โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) มังกรไฟ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงหนึ่งกรีดร้องขึ้นเหนือท้องฟ้าปลุกให้อาเธอร์ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก   เสียงนั้นเย็นยะเยือกแหลมบาดลึกอย่างร้ายกาจ   ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มผืนบางออกจากร่างเสียงร้องเชือดเฉือนนั้นมลายไป   กลายเป็นเสียงโหวกเหวกโวยวายแทรกเข้ามาแทนที่  

 

ชายหนุ่มมองไปรอบๆ แสงจากคบเพลิงมากมายที่ปักอยู่รายรอบ    ทำให้รู้ว่าตนเองนั้นอยู่ท่ามกลางคนมากมายในหุบเขาที่ดำมืดแห่งหนึ่ง   ความงุนงงระคนความตื่นตระหนกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เขาก็สู้อดกลั้นไว้   ภาพที่เห็นพร่าเลือนเหมือนความฝันแต่แจ่มชัดยิ่งในความทรงจำ

 

“ ท่านขุนพลเมอร์ธอธพวกเราถูกลอบโจมตี ”

 

ทหารนายหนึ่งวิ่งระหืดกระหอบเข้ามารายงานร่างของเขานั้นโชกไปด้วยเลือด

 

“ เจ้าเห็นผู้บุกรุกหรือไม่ ”

 

เสียงเคร่งขรึมดังมาจากกระโจมใกล้ๆ ชายร่างบึกบึนผมสองสีก้าวออกมา

เขาคนนั้นสวมเพียงเกราะอ่อนครึ่งท่อน

 

“ มีบางสิ่งไต่ขึ้นมาตามรอยแตกของหน้าผา   ข้าเห็นไม่ชัดแต่รู้ว่ามันมีกรงเล็บที่แหลมคม   พวกมันเข้าโจมตีหน่วยลาดตระเวนและกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ”

 

“ มีมากเท่าใด ”

 

“ ข้าไม่แน่ใจแต่คิดว่ามากพอสมควร   พวกมันเคลื่อนไหวไม่เร็วนัก   แต่ซ่อนเร้นในความมืดยากแก่การรับมือ ”

 

ทหารลาดตระเวนคนนั้นตอบ

 

“เจ้าคิดว่าอย่างไรอาเธอร์มันเป็นผีหรือสัตว์ปีศาจ ”

 

“ มีตำนานมากมายเกี่ยวกับหุบเขานี้และทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย   ในเมื่อพวกเรามาถึงปากเหวนรกแล้วย่อมไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าอะไรเป็นอะไร   มันมาอยู่ตรงหน้าเราก็ฆ่ามันหรือมันฆ่าเรา   ทางให้เลือกมีเพียงเท่านี้ ”

 

อาเธอร์ตอบ

แม้มีอันตรายใกล้ถึงตัวแต่เขาก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่น

นั่นอาจเป็นเพราะเขาได้เตรียมใจมาแล้ว

 

“ เจ้าคนลาดตระเวนไปพาคนของเจ้ามา   พวกเราจะตั้งรับมันที่นี่   บอกพวกข้างนอกก่อไฟให้สว่างเข้าไว้ ”

 

ท่านขุนพลเมอร์ธอธสั่งการ

 

“ ขออภัยข้านึกว่าได้เรียนท่านแล้ว   หลังจากการถูกลอบโจมตี   หน่วยลาดตระเวนสูญหายทั้งหมด   มีเพียงข้าที่สามารถย้อนกลับมารายงานท่านได้ ”

 

ทหารลาดตระเวนรายงานตามตรง

 

“ บัดซบที่สุดตอนนี้เราเหลือกำลังคนเท่าไร ”

 

เขาหันไปถามทหารที่ยืนข้างๆ

 

“ เรียนนายท่านตอนเราเริ่มเดินทางมีทหารร่วมสามร้อยนาย   ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแต่เรายังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย   เกรงว่าภารกิจนี้ของเราจะ ”

 

“ หุบปาก ”

 

ท่านขุนพลตวาด

 

“ คนอย่างข้าทำงานไม่เคยพลาด   คราวนี้เป็นเพราะมีลูกน้องกระจอกติดตามมามากเกินไป   ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ ”

 

สิ้นเสียงของเขาลูกน้องต่างก้มหน้า

 

สายลมหนาวพัดกระโชกเสียงประหลาดก็ดังอื้ออึงขึ้น  

เหล่าทหารน้อยใหญ่ต่างสะดุ้งตกใจ  

บางคนถึงกับกระชากดาบออกจากฝัก

 

“ ป่านนี้แล้วพวกเจ้ายังไม่ชินกันอีกหรือ ”

 

อาเธอร์ส่ายหน้าช้าๆ ใจหนึ่งก็ระอาใจหนึ่งก็รู้สึกผิด  

พวกเขาทั้งหลายเดินทางมาที่นี่เพื่อหวังอนาคตที่ดี  

แต่ดูเหมือนความตายต่างหากที่รออยู่

อาเธอหลับตาครุ่นคิดอย่างหนัก

 

เมฆดำเคลื่อนมาปิดแสงจันทร์หุบเขาแห่งนี้ยิ่งดูมืดและลึกลับเข้าไปอีก

 

“ ข้าจะออกไปข้างนอกใครจะไปกับข้า ”

 

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้

แต่ประโยคเมื่อครู่ของอาเธอร์ทำเหล่าทหารที่ได้ยินมองหน้ากันเลิกลัก

 

“ ข้างนอก!   ตอนนี้เราอยู่กลางแจ้งอาเธอร์   จะมีที่ใดนอกไปกว่านี้อีก ”

 

ท่านขุนพลเมอร์ธอธว่า

ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มมุมปาก

ทหารนายหนึ่งวิ่งออกไปจากตรงนั้น

 

“ ไม่ได้อาเธอร์เจ้าเป็นมือขวาของข้าจะห่างกายข้าได้อย่างไร ”

 

“ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องรับหน้าแทนท่านตัดกำลังมันก่อนที่จะมาถึงค่าย   คนของท่านเองก็มีมากฝีมือท่านก็ไม่เป็นรองใคร   ข้าว่าท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยเอาเวลาไปสวมชุดเกราะให้เรียบร้อยเสียเถอะ ” 

 

นายทหารคนนั้นวิ่งกลับมา

 

“ ข้าหาคนให้ท่านได้หกคนรวมข้าด้วย ”

 

“ ดีแล้วบอกพวกเขาหยิบของที่จำเป็นแล้วตามข้ามา ”

 

“ ข้าให้คบเพลิงพวกเจ้าแค่สองอันเพราะที่นี่จำเป็นมากกว่า ”

 

ขุนพลเมอร์ธอธตะโกนตามหลัง

 

“ เจ้าบ้านี่ข้าเคยได้ยินว่ามันเป็นทหารแตกแถวดูเหมือนจะไม่ผิดจริงๆ ”

 

 

อาเธอร์กับทหารหกนายกำลังหันหลังชนกันพวกเขาต่างหันปลายดาบเข้าสู่ความมืด  

เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองดังกังวานขึ้นเหนือหัว  

เหล่าทหารต่างระส่ำระสายเพราะความหวาดกลัว

 

“ เสียงเตือนจากเคอร์คารอลมันบินอยู่ข้างบน ”

 

ทหารนายหนึ่งพูดเสียงสั่น

 

“ นั่นเป็นแค่เสียงมายาฟังสิมันดังก้องในหัวเราเท่านั้น ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ พวกมันมีมากเกินไปพวกเราต้องตายอยู่ที่นี่แน่ ”

 

ทหารอีกคนพูด

 

“ ตายอย่างมีเกรียติ   นั่นคือวิถีแห่งเราจงลุกขึ้นทหารของข้า   ปีศาจร้ายพวกนั้นจะต้องหลั่งเลือดเป็นอย่างมากหาคิดจะผ่านเราไป ”

 

สายลมพัดหวีดหวิวทันใดเมฆหมอกก็จางลงแสงจันทร์กระจ่างชัดขึ้น

บนเงื้อมผาเหนือหัวของพวกเขาปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวมากมายกำลังจ้องลงมา  

ท่ามกลางเสียงสายลมพวกเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

เสียงร่ำให้อย่างน่าเวทนาและเสียงก่นด่าสาปแช่ง

 

“ ปีศาจร้ายๆ วิญญาณหุบเขา   พวกเราไม่รอดแน่มันจะฉีกเราออกเป็นชิ้นๆ ข้าจะไม่ยอมตายในเงื้อมมือของมัน ”

 

ทหารคนหนึ่งชักดาบขึ้นเชือดคอตัวเองแล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจ

 

“ ตั้งสติไว้สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริงมันเป็นแค่ภาพหลอน ”

 

แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจครืดคราดดังใกล้เข้ามาจากรอบทิศ

 

“ มันหาเราพบแล้วเราคงต้านจนถึงสว่างไม่ไหว ”

 

“ จับดาบขึ้นสู้ตัดหัวพวกมันให้เกลี้ยง ”

 

อาเธอร์ตะโกน

 

แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเหล่าทหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดตอนนี้เสียขวัญอย่างที่สุด

ท่ามกลางความสิ้นหวังและความตายห่างออกไปเพียงเอื้อมมือเขาเห็นเปลวไฟลุกขึ้น  

เพียงชั่วครู่ไฟก็โหมลุกลามอย่างรุนแรง  

ท่ามกลางแสงจากกองเพลิงเขามองเห็นร่างแห้งเหี่ยวขาวโพลนดังโคลงกระดูก

กำลังดิ้นพลาดๆ ในเปลวไฟ

 

“ มีคนมาช่วยแล้ว   พวกเรารอดแล้ว ”

 

ทุกอย่างพลิกผันชั่วพริบตาแม้จะงุนงงแต่ก็อดโล่งใจไม่ได้

 

เขาเห็นเงาดำร่างหนึ่งวิ่งผ่านไปตามซอกหินเขาไม่รอช้าจึงไล่ตามไป

 

“ ออกมาจากที่ซ่อนเดี๋ยวนี้ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าแอสเธอลาส”

 

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

 

“ สวัสดีพี่ชาย ”

 

เจ้าของร่างปราดเปรียวตอบมาจากชะง่อนผาที่อยู่สูงขึ้นไปมาก

 

“ผู้พิทักษ์หน้ากากทองเช่นเจ้ามาทำอะไรที่หุบเขาแห่งนี้   ที่ของเจ้าคือโอรีเวีย   คอยรับใช้ข้างกายท่านจอมเวทวาลานมิใช่หรือ ”

 

“ เหตุการณ์เมื่อครู่คือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่พี่ชาย   และข้าขอเตือนท่านเรื่องหนึ่ง   ความรู้เกี่ยวกับผู้พิทักษ์หน้ากากทองของท่านนั้นน้อยนัก   ทีหลังอย่าเที่ยวปากดีเรื่องนี้อีก ”

 

“ แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำผิดกฎและโทษคือไล่ออก ”

 

“ ข้าไม่เคยสนใจตำแหน่งนี้   ที่ข้าสนใจคือ   พี่ชายคนเดียวของข้ามาทำอะไรที่หุบเขาต้องสาป ”

 

“ ข้าและกองทัพกำลังทำภารกิจลับและไม่ใช่กงการของเจ้า ”

 

“ ไม่จริงหรอกพวกท่านทั้งหมดกำลังฆ่าตัวตาย   ไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตจากหุบเขาแห่งนี้   เพราะที่นี่คือประตูสู่นรก ”

 

“ เจ้าผิดแล้วแอสเธอลาสข้ากำลังสร้างประหวัติศาสตร์ต่างหากล่ะ ”

 

“ จะมีประโยชน์อะไรเมื่อท่านตายแล้ว ”

 

“ เมื่อข้าตายร่างข้าจะฝังในสุสานที่ยิ่งใหญ่ ”

 

“ ท่านต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือเพื่ออะไรกันล่ะ ”

 

“ ข้าทำทั้งหมดเพื่อตระกูลของเรา   บรรพบุรุษของเราล้วนมีชื่อเสียงและมีเกรียติ   เจ้ามองดูตอนนี้สิว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเรา   และข้านี่แหละจะทวงคืนสิ่งที่เคยเสียไป ”

 

 

ทันใดก็มีเสียงกรีดแหลมดังขึ้นอีก

มันเย็นบาดลึกจับขั้วหัวใจ

 

“ เสียงมายา ”

 

ถึงจะบอกไปแบบนั้น

แต่น้ำเสียงของแอสเธอลาสก็เจือความวิตกกังวล

 

“ ท่านอย่าตามมันไปมันจะลวงท่าน ”

 

“ ข้ารู้แล้วน่าเจ้าไม่ต้องทำเป็นสอนข้า ”

 

“ ท่านก็เป็นอย่างนี้แหละพี่ชาย   รู้ทั้งรู้แต่หลงกลทุกที ”

 

 

ตอนใกล้รุ่งของเช้าวันใหม่ในขณะที่ผู้คนกำลังหลับใหลเสียงหนึ่งกรีดร้องดังขึ้นเหนือฟากฟ้า   อะไรบางอย่างได้ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนมันเหินข้ามบ้านไม้ซุงหลังน้อยไป   คาโอเรียผุดขึ้นนั่งใครบางคนเอื้อมมือมาปิดปากนางไว้ทันก่อนที่นางจะส่งเสียงใดๆ ออกมาพวกมังกรดำหูไวอยู่เหมือนกัน   ถ้ามังกรดำได้ยินเสียงเล็กๆ จากพื้นดินมันอาจบินโฉบลงมาก็ได้

 

ฟิโลโซเฟอร์ตวัดผ้าห่มออกจากร่าง   เขาเพ่งมองเข้าไปในความมืด   เสียงเมื่อกี้กระแทกความทรงจำของเขาเหมือนกับว่าเขาจะเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว   หากแต่คราวนี้ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงร้องรับเซ็งแซ่

 

            ชายชราผลักประตูออกไปโดยมีเด็กชายวิ่งไปติดๆ เขาไม่ลืมที่จะคว้าธนูออกไปด้วย   อาเธอร์อยากจะตะโกนบอกบุตรชายให้หลบอยู่ในบ้านแต่เขาไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะนั่นไม่ส่งผลดีเลย   เขาจึงทำได้เพียงมองตามหลังอย่างเป็นห่วงในเมื่อคาโอเรียยังคงขดอยู่ในอ้อมกอดของเขา

 

            ขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือทาทาบด้วยแสงสีแดง   เสียงกรีดแหลมชวนขนพองสยองเกล้ายังแว่วมาเป็นระยะ   ผู้เฒ่าชาโคลยืนมองไปที่ขอบฟ้าด้วยอาการอันสงบ

 

ฟิโลโซเฟอร์หยุดยืนอยู่ข้างเขา

ชายชรายื่นนิ้วไปแตะปากเขาเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เงียบๆ ไว้

 

“ นั่นฝีมือมันล่ะพวกมังกรไฟ ”

 

ชายชรากระซิบบอก

 

“ พวกมันต้องการอะไรหรือ ”

 

เด็กชายสงสัย

 

“ ไม่รู้สิ  บางทีพวกมันอาจจะเบื่อเนื้อสดแล้วก็ได้ดูจากเส้นสีแดงที่ขอบฟ้าพวกนั้น   ข้าเชื่อว่ามันกำลังเผาเมืองกัลป์ทีลอทอยู่โชคดีที่พวกมันมองข้ามกระท่อมน้อยๆ ของเราไป   ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราทั้งหมดถ้าไม่สุกก็คงเกรียม ”

 

เขาพูดติดตลกแต่ใบหน้าเรียบเฉย

 

“ นั่นมันอะไรกัน ”

 

อาเธอร์ถึงกับผงะเมื่อเขาเห็นเส้นขอบฟ้าสีแดงเข้ม  

เขาเพิ่งตามออกมาเมื่อเห็นว่าคาโอเรียคลายความหวาดกลัวลงแล้ว

 

“ ถ้าเดาไม่ผิดมันคงกำลังประกาศสงคราม   ความจริงเจ้าพวกนี้มันฉลาดแต่ต้องมีเจ้านายข้าอยากรู้นักอะไรไปกระตุ้นให้มันแสดงออกอย่างนี้   จริงอยู่พวกมันล่ามนุษย์เป็นอาหารแต่การเผาเมืองไม่ใช่วิสัยของมันแน่ ”

 

ชายชราตอบ

 

“ มันเคยพยายามจะทำสิ่งนี้กับอันดอรีสมาแล้วพ่อมดคนหนึ่งบอกข้าเช่นนั้น ”

 

อาเธอร์เล่าแล้วถามความเห็นต่อ

 

“ ท่านคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังพวกมันอย่างนั้นหรือ ”

 

“ มังกรดำมันสวามิภัคต่อเมืองคาเลอย่างเหนียวแน่น   ข้าไม่นึกว่าจะมีใครชักจูงมันได้อีก   มันอาจจะฉลาดกว่าที่เราคิดไว้    ยิ่งไอ้ตัวประหลาดที่ได้ชื่อว่าเคอร์คารอล   บางทีเราอาจจะรู้จักมันน้อยเกินไป ”

 

เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงท้องฟ้าก็สว่างเรื่อเรือง  

ควันดำทะมึนยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อมันพุ่งเป็นลำขึ้นไปตัดกับสีท้องฟ้า

 

“ มังกรพวกมันไม่กลับไปที่หุบเขา   ข้าได้ยินเสียงพวกมันบินกระจายกันออกไป   อาจจะมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ในเมืองและเมืองกัลป์ทีลอทเองคงวอดวายไปแล้ว   พวกเจ้าคงไม่ปรอดภัยหากยังดันทุรังจะใช้เส้นทางเดิม ”

 

ชายชราเอ่ยขึ้นขณะช่วยอาเธอร์เตรียมข้าวของก่อนออกเดินทาง

 

อาเธอร์ฟังแล้วได้แต่นิ่ง

ใจหนึ่งก็นึกดีใจที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองตอนที่ไฟไหม้

 

“ แต่เราก็ย้อนกลับไม่ได้   มีทางเดียวเท่านั้นคือฝ่าไปให้ถึงโอรีเวีย   เพราะที่นั่นปรอดภัยที่สุดสำหรับลูกๆ ของข้า ”

 

อาเธอร์บอก

 

ชายชราพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ ข้อนั้นข้าไม่เถียง   แต่ปัญหามีอยู่ว่าเจ้าจะพาลูกเมียเดินทางไปยังไง   จึงจะพ้นกรงเล็บฝูงมังกรบ้าเลือดพวกนั้น ”

 

“ ข้าไม่รู้ ”

 

ชายชราตบไหล่อาเธอร์เบาๆ

 

“ ข้ามีข้อเสนอเจ้าไม่ลองเดินตัดป่าซีดาร์แล้วข้ามเทือกเขาไป   โอรีเวียก็แค่อยู่อีกฟากหนึ่งเท่านี้เอง ”

 

“ แต่นั่นมันเทือกเขาเงาปีศาจเชียวนะ   เราจะข้ามไปได้อย่างไร   ในเมื่อที่นั่นเป็นรังของมังกรดำ ”

 

คาโลไรน์ตกใจ

 

“ แน่นอนคุณผู้หญิง   แต่ตอนนี้มังกรพวกนั้นมันออกไปเทียวเล่นถ้าเราจะขออาศัยรังของมันเป็นทางผ่านเสียตอนนี้ข้าเชื่อว่าอย่างมากที่พวกมันจะทำได้ก็แค่บ่นไล่หลังเท่านั้นล่ะขอรับ   อีกอย่างในหุบเขามีร่องแตกและรอยแยกมากมายซึ่งสามารถใช้เป็นที่กำบังจากพวกมันได้   ข้อนี้อาเธอร์เจ้ารู้ดีมิใช่หรือ ”

 

“ จริงอย่างท่านว่า   ที่แบบนั้นซ่อนตัวได้ดีกว่ากลางทุ่งโล่ง   และการเดินทางสู่กัลป์ทีลอทก็คือการเดินตรงเข้าสู่ความตายโดยแท้   แต่เทือกเขาเงาอสูรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี   เชื่อเสียงของเทือกเขานั่นใครๆ ก็รู้ ”

 

อาเธอร์ว่า

เขารู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก

เหตุไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นราวกับมีบางสิ่งกำลังขัดขวางการเดินทางของพวกเขา

เหมือนว่ากำลังถูกจับตามองและไล่ต้อนอย่างหมาล่าเหยื่อ

สุดท้ายทั้งหมดอาจจบลงที่ขอบเหวลึก

 

“ กาลเวลาผ่านไปหลายสิ่งก็เปลี่ยนแปลง   ข้ารู้สึกว่าเทือกเขานั่นจะเหลือเพียงชื่อที่คงความน่ากลัว   ช่วงหลังสิบปีมานี้ข้าวนเวียนอยู่รอบหุบเขา   เห็นคนหลายคนข้ามผ่านหุบเขาแห่งนี้อย่างลับๆ นั่นแสดงว่าการเดินทางบนถนนเส้นนี้เป็นไปได้   บางทีสิ่งน่ากลัวที่สุดในหุบเขาอาจเป็นมังกรดำพวกนั้น ”

 

“ แล้วพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปทำอะไรในหุบเขา ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

“ ล่าสมบัติอย่างไรล่ะ ”

 

ผู้เฒ่าชาร์โคลตอบทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า

 

“ ที่อัปมงคลอย่างนั้นนะมีสมบัติได้อย่างไร ”

 

ประโยคนั้นทำเอาผู้เฒ่าถึงกับประหลาดใจ

 

“ ไม่น่าเชื่อ   ยังมีคนที่ไม่รู้เรื่องนี้อยู่   หรือข้าต้องเล่านิทานเรื่องซาเหวจลอร์ดให้ฟัง ”

 

“ ข้ารู้แล้วว่าซาเหวจลอร์ดฆ่าเผาทำลายมนุษย์   และเทือกเขาเงาอสูรคือบ้านของเขา   แต่สมบัติประเภทไหนล่ะที่อยู่ในนั้น ”

 

เด็กชายว่า

 

“ คนที่ดันทุรังเข้าไปต้องเสียสติเป็นแน่ที่แห่งนั้นมีอีกชื่อคือประตูแห่งนรก ”

 

“ ดูเหมือนข้อมูลของเจ้าจะตกหล่นไปนะเด็กน้อยเพราะเขาคนนั้นปล้นสะดมด้วย   สมบัติมากมายจากทั่วสารทิศถูกขนมาที่นี่   แต่คงเป็นเรื่องอัปมงคลอย่างเจ้าว่าผู้คนที่เคยผ่านไปมาต่างปิดปากเงียบ   ล้วนไม่โอ้อวดวีรกรรมของตนเอง   ทั้งที่เป็นเรื่องควรคุยโวได้ชั่วลูกชั่วหลาน ”

 

“ แต่ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามาถกเรื่องสมบัติกันนะปัญหาของเราคือจะไปต่อได้อย่างไร ”

 

คาโลไรน์ว่า

นางรู้สึกวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก

การเดินทางที่ไม่เป็นไปตามแผน

น่าสะพรึงมากสำหรับสตรีเช่นนาง

 

“ หรือพวกเจ้าจะย้อนกลับไป ”

 

ผู้เฒ่าชาร์โคลเสนอ

 

คาโลไรน์กับอาเธอร์หันมองหน้ากัน

แล้วอาเธอร์ก็ถอนหายใจ

 

“ ท่านชาร์โคลถ้าที่นั่นอาศัยอยู่ได้พวกเราจะดั้นด้นไปเพื่อ ”

 

“ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องฝ่าต่อไปถ้าโชคดีก็ถึงที่หมาย ”

 

“ แน่นอนพวกเราต้องไปต่อ ”

 

อาเธอร์กล่าว

 

“ ดังนั้นพวกเจ้าก็เหลือทางเลือกแค่สอง   คือจะมุ่งไปทางเมืองกัลป์ทีลอทที่เต็มไปด้วยมังกรกระหายเลือด   หรือจะเลี้ยวไปอีกทาง   เพื่อข้ามเขาที่เต็มไปด้วยตำนานกระหายเลือด ”

 

“ ท่านพ่อข้าขออนุญาตออกความเห็น ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้น

 

“ ว่ามาสิ ”

 

“ คิดๆ ดูแล้วเราน่าจะเลือกข้ามเขา   เพราะหากตำนานเป็นแค่เรื่องเล่าเรายังพอมีลุ้น   แต่ถ้าเราเลือกผ่านเมืองนั่นไปเราเจอของจริงแน่   ท่านผู้เฒ่าเองก็บอกว่ามีคนเคยข้ามมาได้อย่างปรอดภัย   เราก็ควรมีโอกาสเช่นกัน ”

 

“ ฉลาดมากเด็กน้อยที่เลือกกลัวความจริงมากกว่าความเชื่อ   แต่ข้าขอเตือน   ข้ามเขาลูกนั้นน่ะไม่ง่ายเหมือนตอนเจ้าข้ามทุ่งหญ้าหรอกนะ   ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดคำเล่าลืออย่างนั้นหรอก ”

 

ชายชราว่า

 

“ แล้วท่านผู้เฒ่าเคยข้ามมันหรือไม่   เทือกเขานั้นน่ะ ”

 

เสียงใสๆ ของคาโอเรียถามขึ้น

 

ชายชรายิ้มมุมปากด้วยประกายตาลึกลับ

 

“ ถ้าข้าตอบว่าเคยเจ้าจะหาว่าข้าคุยโวโอ้อวดหรือไม่ ”

 

“ ไม่หรอก   ถ้ารู้ว่าท่านเคยข้าแค่อยากจะถามทางท่าน ”

 

นางว่า

 

“ หุบเขานั่นไม่มีถนน   ทำได้แต่เดินลัดเลาะไป   เส้นทางมีมากมายแต่ยากที่จะจดจำ ”

 

ชายชราตอบพลางลูบผมเด็กหญิง

 

“ ตกลงเราต้องไปที่นั่น ”

 

คาโลไรน์ถามหวาดๆ

 

“ หรือเจ้ามีหนทางอื่น ”

 

อาเธอร์ถามเสียงอ่อนโยน

 

นางไม่ตอบ

แม้หวาดกลัวแต่ก็ต้องยอมจำนน

 

“ ยังมีปัญหาอีกข้อ   จากตรงนี้เราต้องเดินทางผ่านป่าซีดาร์เราคงจะขับเกวียนบุกเข้ากลางป่าไม่ได้หรอก   ยิ่งตอนปีนเขาถ้าไม่รู้ทางนี่คงลำบากมากที่จะเอาทั้งเกวียนและม้าไปด้วย ”

 

อาเธอร์มองไปทางชายชราเป็นเชิงขอความเห็น

 

“ จะเป็นเกียติรยิ่งถ้าพวกเจ้าจะฝากม้าสองนี้ไว้ที่นี่   ส่วนเกวียนเล่มนี้ข้าสัญญาจะรักษาไว้เป็นอย่างดี   เส้นทางนี้อาจจะทุรกันดารแด่ระยะทางใกล้กว่ามากนักหากเทียบกับเส้นทางเดิม   พวกเจ้าเดินตัวเปล่าน่าจะสะดวกกว่า ”

 

“ แต่เด็กๆ จะเดินเท้าข้ามป่าข้ามเขาได้อย่างไรกัน ”

 

คาโลไรน์แย้ง

 

“ ท่านแม่พวกเราเดินกันได้   บางทีอาจจะดีกว่านั่งแช่อยู่ในเกวียน   ข้าแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้วจริงไหมคาโอเรีย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูด

เขาอยากใช้เส้นทางที่น่าตื่นเต้นเด็กชายยังเด็กและคะนองเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าอันตราย

 

คาโอเรียได้แต่ทำตาปริบๆ นางรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่

 

“ มันท้าทายก็จริง   แต่อาจจะไม่สนุกอย่างที่คิดก็ได้นะเด็กๆ ทางที่ดีเชื่อฟังพ่อแม่ของพวกเจ้าไว้ให้มากจะดีกว่า   ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียใจไปอีกนาน ”

 

ชายชราเตือน

 

 

            ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรื้อห่อของออกจัดใหม่  

โดยเลือกแต่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เก็บใส่ห่อผ้า   

คาโลไรน์ม้วนชายผ้าขึ้นอย่างประณีตก่อนจะผูกปลายเข้าด้วยกัน   

ห่อผ้าของคาโอเรียมีขนาดเล็กสุดแม้ในตอนแรกจะไม่มีใครต้องการให้นางถือห่อสัมภาระ  

แต่นางได้แสดงเจตนาอย่างดื้อดึงว่าถึงอย่างไรนางต้องได้ช่วยถืออะไรบ้าง

 

“ พร้อมออกเดินทางกันแล้วสิ ”

 

ชายชราพูดขึ้นพลางมองฟิโลโซเฟอร์ที่กำลังควงธนูในแบบที่ใครๆ เรียกว่าห่างไกลความชำนาญ

 

“ ข้าน่ะเกลียดธนูของเจ้ายิ่งนัก   มันทำให้เจ้าไม่ได้ฝึกฝีมือ   แต่เอาเถอะมันจะช่วยพวกเจ้าเป็นอย่างมากในการเดินทางครั้งนี้ ”

 

เด็กชายได้แต่ก้มมองอาวุธในมือด้วยความงุนงงเขายังไม่เข้าใจความหมายนั้น

 

 

            และแล้วเกวียนก็เคลื่อนตัวออกอีกครั้ง   แต่คราวนี้เปลี่ยนคนขับ   อาเธอร์ขึ้นนั่งหลังเกวียนเขาวางดาบบนตักในท่าเตรียมพร้อม   

 

ฟิโลโซเฟอร์มองมันอย่างชื่นชม   เขารู้ว่าดาบเล่มนี้เคยเป็นของกษัตริย์องค์หนึ่งของโอลีออน   ทรงประทานให้แก่ปู่ทวดของเขาก่อนจะตกทอดมาเรื่อยๆ จนถึงบิดาของเขา   

 

เนื้อดาบเป็นเหล็กกล้าชั้นดี   ดาบเล่มนี้แม้อาเธอร์จะละเลยมันไปนาน   แต่ก็ยังคงความคมวาวทุกครั้งที่ชักออกจากฝัก  

 

มันเป็นดาบที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน   เคยผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้มาไม่น้อย   อาเธอร์เชื่อมั่นในดาบเล่มนี้มาก   

 

ในกาลก่อน   เขาเคยร่วมรบครั้งแรกกับกองทัพตั้งแต่สมัยยังเรียนไม่จบ   ในครั้งที่เขากับเพื่อนๆ นักเรียนแยกออกจากกองทหาร   เพื่อไปถล่มค่ายของชนป่าเถื่อนเผ่าบารัดจนสำเร็จ  

 

บิดาของเขาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ให้   พร้อมกับฝากความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เอาไว้   แต่แล้วเขาก็ทำลายมันลงด้วยการหันหลังให้ยศถาบรรดาศักดิ์   ผันตัวเองไปเป็นชาวนาชาวไร่   ซึ่งนั่นเองที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับบิดาของเขาเป็นอย่างมาก   แต่น่าประหลาดที่บิดาของเขามิได้ยึดดาบกลับไป

 

 

            พวกเขานั่งเบียดกันทั้งที่ในเกวียนยังมีที่ว่างอีกมาก   เกวียนวิ่งโขยกเขยกไปตามทุ่งหญ้าที่รกชัน   ม้าทั้งคู่บุกเข้าไปในพงหญ้าด้วยท่าทีคึกคัก   หลังจากผ่านแผ่นดินตายซากมาได้มันพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้วิ่งในทุ่งหญ้าแบบนี้   แม้ว่าหญ้าจะสูงเกินไปสักหน่อยก็ตาม

 

            แนวป่าที่เห็นเป็นเพียงเงาดำเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งหลายมุ่งหน้าใกล้เข้าไป   ม้าคู่สีน้ำตาลเข้มพร้อมเกวียนลำเล็กพุ่งตรงไปข้างหน้า   แต่พอใกล้ถึงราวป่าม้าทั้งสองเริ่มได้กลิ่นอันตราย   มันพยายามฝืนตัวจะหนีไปทางอื่น   ชายชราต้องออกแรงบังคับเพื่อจะรักษาเส้นทางเดิมไว้

 

            ภายใต้หญ้ารกครึ้มที่ๆ สายตาลอดผ่านไม่ถึง   ชายชรารู้ดีว่าข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยโคลงกระดูกที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด   บางครั้งล้อเกวียนก็สะดุดกับโคลงกระดูกเก่าๆ เข้า   แต่คนบนเกวียนที่ยังไม่รู้อะไรก็คิดไปว่านั่นเป็นเศษไม้หรืออาจจะเป็นแค่ก้อนหิน   มีเพียงชายชราเท่านั้นที่รู้และเขายังรู้อีกว่ากระดูกเหล่านี้เป็นของชาวบ้านที่ถูกมังกรดำลักตัวมาฉีกทึ้งเป็นอาหาร   ก่อนจะทิ้งกระดูกเอาไว้กลางทุ่งใกล้ๆ แนวป่าและทุ่งแห่งนี้สะสมกระดูกมาเกือบสิบปีแล้ว

 

           

            ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงชายป่าซีดาร์   และพบว่ามันเป็นป่ารกทึบหญ้าบริเวณนั้นแข็งยาวแต่ทิ้งตัวราบลงบนพื้น   ผู้เฒ่าชาโคลจอดเกวียนเขาพาตัวเองมายังท้ายเกวียนเพื่อคอยรับผู้หญิงและเด็ก   

 

คาโอเรียอุ้มกระต่ายลูมาตลอดทางแม้ในขณะนี้ก็ยังคงอุ้มอยู่   นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดกระต่ายของนางจึงมีท่าทีตื่นกลัวนัก   เช่นเดียวกับม้าทั้งคู่มันดูโล่งใจที่ได้หยุดอยู่แค่ชายป่า   แต่ดูเหมือนลูจะไม่โชคดีเช่นนั้น   

 

อาเธอร์มองไปข้างหน้า   สายตาของเขาจ้องเลยป่าแห่งนี้ไกลไปจนถึงเทือกเขาที่ทอดตัวยาวถัดจากป่านี้   ในพลันความครั่นคร้ามก็วิ่งเข้ามากระทบใจของเขาจนไหวเยือก   เทือกเขาสูงสง่าตั้งตระหง่านน่าเกรงขามแต่ทว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยความมืด  และในความมืดนั้นเองใบหน้าลึกลับนับร้อยกำลังจดจ้องมา

 

            ถัดจากป่าแห่งนี้ไปพวกเขายังต้องปีนเขาอีก   ช่วงเวลานี้เองอาเธอร์เริ่มเกิดความไม่แน่ใจ   ลำพังเขาคนเดียวจะปีนข้ามไปยังยาก   ชั่วชีวิตที่ผ่านมาของเขาเคยใช้เส้นทางผ่านหุบเขานี้เพียงครั้งเดียว   ในสมัยที่เขาต้องทำภารกิจลับบางอย่างซึ่งในตอนนั้นเขาเป็นถึงผู้ช่วยคนสำคัญของขุนพลเมอร์ธอธ   เขานำเหล่าผู้กล้าตายจากโอรีเวียมายังหุบเขาแห่งนี้ไป   แม้ในตอนนั้นเขาจะเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมแต่กระนั้นก็ยังรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ถาโถมลงมา   จากวันนั้นถึงวันนี้แม้สงครามจะสิ้นสุดลงนับสิบปีแต่ความน่าสะพรึงกลัวก็ไม่ได้ลดลงเลย   หากแต่ยังมีพลังลึกลับแอบแฝงอยู่ในนั้นอีกด้วย

 

“ ท่านไม่ไปกับเราจริงๆ หรือจ๊ะ ”

 

คาโอเรียถามพลางเขย่ามือชายชรา

 

ผู้เฒ่าชาโคลทรุดกายลงนั่งเขาจับไหล่คาโอเรียบีบเบาๆ

 

“ ข้าตัวคนเดียวแบบคนไร้ญาติจะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก   เจ้าเป็นห่วงตัวเองเสียเถอะจากนี้ไปถึงโอรีเวียเส้นทางไกลไม่น้อย   เจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ ”

 

“ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องกล่าวลาท่านแล้ว   จะรั้งรอต่อไปก็เปล่าดายหากโชคชะตาไม่โหดร้ายเกินไปเราคงได้พบกันอีก ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ ยังไงพวกเจ้าต้องกลับมาให้ได้   ลืมม้าสองตัวนี่แล้วหรือ   ถ้าขืนฝากไว้นานข้าคงต้องคิดราคา ”

 

ชายชราบอกพลางลุกขึ้นเขายื่นมือให้อาเธอร์จับ

 

คาโลไรน์โค้งตัวลงมือข้างหนึ่งประทับลงตรงหัวใจ

 

“ เรารบกวนท่านมากเหลือเกิน   ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร   ได้แต่ขอพรเทพแห่งแสงอาทิตย์ให้คุ้มครองท่าน  ”

 

นางกล่าวด้วยแววตาสุดซาบซึ้ง

 

ชายชราก้มหัวให้อย่างสุภาพครั้นแล้วเขาก็ดึงเด็กทั้งสองมากอดแน่น

 

“ ระลึกถึงข้าบ้างนะไม่ว่าอย่างไรขอจงเดินทางถึงโอรีเวียอย่างปรอดภัย   ขอให้พื้นแผ่นดินปกป้องพวกเจ้าไปสุดทางอย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่หินก้อนน้อยๆ ก็อย่าได้ร่วงใส่   ขอให้สายลมจงนำทางเจ้าจนถึงที่หมายไม่มีเหตุให้พลัดหลง   ส่วนข้าจะรอพวกเจ้ากลับมาและจะดูแลสมบัติของพวกเจ้าเป็นอย่างดี ”

 

“ ม้าคู่นี้ชื่อเบตตี้กับเบตเตอร์   ข้าไม่คิดจะฝากท่านเอาไว้หรอก   เพราะมันจะเป็นของท่านนับแต่วันนี้เป็นต้นไปข้ายังไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดีกับเรื่องเมื่อคืนนี้ ”

 

อาเธอร์พูด

 

“ อย่าไปสนใจเลยเรื่องเล็กน้อย   แต่ที่สำคัญคือพวกเจ้าต้องกลับมา   พวกเจ้าเป็นชาวซีนาร์ยนี่นะ   ข้าได้ยินมาว่าคนเมืองนี้จะไม่ละถิ่นไปนาน ”

 

“ เราจะกลับมา ”

 

อาเธอร์รับปาก

 

“ แน่นอนว่าเราจะต้องกลับมา   บ้านเกิดของเราอยู่เบื้องหลัง   อย่างไรเราต้องกลับมาทางนี้อยู่แล้วและพวกเราจะแวะหาท่าน ”

 

คาโลไรยืนยัน

ถึงอย่างไรนางไม่คิดจะต้องอยู่โอรีเวียไปตลอด

 

“ ใช่แล้ว!  พวกเรากลับมาต่อให้ไม่เหลือแผ่นดินให้เหยียบข้าก็จะหาทางมาให้ได้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอกพลางหัวเราะชอบใจ

 

“ อย่าพูดเป็นลางสิเจ้าหนู ”

 

ชายชราเสียงดุแต่เขาก็หัวเราะไปกับเด็กน้อย

 

“ ข้าน่ะแก่แล้ว   พูดอะไรไปก็เท่านั้น   ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนนี่แหละชีวิต   สิ่งที่ข้าพูดเจ้าอย่าได้ใส่ใจนัก   วันนี้ฟังข้าพูดอย่างหนึ่งพรุ่งนี้ข้าอาจเปลี่ยนไป   เชื่อใจคนอื่นมันก็ดีแต่ดีที่สุดคือเชื่อใจตัวเอง ”

 

“ แล้วพรุ่งนี้ท่านอาจเปลี่ยนเป็นสิ่งใด ”

 

คาโอเรียถามเสียงซื่อ

 

“ โถ   ข้าอายุปูนนี้จะเปลี่ยนเป็นอะไรได้ล่ะถ้าไม่เป็นดินก็นอนเป็นผัก ”

 

“ เอ๋   ท่านแปลงร่างเป็นผักได้   ทำไมไม่ลองแปลงร่างเป็นอย่างอื่นบ้างล่ะ   อย่างเช่นนกหรือผีเสื้อแล้วบินไปตามใจปรารถนา ”

 

“ แล้วกันคาโอเรียอย่าไปซักท่านชาโคลแบบนั้นสิ ”

 

คาโลไรน์ปราม

นางเข้าใจความหมายนั้นแต่ไม่อยากอธิบายกับบุตรสาว

 

“ พวกเราต้องไปกันแล้ว   ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมังกรจะกลับมาเมื่อไหร่แต่คงอีกไม่นาน   ถ้าอยู่ช้ากว่านี้คงได้เจอกับมันแน่ ”

 

อาเธอร์กล่าว

 

“ จงมุ่งไปข้างหน้าอย่าหยุดยั้ง   ชักดาบออกจากฝักเสียพ่อหนุ่มถึงเวลาออกศึกแล้ว   ข้ามีคำเตือนสองข้อเวลาที่อยู่ในหุบเขา   หนึ่งคืออย่าออกจากเงามืดสองจงอย่าส่งเสียงดัง   เอาล่ะขอให้โชคดีจนกว่าจะพบกันใหม่ ”

 

ชายชราถอยไปยืนพิงหลังเกวียนขณะมองพวกเขาจากไปครั้นแล้วเขาก็ตะโกนขึ้น

 

“ เจ้าเด็กคนนั้นน่ะ   ฟิโลโซเฟอร์คือชื่อของเจ้าใช่ไหม   ข้าชอบใจเจ้าเด็กน้อยผู้กล้าหาญ   เจอกันครั้งหน้าข้าคงได้เห็นฝีมือการยิงธนูของเจ้า ”

 

เด็กชายหันมายิ้มและโบกคันธนูให้

เขาวิ่งพลางกระโดดพลางตามหลังอาเธอร์ไป

 

ชายชรามองตามแล้วส่ายหน้า  

ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  

เด็กหนอเด็กเจ้าคิดหรือเปล่าว่าต้องเข้าไปพบกับอะไร

 

            เกวียนเคลื่อนตัวกลับไปตามรอยทางที่มันมา   เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านไม้ซุงหลังเก่าและซอมซ่อ   ม้ายังเป็นม้าคู่เดิมเกวียนก็ยังเป็นเกวียนลำเดิม   แต่มันจะรู้ไหมว่ามันถูกเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว   นายคนเดิมของมันได้เดินหายเข้าไปในแนวป่าดินแดนที่ไม่แทบมีไครกล้าเข้าใกล้   ส่วนพวกมันกลับหันหลังไปอีกทางและมุ่งหน้าไปคนละทิศ  เกวียนสั่นโยกเยกเบาๆ เมื่อมันเคลื่อนตัวอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ จมหายเข้าไปในพงหญ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา