โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  114.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

128) คืนนั้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เย็นวันนั้นเด็กๆ เข้าไปทำการบ้านในห้องสมุด   ตะเกียงโคมสว่างไสวในมุมมืดๆ พวกเขานั่งรวมหัวกันอยู่หลังตู้หนังสือใบใหญ่   แสงเหลืองนวลของตะเกียงสะท้องเงาของพวกเขาทาบลงบนผนังราวกับภูตผี   เลโอน่ากำลังจดบันทึกเกี่ยวกับเห็ดพิษชนิดต่างๆ ขณะที่โลธอร์อ้าปากหาวเสียงดัง
 
“ น่าเกลียดจริงเชียว ”
 
เลโอน่าต่อว่า
 
“ จะเป็นไรไปก็ข้าง่วงนี่นา ”
 
เด็กน้อยร่างอ้วนว่าแล้วก็บิดขี้เกียจต่อ
เขาไม่สลดต่อคำตำหนิสักนิด
 
ฟีไลร่าเงยหน้าขึ้น
มองออกไปนอกหน้าต่างอันมืดมิด
 
เสียงระฆังดังกังวานขึ้นเก้าครั้ง
 
“ เราขึ้นนอนกันเถอะนี่ก็ดึกมากแล้ว ”
 
นางเสนอ
 
“ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อก็ได้ ”
 
 
พวกเขาจึงออกจากห้องสมุดกันเงียบๆ ในมุมต่างๆ ของห้องเด็กบางคนฟุบหลับ   บางคนนั่งบนกองหนังสือขนาดมหึมากำลังตั้งใจอ่านอย่างเคร่งเครียด   พวกเขาค่อยๆ ย่องผ่านอาจารย์บรรณารักษ์ผู้คร่ำเคร่งอยู่เป็นนิจออกมาที่ระเบียงทางเดิน   มีโคมไฟติดอยู่บนเสาหินเป็นระยะคอยให้แสงสว่างอย่างเพียงพอ  
 
ฟิโลโซเฟอร์ตั้งใจจะรู้ว่าคาโอเรียเข้านอนหรือยัง   เขาจึงเดินไปทางห้องนั่งเล่นแต่ก็พบว่ามันเงียบสนิท   เวลาสามทุ่มอันที่จริงไม่ถือว่าดึกมาก   แต่ในช่วงเวลาที่น่าหวาดกลัวเด็กน้อยต่างเข้าไปอยู่ในที่ๆ คิดว่าปรอดภัยที่สุด   นั่นก็คือห้องนอน  
 
 
เด็กชายชาวซีนาร์ยคิดว่าน้องสาวคงเข้านอนไปนานแล้ว   แม้บริเวณนี้จะดูปรกติเรียบร้อยดี   น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกวิตกกังวล   แต่ก็ไม่แน่ใจว่ากำลังกังวลเรื่องอะไรแน่   ภายในใจนั้นหนาวเยือกอยู่ตลอดเวลา   ราวกับว่ามีปีศาจร้ายกำลังจ้องมองมาจากที่ใดที่หนึ่ง  
 
เมื่อส่งสตรีทั้งสองเข้านอนแล้ว   พวกเขาเดินเลยมาถึงระเบียงชั้นสี่เด็กๆ ต่างคุยกันเบาๆ แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้า   เหล่าเด็กน้อยแสนซนก็หลบเข้าข้างกำแพงโดยทันที   พวกเขาเฝ้ามองสิ่งที่จะปรากฏตรงหน้าต่างคิดไปต่างๆ นาๆ
 
เงาของร่างสูงโปร่งเด่นชัดขึ้น   เขาเดินนำครูใหญ่ผู้อ้วนฉุไปตามระเบียงที่เชื่อมต่อกัน   ฟิโลโซเฟอร์บอกได้แทบจะทันทีว่านี่คือดารีล   พ่อมดน้อยนั้นอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวและครูใหญ่ก็เดินโงนเงนเหมือนคนเมาสุรา
 
“ ใยเจ้าไม่ฟังเหตุผลของข้าบ้างเลย ”
 
เสียงวีแกนดังงึมงำมาพอได้ยิน
 
“ ข้าฟังและพยายามจะเข้าใจอย่างที่สุดแล้ว   แต่สิ่งที่ว่ามามันเรียกว่าเหตุผลได้ด้วยหรือ ”
 
ดารีลว่า
 
“ ข้าทำเพื่อส่วนรวม   เหตุผลจำเป็นต้องมีด้วยหรือ ”
 
“ แค่พูดมันก็ได้อยู่หรอก   แต่เรื่องนี้มันเสี่ยงเกินไป   ข้าจะไม่ทดลองด้วยตนเองและไม่คิดว่าต้องพาใครมาเสี่ยงชีวิตด้วยเรื่องนี้ ”
 
“ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเสียสละมิใช่หรือ   เพื่อรักษาคนหมู่มากเอาไว้ ”
 
ดารีลไม่ตอบ
เขาเปิดประตูบานหนึ่ง
แล้วทำท่าเชิญให้ครูใหญ่เดินเข้าไป
 
“ เจ้าคงไม่คิดทิ้งข้าไว้คนเดียวนะ ”
 
วีแกนพูดด้วยความหวาดระแวง
เขายืนรั้งกรอบประตู
ไม่ยอมก้าวผ่านเข้าไป
 
“ ข้าไม่รู้ว่าท่านคิดจะทำอะไรแน่   ถ้าท่านไม่เปิดใจกับข้า   แล้วหวังจะให้ข้าช่วยนี่ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ ”
 
หนุ่มน้อยว่าพลางผลักครูใหญ่เข้าห้องไปก่อน
 
“ หลายครั้งแล้วที่ท่านไม่เข้าร่วมประชุมใหญ่   ข้าเบื่อหาข้อแก้ตัวให้ท่านเต็มที   ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน   บอกทีสิว่านี่มันเรื่องอะไรกัน   เหตุใดจึงทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ ”
 
ครูใหญ่วีแกนเดินเซ
โดยมีหนุ่มน้อยรูปงามตามหลัง
 
เขาปิดประตูห้องแน่นหนา
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง
 
เมื่อทุกอย่างกลับเป็นปรกติเด็กๆ ก็ออกจากที่ซ่อน
 
“ นั่นพวกเขาทำอะไรกัน ”
 
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
 
“ ครูใหญ่คงกำลังวางแผนสร้างผลงานอยู่น่ะ   ดูเขาสนใจงานของสภามากกว่าความเป็นไปของโรงเรียนเสียอีก   น่าแปลกที่ตามปรกติแล้วดารีลจะสนับสนุนผลงานของเขา   แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปเจ้าหนุ่มนั่นดูไม่ค่อยพอใจอะไรบางอย่าง   ตกลงแล้วครูใหญ่วีแกนกำลังทำอะไรแน่ ”
 
สหายร่างผอมกล่าว
 
“ ครูใหญ่ทำอะไรข้าไม่รู้   และไม่สนด้วย   แต่เมื่อครู่พวกเราหลบอะไรกัน   ข้าสนใจตรงนี้มากกว่า   พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา   กะอีแค่ผู้คุมกฎกับครูใหญ่เดินมาถึงกับหลบกันตัวลีบ ”
 
โลธอร์ว่าบ้าง
 
“ โทษที   ถ้ารู้ว่าเป็นพวกเขาข้าก็ไม่คิดจะหลบหรอก   แต่ช่วงนี้มันน่าหวาดระแวง   เห็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ขี้ตื่นไปอย่างนั้นเอง   ในเมื่อได้หลบแล้วก็เลยหลบให้ตลอดก็เท่านั้นเอง ”
 
เด็กชายตัวน้อยบอกพลางออกเดิน
มุ่งสู่โถงทางเดิน
ที่จะพาไปสู่หอนอน
 
“ ที่จริงน่าจะเปลี่ยนตัวครูใหญ่ได้แล้วแบบนี้ไม่ไหวเลย ”
 
อีเลียสว่า
ขณะที่พวกเขาเดินไปด้วยกัน
 
“ ทำไมล่ะ   ถึงเขาจะไม่ได้สนใจกิจการของโรงเรียน   แต่เขาก็ทำเพื่อส่วนรวมมิใช่หรือ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์แย้ง
 
“ ก็จริงอยู่   แต่ในเมื่อเห็นชัดแล้วว่าทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกันไม่ไหว   ก็น่าจะแบ่งภาระให้คนอื่นบ้าง   งานจะได้ออกมามีประสิทธิภาพ ”
 
พวกเขาเดินไปตามทางจนถึงประตูห้องของตนเอง
เด็กชายทั้งสามนอนอยู่ห้องเดียวกัน
 
ในห้องนั้นมีสองเตียงใหญ่
 
สองคู่หูอ้วนผอมนั้นนอนด้วยกัน
ส่วนฟิโลโซเฟอร์ยึดเตียงที่เหลือเพียงลำพัง
 
ดาบสีเงินของดารีลนั้น
วางพาดอยู่บนหมอนใบหนึ่ง
 
เขาขอนตะแคงจ้องมองดูดาบ
ที่ตอนนี้ทอประกายงดงามกับแสงจันทร์
 
ในใจก็คิดถึงฟีไลร่า
ผมของนางก็ทอประกายงดงามเช่นนี้
 
“ เจอกันพรุ่งนี้เช้า ”
 
เสียงของโลธอร์ดังแว่วมา
แต่ฟิโลโซเฟอร์ก็ไม่ได้ตอบอะไร
 
เขานอนกระสับกระส่าย
เขารู้สึกหวาดกลัวกับความรู้สึกที่ว่า
อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้
 
ความวิตกกังวลยังตามติดไม่จางหาย
หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ส่งคาโอเรียเข้านอน
สติเลยคิดเพี้ยนไปเอง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา