ยอดสตรีฉางอิ๋ง

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.

  35 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) เหมาะเป็นมารดาของแผ่นดิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"เป็นอย่างนี้หรือ?" แม้ว่าจะดึกมากแล้ว แต่ว่าโคมชาววังบุผ้าแพรไหมทรงแตงหอมหกอันอยู่ทั้งสี่ทิศ ส่องจนภายในห้องสว่างไหสว

ซ่งไจ้สุ่ยนั่งเหยียดตรงอยู่ที่ปลายเตียง นางสวมชุดหรูฉวินด้านบนเป็นสีเหลืองอ่อนปักลายทรงแขนแคบ ที่เอวผูกไว้ด้วยกระโปรงสีเขียวขาวสองสี ปมเงื่อนไหมดอกไม้ห้าสีคู่หนึ่งบนชุดกระโปรงสีสะอาดสะอ้านสบายตาเด่นชัดมาก

นางทำผมทรงเฟยเซียนจี้[1]มือขาวราวกับหยกถือพัดทรงกลมไว้ในมือหนึ่งอัน บดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางมองไปที่เว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวเนิบนาบว่า "ดังนั้นเจ้าจึงรอให้ฟ้ามืดก่อน แล้วจึงลอบให้ลวี่ฝางมาเรียกข้า...เพื่อมาช่วยเจ้าผูกปมโดยเฉพาะหรือ?"

เว่ยฉางอิ๋งสวมชุดหรูฉวินสีเหลืองอ่อนเช่นเดียวกัน แต่กลับสวมกระโปรงเทพสถิตสีอ่อนเกือบขาวยกชาให้นางเองกับมือย่างเอาใจ "ท่านพี่ที่แสนดี ข้ารู้ว่าท่านรักข้าที่สุด..."

"คนที่รักเจ้าที่สุดคือท่านอา! และยังมีท่านย่าอีก!" ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างไม่เกรงใจ "ไม่ใช่ท่านพี่อย่างข้า! เจ้าเองก็รู้ว่าเจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ ไม่ได้เรียกข้าว่าท่านแม่ แล้วข้าจะรักเจ้าที่สุดได้อย่างไร?"

"ข้าหมายถึงว่าในบรรดาพี่น้องหญิงทั้งหมด ท่านพี่รักข้าที่สุดแล้ว!" เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วกล่าวต่อไปโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนแปลงว่า "พี่สาวคนดี ท่านก็คือพี่สาวแท้ๆ ของข้า! ข้ารู้ฝีมือของท่านดี ท่านผูกปมเงื่อนมาสามอันไม่มีปัญหาแน่นอน ท่านถือว่าทำดี ช่วยข้าสักครั้งเถอะ!"

ซ่งไจ้สุ่ยวางพัดลง หรี่ตาพร้อมกับพิจารณานางแล้วกล่าวว่า "มือเท้าเจ้าก็ดี ยามนี้ยังไม่ดึก เจ้าทำเองไม่ได้หรือ?"

"ข้าทำไม่ได้!" เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเสียงดังมีพลัง

"ยากขนาดไหนกัน?" ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเหยียดหยามว่า "ขอแค่ไม่ได้โง่งมขนาดไร้ทางช่วย ดูอยู่ข้างๆ สักหน่อยก็ต้องทำได้แล้ว เจ้าทำไม่ได้ ข้าจะสอนเจ้า! เจ้าทำเอง!"

เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สมว่า "งานฝีมือต้องเพียรศึกษา ท่านพี่ท่านว่าข้าเหมือนคนที่จะผูกปมเงื่อนทั้งวันหรือ ข้าว่าฟ้าก็มืดขนาดนี้แล้ว ท่านพี่จะสอนข้าก็ยากแล้ว สู้ท่านผูกปมให้ข้าเลยสักสามอันไม่ดีกว่าหรือ!"

"เจ้าพูดอย่างนี้ หมายความว่าข้าคือคนที่นั่งผูกปมเงื่อนโดยเฉพาะหรือ?" ซ่งไจ้สุ่ยยกมือขึ้นแล้วเอาพัดทรงกลมไปทางหัวนาง ปากก็กัดฟันกล่าวว่า "เจ้าแอบลอบให้ข้าตามสาวใช้มาที่นี่ เพื่อให้ข้าทำงานที่เจ้าควรทำแล้วหลอกท่านอาแท้ๆ ของข้า พวกนี้ยังพอไม่สนได้ แต่ข้ายังต้องถูกเจ้าว่า ถูกหาว่าเป็นคนที่ควรจะนั่งผูกปมเงื่อนทั้งวันอีก?!"

เว่ยฉางอิ๋งไม่ยอมรับ "ข้ารักใคร่ท่านพี่! ท่านพี่ฟังผิดแล้ว!"

"เจ้า!" ซ่งไจ้สุ่ยหยิบเอาพัดมาชี้นาง น้องสาวที่ไร้เหตุผลอย่างนี้ คนที่นุ่มนวลอ่อนหวานใจกว้างและยังมีนิสัยราวกับมารดาของแผ่นดินอย่างนางยังรู้สึกว่ารับไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งถูกนางชี้และถลึงตาใส่เอา แต่กลับไม่รู้สึกอะไรแล้วยังทำหน้าตาไร้เดียงสาอีก

ซ่งไจ้สุ่ยกับนางนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วนางจึงได้แต่ต้องวางพัดทรงกลมในมือลง แล้วตบลงไปที่เตียง พลางกล่าวว่า "เจ้าคิดหาวิธีเอง! ข้าขี้เกียจจะสนใจเจ้าแล้ว!"

"ข้าคิดวิธีได้แล้วนี่!" เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเสียงหวาน "ก็ให้ท่านพี่ช่วยผูกปมเงื่อนให้ข้าสามอัน...อย่างไรฝีมือของท่านอาเฮ่อ กับลวี่ฝาง ท่านแม่เห็นแล้วจะต้องรู้แน่! ถึงแม้ว่าท่านพี่จะเคยปักพวกกระเป๋าเงินให้ท่านแม่มาก่อน แต่กลับไม่เคยผูกปมเงื่อนให้...พอดีเลยไม่ใช่หรือ?"

ซ่งไจ้สุ่ยสูดลมหายใจเข้า แล้วสั่งการไปอย่างเด็ดขาด "ชุนอิ่ง เซี่ยอิ่ง พวกเราไป! กลับไปที่เรือนหมิงเซ่อ!"

"ท่านพี่คนดี!" เว่ยฉางอิ๋งจับแขนเสื้อนางไว้ทันที นางรู้สึกน้อยใจมาก "แค่ปมเงื่อนสามอันเท่านั้น! สามอัน!"

"สามอันก็ไม่มี!" ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเสียงเย็น กำลังยืนขึ้นแล้วเดินออกไป คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งได้ฟังดังนั้น กลับยกมือม้วนแขนเสื้อแล้วกอดนางไว้ไม่ปล่อย ทั้งยังเรียกสั่งการสาวใช้ของตนด้วย "ลวี่ฝาง ลวี่ฉือ มานี่ แกะผูกเงื่อนที่เอวของท่านพี่คู่นี้ออกมา ถือว่าได้แล้วสองอัน อีกหนึ่งอันพวกเราค่อยไปคิดหาวิธีเอา!"

ซ่งไจ้สุ่ยถูกความหน้าด้านอย่างเปิดเผยทั้งยังพูดอย่างไม่อายออกมาของนางทำให้ตะลึงไปแล้ว นางกำพัดทรงกลมในมือแน่น จนเมื่อลวี่ฝางและลวี่ฉืออย่างเข้ามาใกล้อย่างขลาดกลัวแล้วจึงกล่าวเสียงแหลมว่า "เจ้ากล้ารึ!!!"

"ท่านพี่คนดี ข้ารู้ว่าท่านรักข้าที่สุด!" เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างจริงจัง "ท่านจะต้องทนไม่ได้ที่เห็นข้าเสียใจเพราะท่านลุงเจียงถูกไล่ออกไปแน่ ใช่ไหม?"

"ข้าทนได้มากเลย!" ซ่งไจ้สุ่ยรักษาปมเงื่อนไว้แล้วกัดฟันกล่าวว่า "เจ้ากล้าแย่ง! เชื่อไหมว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านอาแล้วฟ้องเรื่องเจ้า?!"

เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดดูแล้ว จึงโบกมือแล้วกล่าวว่า "เรื่องของพรุ่งนี้ ก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้ ท่านพี่ท่านรักใคร่ข้ามาตลอด ข้าว่าผ่านไปคืนหนึ่ง จากความใจกว้างของท่านพี่ ต่อให้โมโหขนาดไหนแต่ก็คงหายแล้ว...อืม เมื่อเป็นอย่างนั้นพรุ่งนี้เรื่องอะไรก็คงไม่มีแล้ว!" นางผลักซ่งไจ้สุ่ยไปที่ลวี่ฝางแล้วตบมือ ทั้งยังกล่าวตำหนิสาวใช้อย่างสบายอารมณ์ "ยังไม่รีบลงมืออีกหรือ เมื่อเสร็จแล้วจะได้ให้ท่านพี่ลดโทสะลงเร็วหน่อย?"

หากว่าท่านมีน้องสาวอย่างนี้...ท่านจะทำอย่างไร?!

ซ่งไจ้สุ่ยแทบจะกระอักเลือดออกมา!

แม้ว่าลวี่ฝางกับลวี่ฉือจะเชื่องช้า แต่ว่าเมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งเร่งเข้า ก็ยังได้แต่ต้องเข้าไปใกล้แล้วยื่นมือออกไปแกะปมเงื่อนออก ซ่งไจ้สุ่ยแทบจะหมดสติไปแล้ว นางจึงเลือกที่จะยอมแพ้ "ช้าก่อน! ข้ามีวิธีให้ คืนนี้เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ต้องผูกปมเงื่อนเท่านั้น กระทั่งพรุ่งนี้เองก็ไม่ต้องเรียนรู้พวกงานบ้านงานเรือนพวกนั้นด้วย!"

"ท่านพี่คนดี ท่านรักใคร่ข้าที่สุดจริงๆ!" เว่ยฉางอิ๋งตาเป็นประกายแล้วรีบให้ลวี่ฝางกับลวี่ฉือถอยออกไปทันที พรี้อมกับประคองซ่งไจ้สุ่ยขึ้นมาด้วยตนเอง แล้วถามอย่างรักใคร่สนิทสนมว่า "ท่านพี่รีบพูดเร็ว ท่านมีวิธีอะไรหรือ ข้ารู้แล้วว่าท่านพี่ฉลาดขนาดนี้ จะต้องมีวิธีแน่นอน"

ซ่งไจ้สุ่ยมองจ้องไปที่ดวงตาของนางอยู่ครู่หนึ่ง จึงมั่นใจและหมดหวังแล้วว่านางไม่แม้แต่จะรู้สึกผิดสักนิด จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ผิดหวังว่า "เจ้าเคยคิดไหมว่าทำไมฮูหยินซูถึงต้องตำหนิเจ้า?"

"เพราะว่าข้าคิดจะจัดการกับเสิ่นจั้งเฟิง!" เว่ยฉางอิ๋งตอบอย่างรวดเร็ว

"...ก็ได้" ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกว่าการโต้เถียงกับนางเรื่องการ ‘จัดการ’ สามีนั้นว่าเดิมมันก็ไม่ใช่การ ‘จัดการ’ อย่างนี้ช่างไร้ความหมาย จึงคล้อยตามนางไปแล้วกล่าวต่อว่า "แต่ว่าการที่เจ้าคิดจัดการเสิ่นจั้งเฟิง คือสิ่งที่คนอื่นใช้ในการยุยงฮูหยินซู ไม่มีหลักฐาน แต่ความจริงคือ เจ้าฝึกฝนวิชายุทธ์มาตลอด แต่ว่าเพราะอะไรถึงได้เรียนมาตลอด กระทั่งยอมที่จะทิ้งสิ่งที่เด็กหญิงควรจะเรียนรู้ไปเพราะต้องการเรียนวิชายุทธ์อีก...หรือว่าจะไม่มีการอธิบายอย่างอื่นอีก? สิ่งที่ทำให้ฮูหยินซูฟังแล้วมีความสุขน่ะ?"

เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดไปแล้วพลันเข้าใจขึ้นมา "ข้ามีนิสัยตรงไปตรงมาใจกว้าง ไม่ถูกกฎเกณฑ์ผูกมัด มีบุคลิกสง่ากล้าหาญ ดังนั้น การเรียนวิชายุทธ์จึงเป็นพรสวรรค์ของข้านับแต่เกิด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจะตีเสิ่นจั้งเฟิงหรือไม่เลยสักนิด?"

"..." ในห้องเงียบสนิททันที จากนั้นพัดทรงกลมในมือของซ่งไจ้สุ่ยก็ร่วงลงไปที่พื้น...

"การที่เจ้ามาเป็นน้องสาวของข้านี่เพื่อมาทำให้ข้าโมโหโดยเฉพาะใช่ไหม?! ใช่ไหม?!" ฉายาอย่างพวก ‘งามสง่าสูงศักดิ์ จิตใจราวมารดาของแผ่นดิน’เหล่านั้นของซ่งไจ้สุ่ยพลันแตกสลายในทันที นางไม่ทันได้สนใจพวกท่านอาเฮ่อที่ตกใจตะลึงไป นางพลันผุดลุกขึ้นมาแล้วโถมตัวไปที่ร่างของเว่ยฉางอิ๋ง นางออกแรงบีบคอนางแล้วเขย่า "เจ้า! เจ้า! หากว่าเจ้ายังไม่ยอมพูดจาดีๆ อย่าคิดว่าข้าจะไม่ตีเจ้านะ!!!"

ท่านอาเฮ่อมองนางบีบคอเว่ยฉางอิ๋งแล้วเขย่าไปมาอยู่ห้าหกครั้งอย่างตะลึงค้าง ถึงได้ตั้งสติได้ นางปิดปากร้องอย่างตกใจออกมา "สวรรค์! คุณหนูใหญ่ คุณหนูซ่ง! รีบหยุดมือเร็ว! รีบหยุดมือเร็ว! เป็นพี่สาวน้องสาวแท้ๆ กัน มีอะไรก็พูดกันดีๆ ทำไมต้องถึงกับลงไม้ลงมือกันด้วย!"

แม่นมเฮ่อม้วนแขนเสื้อแล้วไปข้างหน้า ทั้งดึงทั้งเตือน ครู่หนึ่งถึงได้กดซ่งไจ้สุ่ยลงไป ตอนนี้ชุดกระโปรงของเว่ยฉางอิ๋งยุ่งเหยิงดูไม่ได้ไปนานแล้ว ผมมวยทรงก้นหอยก็หลุดลุ่ยลงมา ปิ่นมุกสองอันดีว่าลวี่ฝางรับไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ตกมาแตกบนพรมขนสัตว์แน่

แม้จะเป็นอย่างนี้ แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่เป็นอะไร นางยื่นมือออกไปนวดที่คอ และยังมีแก่ใจมาถามซ่งไจ้สุ่ยต่ออีก "แล้วท่านพี่หมายความว่าอย่างไร?"

ซ่งไจ้สุ่ยเห็นอย่างนี้แทบอยากร้องไห้ นางดึงแม่นมเฮ่อแล้วกล่าวว่า "ท่านอาเฮ่อ ท่านลองพูดจากใจดูสักหน่อย ท่านว่าข้ามีน้องสาวอย่างนี้...ข้า ข้าจะไม่ลงมือได้หรือ?"

น่าเสียดายที่นางดูถูกความลำเอียงของแม่นมเฮ่อน้อยไป แม่นมเฮ่อกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนี้ พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า "ขอคุณหนูซ่งบอกคุณหนูใหญ่ของพวกเราด้วย วิธีที่ทำให้คุณหนูใหญ่ไม่ต้องไปเรียนเรื่องที่ทำให้นางต้องปวดหัวนั่นก็คือ?"

ซ่งไจ้สุ่ยมองนายบ่าวคู่นี้แล้ว ก็ยกมือขึ้นกุมขมับอย่างหมดหวังพลางร้องครางว่า "เจ้า พวกเจ้า!"

อย่างไรก็คือคนที่ถูกเลี้ยงดูอบรมมาเพื่อเป็นฮองเฮาในอนาคตมานานหลายปี ซ่งไจ้สุ่ยเพียงแค่เสียมารยาทไปครู่หนึ่งเท่านั้น แล้วจึงนึกความเป็นจริงได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งกับแม่นมเฮ่อนั้นเดิมก็สมรู้ร่วมคิดกันทำเรื่องเลวร้ายอยู่แล้ว ซ่งไจ้สุ่ยจึงเข้าใจขึ้นมาและล้มเลิกความคิดที่จะให้แม่นมเฮ่อช่วยพูดให้ตนเอง นางนั่งเหยียดตรง แล้วจัดชายเสื้อให้ดี กลับมาเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ที่สง่างามตามมาตรฐานอย่างเดิม กระทั่งพัดทรงกลมก็ยังเก็บขึ้นมาแล้วด้วย

ซ่งไจ้สุ่ยที่กลับมาสง่าดังเดิม ใช้พัดพัดเบาๆ นางยิ้มเย็น พลางปรายตามมองไปที่เว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวว่า "ฮูหยินซูชอบลูกสะใภ้อย่างไหน?"

เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่ต้องคิดว่า "สง่างามฉลาดเฉลียวเก่งการเรือน นุ่มนวลและมีเมตตารู้จักกาลเทศะ เหมือนอย่างท่านพี่"

ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวยิ้มเย็น "แค่นี้หรือ?"

"ยังมีหรือ?" เว่ยฉางอิ๋งเอียงคอแล้วถามอย่างจริงจัง

"..." ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกเสียใจเงียบๆ ข้าคิดได้อย่างไรว่าอย่างน้อยนางก็ต้องยอมเดาบ้าง จะให้ข้าต้องเจอกับคำพูดเจ็บแสบอย่างนี้อีกสักกี่ครั้งกัน นางเอาใจใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่!

ซ่งไจ้สุ่ยลอบกระอักเลือดไปครั้งหนึ่งและได้แต่ตอบนางไปอย่างไร้เรี่ยวแรง "ฮูหยินซูคือแม่ของเสิ่นจั้งเฟิง ท่านอารักเจ้าอย่างไร นางเองก็รักเสิ่นจั้งเฟิงอย่างนั้นเช่นกัน! ดังนั้นเจ้าว่า ลูกสะใภ้ที่ฮูหยินซูชอบจริงๆ แล้วต้องเป็นอย่างไรกัน แน่นอนว่าก็ต้องจริงใจต่อเสิ่นจั้งเฟิง ไม่ใช่ว่าคิดแต่จะทำตัวไม่ดีกับเสิ่นจั้งเฟิง!"

เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า "ข้ารู้แล้ว ข้า..."

"เจ้าหุบปากเสีย!" ซ่งไจ้สุ่ยใช้พัดทรงกลมตบไปที่เตียงแล้วสั่งออกมา

"ข้า..."

"เจ้าอะไรอีก?! เจ้าไม่มีทางพูดอะไรดีออกมาแน่! ฟังข้าพูด!" ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า "ใช่ ฮูหยินซูชอบลูกสะใภ้ที่นุ่มนวลเก่งการเรือนและเฉลียวฉลาด แต่ต่อให้นุ่มนวลอ่อนโยนเฉลียวฉลาดเก่งการเรือนอย่างไร หากว่าไม่มีความจริงใจต่อบุตรชายของนาง เจ้าคิดว่านางจะทนได้หรือ ทุกวันนี้มีคนเอาเรื่องที่เจ้าฝึกฝนวิชายุทธ์ตั้งแต่เล็กไปบอกฮูหยินซู แล้วยังพูดความตั้งใจเจ้าอีก แต่ก็จนใจเพราะอีกสิบเดือนเจ้าจะต้องแต่งงานออกไปแล้ว ตอนนี้อยากจะมาเรียนรู้เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์ที่นุ่มนวลอ่อนหวานเก่งการเรือนในตอนนี้ก็ยากแล้ว!

ดังนั้น ข้าว่านะ สู้เจ้าฝึกฝนวิชายุทธ์ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ! แล้วค่อยให้เหล่าผู้ใหญ่ไปอธิบายกับฮูหยินซู ตระกูลเสิ่นไม่ใช่ตระกูลฝ่ายบู๊หรือ เสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่ว่ามีฝีมือร้ายกาจไปทั้งสามทัพ[2]หรือ?" ซ่งไจ้สุ่ยหยิบพัดมาแล้วเคาะไปที่บ่าของเว่ยฉางอิ๋ง พลางกล่าวอย่างคับแค้นใจที่นางไม่ได้ความว่า "มีประโยคกล่าวว่าจับความชอบเขา ตระกูลเว่ยหลายยุคสมัยต่างก็เป็นฝ่ายบุ๋นทั้งนั้น ส่วนเสิ่นจั้งเฟิงกลับถูกเลี้ยงดูอย่างตระกูลนักรบมาตลอดจนโต! ดังนั้นเหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลายจึงกลัวว่าหากเจ้าแต่งเข้าไปแล้วจะไม่สามารถเข้ากับเสิ่นจั้งเฟิงได้ เพื่อให้พวกเจ้าทั้งสองรักใคร่สามัคคีกัน จึงจงใจให้เจ้าทิ้งการเรียนพิณหมากภาพอักษร แต่ว่าให้ตั้งใจเรียนรู้วิชายุทธ์แทน...อย่างนี้ เจ้าฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างยากลำบากมาตลอดตั้งแต่อายุได้สิบสองปี ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าใส่ใจเสิ่นจั้งเฟิงหรือ?"

ซ่งไจ้สุ่ยฮึ่มเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า "ปกติแล้วหลานสาวคนโตสายตรงของบ้านใหญ่ตระกูลเสาหลักประเทศผู้ที่ถือกำเนิดในตระกูลมีชื่อ จะได้รับการทะนุถนอมเอาใจราวกับไข่มุกบนฝ่ามือ! เป็นผู้ที่สูงศักดิ์น่าทะนุถนอมขนาดไหน! แต่กลับลำบากลำบนฝึกฝนอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าฝนมาสิบเอ็ดสิบสองปี แค่เพื่อให้เมื่อแต่งงานออกไปแล้วจะได้สามารถหาเรื่องคุยกับสามีได้..." นางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า "ฟังดูอย่างนี้แล้ว ข้ายังแทบจะซาบซึ้งจนน้ำตาไหลเลย! ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูเองก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเจ้า เมื่อเจ้าใส่ใจเสิ่นจั้งเฟิงขนาดนี้แล้ว ยังจะไม่คลายความสงสัยก่อนหน้านี้อีกหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะรักใคร่เจ้าขึ้นมามากขึ้นด้วย!"

ทุกคนได้ยินแล้ว ต่างก็นับถือซ่งไจ้สุ่ยมากจนกราบกรานไปกับพื้น!

เว่ยฉางอิ๋งเคารพมากเป็นพิเศษ "มิน่าท่านพี่อายุยังน้อยกลับถูกฮองเฮาคนปัจจุบันเลือกให้เป็นชายารัชทายาท ทั้งยังได้รับจี้ทองล้อมหยกให้แต่งงานได้อย่างปรารถนาอีก ท่านพี่ความคิดและฝีมือของท่าน หากไม่ได้เข้าวังเป็นมารดาของแผ่นดินช่างเสียของจริงๆ เลย!"

"เจ้า!!!" ซ่งไจ้สุ่ยอุตส่าห์คิดหาวิธีให้กับน้องสาว คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับเรื่องไหนไม่ควรพูดถึงกลับไปพูดถึงเสียได้ กลับพูดถึงเรื่องที่น่าเกลียดที่สุดอย่างการแต่งงาน นางโมโหจนหยิบเอาพัดขึ้นมาแล้วตีไปที่เว่ยฉางอิ๋งครู่หนึ่ง "ข้าจะตีเจ้า เจ้าตัวน้อยที่ไร้น้ำใจ!"

..................................................

[1] เฟยเซียนจี้ :ทรงผมของหญิงโบราณ เป็นทรงวงแหวนบนศีรษะ

[2] สามทัพ : สมัยชุนชิวกองทัพจะมีสามทัพคือ ทัพกลาง ทัพบน ทัพล่าง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา