดวงดูสักตั้งเพราะเขาก็เชื่อว่ายังดีกว่ามานั่งระแวงจนเสียภารกิจ เพราะถ้าหากเป็นพลเรือนจริงไม่ใช่อันเดธ ก็เท่ากับปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นพบจุดจบ
   "ถ้ามันเป็นกับดักละก็.... พวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ไปกันได้แล้ว" พันตรีเลนนี่กล่าวสรุป จึงยังทำให้ภารกิจนั้นยังคงเดินหน้าต่อไป
   และเพื่อความแน่นอนว่าตรงที่พวกเขาเคลื่อนพลนั้น จะไม่มีฝูงอันเดธจริงๆศุภรัศมิ์อาสาไปหาตัวล่อเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งเขาเลือกใช้รถที่ยังสภาพดีพอสมควรแม้ว่าจะเปื้อนเลือด และมีศพที่เหมือนอันเดธจะแถะกินเหลือไว้ซึ่งสภาพไม่น่าดูเท่าไหร่ ศุภรัศมิ์ตัดสินใจปลดสายคาดออกและนำตัวผู้เคราะห์ร้ายออกมา ก่อนจะนำเสื้อผ้าด้านหลังรถที่กระจุยกระจายออกมาคลุมไว้ โชคดีหน่อยตรงที่กุญแจรถยังเสียบคาไว้อยู่ ศุภรัศมิ์ไม่รอช้ารีบทำการสตาร์ทรถทันที แค่เสียงเครื่องยนต์ก็ทำให้อันเดธหันมาสนใจกันแล้ว ตรงนี้ทำให้พวกคนอื่นๆลุ้นกันอยู่ โดยเฉพาะกับ สิบเอกฉัตรอดุลย์ ที่ทำหน้าที่คุ้มกันศุภรัศมิ์อยู่
    เมื่อดึงดูดความสนใจได้สำเร็จศุภรัศมิ์ใช้กระเป๋าเดินทาง เหยียบคันเร่งเพื่อให้อันเดธหลายตนนั้นตามติดเสียงรถคันนั้นไป เมื่อปลอดอันเดธแล้วพันตรีเลนนี่ทำหน้าที่นำขบวนอย่างรวดเร็ว โดยที่สิบเอกฉัตรอดุลย์และศุภรัศมิ์นั้นสามารถกลับมาอยู่ขบวนได้ตามเดิม พวกเขาเดินมาอยู่ข้างหลังของห้างแล้ว พบแต่เพียงซากศพของพลเรือนที่หนีไม่พ้นและมีสภาพเละเทะจนแบบ เหล่าชายชาติทหารยังต้องเบือนหนีเลย
    ร้อยเอกสก็อตต์ทำการสำรวจแล้วว่าไม่มีอันเดธทำให้พันตรีเลนนี่นั้น ออกคำสั่งให้เคลื่อนพลเข้าไปในทางลานจอดรถ แท็กพบว่าลานจอดรถภายในตึกนั้นมันมืดพอสมควร แต่ก็ยังพอมีแสงจากหลอดไฟอยู่บ้าง ที่สำคัญแท็กพบร่องรอยว่ามีอันเดธอยู่ที่นี้แต่เพราะตัวล่อของศุภรัศมิ์ทำให้พวกมันวิ่งออกจากตึก กลิ่นคาวเลือดยังฟุ้งอยู่ตลอดจนแท็กจะหายใจไม่ออกแล้ว พวกเขาเคลื่อนเท้ามาที่ประตูทางเข้าของห้างซึ่งปิดไม่สนิทเพราะมีศพที่ไม่สามารถระบุเพศได้ นอนขวางเอาไว้อยู่ร้อยเอกสก็อตต์กับจ่าสิบโทศุกลวัฒน์ช่วยกันลากศพออกมา ซึ่งเลือดก็ไหลออกมาเป็นทางแต่พวกเขาไม่สนใจ
    "จากตรงนี้อาจยังไม่ปลอดภัยเท่าไหร่... เราจะใช้เท้าเดินเบาๆและเงียบๆใช้กล้องอินฟาเรดชะ เพราะที่นี้ถูกตัดไฟแล้ว" ว่าแล้วทุกคนต่างก็สวมกล้องอินฟาเรด ร่วมทั้งแท็กกับศุภรัศมิ์ด้วยเพราะข้างในมันมืดจริงๆแม้ว่าจะมีแสงส่องเข้าไป ก็ใช่ว่าจะมองเห็น 100%
    เมื่อเริ่มเข้ามาในตัวห้างแล้วคราวนี้ความเงียบของจริง เสียงฝีเท้าของแต่ละคนเงียบกันมากแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจในนี้เลย จากข้อมูลของห้างนี้มันมีทั้งหมด 5 ชั้น โซนที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเป็นศูนย์อาหารที่แท็กจำได้ว่า มันเป็นศูนย์อาหารที่มธุกรกับสายป่านมานั่งกินตอนเลิกเรียน บัดนี้มันว่างเปล่าข้าวของกระจุยจายเต็มพื้นซึ่งไม่ใช่เรื่องดี เพราะพวกเขายังต้องระวังด้วยในการเดิน โธ่ ให้ตายเถอะลำบากไปป้าวว่ะเนี่ย แท็กคิดในใจ
    พวกเขาเดินเลาะออกจากศูนย์อาหารแล้วก็เดินตรงไปที่ลานกว้าง เพื่อจะหาทางเชื่อมที่จะไปค้นที่ซ่อนของพลเรือน โดยตามสัญญาณโทรศัพท์มือถือของพลเรือน ตลอดที่เดินผ่านนั้นแท็กมีแอบฉกพวกขนมขึ้นมากินเพื่อประทังความหิวไว้ และดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเสียด้วย เมื่อพวกเขานั้นตามสัญญาณมาถึงลานกว้างแล้ว ร้อยเอกสก็อตต์พบว่าสัญญาณมันแรงขึ้นเท่าตัว ทำให้เชื่อว่าพลเรือนอยู่ที่นั้นแน่นอน แต่ทว่า.... กลับพบแต่ความว่างเปล่าเมื่อพวกเขามาถึง
     "ผู้หมวดนี่มันอะไรกัน" พันตรีเลนนี่หันมาถาม
     "สัญญาณมันพามาที่นี้จริงๆและเครื่องไม่มีทางร่วนแน่นอนครับ" ร้อยเอกสก็อตต์ตอบพร้อมกับเช็คอุปกรณ์อีกครั้ง ซึ่งมันยังยืนยันอย่างเดิม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ลูกทีมทีเหลือนั้นสับสนพอสมควร แต่แล้วแท็กกลับเห็นอะไรบางอย่างจากกล้องอินฟาเรด มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในโต๊ะประชาสัมพันธ์
     "ไอ้น้องนั้นจะไปไหนนะ" สิบเอกแฟรงค์หันมาถามเมื่อแท็กแยกขบวนออกมา ทำให้เขาตัดสินใจต้องเดินตาม
     แท็กมาที่โต๊ะประชาสัมพันธ์แล้วตัดสินใจถอดกล้องอินฟาเรดออก เพื่อความถนัดของตัวเขาเองและพอเขาดึงของที่น่าสงสัยในตอนแรกขึ้นมา มันเป็นมือถือที่ชุบไปด้วยเลือดพร้อมกับข้อความบนกระดาษว่า "เจอแกแล้ว" สัญชาตญาณของแท็กทำให้เขาหันกลับไปตะโกนบอกคนในทีมว่า "มันเป็นกับดัก" แต่ก็ยังไม่ทันที่จะตะโกนออกไปนั้น สิบเอกแฟรงค์ถูกอันเดธร่างยักษ์พอสมควรใช้ลิ้นมัดตัวทหารหนุ่มแล้วลากเข้าไปในปากมันทั้งเป็น !
     ไม่นานนักหลังจากสิบเอกแฟรงค์ถูกสังเวยไปเหล่าอันเดธที่กระหายเนื้อสดของมนุษย์ ก็พุ่งเข้าโจมตีทีมของพันตรีเลนนี่จากทั่วสารทิศทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไร้วี่แววของพวกมัน การโจมตีแบบไม่ให้ทันตั้งตัวนั้นทำให้เกิดการแตกทีมไปคนละทิศคนละทาง มีเพียงพันตรีเลนนี่ ร้อยเอกสก็อตต์ และทหารอีก 3 นายที่ยังเกาะติดไว้ ส่วนศุภรัศมิ์ใช้ดาบฟาดฟันเหล่าอันเดธเพื่อพยายามที่จะช่วยเหลือทหารที่แตกทีม แต่ก็คงจะสายเกินไปเพราะพวกมันมีมากเกินไป และมีทหารบางนายยอมระเบิดพลีชีพตนเองมากกว่าเป็นอาหารของมัน
     แท็กตัดสินใจวิ่งกลับเข้ามาอยู่ในวงของพันตรีเลนนี่แต่ถูกขวางโดยอันเดธที่พึ่งกินสิบเอกแฟรงค์ไป แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่จะถูกกินง่ายๆ แท็กหลบลิ้นที่มันตวัดออกมาก่อนจะคว้าลิ้นของมัน พร้อมใช้พลังเนตรฟ้าของเขากระซากลิ้นออกมาจากปากของมัน เลือดสีดำพุ่งกระจายทั่วบริเวณนั้น และโดนพวกอันเดธจนทำให้พวกมันชะงักงันพอตัว แต่แท็กไม่รอช้าเขาชาร์ตพลังอาวุธของเขาซัดเข้าที่กลางท้องของมัน ผลก็คือมันคายทุกอย่างออกมาจนหมด มีทั้งเศษกระดูกและอีกมากมายร่วมทั้งร่างของสิบเอกแฟรงค์ที่เหมือนจะยังไม่ย่อยเท่าไหร่ แท็กยังรั่วหมัดตรงขวา-ซ้ายสลับกันและตบท้ายด้วยหมัดฮุดขวาเข้าหน้ามัน หัวของอันเดธกระจุยแหลกทันที
     ศุภรัศมิ์ตัดสินใจวิ่งแยกตัวออกมาเพื่อจะช่วยแบกร่างของสิบเอกแฟรงค์ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่แท็กเห็นเพื่อนวิ่งมาทางตน นั้นทำให้แท็กคาดเดาได้ว่าศุภรัศมิ์คิดอะไรอยู่เขาจึงไปแบกร่างของสิบเอกแฟรงค์ขึ้นและพยายามลากตัวโดยมีศุภรัศมิ์ช่วยอีกแรง ทางฝั่งของพันตรีเลนนี่เห็นภาพตรงหน้า จึงหันไปสั่งให้ทหารที่ใช้ปืนเป็นอาวุธยิงคุ้มกันเด็กทั้งสองให้เข้ามาร่วมขบวนให้ได้ แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะพินาศมากกว่านี้ จู่ๆก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่รวดเร็วจนทั้งฝ่ายพันตรีเลนนี่และฝ่ายอันเดธมองไม่ทัน
     ไม่ถึงวินาทีที่พวกแท็กจะหายใจพวกเหล่าอันเดธก็พากัน เลือดพุ่งกลางอากาศกระจายไปทั่วทั้งที่พวกเขายังไม่ทันทำอะไรเลย สักพักพวกเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากที่ไม่ไกลมากนัก ร้อยเอกสก็อตต์นั้นหันไปมองก็พบชายหนุ่มใส่เสื้อฮู้ดสีดำแขนกุด และใส่หน้ากากหมวดกันน็อตปิดหน้าเอาไว้ ในมือของเขาถือปืนลูกซองแฝดซึ่งแท็กมองแล้วมันรู้สึกคุ้นๆยังไงชอบกล เมื่ออันเดธล้มตายกันหมดแล้วก็ปรากฎเงาอีกบุคคลที่เดินลงมาจากบันไดเลื่อนที่ค้างอยู่ เขาสวมเสื้อคอกลมแขนกุดสีดำสวมหน้ากากหมวกกันน็อคครึ่งใบสีขาวสลับดำ อาวุธในมือของเขาคือมีดกาตาร์คู่ที่มีคราบน้ำสีดำติดอยู่บนใบมีด
     "พวกนายเป็นใคร ! ถอดหน้ากากออกชะ !" พันตรีเลนนี่พูดพร้อมชี้ดาบใส่หน้า แต่ชายทั้งสองนั้นไม่ตอบโต้อะไรนอกจากค่อยๆถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าของทั้งสองและหนึ่งในนั้นทำเอาแท็กถึงกับต้องอุทานออกมาว่า...
     "คุณอัศนัย !"
                                                 
                                             
 
 
 
 
                                                                  +++++++++++++++++++++++++++                      

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา