โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  114.58K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

100) ยาขม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เมื่อเช้าวันใหม่ย่างกรายเข้ามาท้องฟ้ามีแสงแดดจางๆ แต่อากาศก็ยังไม่สู้ดี   ฟิโลโซเฟอร์ตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามตัว   คาโอเรียนั่งคลุมผ้านวมตรงหน้ากองไฟก่อนแล้ว   ข้างกายมีถ้วยนมร้อนวางอยู่มันพร่องไปกว่าครึ่ง   นางหันมาส่งยิ้มให้พี่ชายที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ใบหน้าของทั้งคู่นั้นยังคงมีวี่แววของความอิดโรย
 
“ ตื่นแล้วหรือลูก ”
 
คาโลไรน์ร้องทักนางยกน้ำซุบร้อนๆ ลงจากเตา   ใต้ขอบตาของนางมีวงดำคล้ำ   เด็กชายรู้สึกหิวขึ้นมาทันที   เขายังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็นวาน
 
            วันนี้พวกเขาหยุดเรียน   คาโอเรียออกอาการว่าจะเป็นไข้   อาเธอร์สอนให้ลูกๆ นวดเท้าทั้งวันเพราะมันบวมเป่ง   โชคดีที่คาโอเรียไม่เป็นอะไรมาก   พ่อมดดีมีนแวะมาเยี่ยมอีกครั้งในตอนบ่ายของวันนั้น   เขาแนะนำว่าควรจะให้เด็กทั้งสองย้ายเข้าไปอยู่ในหอนอนของปราสาทขาว   เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเดินทางไปกลับ   พ่อมดยังบอกอีกว่าเด็กทั้งสองโชคดีเพราะมีนักเดินทางห้าคนที่สูญหายไปในพายุ   จนป่านนี้ยังหาตัวไม่พบ   และเขาต้องเดินทางไปกัลทีลอท   คงไม่ได้แวะมาบ่อยๆ แล้วยังเตือนฟิโลโซเฟอร์ให้ดื่มยาจนหมดถ้วย
 
 
            เช้าวันถัดมาแสงแดดได้หายไปอีกครั้ง   พร้อมกับอาการไข้ของเด็กๆ ก็กลับมา   แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนคนอื่นๆ ต่างก็ล้มป่วยไปด้วย    ฟิโลโซเฟอร์พยุงร่างไปดูพ่อกับแม่เห็นพวกเขานอนเพ้อไม่รู้สึกตัว   คาโอเรียก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน   เด็กชายรู้สึกทันทีว่านี่ไม่ดีแน่ตัวเขาเองก็หนาวทิ่มแทงเข้าถึงกระดูก  
 
เด็กชายผู้พลัดถิ่นเดินไปที่ลังไม้เก็บฟืนตรงข้างห้อง   จัดการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในเตาผิง   เขามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆสีดำหมุนคว้าง   ไฟในเตาลุกโชนแต่ไม่สามารถทำให้ห้องอุ่นขึ้นเลย   ถึงเขาจะยังเด็กแต่ก็สามารถเข้าใจได้   พายุกำลังก่อตัวอีกครั้งและมันดูไม่ปรกติเอามากๆ
 
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาอันเป็นห้องนอนของเขา   หยิบดาบโบราณเล่มนั้นออกมา   อัญมณีสีแดงที่ประดับบนด้ามดาบเปร่งประกายขุ่นมัวน่าสยองขวัญ   แต่เด็กชายไม่ทันสังเกตและไม่คิดสงสัย   เขานำมันมาซ่อนไว้ใต้ที่นอนชั่วคราวในชั้นล่าง   ตรงห้องรับแขกใกล้กับเตาผิง
 
แต่ความวิตกกังวลยังไม่หายไป   ในขณะที่คนอื่นไม่ได้สติและตัวของเขาก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ เด็กชายตัวน้อยจึงหยิบกระพรวนทองเหลืองของดารีลขึ้นมา   มันทอประกายงดงามกับเปลวไฟ   เขาไม่กล้าเขย่าเพราะไม่แน่ใจว่าขณะนี้เจ้าของกระพรวนกำลังทำอะไรอยู่   บางทีหมอนั่นอาจกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยาก
 
“ ดารีล   เจ้าปรอดภัยหรือเปล่า ”
 
ฟิโลโซเฟอร์กระซิบกับกระพรวนในมือ   ทันใดสายลมก็พัดมาวูบหนึ่ง   โดยไร้ที่มาที่ไปทั้งที่ห้องนั้นปิดแน่น   มันเป็นสายลมที่ละเมียดละไม   น่าลุ่มหลง   เด็กชายหันมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่พบสิ่งใด   เขาคิดว่าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ดีแน่   จึงตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวม   คิดแค่ว่าต้องตามคนมาช่วย
 
เขาควานตามโต๊ะเก้าอี้เพื่อใช้พยุงร่างไปจนถึงประตู   ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแต่บรรยากาศด้านนอกกลับมืดสลัว   แม้จะเหนื่อยอ่อนจนแทบยืนไม่ไหวเด็กชายชาวซีนาร์ยก็ยังฝืนทน   เขากัดฟันดึงประตูเปิดออกพร้อมกับลมแรงที่โหมซัดเข้ามา   หิมะตกแล้วแต่มันกลับกลายเป็นไอสีดำปลิวคละคลุ้ง   เป็นภาพที่คุ้นเคยเหมือนกับที่มักปรากฏในฝันร้าย  
 
ฟิโลโซเฟอร์กระพริบตาด้วยความงุนงง   แล้วสิ่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า   ร่างสูงสีดำยืนอยู่ตรงนั้น   เด็กชายอ้าปากค้างนี่เขาฝันอีกแล้วหรือ   แต่คราวนี้มันชัดเจนและดูเป็นจริงเป็นจังมาก   ซ้ำร้ายร่างนั้นยังเคลื่อนใกล้เข้ามา   เด็กชายก้าวถอยหลังอย่างหวาดหวั่น   คนตรงหน้านี่เป็นใครกัน
 
เด็กน้อยคิดถึงพ่อแม่   คิดถึงน้องสาว   เขาจำเป็นต้องสู้หรือเปล่า   คนผู้นี้ประสงค์สิ่งใดแต่ทุกอย่างก็เริ่มพร่าเลือน   เขาฝืนต่อไม่ไหวแล้ว   สุดท้ายเขาก็ล้มลงในอ้อมแขนของใครบางคน   ก่อนที่สติจะสิ้นไปเขายังได้กลิ่นหอมจางๆ กลิ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
 
 
รสขมปร่าที่ริมฝีปากทำให้เขาพยายามป่ายปัดออก
 
“ หยุดนะเจ้ากำลังทำยาหกหมด ”
 
เสียงนุ่มนวลเอ่ยเตือนจากที่ใกล้ๆ
 
โลโซเฟอร์เปิดเปลือกตาขึ้นมาทันที
ดารีลอยู่ตรงนี้จริงๆ ด้วยเขากำลังพยายามจับถ้วยยาเข้าไปชิดริมฝีปากของเด็กชาย  
เด็กน้อยก้มลงดื่มยาที่กลิ่นฉุนและขมรุนแรงนั้นแล้วสำลัก
 
“ เสียใจด้วย   ข้าเติมน้ำตาลมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว   เจ้าต้องดื่มให้หมดในคราเดียว ”
 
เหมือนต้องมนต์สะกด
โลโซเฟอร์ได้ฝืนดื่มยาจนหมดแม้จะขมเพียงใดก็ตาม
 
กลางห้องมีหม้อดินใบใหญ่ตั้งอยู่บนเตาหิน
มันเดือดพล่านส่งกล่นหอมที่สูดแล้วทำให้ร่างกายอุ่นวูบวาบ  
รายล้อมหม้อนั้นคืออาเธอร์คาโลไรน์และคาโอเรีย
 
ไฟในเตาผิงลุกโชตช่วง
มันเป็นไฟสีฟ้าที่ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง
ฟิโลโซเฟอร์รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเวทมนต์ของดารีล
 
“ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ”
 
เด็กชายถามพลางยันร่างขึ้นจากที่นอน
 
“ ขี่ม้ามา ”
 
หนุ่มน้อยตอบสั้นๆ แล้วเดินโซเซไปยังหม้อต้มยา
ใบหน้าของเขาขาวซีด
และร่างของเขาก็เย็นเฉียบ
 
“ ข้าหมายถึงเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการความช่วยเหลือ ”
 
หนุ่มน้อยคนนั้นเงียบไปนานก่อนจะตอบ
 
“ ก็เจ้าเรียกข้าเอง   มิใช่หรือ ”
 
“ อ้อ   กระพรวนอันนั้น   ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเลยรู้ไหม   แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโอรีเวียคนอื่นๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง   ข้าหมายถึง ”
 
“ ช่างมันเถอะ ”
 
พ่อมดน้อยตัดบทก่อนที่เขาจะพูดจบ
 
“ ทุกอย่างได้จบลงแล้ว   ส่วนคนอื่นๆ ที่เจ้าหมายถึงคิดว่าปรอดภัยดีกันทุกคน   เมื่อเจ้ากลับไปปราสาทขาวก็จะรู้เรื่องทุกอย่าง   ข้าเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ ”
 
เขาว่า
 
“ ดารีล ”
 
ฟิโลโซเฟอร์เรียกด้วยน้ำเสียงกังวล
 
ดารีลหันมาช้าๆ เอียงคอน้อยๆ ตามแบบของเขาเวลาข้องใจ
ไฟสีฟ้าจากเตาส่องกระทบใบหน้าครึ่งหนึ่ง
เกิดแสงเงาที่ดูประหลาด
 
“ เจ้าปรกติดีหรือเปล่า ”
 
“ ถ้าข้าตอบว่าไม่เป็นไร   ก็คงเป็นการโกหกคำโตเลยล่ะ ”
 
หนุ่มน้อยคนนั้นว่าพลางเทผงอย่างหนึ่งลงในหม้อดิน
จนเกิดไอสีเขียวลอยคลุ้งขึ้นมา
 
“ ข้าแอบเข้าครัวของเจ้า   หิวหรือไม่   มีข้าวโอตต้มกับซุบถั่วอยู่นะ ”
 
ดารีลเปลี่ยนเรื่อง
ก่อนที่เด็กชายตัวยุ่งจะถามมากไปกว่านี้
 
“ ขอซุบถั่ว ”
 
เพียงเวลาไม่นานเขาก็ตักอาหารออกมาให้
ฟิโลโซเฟอร์กินด้วยความหิวโหย
เขารู้สึกประหลาดใจที่ซุบถั่วนี้ไม่หนักเครื่องเทศตามแบบของโอรีเวีย
 
“ นี่เจ้าปรุงเองหรือ ”
 
“ ทำไมล่ะ   รสชาติแย่มากหรือไง   พอดีว่าข้าไม่ถนัดเข้าครัวและไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ต้องมานั่งทำอาหารเพื่อใคร   ฝืนกินไปก่อนแล้วกัน   รอแม่ของเจ้าฟื้นค่อยว่ากันใหม่ ”
 
ดารีลตอบ
ตอนนี้เขาอยู่กับคาโอเรีย
มือข้างหนึ่งรั้งร่างนางเอาไว้เพื่อที่จะป้อนยา
 
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก   แค่ประหลาดใจที่มันอร่อยเกินคาด   ข้าคิดว่าอย่างเจ้านี่เปิดร้านขายอาหารได้สบายเลย ”
 
เด็กชายชื่นชม
 
“ ตลกละ ”
 
พ่อมดน้อยว่า
 
“ ข้าอยากให้เจ้าพักบ้าง   ดูเหมือนเจ้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว ”
 
ฟิโลโซเฟอร์เป็นห่วง
 
ดารีลเงยหน้าขึ้นมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
 
“ เป็นข้อเสนอที่เข้าท่า   ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ”
 
คืนนั้นดารีลยังอยู่กับครอบครัวของอาเธอร์
เขาตรวจดูอาการไข้
ป้อนยา
และช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงให้ด้วย
 
 
กลางดึกคืนนั้นฟิโลโซเฟอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนาวสั่น   เขาหันไปมองเตาผิงไฟสีฟ้าในเตาลดลงกว่าครึ่ง   ส่วนดารีลนั้นนั่งอยู่กับพื้นข้างๆ เตียงของเขา   ใบหน้านั้นซุกซ่อนอยู่เหนือเข่า   เด็กชายตัวน้อยเชื่อว่าเจ้าของร่างนั้นคงหลับไปแล้ว   จึงค่อยๆ คลานลงจากเตียงเพื่อไปหา   เมื่อเขาวางมือบนไหล่ดารีลก็ตอบสนองรวดเร็วแบบที่คุ้นเคยกันดี   มีดสีดำเล่มเล็กได้มาจ่อที่ปลายคางของเด็กน้อยในชั่วพริบตา   ก่อนที่เจ้าของร่างผู้สวมชุดคลุมดำจะเงยหน้าขึ้น   เมื่อแล้วเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าเขาก็หดมีดกลับ   พร้อมกับกล่าวพึมพำที่ฟังดูเหมือนคำขอโทษ   ฟิโลโซเฟอร์มองเห็นความอิดโรยของเขาก็รู้สึกเศร้าใจ
 
“ ดารีลเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ   มันกว้างใหญ่พอสำหรับคนสองคน ”   
 
เด็กน้อยว่า
 
“ ข้าไม่ชิน ”   
 
“ โธ่เอ๋ย   ก็แค่นอนลงไปเท่านั้น   ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความชำนาญอะไรเลย ”  
 
หนุ่มน้อยไม่ตอบ
เขาฟุบหน้าลงบนเข่าแล้วนิ่งเงียบ
 
“ เอาล่ะ   ข้าคิดว่าคงต้องใช้กำลังกับเจ้าแล้ว ”
 
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
เขาช้อนเอาร่างดารีลแล้วลากขึ้นบนเตียง
 
หนุ่มน้อยหน้ามนพยายามขัดขืน
แต่เขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
 
เด็กชายประคองเขาให้เข้าไปด้านในชิดผนังริมหน้าต่าง
เพื่อเขาจะได้นอนอีกฟากหนึ่ง
คอยกันไม่ให้หนุ่มคนนั้นกลิ้งตกเตียง
 
ดารีลพยายามลุกขึ้น
แต่ก็ถูกจับกดราบลงบนเตียงอีกครั้ง
 
“ อยู่เฉยๆ ข้าไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัวหรอก   เชื่อเถอะมันไม่ได้แย่เลย   บางทีเจ้าอาจติดใจก็ได้ ”
 
“ ข้าสมควรต้องโมโหหรือยัง ”
 
“ ดารีลข้าขอล่ะ   เจ้าต้องพักผ่อนเสียบ้าง   ถ้าขืนยังดิ้นไม่หยุดข้าจะทำให้ลืมไม่ลงเลย ”
 
เด็กชายทำตาเจ้าเล่ห์
และได้ผลดารีลถึงกับชะงักกึก
 
“ คิดจะทำอะไรกันแน่ ”
 
ยังไม่ทันได้ตอบ
สายลมแรงก็กระแทกเข้ากับตัวบ้าน
ไฟในเตาลดวูบลงอีกแต่ก็ถึงกับไม่ดับ
 
ดารีลดึงผ้าม่านปิดหน้าต่างกระจกนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ทั้งที่มันเป็นพายุหิมะแต่กลับมีฟ้าแลบแปลบปลาบ
ดูน่าพิศวงยิ่งนัก
 
ลมโหมกระหน่ำใส่ตัวบ้านรุนแรง
พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ
 
อากาศในบ้านเย็นเยือกลงทันใด
ฟิโลโซเฟอร์รีบเติมฟืนให้เตาผิง
แต่ก็ดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย
ไฟในเตาค่อยๆ ดับลง
 
“ ไม่มีประโยชน์หรอก ”
 
ดารีลว่าพลางโยนห่อกำยานไปให้
 
“ เผามัน ”
 
เด็กชายชาวซีนาร์ยก็รับมาเผาอย่างว่าง่าย
กลิ่นกำยานหอมฟุ้งทั่วห้อง
 
ไฟในเตากลับมาสว่างพรึบห้องของพวกเขาจึงอบอุ่นขึ้น
แม้แต่ลมพายุด้านนอกก็จางลง
 
“ มีคนใช้มนต์ดำหรือ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ตกใจ
เพราะดารีลเคยบอกว่าผงกำยานสามารถทำลายมนต์ดำได้
 
“ จากที่อื่นน่ะ   อย่าวิตกไป   มันแค่สะเทือนมาถึงเท่านั้นเอง ”
 
เด็กชายผู้พลัดถิ่นจึงไปตรวจดูคนอื่นๆ
ว่าห่มผ้าเรียบร้อยดีหรือยัง
 
จากนั้นจึงเอาผ้านวมไปอังไฟให้อุ่นจัด
แล้วนำมาคลุมร่างให้ดารีลอย่างเบามือ
 
หนุ่มน้อยนั้นไม่คุ้นเคยกับการนอนบนเตียง
เขาพลิกไปมาเพื่อหามุมที่เหมาะสม
 
ฟิโลโซเฟอร์ล้มตัวลงนอนข้างๆ พลางอมยิ้ม
ไม่คิดว่าดารีลจะไร้เดียงสาเป็นกับเขาด้วย
 
เขาเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบโบราณเล่มนั้น
และหวังว่าจะสามารถปกป้องทุกคนได้
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา