โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

139) ตัวตน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในค่ำคืนนั้นอากาศกำลังเย็นสบาย   พวกเขาทั้งสองต่างนอนราบบนพื้นหญ้า   จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวพร่างพราย

 

เด็กชายตัวน้อยสรรหานิทานมากมายที่เคยอยู่ในความทรงจำมาเล่า   ส่วนอีกคนก็นอนนิ่งราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน   สองมือนั้นสอดประสานวางแนบเหนืออก

 

“ มีข่าวลือหนาหูว่าเจ้ากำลังจะแต่งงาน   เรื่องนี้จริงแท้แค่ไหน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นในตอนหนึ่ง

แต่เขากลับได้ความเงียบมาแทนคำตอบ

 

“ เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเจ้าคงไม่คิดปิดบังหรอกนะ   ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีที่ว่างสำหรับข้าหรือไม่   หรือจะให้ข้าอวยพรเสียตั้งแต่ตอนนี้ ”

 

เด็กชายเริ่มน้อยใจ

 

“ เจ้าให้ราคากับข่าวลือด้วยหรือ ”

 

อีกฝ่ายว่า

 

“ ก็มันเป็นไปได้นี่นา   พวกเจ้าสองคนรักกัน   ช้าหรือเร็วก็ต้องมีวันนั้นใช่ไหมล่ะ ”  

 

จบคำพูดนั้น

เด็กชายตัวน้อยก็ได้ความเงียบตอบกลับมาแทน

 

“ ข้านึกอะไรออกแล้วเจ้าต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ร้องพลางลุกขึ้นนั่ง

 

“ เจ้าอย่าเพิ่งมีลูกนะ ”

 

คำกล่าวนั้น

ทำเอาคู่สนทนาหันมามอง

คิ้วเรียวงามต้องขมวดมุ่นเข้าหากันอีกครั้ง

 

“ รอข้าก่อนสิ   ข้าอยากให้ลูกของพวกเราแต่งงานกัน   ตอนนี้ข้ามีคนหมายตาแล้วอีกห้าปีเป็นอย่างไรล่ะ   หากเจ้าไม่รีบ   รอจัดงานพร้อมข้าก็ได้ ”

 

“ เพ้อเจ้ออะไร ”

 

ดารีลว่า

 

“ แล้วมันไม่ดีไม่งามอย่างไรกัน ”

 

เด็กชายทำเสียงขุ่น

 

“ ประการแรกสุดเลยคือ   จะไม่มีใครมีบุตรหากคำสาปยังไม่สลาย   ประการที่สองเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าบุตรของเราจะรักกัน   ในความจริงพวกเขาอาจฆ่ากันก็ได้ ”

 

“ ไม่มีทางหรอกลูกของข้า   ข้าฝึกเอง   เขาจะต้องไม่มีความคิดแบบนั้น ”

 

“ ข้าไม่สามารถบังคับจิตใจใครได้เจ้าเองก็เช่นกัน ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นกล่าว

 

“ แล้วหากบุตรของเราเป็นหญิงทั้งคู่เจ้ายังคิดให้แต่งงานกันอยู่หรือ ”

 

“ แน่หล่ะ   ถ้าพวกเขาต้องการอย่างนั้น   มีเหตุผลอะไรต้องขัดขวาง ”

 

เด็กชายว่า

 

พ่อมดน้อยส่ายหน้า

 

“ เจ้าก็พูดไปเรื่อย   แต่ช่างเถอะ   ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดจะมีบุตรอยู่แล้ว   เรื่องเหลวไหลของเจ้าเชิญพล่ามไปคนเดียวเถิด ”

 

“ ทำไมล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ

 

หนุ่มน้อยคนนั้นหลับตาลง

แล้วว่า

 

“ มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย   เจ้ายังคิดเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ   ข้านั้นเหมือนเดินอยู่ในกองเพลิงรอบกายเต็มไปด้วยเหวลึก   พลาดก้าวเดียวคือตาย   ความรักน่ะถึงอยากมีแต่คงคว้าไม่ถึง ”

 

“ พูดอะไรอย่างนั้นเจ้าหญิงเองก็ทรงรักเจ้ามิใช่หรือ   คว้าไม่ถึงอะไรกัน   เจ้าเพ้อเจ้อแล้ว ”

 

ดารีลลืมตาขึ้นมา

มองหน้าคู่สนทนา

 

“ แท้จริงแล้วในยามที่พ่ายแพ้ไม่มีสักคนที่เศร้าโศกไปกับข้า   แม้ยามที่ข้ากำชัยชนะก็ยังไร้ผู้ร่วมยินดี   ข้าน่ะโดดเดี่ยวโดยแท้จริง   เรื่องรักแท้นั้น ” 

 

เขาจ้องดูแหวนรูปงูบนนิ้วของตนเอง

 

“ กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นเพียงมายาแห่งความลุ่มหลง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์รวบลำคองามระหงด้วยมือข้างหนึ่ง

บีบบังคับให้หนุ่มน้อยนั้นจ้องตากับตนเอง

 

“ ข้ายังอยู่ตรงนี้ทั้งคนเจ้ากล้าพูดว่าโดดเดี่ยวด้วยหรือ ”

 

เด็กน้อยคำราม

 

แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มยั่ว

 

“ ข้าจะพูด   แล้วยังไงล่ะ ”

 

เด็กชายตัวน้อยจึงรวบลำคอนั้นด้วยสองมือ

สีหน้าเดือดดาลไม่น้อย

 

“ บีบคอให้ตาย   ข้าก็ยืนยันคำเดิม   เจ้าน่ะไม่เคยเข้าใจอะไรหรอก ”

 

ดารีลกล่าว

เขาไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนกับกิริยาของฟิโลโซเฟอร์เลย

 

“ อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้ยืนข้างเจ้าหรือโดนสตรีชุดแดงเป่าหูเข้าให้แล้ว ”

 

หนุ่มน้อยรูปงามเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น

ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดจนแทบคลั่ง

 

“ ดารีล ”

 

เด็กชายตะโกนเรียกชื่อนั้น

ด้วยโมโหจนไม่หวั่นเกรงว่าปีศาจตนใดจะผ่านมาได้ยิน

 

“ เจ้าเป็นบ้าอะไรนี่ ”

 

เมื่อยังไร้การตอบสนอง

เด็กชายจึงได้แต่ทอดถอนหายใจ

 

เขาก้มลงมองคู่สนทนา

 

ภายใต้แสงจันทร์ดารีลนั้นงดงามหมดจด

กลิ่นกายที่หอมเย้ายวนยิ่งเร้าอารมณ์เบื้องลึกให้พร้อมตื่นตัวเสมอ

 

ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกตัวว่า

แรงปรารถนานั้นกำลังพาเตลิดไปไกล

 

จึงปล่อยมือด้วยความตกใจ

และรีบถอยออกมา

 

เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ลักษณะพิเศษของผู้ใช้เวทมนตร์

แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นของชนกลุ่มใด

 

เพราะเขานั้นอายุน้อย

ความรู้ก็น้อยตามไปด้วย

 

“ ทำไม   เกิดกลัวข้าขึ้นมาแล้วหรือ   ความรู้สึกช้าเหลือเกินนะ ”

 

“ ใครเขากลัวเจ้ากันข้ากลัวใจตัวเองต่างหาก ”

 

เด็กชายว่า

 

ให้ตายสิ

 

เขานึก

 

ที่เปลี่ยวตามลำพังกับดารีลไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

 

 

หนุ่มน้อยถึงกับขมวดคิ้วเพราะคำกล่าวนั้น

เพราะเขาไม่รู้ตัวว่า

ในเวลานี้ตัวเขานั้นยั่วยวนเพียงใด

 

เงียบกันไปนานกว่าดารีลจะเอ่ยขึ้น

 

“ ข้าพอเข้าใจอยู่หรอกคนเกลียดข้านั้นมีมาก   ส่วนคนที่ชอบข้าก็มองเห็นแค่เปลือกนอก   เจ้าเองก็เช่นกัน   วันใดที่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้า   ถ้าหากไม่หนีหัวซุกหัวซุนก็คงชักปลายดาบใส่ข้าเท่านั้นเอง ”

 

“ แล้วตัวตนของเจ้ามันอย่างไรล่ะ ”

 

เด็กชายว่าบ้าง

 

“ ต่อหน้าทำใจดี   ลับหลังเป็นนักฆ่าเลือดเย็นอย่างนั้นหรือ   เรื่องพวกนี้ข้าฟังจนเบื่อและต่อให้จริงข้าก็ไม่เคยคิดสนใจอดีตที่มันผ่านไปแล้ว ”

 

“ มันยังไม่เป็นอดีตหรอกนะ   ข้าขอเตือนเจ้าข่าวลือก็คือข่าวลือ   มันอาจไม่จริงเลยหรือจริงยิ่งกว่าที่ได้ยินก็ได้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์จ้องมองหนุ่มน้อยตรงหน้า

ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา

 

ทั้งดีและเลวร้าย

ทั้งน่าหวาดกลัวและน่ายินดี

 

หากว่าข่าวลือทั้งปวงเป็นจริง

ดารีลไม่ได้ใจดีอย่างที่เขานึก

 

“ ข้าไม่มีวันปล่อยมือเจ้าไปหรอก   ต่อให้ใครจะว่าอย่างไรข้าก็ยังยืนยัน   ไม่ว่านรกหรือสวรรค์ข้าก็จะไปกับเจ้าจนสุดทาง ”

 

เด็กชายตัวน้อย

แห่งเมืองซีนาร์ยว่า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา