โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.69K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

127) เรื่องความอัปยศของบิดาเจ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ชั่วโมงเรียนของวิชาประวัติศาสตร์ว่าด้วยสงครามโค่นปีศาจในยุคกลาง   ดารีลและเด็กชายตัวน้อยมาถึงเมื่อเพื่อนๆ เข้าประจำที่กันหมดแล้ว
 
พ่อมดน้อยนั้น   อยู่ในสภาพมึนงงเหมือนเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ ส่วนฟิโลโซเฟอร์ที่เดินมาข้างๆ ก็ดูพึงพอใจในตนเองเป็นอย่างมาก
 
ดารีลผลักคนอายุน้อยกว่าให้นั่งลงข้างๆ ฟีไลร่า   ส่วนตัวเขาเดินเลยไปนั่งข้างหลังสุด   ตามลำพังเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
 
สายตาของเด็กนักเรียนทุกคนจ้องมาที่พวกเขา   หลายคนสงสัยว่าคนทั้งคู่มาด้วยกันได้อย่างไร   เพราะการที่ผู้ใช้เวทมนตร์จะไปไหนมาไหนกับคนธรรมดานั้นยากนัก
 
“ ไหนเจ้าบอกลืมหนังสือมิใช่หรือ   แล้วไงมากับหมอนี่ได้   ที่หายไปนานสองนานนี่ตกลงไปทำอะไรแน่ ”   
 
โลธอร์หันมาถาม
 
“ ข้าขึ้นไปเอาหนังสือจริงๆ แล้วก็เผลอหลับเท่านั้นเอง ”
 
“ แค่หยิบหนังสือนี่นะถึงกับนอนหลับ   เจ้าช่างประหลาดคนจริง ”
 
อีเลียสว่าบ้าง
เขาชำเลืองมองดารีล
ซึ่งตอนนี้ทำเป็นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ
 
“ แล้วตกลงพวกเจ้ามาพร้อมกันได้อย่างไร ”
 
ฟีไลร่ายังคงสงสัย
 
“ ดารีลก็แค่แวะมาให้คำแนะนำเรื่องดาบ   พอดีกับว่าเราเรียนวิชาเดียวกันจึงเดินมาพร้อมกันก็เท่านั้นเอง   ทำไมล่ะมีอะไรหรือ ”
 
“ เปล่าหรอก   ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีความลับอะไร ”
 
นางว่า
 
เด็กชายชาวซีนาร์ยหัวเราะ
ดวงตาเป็นประกายน่าพิศวง
 
“ เมื่อครู่ไม่มีอะไรหรอก   แต่ก่อนหน้านั้นไม่แน่ ”
 
เหมือนจะได้ผล
ฟีไลร่าติดกับทันที
 
ทั้งที่นั่งใกล้กันอยู่แล้วนางยังขยับเข้ามาชิดอีก
สองมือจับแขนของเขาเขย่า
 
“ ยังไงหรือ   ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้   บอกข้าบ้างสิ ”
 
หินก้อนหนึ่งหล่นปุ๊กลงกลางโต๊ะของคนทั้งคู่
โดยไม่รู้ที่ไปที่มา
 
เด็กชายหันขวับไปมองดารีลทันที
หนุ่มน้อยคนนั้นทำหน้าตึงใส่
แล้วตวัดหางตาไปทางประตูเข้า
 
อาจารย์โดเฮเกนกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา
ฟิโลโซเฟอร์จึงรีบนั่งตัวตรง
และอยู่ในความเรียบร้อย
 
อันที่จริงวิชานี้ออกจะน่าเบื่อ
เพราะคนสอนเอาแต่เล่าประวัติคนนั้นคนนี้
แต่ไม่เคยกล่าวถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของสงคราม
 
นอกจากนั้นยังคอยหลบเลี่ยงคำถามประหลาดของนักเรียน
มีคำเล่าลือกันว่า
เป็นเพราะเขาหวาดกลัวสายตาของจอมเวทวาลาน
 
เรื่องนี้คงสำคัญไม่น้อย
จนต้องส่งคนสนิทเช่นดารีลมาตามประกบ
 
แต่ก็อย่างที่เห็น
ยิ่งต้องห้ามยิ่งน่าสนใจ
 
แม้อาจารย์โดเฮเกนจะระวังตัวแจ
เมื่อถูกรบเร้าก็ต้องมีเผลอตัว
 
ยิ่งดารีลทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี
นอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วยังคอยจดรายละเอียดไม่เคยเว้น
แม้แต่ตำราของเขายังเล่มหนากว่าครูผู้สอน
 
สิ่งเหล่านี้ทำให้โดเฮเกนลืมไปว่า
ดารีลมาที่ห้องนี้เพื่ออะไร
 
“ จริงหรือเปล่าที่อาจารย์เคยร่วมรบในสงครามเมืองคาเล ”
 
เสียงนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้น
 
ทำเอาทั้งห้องหยุดชะงัก
แม้ดารีลเองยังถึงกับถือปากกาขนนกค้าง
แต่สีหน้ายังนิ่งงัน
 
“ เรื่องนี้เกิดขึ้นคนละยุคกับที่เรากำลังเรียนอยู่ ”
 
อาจารย์โดเฮเกนตอบเรียบๆ
 
“ ถึงจะเกิดคนละยุคแต่อาจารย์ก็เล่าเป็นเกร็ดความรู้ได้นี่นา ”
 
นักเรียนอีกคนพูดขึ้น
 
“ ใช่ๆ พวกเราอยากรู้เหตุใดเรื่องนี้จึงไม่มีการเรียนการสอน   ยุคของซาเหวจลอร์ดน่ะนานเกินไป   มันก็แค่นิทานเรื่องหนึ่งรู้ไปก็เท่านั้น   แต่เรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วนี่มันยังไงกันแน่   ในเมื่อเรามีผู้รู้จริงนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว   ใยไม่เล่าให้ฟังว่าสงครามเมืองคาเลนั้นเริ่มต้นอย่างไรและจบลงได้อย่างไร ”
 
เมื่อถูกเยินยอมากเข้า
อาจารย์โดเฮเกนก็อดใจไม่ไหว
 
เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยย่อ
นักเรียนนั่งฟังและตั้งใจจดเนื้อหาอย่างกระตือรือร้น
 
มีเพียงดารีลเท่านั้นที่นั่งนิ่ง
ใช้ปากกาขนนกปากเหล็กเคาะกับกระดาษจดเบาๆ
 
“ ในตอนนั้นตอนปลายของสงคราม   เหล่านักรบต่างล้อมเมืองเอาไว้ถึงเจ็ดเดือนและในคืนวันที่สิบสาม   มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นามว่าลีลล์ก็สามารถหาวิธีทำลายกำแพงเมืองนั้นลง   พวกเราได้เข้าไปกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในเมืองนั้น   จอมปีศาจหนีร่นเข้าไปในตัวปราสาท   เราต้องใช้ยักษ์โทรลช่วยถล่มป้อมปราสาท   ฝูงมังกรดำถูกคาถาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพ่อมดสกัดไว้ทำให้เข้ามาช่วยในปราสาทไม่ได้   แล้วควอซาร์ก็ได้หนีขึ้นไปอยู่บนหอสูงเพียงลำพัง   ร่ายคำสาบที่ชั่วร้ายที่นั่นหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความพ่ายแพ้ ”
 
เขาหยุดพูด
เมื่อเห็นดารีลยกมือขึ้นช้าๆ
 
แววตาที่มองมาทางอาจารย์ผู้ชรานั้นเย็นเยือก
 
“ ว่าอย่างไรล่ะ ”
 
อาจารย์โดเฮเกน
 
“ กล่าวกันว่าคนพูดโกหกให้พูดซ้ำอีกครั้งมักจะไม่ตรง   หากท่านไม่สามารถพูดความจริงได้   สู้ไม่พูดอะไรเลยดีกว่าไหม   สามครั้งที่ท่านพูดเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นคนละเรื่องกัน   ความจริงแล้วท่านไม่รู้อะไรเลยหรือท่านรู้ดีแต่พยายามซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ”
 
“ ข้าแน่ใจว่าเจ้าเพิ่งเข้าเรียนกับข้าเป็นครั้งแรก   พูดเช่นนี้เจ้าต้องการอะไรกันดารีล ”
 
“ ข้าเองก็เคยเตือนท่านว่า   ข้ามาที่นี่เพื่อคอยจับตาดูท่าน   เรื่องวันนี้หรือนับย้อนหลังจากนี้   เป็นความจำเป็นของข้าที่ต้องรู้ ”
 
ดารีลว่า
 
“ มีข่าวลือหนาหูว่าเจ้ายืนคนละฝั่งกับจอมเวทวาลาน   ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่จริง   เจ้ามันก็ลิ่วล้อของเขาดีๆ นี่เอง ”
 
น้ำเสียงของโดเฮเกนนั้นเย้ยหยัน
 
“ ต่อหน้านักเรียนทั้งหลาย   ท่านพูดถึงฝั่งฝ่ายในโอรีเวียเมืองแห่งพันธมิตรได้อย่างไรกัน   ความแตกแยกเป็นลางร้ายแห่งความล่มสลาย   ไม่ว่าเมืองใดก็ตามต้องระวังสิ่งนี้ให้ดี   วาลานเป็นนายสูงสุดหากข้าไม่เชื่อฟังเขา   จะให้ข้าเชื่อฟังท่านอย่างนั้นหรือ ”
 
ดารีลตอบโต้อย่างไร้อารมณ์
ราวกับเรื่องทั้งหลายล้วนไร้สาระ
 
“ เจ้าอยากฟังเรื่องจริงสินะ ”
 
หนุ่มน้อยไม่ตอบ
เขาแค้ใช้ปลายขนนกลูบไล้ปลายคางตนเอง
 
“ เรื่องความอัปยศของบิดาเจ้าน่ะ ”
 
อาจารย์โดเฮเกนเน้นทีละคำ
 
ซึ่งก็เรียกเสียงพึมพำจากนักเรียนได้ไม่น้อย
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่หนุ่มน้อยคนนี้
 
ดารีลนั้นเม้มปากบางเฉียบจนใครหลายคนคิดว่าเขาคงจะโกรธ
แต่แล้วเขาก็ระบายรอยยิ้มบางๆ
พร้อมกับแววตาที่รู้เท่าทัน
 
“ น่าสนใจดีและข้าสมควรได้รู้   ว่ามาสิ   เรื่องที่มันทับถมอยู่ในใจท่านจนเส้นผมต้องหงอกขาวและร่วงโรยไปก่อนเวลาอันควร   บางทีมันอาจจะดีต่อท่านเองแม้วันข้างหน้าหากตายไปจะได้ตายตาหลับ   เพราะไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้ว ”
 
“ ข้าไม่ได้ทำ! บิดาของเจ้าโกหก ”
 
อาจารย์หน้าแดงก่ำ
สองมือกำแน่นจนสั่นระริก
เขาพยายามหลับตาเพื่อระงับอารมณ์
 
“ ดาเรนนั้นวิปลาสไปแล้ว   แม้แต่ชื่อบุตรของตนเองยังจำไม่ได้   กล่าวหาว่าเขาโกหกไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ   จริงอยู่คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้   แต่เขาก็ไม่เคยกล่าวอะไร   นอกจากออกท่องเที่ยวเพื่อตามหาบุตรภรรยาที่เชื่อว่าถูกลักพาตัวไป   ก็เท่านั้นเอง ”
 
“ เขาทำพลาดเอง   กลายเป็นแบบนั้นก็สาสมแล้ว   ปล่อยควอซาร์ร่ายคำสาปจนสำเร็จไม่พอยังปล่อยทายาทของเขาให้หลุดรอดมาได้   สงครามที่ควรจะจบจึงไม่จบ   เรื่องนี้ใครสมควรต้องรับผิดชอบ ”
 
อาจารย์ผู้ชราขึ้นเสียง
 
“ ในเวลานั้นไม่มีใครรู้ว่าควอซาร์มีทายาท   จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่   แม้คำสาปนั้นใครเป็นผู้สร้างก็ยังไม่มีคำยืนยัน   ต่อหน้าวาลานท่านไม่อาจเอ่ยสิ่งเหล่านี้   แต่ต่อหน้าข้าท่านกลับพูดชัดเต็มถ้อยคำ   เช่นนั้นแล้วข้าสมควรเชื่อหรือไม่   ในบันทึกบอกว่าท่านเป็นหนึ่งในห้าที่เข้าถึงควอซาร์ในวันนั้น   สามคนได้ตายไปหนึ่งคนเสียสติจึงเหลือท่านเพียงคนเดียวที่จะกล่าวอะไรก็ได้   ไม่มีใครโต้แย้งได้แล้ว ”
 
เสียงของดารีลนั้นเย็นเยือก
 
อาจารย์โดเฮเกนถอนหายใจยาว
 
“ ดารีล   ดารีล   สิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ข้ากับบิดาของเจ้าเคยเป็นเพื่อนรักกัน   มีเรื่องมากมายที่ข้าไม่ได้พูดและพูดไม่ได้   เจ้านั้นเป็นผู้ใช้เวทมนตร์จะเข้าถึงก็ลำบาก   เจ้าไม่รู้หรอกข้าเองก็เสียใจไม่น้อยที่บิดาของเจ้ากลายเป็นเช่นนั้น   เอาล่ะเราจะยุติเรื่องนี้กันเพียงเท่านี้   ตอนเย็นมาหาข้าที่ห้องพักสิ   ข้าจะตอบทุกคำถามของเจ้า ”
 
“ วันนี้หลังสามทุ่ม ”
 
ดารีลบอก
 
“ ข้ามีนัดกับครูใหญ่   ต้องจัดการปัญหาสำคัญก่อน ”
 
“ ไม่มีใครเตือนเจ้าหรือไง   หมอนั้นไม่น่าคบสักนิด ”
 
อาจารย์โดเฮเกนว่า
 
ส่วนดารีลยิ้มบางๆ แทนคำตอบ
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา