หลินเยว่ชิง บุปผาหมื่นมารยา(สนพ.B2S)

-

เขียนโดย ถานเซียง

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  6,674 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 08.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) เหตูผลของการมีชีวิตต่อไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

           สายลมวสันต์ยังคงพัดเย็นสบาย แต่หน้าจวนหลังใหญ่ของฉีหวางกลับเงียบเหงาชวนหดหู่ รถม้าคันใหญ่จากจวนรัชทายาทวิ่งมาเทียบหน้าจวนที่ดูเงียบเหงาแห่งนี้

            หลินเยว่ชิงแหวกม่านประตูรถม้าพร้อมก้าวลงมาด้วยความช่วยเหลือจากพี่ชายใหญ่อย่างหลินหยางจิ้ง ร่างเล็กกวาดสายตามองไปยังประตูจวนที่ปิดสนิทอยู่ จวนแห่งนี้คือบ้านของนาง บ้านที่วันนี้เหลือนางอยู่เพียงผู้เดียว หากแต่เด็กน้อยก็เลือกที่จะอยู่ในที่ที่มีความทรงจำมากมายระหว่างนางและบิดามารดา

         หลินเยว่ชิงหันกลับไปขอบคุณพี่ชายทั้งสองที่เสียสละเวลาเดินทางมาส่งนางยังจวนฉีหวาง แต่ดูเหมือนท่านพี่ทั้งสองจะไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่เพียงลำพัง

               “ชิงเอ๋อร์ พี่ว่าน้องกลับไปอยู่ที่วังบูรพากับพี่ดีกว่านะ..พี่เป็นห่วง ไม่อยากให้เจ้าต้องอยู่ผู้เดียว” หลินหยางจิ้งยังคงเกลี้ยกล่อมน้องน้อย เขาไม่เห็นด้วยที่นางจะมาอยู่ลำพัง นางยังเยาว์วัยมากนัก ถึงแม้จะมีข้ารับใช้ที่จงรักภักดีแต่เขาก็ยังไม่ว่างใจอยู่ดี

                “นั้นสิชิงชิง..พี่รองว่าเจ้าคิดดูอีกทีเถิด กลับไปอยู่กับพวกพี่เถอะนะ ..พี่จะดูแลเจ้าเอง” หลินหยางหมิงเองก็พยายามโน้มน้าวร่างเล็กให้ไปอยู่ด้วยกัน

               หลินเยว่ชิงได้ยินคำกล่าวของพี่ชายทั้งสองพาให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังมีท่านพี่ที่รักเป็นเป็นห่วงนางอยู่ แต่นางอยากอยู่ที่นี่ ด้วยเพราะมีหลายอย่างให้ต้องจัดการ หากอยู่วังบูรพาคงทำการใดไม่สะดวกนัก

               “พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง ไม่ต้องเป็นห่วงน้องนะเจ้าคะ ..น้องยังมีท่านอาควน พี่เสี่ยวอวี้และทุกคนในจวนฉีหวางแห่งนี้อยู่เป็นเพื่อน น้องไม่อันใดหรอกเจ้าค่ะ” หลินเยว่ชิงรีบบอกกล่าวให้เด็กหนุ่มวางใจ เมื่ออยู่กันตามลำพังนางและท่านพี่ทั้งสองมักจะพูดคุยกันเฉกเช่นคนสามัญธรรมดาทั่วไป ยศศักดิ์ใดๆ ล้วนถูกว่างทิ้งไว้

               “แต่ว่า..” หลินหยางจิ้งอยากจะเอ่ยขัดนางยิ่งนัก แต่เขาต้องเคารพการตัดสินใจของน้องน้อย

               “เชื่อใจน้องนะเจ้าคะ น้องจะไม่เอาแต่นั่งเหม่อลอยเหมือนตอนอยู่ตำหนักบูรพาเด็ดขาด..ชีวิตของน้องยังต้องก้าวเดินต่อไป เพราะฉะนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง น้องจะใช้ชีวิตให้ดี ..หากพี่ชายใหญ่เป็นห่วงก็มาเยี่ยมน้องบ่อยๆ สิเจ้าคะ”

               “เฮ้อ! เอาล่ะ พี่ยอมแพ้แล้ว..ดูแลตัวเองดีๆด้วยเล่า แล้วพี่จะมาเยี่ยมบ่อยๆ ” หลินหยางจิ้งกล่างอย่างยอมจำนนให้กับร่างเล็กตรงหน้า เขารู้ดีว่าหลินเยว่ชิงน่ารักว่าง่ายเพียงใด แต่บทจะดื้อรั้นก็ไม่มีผู้ใดสามารถห้ามปรามนางได้เช่นกัน

                หลินหยางหมิงที่เห็นพี่ใหญ่ของตนเกลี้ยกล่อมน้องน้อยไม่สำเร็จ ตัวเขาเองก็ต้องยอมแพ้เช่นกัน ก็น้องสาวเขาเป็นพวกประเภทดื้อเงียบและเด็ดเดียว เด็กหนุ่มทำได้เพียงเดินเข้าไปลูบศีรษะทุยๆ นั้นก่อนจะกล่าวสั่งความเล็กน้อย “ชิงชิง..หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ก็ส่งคนไปแจ้งพี่ที่ตำหนังบูรพาได้ทันที เข้าใจหรือไม่”

                “เจ้าค่ะพี่ชายรอง” หลินเยว่ชิงรับคำอย่างว่าง่าย

                “เอาล่ะ รีบเข้าจวนกันเถอะ อยู่ตรงนี้นานเดี๋ยวแดดจะร้อน” หลิงหยางจิ้งรีบชวนน้องทั้งสองเข้าจวน เด็กหนุ่มเดินไปจูงมือร่างเล็กแล้วพาเข้าไปด้านในด้วยกัน

                เมื่อก้าวเท้าผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป บรรยากาศช่างอึมครึมยิ่งนัก ภายในจวนเงียบเหงาไม่มีชีวิตชีวา ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่เมื่อเห็นท่านหญิงน้อยกลับมาก็รีบวิ่งไปแจ้งพ่อบ้านจวนฉีหวางทันที

                   หลินเยว่ชิงมองไปรอบๆ จวนที่เงียบเหงา เมื่อไม่กี่วันก่อนจวนแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่มาบัดนี้กลับดูวังเวงยิ่งนัก

                  “พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง ส่งน้องแค่นี้เถอะเจ้าค่ะ..มิใช่ว่าท่านพี่ทั้งสองมีกิจต้องไปจัดการหรอกหรือเจ้าคะ?”

                   “ก็ได้ แล้วพี่จะมาหาบ่อยๆ ” หลินหยางหมิงเอ่ยอย่างยอมจำนนต่อร่างเล็กเบื้องหน้าตน

                    “เช่นนั้นพวกพี่ไปก่อนนะ มีเรื่องอันใดก็มาหาพี่ได้ทุกเมื่อ” หลินหยางจิ้งเอ่ยย้ำกับน้องน้อยอีกครั้ง

                   “เจ้าค่ะ น้อมส่งท่านพี่ทั้งสอง” หยินเยว่ชิงยอบกายลงแสดงความเคารพต่อเด็กหนุ่ม

                  เมื่อคล้อยหลังองค์ชายทั้งสองแห่งวังบูรพาแล้ว หลินเยว่ชิงก็สั่งให้ลู่กงกงเรียกบ่าวไพร่ทุกคนไปพบนางที่โถงของตำหนักใหญ่..ตำหนักเยว่เทียน (ท้องฟ้า) เป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดของจวนฉีหวางแห่งนี้ และยังเป็นเรือนพำนักของอาเตี่ยอีกด้วย

                  ‘ลู่ซื่อเหลียน’ ขันทีวัยยี่สิบปลายๆ ผู้ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านจวนฉีหวางมาตั้งแต่หวางเย่ย้ายออกมามีจวนเป็นของตนเอง ลู่กงกงเป็นขันที่รับใช้หลินเฟยหลิงตั้งแต่ยังเป็นเพียงองค์ชายจนได้บรรดาศักดิ์อ๋อง เขาก็ติดตามฉีหวางออกจากวังมารับใช้อยู่ที่จวนแห่งนี้

                  ลู่ซื่อเหลียนเป็นอีกผู้หนึ่งที่ยอมถวายชีวิตให้แก่ฉีหวางได้อย่างไม่เสียดาย เขาต้องขายตัวเองมาเป็นขันทีในวังเพื่อนำเงินไปรักษามารดาที่กำลังป่วยหนัก เมื่อได้เข้ามาในวังหลวงแล้ว ก็ถูกส่งมารับใช้องค์ชายสาม หลินเฟยหลิง...องค์ชายสามทรงเห็นเขาเป็นดังเพื่อนเล่น พระองค์ชอบพาเขาไปฝึกการต่อสู้ด้วยกัน ซ้ำยังมิเคยลงไม้ลงมือกับตนเช่นเจ้านายพระองค์อื่น และเมื่อองค์ชายสามทราบว่ามารดาเขาป่วยหนักพระองค์ก็ให้หมอไปรักษาจนหายโดยเป็นผู้ออกค่าใช่จ่ายทั้งหมดเอง

                ลู่ซื่อเหลียนได้สาบานตนว่าจะเป็นวัวเป็นม้าให้หลินเฟยหลิงใช้เพื่อตอบแทนที่พระองค์ช่วยมารดาของตนไว้ บัดนี้ฉีหวางได้ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่หน้าที่ดูแลจวนก็ยังต้องทำต่อไป ในเมื่อท่านหญิงน้อยยังคงเป็นนายของตนอยู่ เขาก็ต้องภักดีต่อท่านหญิงด้วยเช่นกัน จึงจะไม่เป็นการผิดต่อคำสาบานของตนเอง

                ลู่กงกงเรียกบ่าวไพร่ทั้งหมดไปรวมกันที่โถงเรือนใหญ่ตามรับสั่งของท่านหญิงน้อย เขาเดินนำทุกคนเข้าไปในเรือนก่อนทำความเคารพเจ้านายของจวน “คาราวะท่านหญิง พ่ะย่ะค่ะ”

               หลินเยว่ชิงมองขันทีและนางกำนัลกว่าสามร้อยชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าตนด้วยสายตาเรียบเฉย ร่างเล็กมองประเมินคนเหล่านี้อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยความออกมา “พวกเจ้าทุกคนคงรู้แล้วว่ายามนี้จวนฉีหวางขาดผู้นำ และบัดนี้ก็มีเพียงข้าเป็นเจ้านายคนเดียวของจวน..ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมารวมกันที่นี่ก็เพราะมีเรื่องจะแจ้ง”

               ร่างเล็กที่นั่งในตำแหน่งบนสุดหยุดกล่าวไปเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองดูท่าทีของแต่ล่ะคน “ตัวข้าผู้เป็นท่านหญิงของจวนแห่งนี้ เห็นสมควรว่า..เวลานี้จวนฉีหวางมีเจ้านายเพียงคนเดียวแต่จำนวนบ่าวไพร่มีมากเกินความจำเป็น หากพวกเจ้าคนใดต้องการจะปลดเกษียณตนเองข้าจะให้เงินไปตั้งตัว และหากผู้ใดไม่ต้องการออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับเข้าวังหลวงตามเดิม..เมื่อตัดสินใจได้แล้วให้ไปแจ้งความจำนงกับลู่กงกง”

             หลินเยว่ชิงผินหน้าไปหาพ่อบ้านของจวน ก่อนจะเอ่ยความออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลู่กงกง จัดการเรื่องเงินชดเชยให้พวกเขาตามความเหมาะสมด้วย..แล้วก็คัดเลือกบ่าวไพร่ที่ไว้ใจได้ให้เหลือเพียง 50 คนก็พอ ที่เหลือก็ให้ออกจากจวนไปเสีย”

             “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะจัดการตามท่านหญิงรับสั่งทุกประการ” ลู่ซื่อเหลียนรีบรับคำอย่างแข็งขัน

             “ดียิ่ง! ข้าเหนื่อยแล้วพวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้” ร่างเล็กเอ่ยไล่คนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

              แม้ข้ารับใช้จะแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของท่านหญิงน้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยความใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ตอนนี้ภายในโถงรับรองเหลือเพียงเจ้านายน้อยของจวนและนางกำนัลคนสนิทเท่านั้น

            “พี่เสี่ยวอวี้ ท่านช่วยให้คนไปตามท่านอาควนมาพบข้าที..บอกว่าข้าจะรออยู่ที่ห้องหนังสือของอาเตี่ยนะ”

             “เพคะ”

           “อ๋อ ข้าขอน้ำชาและขนมด้วยล่ะ..ข้าจะไปรอที่หนังหนังสือก่อน พี่ก็รีบตามมาแล้วกัน”

             “เพคะ” เสี่ยวอวี้รับคำท่านหญิงแล้วรีบออกไปจัดการตามที่เจ้านายน้อยต้องการทันที

             หลินเยว่ชิงพาร่างเล็กของตนเองเดินเข้าไปในห้องหนังสือของบิดา นางเคยเข้ามาในนี้เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง อาเตี่ยมักจะไม่ค่อยให้คนนอกเข้ามา นอกเสียจากว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น แต่ยามนี้นางต้องการที่ส่วนตัวสำหรับคุยเรื่องสำคัญจึงต้องใช้ห้องหนังสือนี้

              ร่างเล็กของดรุณีน้อยวัย 5 หนาว เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทรงงานของบิดา เด็กน้อยกวาดสายตามองไปทั่วโต๊ะ ทุกสิ่งทุกอย่างบนนี้ยังคงมีกลิ่นอายของบิดาติดอยู่ พู่กันอันนั้นที่อาเตี่ยชอบใช้ และแท่งฝนหมึกอันนี้ที่อาเหนียงคอยมานั่งฝนหมึกให้อาเตี่ยอยู่บ่อยครั้ง

              หลินเยว่ชิงไล้ปลายนิ้วเรียวเล็กสัมผัสเบาๆ ไปกับสิ่งของเหล่านั้นอย่างเลื่อนลอย นางซึมซับเอากลิ่นอายของบิดาที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้องนี้เข้าสู่จิตใจอันบอบช้ำ เพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวให้ใจที่กำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงความแค้น

              ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

              เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับการแจ้งการมาถึงขององครักษ์หนุ่ม..หลี่ควนเปิดประตูเข้ามาก็พบร่างเล็กของท่านหญิงนั่งรอตนอยู่ก่อนแล้ว ประกายตาของเจ้านายน้อยตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย แม้เขาจะไม่สะทกสะท้านต่อสายตายโหดเหี้ยมอำมหิตใดๆ จากศัตรู แต่ว่าแววตายามนี้ของท่านหญิงน้อยทำให้เขาหวั่นใจยิ่งนัก

              “คาราวะท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ”

              หลินเยว่ชิงที่ได้ยินเสียงทำความเคารพจากหลี่ควนก็ทำให้ร่างบางหลุดจากภวังค์ความคิดของตนทันที

              “เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะท่านอา” หลินเยว่ชิงเอ่ยเชิญอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา สำหรับหลี่ควนแล้วเป็นอีกผู้ที่นางให้ความเคารพนับถือ ท่านอาควนแม้จะเป็นองครักษ์คนสนิทของบิดา แต่อีกสถานะหนึ่งของเขาก็เป็นถึงหลานบุญธรรมของหลิวฮองเฮา มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอาเตี่ยของนาง ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน และร่ำเรียนวิชาต่างๆ มาพร้อมกัน ยามออกศึกท่านอาจะค่อยระวังหลังให้บิดานางเสมอ ยามสงบท่านอาผู้นี้ก็มาเป็นองครักษ์และคอยดูแลนาง อาเตี่ยและท่านอาควนจึงเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสาบานกัน นางเองก็เห็นท่านอาควนเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

              “ท่านอา ชิงเอ๋อร์มีเรื่องอยากถามเจ้าค่ะ..หวังว่าท่านอาจะตอบชิงเอ๋อร์ตามตรงนะเจ้าคะ” ร่างเล็กรีบเอ่ยดักคอองครักษ์หนุ่มเพื่อมิให้เขาปฏิเสธนางได้

              “เชิญท่านหญิงถามมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

              “เฮ้อ! ท่านอา..ชิงเอ๋อร์บอกกี่ครั้งแล้วว่าหากไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย ท่านอาก็พูดธรรมดากับชิงเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ..อย่างไรชิงเอ๋อร์ก็เป็นหลานคนหนึ่งของท่าน” หลินเยว่ชิงไม่ชอบให้ท่านอาควนพูดจาห่างเหินเช่นนี้กับตน ยิ่งตอนนี้นางไม่เหลือผู้ใดแล้วจึงอยากให้ผู้ที่คิดว่าเป็นดังครอบครัวเดียวกันพูดคุยกับนางอย่างสนิทสนม

               “มิได้รึ? ตอนนี้ชิงเอ๋อร์ไม่เหลือใครอีกแล้ว ท่านอายังจะทำตัวเหินห่างจากชิงเอ๋อร์อีกหรือเจ้าคะ?” ร่างเล็กเอ่ยถามองครักษ์หน้านิ่งด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ดวงหน้าน้อยๆ สลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                หลี่ควนที่ได้ฟังวาจาเช่นนั้นของท่านหญิง ใจเขากระตุกขึ้นมาอย่างแรง อา!..นี่เขาทำให้เจ้านายน้อยรู้สึกไม่ดีอย่างนั้นรึ สมควรตายยิ่งนัก! “ท่านหญิงประสงค์สิ่งใด ท่านอาผู้นี้จะทำตามทุกอย่างขอรับ”

               หลินเยว่ชิงเมื่อได้ฟังคำกล่าวรับอย่างลนลานจนแทบลิ้นจะพันกันขององครักษ์หนุ่ม ก็แอบซ่อนรอยยิ้มพอใจไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นอย่างแนบเนียน “เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องเมื่อครู่กันต่อแล้วกัน..ท่านอาพอจะบอกชิงเอ๋อร์ได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าอาเตี่ยถูกพิษได้อย่างไร”

              หลี่ควนเหลือบสายตาไปมองดวงหน้าเล็กๆ อย่างต้องการค้นหา ท่านหญิงน้อยของเขาวัยแค่ 5 หนาว หากต้องมารับรู้เรื่องเหล่านี้ จิตใจที่บอบช้ำอยู่แล้วจะเป็นเช่นไร แต่แววตาที่แน่วแน่นั้นก็ทำให้เขามิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน

             “หวางเย่มีนายกองคนสนิทอยู่ผู้หนึ่งขอรับ..นายกองผู้นี้นามว่า ‘หลวนจื่อเทา’ ท่านหญิงเองก็คงเคยพบคนผู้นี้มาบ้างเมื่อครั้งไปเที่ยวเล่นที่ค่าย”

            “ใช่ผู้ที่อยู่กับรองแม่ทัพหยางบ่อยๆ หรือไม่เจ้าคะ? ..คนที่ตัวใหญ่ๆ หน้าตามิคล้ายคนแคว้นหลินเท่าใดนัก เป็นคนผู้นี้รึ?”

            “ใช่ขอรับ นายกองหลวนเข้ากองทัพพยัคฆ์ทมิฬมาด้วยตำแหน่งพลทหารธรรมดา แต่ว่าด้วยฝีไม้ลายมือที่สูงกว่าทหารทั่วไปทำให้ขึ้นมาเป็นนายกองได้..คนผู้นี้เคยช่วยชีวิตหวางเย่ไว้ด้วยการเข้าไปรับธนูแทนในศึกกับเผ่ากุ๋ยเล่อเมื่อ 5 ปีก่อนขอรับ” หลี่ควนหยุดกล่าวไปชั่วอึดใจ เพื่อลอบสังเกตสีหน้าของท่านหญิงน้อย

            “5 ปีก่อนงั้นรึ? ตอนที่ข้าเพิ่งเกิดเช่นนั้นหรือ” หลินเยว่ชิงพึมพำกับตนเองเบาๆ คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันจนเป็นปม

             “ตอนนั้นหวางเย่ต้องการจะกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด เพื่อมาให้ทันหวางเฟยมีพระประสูติกาล..แต่เราหลงกลศัตรูทำให้เดินเข้าไปในกับดักของฝ่ายตรงข้าม หวางเย่พลิกสถานการณ์กลับมาได้..และในตอนที่หวางเย่กำลังจะตัดหัวผู้นำเผ่ากุ๋ยเล่อก็มีธนูปริศนาพุ่งมาจากทิศใดไม่ทราบตรงมาที่หวางเย่..ตัวอาเองก็ติดพันอยู่กับศัตรูทำให้เข้าไปปกป้องหวางเย่มิได้ เป็นนายกองหลวนที่เอาตัวเข้ารับธนูแทนจนตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส…จากนั้นเป็นต้นมาหวางเย่ก็นับนายกองหลวนผู้นี้เป็นดังสหาย เพราะหากนายกองหลวนไม่รับคมธนูแทน เกาทัณฑ์ดอกนั้นก็คงตรงเข้าไปตัดขั้วหัวใจหวางเย่พอดี..หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หวางเย่คงไม่มีโอกาสกลับมาพบหวางเฟยและท่านหญิงเป็นแน่ขอรับ” หลี่ควนหยุดเล่าไปชั่วครู่พร้อมยกชาขึ้นจิบแก้กระหาย

             “คนผู้นี้เคยช่วยชีวิตอาเตี่ย แล้วยังเป็นคนผู้นี้ใช่หรือไม่ที่เป็นคนวางยาอาเตี่ย?” หลินเยว่ชิงเอ่ยถามหลี่ควนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นางจำนายกองหลวนผู้นั้นได้ คนผู้นี้ดูไม่มีพิษมีภัย แถมยังใจดีกับนางอีกด้วย จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

             “แล้วอาเตี่ยโดยพิษอันใดเจ้าคะ?”

              “หวางเย่โดนพิษกร่อนวิญญาณขอรับ เป็นพิษที่ได้มาจากพืชชนิดหนึ่งของชนเผ่าเร่ร่อนทางใต้..พิษนี้หากใช่เพียงเล็กน้อยจะไม่สามารถตรวจพบได้ แต่ถ้าได้รับพิษนานๆ ก็จะสะสมในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ท่านหมอจี้บอกว่าหวางเย่โดนพิษมาประมาณ 3 ปีแล้วขอรับ” หลี่ควนเอ่ยอย่างคับแค้นใจ เขาอยากจะจับหลวนจื่อเทาผู้นั้นมาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น แต่คนผู้นี้เหมือนนกรู้กลับหลบหนีไปได้ คงมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่เขายังสืบหาไม่พบเป็นแน่

              “แล้วตอนนี้คนผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ?” หลินเยว่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ประกายตาของนางวาวโรจน์ขึ้นมาทันใด

               “ขออภัยขอรับท่านหญิง พวกข้าน้อยไร้ความสามารถปล่อยให้คนชั่วผู้นี้หลบหนีไปได้” หลี่ควนตอบอย่างละอายใจที่ตนไม่สามารถจัดการคนชั่วอย่างนายกองหลวนได้

              “ตามเบาะแสได้หรือไม่ เจ้าคะท่านอา?”

                “ได้ขอรับ คนของเรารายงานว่าหลวนจื่อเทาหนีข้ามแดนไปฝั่งแคว้นซาน..แต่เมื่อตามไปถึงชายแดนแคว้นซานร่องรอยที่มีกลับหายไปขอรับ”

                หลินเยว่ชิงยังคงครุ่นคิดอยู่กับเรื่องที่ได้ยินจากท่านอา คนผู้นั้นวางยาอาเตี่ยแล้วหนีไปแคว้นซาน ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กัน? แต่กับแคว้นซานก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด เป็นไปมิได้ที่จะเป็นคนของแคว้นอื่น

                “แล้วนักฆ่ากลุ่มนั้นล่ะเจ้าคะ เป็นคนของใคร?”

                 “เป็นคนของยุทธภพขอรับ เป็นมือสังหารจากสำนักพันดารา สำนักนี้รับจ้างฆ่าตามใบสั่ง..แต่ค่าจ้างวานฆ่าของสำนักพันดาราแพงมาก จากจำนวนนักฆ่าหลายร้อยชีวิตในวันนั้น คาดว่าผู้จ้างวานคงร่ำรวยมากทีเดียวขอรับ” หลี่ควนตอบคำถามทุกอย่างที่ท่านหญิงน้อยต้องการทราบอย่างไม่มีปิดบัง

                หลินเยว่ชิงยังคงนั่งเงียบและจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตนเอง ผ่านไปราวครึ่งก้านธูป [1] ร่างเล็กที่เคยเงียบงันก็กล่าวสิ่งที่ตนต้องการออกมา

               “ท่านอา..ท่านยินดีจะติดตามชิงเอ๋อร์หรือไม่เจ้าคะ?” หลินเยว่ชิงเอ่ยถามหลี่ควนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางแน่วแน่ไร้ซึ่งความไร้เดียงสาเช่นกาลก่อน

                ปึก!

           หลีควนคุกเข่าลงเบื้องหน้าของท่านหญิงน้อยพร้อมกล่าวสาบานตนทันที “กระหม่อมหลี่ควนจะซื่อสัตย์ภักดีและยินดีติดตามรับใช้ท่านหญิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ”

            ร่างเล็กยิ้มอย่างพอใจให้กับวาจานั้นขององครักษ์หนุ่ม “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอา แต่ว่า..หากชิงเอ๋อร์ต้องการแก้แค้นคนเหล่านั้นท่านอายินดีจะช่วยชิงเอ๋อร์หรือไม่?”

              “ขอรับ! ถึงตายหลี่ควนผู้นี้ก็จะแก้แค้นให้หวางเย่ให้ได้” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ประกายตาของเขามีความมุ่งมั่นที่เอาเลือดของคนพวกนั้นมาเซ่นไหว้ป้ายวิญญาณของฉีหวาง

             “ดี! ดียิ่ง!” หลินเยว่ชิงใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยนางก็มีท่านอาควนเป็นแนวร่วม เรื่องนี้ใหญ่เกินกำลังเด็กตัวเล็กๆ อย่างนางจะกระทำได้เพียงลำพัง

             “รบกวนท่านอาช่วยสืบความเรื่องนี้ให้ชิงเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ ถึงแม้ชิงเอ๋อร์จะยังเยาว์วัย แต่ก็ใช่ว่าจะอ่อนแอเสมอไป” หลินเยว่ชิงยิ้มบางไปให้หลี่ควน แม้เรียวปากจะยิ้มแย้มแต่ดวงตาของนางกลับมีประกายเย็นชาสายหนึ่งพาดผ่าน

             “ขอรับ เรื่องนี้อาเองก็คิดว่าจะสืบความต่อเช่นกัน..อาว่ายังมีผู้ที่อยู่ในเงามืดที่เรายังไม่รู้ว่าคือผู้ใด เป็นผู้บ่งการอยู่เบื้องหลังแน่นอน” องครักษ์หนุ่มเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา

               “ท่านอาเจ้าคะ รบกวนท่านอาจัดการเรื่ององครักษ์ของจวนให้ชิงเอ๋อร์ด้วย ขอคนที่เป็นคนของเราโดยแท้จริง”

               “ได้ขอรับ เดี๋ยวอาจะดูแลให้..เชิญท่านหญิงไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ” หลี่ควนเอ่ยอย่างเป็นห่วงร่างเล็กเบื้องหน้าตน ท่านหญิงน้อยของเขาตรอมใจมาหลายวันเพิ่งจะกลับมาพูดจาเมื่อวานนี้เอง แต่วันนี้ท่านหญิงกลับหักโหมตัวเองมาจัดการเรื่องในจวนเสียแล้ว เพียงแค่ไม่กี่วันท่านหญิงก็สลัดคราบเด็กน้อยไร้เดียงสาทิ้งไป กลายเป็นเด็กที่ความคิดอ่านโตเกินไปแถมยังเย็นชาขึ้น เป็นแบบนี้ดีแล้วจริงๆ น่ะหรือ?

              “เจ้าค่ะ เช่นนั้นเชิญท่านอาไปจัดการธุระเถิด ชิงเอ๋อร์ก็จะพักผ่อนเช่นกัน”

             หลี่ควนทำความเคารพผู้เป็นนายของตนก่อนจะออกจากห้องหนังสือไป คล้อยหลังองครักษ์หนุ่ม ร่างเล็กยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาของนางมีประกายเย็นชาเผยออกมาให้เห็น

             “รอข้าก่อนเถิดพวกคนชั่วทั้งหลายที่กล้าพรากความสุขไปจากชีวิตข้า..ตอนนี้ข้ายังเล็กและอ่อนแอยิ่งนัก แต่จะต้องมีสักวันที่ข้าจะตอบแทนหนี้แค้นหนนี้ให้พวกเจ้าอย่างสาสม” ร่างเล็กของดรุณีน้อยวัย 5 หนาว กำมือเล็กทั้งสองข้างของนางจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยโทสะที่ไม่เคยมีมาก่อน แววตามีประกายเหี้ยมเกรียมพาดผ่านก่อนจะจางหายไป

******

[1] 1ก้านธูป = 15นาที

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา