โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) พบกันอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เด็กชายผู้เติบโตมาท่ามกลางทุ่งโล่ง   แต่ต้องมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่คลาคลั่งไปด้วยผู้คน   แม้เขาจะดูตื่นเต้นและพึงใจ   แต่ลึกๆ แล้วเขาก็โหยหาทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มากกว่าเมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพง   เขายืนกระสับกระส่ายเหมือนคนหลงทาง   ที่ยังหาทางไปไม่ได้   เด็กหญิงตาสีน้ำเงินเข้มคนนั้นทำไห้เขาลืมไปแล้วว่าเขาตั้งใจจะไปทางไหน

 

เขาเดินใจลอยไปทางที่เด็กหญิงทั้งสองเดินไปด้วยกัน   แต่ตอนนี้เขามองไม่เห็นทั้งคู่แล้ว   เด็กชายได้มาถึงถนนสายหนึ่งที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนหลังโอ่อ่า   รอบๆ บ้านยังมีสวนดอกไม้มองดูกว้างขวาง   บางบ้านมีกำแพงสูงผู้คนเดินไปมาก็บางตามาก   ถนนเส้นนี้จึงดูแปลกประหลาด  

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่แปลกไปคือ

สายตาหลายคู่ที่มองมายังเด็กชายตัวน้อยนั้นเจือด้วยความรังเกียจ

ก็ต้องโทษตัวเขาเองที่ไม่แต่งกายให้ดีก่อนออกจากบ้าน

 

ฟิโลโซเฟอร์สังเกตเห็นสายตาคู่หนึ่งจ้องเขาอยู่นานแล้ว

ชายชราสองคนเดินมาข้างหน้าเขา

มีคนหนึ่งจ้องมองเขาเขม็ง

 

“ เจ้าเด็กคนนั้นนี่   คนที่มากับอาเธอร์   ข้าจำได้ ”

 

ชายคนนั้นว่า

 

“ ใช่เขาจริงๆ หรือแต่งตัวยิ่งกว่าขอทานไม่ใช่เจ้าจำคนผิดนะ ”

 

ชายอีกคนที่มาด้วยกันถาม

 

“ พวกท่านรู้จักบิดาของข้าหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามงงๆ

แต่บิดาของเขาเกิดและเติบใหญ่ที่เมืองนี้

หากจะมีคนรู้จักย่อมไม่แปลก

 

“ รู้สิทำไมจะไม่รู้   คนนอกคอกคนนั้นน่ะ   แล้วเจ้ามาทำอะไรแถวนี้   คงไม่ใช่อาเธอร์สั่งให้มาหรอกนะ ”

 

“ เปล่าข้ามาของข้าเอง   แค่มาเดินเล่นน่ะพวกท่านเป็นใครหรือ ”

 

“ พวกข้าเป็นปู่น้อย( น้องของปู่ )ของเจ้า   อ้อจริงสิจะว่าไปตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว   พ่อของเจ้าถูกไล่ตะเพิดออกไป   นี่คงไม่คิดกลับมาทวงสมบัตินะ   ฝันกลางวันไปเถอะ ”

 

“ เปล่านี่   ท่านพ่อไม่เคยพูดเรื่องนี้   และไม่เคยเอ่ยถึงพวกท่านด้วย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอกตามตรง

 

“ ก็ดี   รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง   คนอย่างพวกเจ้าไม่น่าเกิดในตระกูลพวกเราเลย ”

 

เด็กชายยกมือกุมขมับ

วันนี้วันอะไรกันแน่

เพิ่งเจอเด็กหาเรื่องมาแท้ๆ ตอนนี้ยังมาเจอกับคนแก่หาเรื่อง

วันนี้คงจะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น

หรือเขาควรกลับเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

“ แล้วท่านพ่อทำผิดอะไร   เหตุใดจึงโดนขับไล่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถาม

 

“ ผิดแน่นอน   เจ้านั่นพาเชื่อเสียงตระกูลลงเหวอย่างเดียวไม่ว่า   ยังพาแอสเธอลาสไปตาย   พ่อเจ้าน่ะเป็นคนไม่เอาไหน   โชคดีที่มีน้องชายพอเป็นความหวังได้   แต่ดูสิทุกอย่างป่นปี้ลงเพราะเขาคนเดียว   ตอนนี้คงอดอยากสินะจึงกระเสือกกระสนกลับมา ”

 

ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

 

“ เดี๋ยวนะ ”

 

เด็กชายว่า

 

“ เท่าที่ฟังเหมือนมีแค่ท่านพ่อกับท่านอาที่ต้องต่อสู้เพื่อตระกูล   แล้วพวกท่านล่ะครับ   เป็นชายชาตรีอยู่มิใช่หรือ   เคยดิ้นรนเองหรือไม่   เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ   ท่านเคยมีวีรกรรมอะไร ”

 

“ เจ้า   ถอดแบบออกมาจากเจ้าอาเธอร์ชัดๆ ตระกูลเราคงสิ้นหวังแล้ว ”

 

“ เฮ้   แต่ท่านไล่พ่อของข้าไปจากตระกูลแล้วนี่   ดังนั้นข้าก็ต้องเป็นคนนอก   หากมีอะไรล่มสลายไปก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา   เกิดจากพวกท่านต่างหากล่ะ ”

 

“ เจ้าเด็กนรก ”

 

คุณปู่น้อยชี้หน้า   ตาเหลือกลานจากนั้นก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นปากอ้าค้าง

 

ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับยืนงงในอาการที่เห็น

ด้วยเกรงว่าตนเองจะพูดแรงไป

ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ เป็นกลิ่นที่ชวนให้ลุ่มหลง   ราวต้องมนตร์สะกด

มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของเขา

เด็กชายกำลังจะหันไปมองว่านั่นเป็นมือของใคร

เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหู

เสียงที่เขาจะไม่มีวันลืม

 

“ คนทั่วไปหากพบกับคนพาลเขาจะเดินเลี่ยงออกมา ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ยืนตะลึงไปเป็นครู่กว่าจะตั้งสติได้

เขารู้ว่าเจ้าของเสียงยืนแนบชิดเพียงใด

 

“ ดารีล   เจ้า   เจ้ามาทำอะไรแถวนี้ ”

 

เด็กชายตื่นเต้นจนมือสั่นปากสั่น

 

“ คำถามนั้นข้าต้องเป็นฝ่ายถามเจ้า ”

 

ดารีลตอบเสียงเรียบ

 

“ อ้อ   ข้ารู้แล้ว   บ้านของเจ้าคงอยู่แถวนี้ล่ะสิ   ข้าทายถูกหรือไม่ ”

 

ดารีลไม่ตอบคำถามแต่ใช้ฝ่ามือออกแรงดันบังคับให้เขาเดิน

 

“ เดี๋ยวสิเดี๋ยว   นี่เจ้าคิดจะทำอะไร ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ท้วง

 

“ เจ้าน่ะยืนเกะกะขวางทางยังไม่รู้ตัวอีก   เช่นนี้แล้วคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ ”

 

“ หลานชายของข้า   เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือ   ได้อย่างไรกัน   เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าบ้าง ”

 

คุณปู่น้อยเหมือนเพิ่งจะได้สติเอ่ยถาม

 

“ ย่อมรู้อยู่แล้วก็เขาอุ๊บ ”

 

ปากของเขาถูกปิดไว้ด้วยมือของดารีล

ริมฝีปากที่ไวต่อสัมผัสรับรู้ถึงความเนียนนุ่มและหอมละเมียดละไม

เด็กชายถึงกับจิตหลุดกระเจิดกระเจิง

 

“ หยุดพูดแล้วเดินไป   นี่เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาทั้งวันหรืออย่างไร ”

 

เจ้าของมืองามเริ่มทำเสียงดุ

 

ฟิโลโซเฟอร์หอบหายใจแรงเพื่อเรียกสติ

บ้าไปแล้วเขาคิด

เหตุใดจึงควบคุมอาการไม่อยู่

แต่ถึงกระนั้นเขาก็เริ่มก้าวขาเดินไปข้างหน้า

 

“ เดี๋ยวรอก่อนเจ้าหลานชาย   ในเมื่อมาถึงนี่แล้วเจ้าก็ควรจะเข้าบ้าน   ดื่มกินอะไรนิดหน่อยมิใช่หรือ   ชวนเพื่อนของเจ้าเข้ามาด้วยสิ   บ้านของเราอยู่ไม่ไกลนักหรอก ”

 

คุณปู่น้อยตะโกนตามหลัง

 

เด็กชายกำลังคิดจะหันมาตอบแต่ดารีลคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ก่อน

 

“ เดินไปไม่ต้องฟัง   ไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้น   เสียเวลาเปล่า ”

 

“ ไม่ต้องห่วง   ข้าไม่คิดจะตามไปอยู่แล้ว   คนๆ นั้นใจร้ายนักเขากล่าวหาพ่อข้า ”

 

ดารีลลอบมองเด็กชายด้วยหางตาแล้วก็เดินต่อไปไม่พูดอะไร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา