โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในยามบ่ายของวันนั้นพวกเขาเดินไปด้วยกันบนท้องถนน   คนหนึ่งสูงโปร่งเงียบขรึมสวมชุดคลุมยาวสีดำที่ประณีตและราคาแพง   ส่วนอีกคนนั้นเป็นเด็กท่าทางซุกซนสดใสร่าเริง   เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวเดิน   เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นตามเนื้อตัวมีแผลถลอกปอกเปิก   อันเป็นผลจากการเดินทางฝ่าอันตราย

 

สองคนแตกต่างกันราวรุ่งอรุณและรัตติกาล   แต่ในยามนี้พวกเขาอยู่เคียงข้างกัน   เป็นภาพที่ประหลาดมากสำหรับเมืองโอรีเวีย   สายตาของคนมากมายจับจ้องมายังพวกเขาด้วยความคิดหลากหลาย   เหตุใดสองคนนี้จึงมาด้วยกัน   คนหนึ่งเป็นพ่อมดที่เงียบขรึมเข้าถึงยาก   อีกคนเป็นเด็กที่ดูคล้ายคนจรจัดที่ชวนให้รังเกียจ   แล้วจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือที่ใดกัน

 

พวกเขาเดินผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่มีรั้วรอบขอบชิด   ริมสองฝั่งของประตูต้นแตรนางฟ้าออกดอกสีม่วงบานสะพรั่ง   คนเฝ้าประตูสวมหน้ากากสีขาวสังเกตเห็นพวกเขาก็วิ่งมาหา

 

“ นายน้อยเหตุใดเพิ่งมา   มีคนมากมายคอยท่านอยู่ ”

 

ชายคนนั้นรายงาน

 

“ ข้าจำได้ว่าวันนี้ไม่มีธุระกับผู้ใด ”

 

ดารีลตอบเสียงเรียบเฉยพอๆ กับใบหน้า

 

“ แต่ผู้ที่มาหาท่านวันนี้เป็นบุคคลสำคัญมากเลยนะ   ท่านควรไปพบเขาสักประเดี๋ยวก็ยังดี ”

 

ยามหน้าบ้านยังคงรบเร้า

 

“ ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการ   หากคนผู้นั้นมีเรื่องสำคัญก็ให้รอเขาไป   ก่อนพระอาทิตย์ตกดินข้าอาจกลับมา   หรือหากรอไม่ได้ก็เชิญเขากลับไปเสีย ”

 

“ นายน้อยท่านกำลังทำข้าลำบาก   คนเหล่านั้นหวังจะพบท่านให้ได้   ท่านกลับทำแบบนี้ว่าแต่ไม้เท้าของท่านล่ะ ”

 

“ ข้าไม่คิดจะออกไปนอกกำแพง   ถือติดตัวไปก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องใช้   เอาล่ะไปประจำที่ของเจ้าเสีย ”

 

“ ท่านจะทำอะไรกันแน่แล้วเด็กนี่เป็นใคร   สกปรกขนาดนี้ส่งมาให้ข้าเถอะเดี๋ยวจัดการให้เอง   อย่าให้มือของท่านต้องเปื้อนเลย ”

 

ดารีลหันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วว่า

 

“ ตอนนี้เขาเป็นแขกของข้า   เรื่องระหว่างข้ากับเขาคนอื่นไม่อาจทำแทนได้   ไปกันเถอะ ”

 

แต่แทนที่ฟิโลโซเฟอร์จะเดินไปตามคำบอกกล่าวของดารีล

เขากลับวิ่งมาข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น

แล้วพูดขึ้นว่า

 

“ นี่คือบ้านของเจ้าใช่ไหมดารีล   ไหนๆ เราก็มาถึงแล้วเหตุใดเจ้าไม่ชวนข้าเข้าบ้าน   หาอะไรให้ข้ากินนิดหน่อย   อย่างไรเสียเราก็ไม่มีเหตุให้ต้องรีบร้อนมิใช่หรือ ”

 

พ่อมดหนุ่มน้อยหันขวับไปจ้องเด็กชายเขม็ง

 

“ ข้า   ข้าไม่เรื่องมากหรอกนะ   อะไรข้าก็กินได้ทั้งนั้นน้ำเปล่าอย่างเดียวก็ยังได้   แล้ววันหลังถ้าเจ้าผ่านไปทางบ้านข้า   ข้าก็จะเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทนอย่างไรล่ะ ”

 

เด็กชายกล่าวตะกุกตะกัก

ดารีลไม่ตอบแต่จ้องมองคนพูดไม่ละสายตาสีหน้าเรียบเฉย

 

“ หรือถ้าเจ้าคิดว่าข้าแต่งกายไม่สุภาพ   ให้ข้านั่งตรงสนามหญ้าก็ไม่เป็นไรนะ ”

 

“ เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า   รีบเดินไปเสีย ”

 

ดารีลเสียงเข้ม

 

“ ก็ได้ๆ ข้าเดินแล้ว   ไม่เข้าใจเลยที่โอรีเวียไม่มีธรรมเนียมแบบนี้หรือไง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บ่นพึมพำแล้วเดินก้มหน้างุดด้วยความน้อยใจ

พวกเขาเดินด้วยกันเงียบๆ จนถึงถนนอีกสาย

ถนนเส้นนี้มีคนพลุกพล่านกว่าเมื่อครู่

ตึกรามบ้านช่องหนาแน่นขึ้นแต่ก็ล้วนโอ่อ่างดงาม

ที่แห่งนี้ไม่คุ้นตาสำหรับเด็กชายเขาจึงหันไปเพื่อจะถาม

แต่ก็ถูกผลักเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งเสียก่อน

 

มันเป็นโรงแรมใหญ่โตด้านล่างเปิดร้านอาหาร

ลูกค้าในร้านมีไม่มากนัก

แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้มีเงินและมีเกียรติ

การโผล่พรวดพลาดเข้ามาของฟิโลโซเฟอร์ทำให้คนในร้านตกตะลึง

เมื่อตั้งสติได้เด็กในร้านสี่ห้าคนก็เดินตรงเข้ามา

เพื่อจะกันเด็กชายเนื้อตัวมอมแมมออกจากร้าน

 

แต่ก่อนที่จะได้ลงมือทำอะไร

พวกเขาก็เห็นบุคคลผู้หนึ่งก้าวเข้ามา

ซึ่งสร้างความตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก

เพราะเขาคือดารีลพ่อมดหนุ่มน้อยที่มีชื่อลือกระฉ่อนในโอรีเวีย

 

“ หาห้องสงบๆ ให้ข้าสักห้องสิ ”  

 

เขาพูดเรียบๆ พลางวางมือบนบ่าเด็กชายอย่างลงน้ำหนัก

บริกรยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นครู่กว่าจะพาไปยังห้องๆ หนึ่ง

มันเป็นห้องที่มีผนังสามด้านส่วนด้านหลังเปิดโล่งไปสู่สวนสวย

บริกรคนหนึ่งยื่นสมุดหนังลูกวัวให้ดารีลด้วยมืออันสั่นเทา

 

แล้วแนะนำว่าหากต้องการอะไรขอให้สั่นกระดิ่งทองเหลืองที่แขวนอยู่บนบนเสาโลหะต้นเล็กๆ ข้างโต๊ะ

ดารีลกล่าวขอบคุณแล้วบริกรก็เดินออกไป

ทิ้งพวกเขาไว้สองคน

 

ดารีลยื่นสมุดหนังลูกวัวให้ฟิโลโซเฟอร์ที่นั่งตัวแข็งทื่อ

เด็กชายรู้สึกประหม่าเพราะยังไม่เคยเข้ามาอยู่ในที่หรูหราเช่นนี้

แถมอยู่ตามลำพังกับคนเพิ่งรู้จัก

 

“ ข้าไม่มีเงิน ”

 

เด็กชายพูดเสียงเร็วส่ายหน้ารัวๆ

 

“ แล้วข้าพูดเมื่อไหร่ว่าจะยืมเงินเจ้า ”

 

เขาว่าพลางวางสมุดลงเลื่อนไปจนชิดขอบโต๊ะ

เด็กชายก้มมองอย่างหวาดๆ

 

“ อันที่จริงข้าตั้งใจจะออกมาเดินเล่นเท่านั้น   ตอนนี้จึงไม่มีเงินติดกระเป๋าสักเหรียญ   เจ้าไม่คิดว่า ”

 

“ สั่งอาหารได้แล้ว   เพ้อเจ้อไม่เลือกเวลาเสียจริง ”

 

ดารีลพูดสวนขึ้นพลางชำเลืองมองเด็กชายด้วยสายตาตำหนิ

ฟิโลโซเอร์จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วหยิบสมุดขึ้นมา

มันเป็นสมุดเนื้อเนียนสีน้ำตาลอ่อนเขียนด้วยหมึกสีทอง

เขาอ่านรายชื่ออาหารซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย

จึงสุ่มเลือกมาสามอย่าง

 

ส่วนพ่อมดหนุ่มน้อยนั้นสั่งเพียงชาสมุนไพรกับขนมหวานสามอย่างเช่นกัน

อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางบนโต๊ะในเวลาไม่นาน

ทุกอย่างล้วนสวยงามไม่เว้นแม้จานและช้อนส้อม

กลิ่นอาหารหอมยั่วยวน

แต่เทียบไม่ได้เลยกับกลิ่นกายของดารีล

ฟิโลโซเฟอร์คิด

 

กาน้ำชาของดารีลสีขาวแวววาวดังเปลือกมุกถ้วยชาก็เช่นกัน

ทางร้านมีเตาเล็กๆ ใส่ถ่านหินที่ร้อนแดงมาให้ด้วย

ส่วนใบชานั้นอยู่ในโหลแก้วเจียระไน

ดารีลเทชาส่วนหนึ่งใส่จานรองถ้วยชา

เขม้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

 

“ มีอะไรหรือ ”

 

เด็กชายถามอย่างอดไม่ได้

 

“ เปล่า ”

 

เขาว่าพลางเปิดกาเมื่อพบว่าเดือดดีแล้วก็เทชาลงไปในถ้วย

จากนั้นรินน้ำเดือดตามลงไปจนเกือบเต็ม

ฟิโลโซเฟอร์ลอบมองกิริยาเหล่านั้น

เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของดารีลล้วนแต่สง่างาม

 

“ เห็นตั้งชื่อชาเสียข้าคิดไปไกล   ก็นึกว่าจะมีอะไร ”

 

เขาพูดหลังจากเงียบไปนาน

 

“ แล้ว ”

 

เด็กชายถามต่อ

 

“ ชาสมุนไพรธรรมดานี่แหละต้องโทษข้าที่คิดมากเอง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์หัวเราะ

 

“ ขอโทษที   ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้านะ ”

 

เมื่อเห็นคู่สนทนาไม่ว่าอะไรเขาจึงพูดต่อ

 

“ ดารีล   ข้าอยากจะถาม   เจ้าชื่ออะไรนะ ”

 

ช้อนที่กำลังคนชาหยุดกึก

ใบหน้าขาวเนียนนิ่งเงียบราวถูกสะกด

ครู่ต่อมาจึงหันขวับมาทางเด็กชาย

 

“ ข้าว่าเจ้าก็เรียกชื่อข้ามาตลอดเหตุใดจึงถาม ”

 

“ จะทำไมล่ะ   เจ้าบอกชื่อเจ้ามาส่วนข้าก็จะแนะนำชื่อของข้า ” 

 

“ เพื่อ ”

 

“ คนเราจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องแนะนำตัวกันก่อนมิใช่หรือ ”

 

“ เพ้อเจ้อ ”

 

ดารีลว่าแล้วหันไปสนใจถ้วยชาต่อ

 

“ ทำไมล่ะอย่าบอกนะว่าโอรีเวียไม่มีธรรมเนียมแบบนี้   ข้าไม่เชื่อหรอก   วันนี้ที่ตลาดยังมีคนถามชื่อข้า ”

 

“ แล้วเจ้าเป็นเพื่อนกับเขาหรือยัง ”

 

“ ก็ต้องเป็นอยู่แล้วสิ ”

 

ดารีลส่ายหน้าท่าทีเอือมระอา

 

“ กินอาหารของเจ้าปล่อยให้เย็นมันจะเสียรสนะ ”

 

เด็กชายจึงตักกินคำหนึ่งแล้วสำลักพรืด

รู้สึกแสบร้อนที่ริมฝีปากจนทนไม่ไหว

มองหาน้ำก็เห็นเพียงถ้วยชา

จึงคว้ามาอย่างรวดเร็ว

ดารีลถือช้อนค้างหันมามองเด็กชายช้าๆ สีหน้าแบบคนนึกคำพูดไม่ออก

 

“ ข้าไม่ได้จะเสียมารยาทนะ   แต่ข้าไม่ค่อยถูกกับเครื่องเทศน่ะ ”

 

เด็กชายพูดอายๆ

ดารีลคว้าสมุดหนังลูกวัวขึ้นมาอีกครั้งฟิโลโซเฟอร์รีบฉวยไว้

 

“ อย่าเลยสิ้นเปลืองเปล่าๆ ”

 

“ เจ้ากำลังหิวมิใช่หรือ ”

 

“ เปล่านี่ ”

 

เด็กชายสั่นหัวสีหน้าจริงจัง

 

“ แล้วที่พูดกับข้าตอนอยู่บนถนน ”

 

“ ข้าไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น   เจ้านี่ไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย ”

 

ดังนั้นดารีลจึงวางสมุดลงแล้วเลื่อนชามขนมหวานไปตรงหน้าเด็กชาย

ฟิโลโซเฟอร์ก้มลงดูอย่างพินิจพิจารณา

 

“ ในนั้นไม่มีเครื่องเทศแต่อาจหนักนมเนยไปบ้างลองดูสิ ”

 

เด็กชายตักกินอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มสดใส

 

“ ขนมหวานของโอรีเวียข้ายกให้เป็นที่หนึ่ง ”

 

“ แล้วน้ำชาล่ะ ”

 

“ อ้อ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งรู้ตัวว่ามือข้างหนึ่งยังกำถ้วยชาแน่น

เขาเลื่อนคืนไปให้ดารีลช้าๆ

 

“ เอาไปเถอะข้าแค่จะถามว่ารสชาติเป็นอย่างไร ”

 

“ ข้าไม่รู้หรอก   ท่านแม่ยังไม่ยอมให้ข้าดื่มชา   นางว่าเด็กๆ ดื่มชามันไม่ดีต่อสุขภาพ   แต่ถ้าเจ้าอยากรู้   ข้าว่าชาถ้วยนี้ก็ไม่ได้แย่นะ    เพียงแต่ข้าไม่เคยดื่มชาชนิดอื่นมาก่อนเลยเปรียบเทียบไม่ถูก ”  

 

ดารีลไม่ว่าอะไรเขาหันไปหยิบถ้วยชาใบใหม่

แล้วจัดการชงให้ตัวเอง

ส่วนเด็กชายก็กินขนมต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา