โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  114.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

73) กับดัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ลูกธนูดอกนั้นทำจากโลหะสีดำสลักลวดลายแปลกตา   ไม่มีข้อความใดๆ ติดมาพร้อมกับลูกธนู   แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่การยิงขู่   เพราะไม่มีการโจมตีซ้ำแต่อย่างใด
 
ราชินีวิเวียร่ามีท่าทีประหลาดใจ   แต่ความกล้าหาญและทระนงตนนั้นมีสูงกว่าความสงสัยที่ควรจะเกิดขึ้น   พระนางคว้าดาบประจำกายขึ้นมาถือไว้มั่น
 
ทหารองครักษ์ตะโกนบอกถึงเหตุลอบโจมตี   ทหารด้านนอกก็โกลาหลทันที  
 
เจ้าชายเอลานอสรู้สึกถึงลางสังหรณ์ประหลาด   นี่มิใช่ฝีมือของคู่แฝดองครักษ์จอมทรยศนั่นแน่นอน   จะต้องมีคนผู้อื่นอีก   หลังคานี้ทำจากเหล็กกล้าชั้นดี   แต่ลูกธนูสามารถแทงทะลุลงมาอย่างง่ายดาย   นั่นหมายความว่ามันไม่ปรอดภัยหากเขาหวังจะใช้ที่นี่เป็นที่กำบัง   ดูเหมือนคนอื่นก็คิดแบบนี้เช่นกัน   ทั้งหมดต่างทยอยลงจากรถอย่างรวดเร็ว  
 
รัชทายาทแห่งโอรีออนหันกลับไปดูลูกธนูนั้นอีกครั้ง   ทันใดเขาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ของผงกำยาน   มันเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยดี   เอลานอสไม่รอช้าดึงลูกธนูดอกนั้นขึ้นมา   และเป็นจริงดังที่คิด   กลิ่นกำยานมาจากสิ่งนี้อย่างแน่นอน   เจ้าชายน้อยเดินลงมาจากรถม้าด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น   อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ากาเอลอยู่ไม่ไกล   เขาต้องซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งในป่าแห่งนี้
 
ลูกธนูอีกดอกพุ่งผ่านหน้าทหารสองนายไปปักบนต้นไม้ต้นหนึ่ง   แม้จะเป็นคนละแบบกับดอกแรก   แต่เชื่อได้ว่ายิงมาจากคนๆ เดียวกัน   เพราะความรุนแรงที่ทำให้ไม้ยืนต้นเนื้อแข็งขนาดใหญ่แทบทะลุนั้นน้อยคนนักที่จะทำได้
 
ทหารกล้าพุ่งตรงไปตามทิศทางของลูกธนูทันที   ราชินีวิเวียร่าชักดาบออกจากฝักพุ่งตามไปอีกคน   แข็งแกร่งและสง่างามราวกับขัตติยนารี   ช่างแตกต่างจากพระราชมารดาของเจ้าชายเอลานอสที่อ่อนโยนละเมียดละไมอยู่เสมอ  
 
เจ้าชายน้อยกำดาบและลูกธนูไว้ในมือข้างหนึ่ง   แล้วออกวิ่งตามไปด้วย   ในใจนึกสงสัยในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น   เหตุลอบโจมตีเกิดจากฝีมือองครักษ์ทั้งสองของเขาจริงๆ น่ะหรือ   และหากเป็นจริงมันจะจบลงอย่างไร   คนทั้งคู่ถูกจับได้   แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นคนสั่งการ   ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยวิธีใด   คิดแล้วก็หดหู่เพราะต่อให้เขาสามารถสังหารทั้งคู่ลงได้   ก็ไม่ช่วยแก้ข้อกล่าวหาได้เลย
 
ทันใดเขาก็เห็นเงาคนสองร่างยืนถือธนูนิ่งอยู่ในลานกว้างกลางป่า
 
องค์ราชินีทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นเดียวกัน
พระนางจึงตรัสด้วยเสียงอันดัง
 
“ เจ้าคนทรยศ   เป็นถึงองครักษ์ของเจ้าชายกล้าดีอย่างไรคิดลอบปรงพระชน   คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ก่อนที่ข้าจะตัดคอพวกเจ้าทั้งสอง ” 
 
‘ เดี๋ยวนะ ’
 
เอลานอสคิด
 
‘ ยังเห็นหน้าไม่ชัดเจนรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือองครักษ์ของข้า   ไม้รีบร้อนไปหน่อยหรือ ’
 
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เขาก็ยังพุ่งตรงเข้าไปหา
ราชินีเองก็เร่งความเร็วจนนำหน้าคนทั้งหมดโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด 
ทั้งที่เจ้าของร่างทั้งสองง้างคันธนูรออยู่
 
“ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้   ข้าสั่งให้คุกเข่าลง ”
 
ราชินีวิเวียร่าแผดเสียงด้วยอารมณ์เดือดดาล
แล้วทันใดพระนางก็หยุดชะงัก
 
ทหารที่ตามหลังมาต่างหยุดกะทันหันเช่นกัน
ดูเหมือนทั้งหมดจะตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง
 
เจ้าชายเอลานอสรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
และแล้วเขาก็ได้เห็น
 
สองร่างที่ยืนถือธนูจังก้าอยู่ตรงนั้นเป็นองครักษ์ของเขานั่นเอง
 แต่พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ด้วยขาทั้งสองข้าง
 
หากแต่ถูกพันธนาการไว้กับเสา
ใบที่หน้าตั้งตรงทำให้มองเห็นว่าดวงตาถูกควักออกไป
เหลือเพียงหลุมลึกสีแดงฉาน
 
ริมฝีปากแสยะยิ้มกว้างเพราะถูกมีดกรีดลึกลากยาวไปถึงใบหู
เลือดสดๆ ยังไหลนอง
 
“ พวกเขาเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน ”
 
ทหารนายหนึ่งว่าหลังจากคลำดูชีพจรแล้ว
 
“ นั่นหมายถึงคนที่ลงมือทำสิ่งนี้อาจอยู่ไม่ไกลจากที่นี่   ทุกคนระวังตัวไว้ ”
 
ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดยืนหันหลังชนกัน
ต่างสอดสายสายตาเข้าไปในป่าลึก
แต่ก็ไม่พบวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด
 
“ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ”
 
ราชินีวิเวียร่ากล่าว
 
“ คงต้องถามตัวท่านเองว่ามีสิ่งใดผิดไปจากแผนหรือไม่ ”
 
เจ้าชายตัวน้อยว่า
 
“ นี่เจ้ากล้าเหน็บข้าหรือ ”
 
เอลานอสจึงเบือนหน้าหนีไปทางป่าแล้วเขาก็เริ่มเห็นอีกามากมายทยอยบินมาเกาะตามกิ่งไม้สูงๆ
มีบางตัวกล้าหาญถึงกับถลาลงมาจิกกินเศษเนื้อตามร่างของศพ
 
ทันใดกษัตริย์กับทหารคุ้มกันที่เหลือก็เดินทางมาถึง
ราชินีวิเวียร่ารีบตรงเข้าไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
 
ทหารบางส่วนได้แยกกันออกค้นหาผู้ก่อเหตุที่อาจจะซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ๆ
แต่พวกเขาทั้งหมดก็กลับมาตัวเปล่า
ไม่มีวี่แววของสิ่งใดเลย
 
เมื่อเป็นดังนั้นกษัตริย์แฮโรดจึงสั่งให้พาร่างผู้เสียชีวิตลงมา
เพื่อจัดการฝังให้เรียบร้อย
 
นายทหารคนหนึ่งจึงเดินไปด้านหลังของสองร่างนั้น
เพื่อทำการตัดเชือกที่ผูกมัดเอาไว้ให้ขาดออกจากกัน
 
ทันทีที่ร่างไร้ชีวิตทั้งสองล้มลงกระแทกพื้น
เชือกเส้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ก็ดีดขึ้น
 
รวบขานายทหารคนนั้นห้อยไว้กับกิ่งไม้
ลำคอถูกฉีกกระชากขาดเป็นร่องลึก
 
บุรุษผู้เคราะห์ร้ายได้แต่ดิ้นทุรนทุราย
แต่ยิ่งดิ้นเท่าไรเลือดสีขุ่นเข้มก็ยิ่งไหลนอง
 
มันหลั่งรินลงสู่เหยื่อสองรายแรกที่สิ้นชีพไปก่อนหน้านั้น
ทำให้ร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นอาบชุ่มไปด้วยสีแดงฉานและกลิ่นคาวคลุ้ง
 
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นและจบลงเร็วมาก
จนผู้คนที่อยู่รายรอบไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน
 
ต่างยืนตะลึงนิ่งอึ้งราวกับต้องมนต์สะกด
เมื่อเลือดหยดสุดท้ายได้หยดสู่พื้น
 
เสียงกรีดร้องโหยหวนของสตรีก็ดังก้องขึ้นทั่วป่า
มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและเจ็บแค้น
 
“ เขตค่ายมนต์ดำ ”
 
ทหารที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มบอก
เขาชี้นิ้วไปยังต้นไม้หลายๆ ต้นในบริเวณนั้น
 
สิ่งที่ทุกคนมองพลาดไป
เพราะความวิตกกังวลต่อสิ่งอื่นไกล
เพราะอีกามากมายที่บินฉวัดเฉวียน
 
ทั้งหมดจึงมองไม่เห็น
สัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกที่สลักบนต้นไม้สูง
มันรายล้อมพวกเขาไว้จากทุกทิศ
 
ทันทีที่เสียงกรีดร้องประหลาดหยุดลง
ไอหมอกก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงแดดยามเที่ยงที่มืดสลัว
 
ร่างผู้เสียชีวิตทั้งสองที่นอนจมกองเลือดเริ่มขยับ
มันค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยดวงตากลวงโบ๋
 
ริมฝีปากฉีกยิ้มอ้ากว้าง
กับการเคลื่อนไหวที่แข็งกระด้าง
มันคืออสูรกายที่คืนชีพ
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา