ยอดสตรีฉางอิ๋ง

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.

  35 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) พี่สาวน้องสาวบ้านสาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้เห็นท่านปู่มาหลายวัน เดิมคิดว่าจะมาออดอ้อนสักครู่ แล้วจะได้อาศัยโอกาสนี้ถามเรื่องของโจรที่เขาเฟิ่งฉี คิดไม่ถึงว่าเมืองเหลียวเฉิงกลับเกิดเรื่องขึ้น เวยฮ่วนกับซ่งหานพูดคุยกันนานจึงเหนื่อยล้า แต่ก็ยังฝืนทนตรวจสอบการเรียนของหลานชายในช่วงนี้ จึงไม่มีอารมณ์จะมาสนใจหลานสาวอีก นางออกไปจากประตูยังมีท่าทีผิดหวังไม่น้อย กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะถามเรื่องติดตามเว่ยฮ่วนไปที่เขาเฟิ่งฉีอยู่พลันได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลังว่า "พี่หญิงสามช้าก่อน!"

"น้องหญิงสี่ น้องหญิงห้า มีเรื่องอะไรหรือ?" เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าเสียงเรียกนางนี้ก็คือเว่ยเกาฉานกับเว่ยเกาเยียน นางกับซ่งไจ้สุ่ยจึงหยุดเท้าลงแล้วถามไป

เว่ยเกาฉานกับเว่ยฉางเยียนพี่น้องทั้งสองคนรีบก้าวเท้าเข้ามา แม้ว่าสองพี่น้องนี้จะเป็นพี่น้องคนละแม่กัน แต่ว่ากลับมีหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก ทั้งสองต่างก็มีรูปหน้าเรียวที่งดงาม คิ้วราวกิ่งเหมยและดวงตาแวววาว ฟันขาวสะอาดริมฝีปากแดงอิ่มงดงาม เว่ยเกาฉานมีอายุมากกว่าหน่อย คิ้วและดวงตาจึงนุ่มนวลกว่า และมีท่าทีสง่างามเรียบร้อยกว่า เว่ยฉางเยียนเพราะมีอายุน้อย ใบหน้าจึงอิ่มเอิบอย่างน่ารัก

ทั้งสองคนสวมชุดกระโปรงเฮอจื่อ[1]ไหมเยวี่ยหลัวสีขาวเหมือนกัน มองไปแล้วเหมือนกันมาก เมื่อมาถึงตรงหน้า เว่ยเกาฉานที่อายุมากกว่าก็กล่าวถึงสาเหตุที่เรียกเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ "อีกครึ่งเดือนจะเป็นวันเกิดของพี่หญิงรอง พวกเราอยากจะให้ของกับพี่หญิงรอง แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะให้อะไรดี ดังนั้นจึงอยากจะขอให้พี่หญิงสามกับท่านพี่ซ่งช่วยแนะนำหน่อย"

เว่ยฉางเยียนกล่าวเสริมว่า "เมื่อครู่ก่อนที่จะรู้ว่าท่านปู่กลับมาแล้ว พวกเราคิดจะไปที่ศาลาไฉ่ผิงในสวนเพื่อหลบร้อน ตอนนี้ที่นั่นก็จัดการเสร็จพอดี หากว่าพี่สาวทั้งสองไม่รังเกียจ สู้พวกเราไปคุยกันที่นั่นดีกว่าไหม?" พูดจบ น้องสาวทั้งสองก็มองไปที่เว่ยฉางอิ๋งอย่างคาดหวังและกลัวว่านางจะปฏิเสธ

พี่หญิงรองที่เว่ยเกาฉานพูดถึงนั้นคือเว่ยฉางเสียน หลานสายตรงของจิ้งผิงกง จิ้งผิงกงและหัวหน้าตระกูลหลักของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวคนก่อนมีบุตรชายทั้งหมดสามคน ก็คือรุ่ยอวี่ถังสายเดิมทั้งสามสายในปัจจุบัน บุตรภรรยาเอกก็คือเว่ยหวน จิ้งผิงกงคนปัจจุบัน รองลงมาก็คือเว่ยฮ่วน ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน สุดท้ายคือเว่ยโจ่งที่รับสืบทอดบรรดาศักดิ์เซี่ยนหนาน[2]จากบิดา

ในสามสายนี้ บุตรหลานของเว่ยฮ่วนมีจำนวนมากที่สุด เว่ยโจ่งไร้บุตร จึงได้นำเอาบุตรชายคนเล็กของเว่ยฮ่วนไปสืบทอด ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่ง ซึ่งก็คือคุณชายแปดเว่ยฉางอันและคุณหนูหกเว่ยฉางเอ๋อ ส่วนจิ้งผิงกงที่ไม่เคยรับราชการมาก่อนเพราะมีใจชอบในความสงบและเชิดชูลัทธิหวงเหล่า[3]จึงมีบุตรเพียงคนเดียวก็คือเว่ยเจิ้งหย่า

ยังดีกว่าเว่ยเจิ้งหย่าไม่เหมือนกับบิดา กลับมาเหมือนเว่ยฮ่วนผู้เป็นลุงมากกว่า ตั้งแต่เล็กเป็นคนชอบศึกษาร่ำเรียน อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็สามารถจัดการบ้านเรือนได้อย่างเป็นระเบียบแล้ว บุตรสาวบุตรชายมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน แต่แม้ว่าเว่ยเจิ้งหย่าจะไม่ได้ชอบความสงบและสายหวงเหล่า แต่ก็ไม่ใช่คนที่อยากจะไปรับราชการ แต่ก่อนเว่ยฮ่วนได้เสนอเขาไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอด

มีครั้งหนึ่งที่กระทบถึงอ๋องเต้องค์ปัจจุบัน ทูตได้นำราชโองการแต่งตั้งขุนนางของฮ่องเต้มาที่เฟิ่งโจว และยังกล่าวเตือนอยู่ที่จวนจิ้นผิงกงอยู่หลายวันแต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นแม้ว่าเว่ยเจิ้งหย่าจะไม่ได้รับราชการ แต่ว่าในราชสำนักเขาก็ถือว่ามีชื่อเสียงว่าเป็นผู้สูงส่งที่ไม่ชอบชื่อเสียงไม่นิยมผลประโยชน์คนหนึ่ง

เว่ยเจิ้งหย่ามีบุตรสาวบุตรชายสี่คนเป็นชายสามคนหญิงหนึ่งคน คุณชายใหญ่เว่ยฉางซวี่ คุณหนูรองเว่ยฉางเสียน คุณชายเก้าเว่ยฉางหลินและคุณชายสิบเว่ยฉางอัน นอกจากภรรยาเอกแล้ว เขามีอนุภรรยาเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งก็คือสาวใช้ที่แต่งมาพร้อมกับภรรยา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่เห็นแก่กามรมณ์ จึงได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงดีงาม

มีท่านพ่อที่เป็นคนสูงศักดิ์อย่างนี้ คุณหนูคุณชายในจวนของจิ้งผิงกงจึงมีสายตาสูงส่งมาก เดิมเพราะจิ้งผิงกงคือบุตรชายสายตรงส่วนเว่ยฮ่วนคือบุตรอนุภรรยา เวลาไปมาหาสู่กัน คนของจวนจิ้งผิงกงจะถือว่ากำเนิดสูงส่งกว่าและมักจะแสดงท่าทางเหนือกว่าสายของเว่ยฮ่วนอยู่ขั้นหนึ่งเสมอ ทางฝั่งของเว่ยฮ่วน บ้านสองอยู่ที่เมืองหลวง ล้วนแต่อาศัยพี่ชายพี่สะใภ้ช่วยส่งเสริม ไม่ได้อยู่ตรงหน้า จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนของจวนจิ้งผิงกงพูดจาอะไรให้ต้องทุกข์ใจ

แต่ว่าบ้านใหญ่ ฮูหยินซ่งยังไม่แต่งงานเข้ามาก็ขึ้นชื่อแล้วว่าหาเรื่องได้ไม่ง่าย พี่ชายของนางซ่งอวี่วั่งยังเป็นที่ภาคภูมิใจของราชสำนักในปัจจุบัน คนของจวนจิ้งผิงกงมองคนต่ำกว่าก็ยังไม่กล้าพูดอะไรกับบ้านใหญ่นัก เทียบกันแล้ว บ้านสามก็คือจุดอ่อนในตอนนี้แล้ว

เว่ยฉางเสียนไม่ชอบใจนางเผยมาตลอด ทุกครั้งที่จวนจิ้งผิงกงมีเรื่องอะไร นางไม่มีอะไรก็มักจะต้องพูดจากระแนะกระแหนหาเรื่องพี่น้องบ้านสามก่อนถึงจะมีความสุข

เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพูดถึงพี่หญิงรองคนนี้แล้วก็ปวดหัวมาก ปีนี้คิดไปคิดมาจึงมาหาให้เว่ยฉางอิ๋งช่วย

สำหรับแผนการเล็กๆ ของพวกนางแล้วเว่ยฉางอิ๋งรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่ว่าเว่ยเกาฉานกับเว่ยฉางเยียนกลัวเว่ยฉางเสียน แต่กับเว่ยฉางอิ๋งที่มีท่านปู่ท่านย่าคอยปกป้องนั้นไม่ได้กลัว เมื่อถูกน้องสาวทั้งสองมองตาปริบๆ แล้ว นางคิดแล้วจึงตอบตกลง

ซ่งไจ้สุ่ยมองอยู่ข้างๆ นิ่งๆ รอเมื่อเว่ยเกาฉานกับเว่ยฉางเยียนเดินนำทางไปอย่างดีใจแล้ว ถึงได้เอาพัดทรงกลมมาบังไว้แล้วกล่าวเสียงเบาว่า "พวกนางใช้เจ้าให้เป็นแพ! เดี๋ยวเว่ยฉางเสียนรังเกียจไม่ชอบของขวัญ พวกนางพูดว่าเจ้าช่วยพวกนางเลือก ก็จะกลายเป็นการไม่ลงรอยกันของเจ้ากับเว่ยฉางเสียน" นางอยู่ในเฟิ่งโจวมาหลายเดือน ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหลานสาวสายตรงคนนี้ของจิ้งผิงกงมาบ้าง รู้ว่าเป็นคนที่นิสัยไม่ดีนัก โดยเฉพาะกับบ้านสามแล้วแค้นเคืองอย่างมาก

"ข้าไม่ชอบใจพี่หญิงรองคนนี้มาไม่ใช่วันสองวันแล้ว" เว่ยฉางอิ๋งตอบกลับเสียงเบา "หลายปีก่อนยังรู้สึกว่านางน่าสงสาร แต่หลิวหลี่เจ้าไม่ได้ถูกเผยซีฆ่า พูดไปแล้วความแค้นนี้ควรจะคิดบัญชีกับเผ่าหรงถึงจะถูก นางกลับแค้นเคืองมาที่อาสะใภ้สามอย่างเดียว หลายปีมานี้อาสะใภ้สามล้วนแต่ยอมถอยอยู่ตลอด นางยังอยากจะได้อะไรอีก วันเกิดนางปีที่แล้ว น้องสี่ปักลายด้วยตนเองให้นางถึงสามเดือนกว่า ผลคือถูกนางเอาชาอูเหมยราดศีรษะต่อหน้าทุกคน น้องสี่น้อยใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น มีคนตั้งมากมาย นางกลับไม่สนใจ และยังสนใจแต่ให้สาวใช้ดูว่าชามกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้ห้าสีที่ตกลงไปบนพรมนั้นเสียหายไหม ปีนี้หากนางยังทำอย่างนั้นอีก ข้าไม่อยากจะยอมนางหรอก คิดว่าสายของพวกเรารังแกกันได้ง่ายหรือ?"

เว่ยฉางเสียนแต่งงานออกไปนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้กลับต้องมาเลี้ยงวันเกิดที่บ้านแม่ ไม่ใช่เพราะหนีร้อน แต่เพราะว่าทุกวันนี้นางกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านแม่

พูดไปแล้วนางเองก็โชคไม่ดีนัก สามีที่แต่งงานออกไป คือญาติผู้พี่สายตรงอย่างหลิวหลี่เจ้า เดิมเขาเองก็คือบุตรหลานที่โดดเด่นของแซ่หลิวแห่งตงหู เมื่อแต่งงานไปแล้วทั้งสองคนต่างก็รักใคร่กัน แต่ก็จนใจที่เมื่อสี่ปีก่อนเผ่าหรงบุกเข้ามาในตงหู หลิวหลี่เจ้าได้รับบัญชาให้ออกรบ ผลคือเพราะเขาผลักรองบังคับบัญชาอย่างเผยซีให้หลบธนูที่ลอยมา ทำให้ถูกธนูที่เผ่าหรงเตรียมการไว้อยู่แล้วยิงทะลุอก ทหารในบังคับบัญชาพยายามช่วยกลับมา แต่เพราะบาดเจ็บหนักมาก ทนได้สามวันก็ทนไม่ไหวและตายไป

ส่วนเผยซีก็คือน้อยชายแท้ๆ ของนางเผย

เว่ยฉางเสียนเสียสามีไปตั้งแต่อายุยังน้อย และยังเป็นสามีที่รักใคร่กันมากอีก แน่นอนว่าต้องเศร้าใจทรมานมาก แต่ว่านางคิดไปคิดมากลับรู้สึกว่าที่หลิวหลี่เจ้าต้องตายไป เหตุผลใหญ่คือมาจากการที่เขาช่วยเผยซี หากว่าไม่ใช่อย่างนั้น ธนูของเผ่าหรงก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสยิงมาฆ่าเขาได้

กระทั่งเว่ยเจิ้งหย่าเองก็ยังกล่าวเตือนนางแล้วว่า ในสนามรบนั้น ธนูกระบี่ไร้ตา เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตา ยิ่งไปกว่านั้นเผยซียังเป็นเพื่อนร่วมกองกับหลิวหลี่เจ้าอีก บนสนามรบต่างฝ่ายต่างช่วยกันถือว่าเห็นได้บ่อยครั้ง ไม่ใช่ว่าเผยซีลากหลิวหลี่เจ้าไปบังธนูเสียหน่อย หลิวหลี่เจ้าถูกธนูเข้า ทุกด้านต่างก็ทำอะไรไม่ถูก เป็นเผยซีที่พยายามบัญชาการลูกน้องให้พยายามสุดชีวิตเพื่อช่วยเขากลับมา และเพราะอย่างนี้ทั้งร่างของเผยซีจึงเต็มไปด้วยเลือดและรอยแผลมากมาย ดังนั้นการที่เว่ยฉางเสียนไปโกรธแค้นอย่างนี้จึงไม่มีเหตุผลเลย หากจะแค้น ก็มีแต่ต้องแค้นเผ่าหรงที่มีใจทะเยอทะยาน คิดอยากจะได้จงหยวน

แต่ว่าเว่ยฉางเสียนที่เสียใจเศร้าโศกนั้นกลับไม่ยอมฟัง ตั้งแต่กลับมาที่บ้านแม่ ก็คิดวิธีการต่างๆ นานาในการหาเรื่องนางเผยรวมไปถึงบุตรสาวบุตรชายของนางเผย ทางฝั่งของเว่ยฮ่วนหนึ่งนั้นเพราะเห็นแก่หน้าของจิ้นผิงกง สองเพราะเข้าใจถึงความเสียใจของนางที่ต้องเสียสามีไปตั้งแต่ยังอายุน้อย จึงอดทนเงียบๆ ผลคือสองปีมานี้เว่ยฉางเสียนกลับยิ่งหาเรื่องมากขึ้นกว่าเดิม

ซ่งไจ้สุ่ยหึออกมาแล้วกล่าวว่า "นางไม่ได้มาหาเรื่องเจ้า อยู่ดีๆ ไปหาเรื่องเพิ่มทำไมกัน ตอนนี้เจ้าอาศัยว่ามีผู้อาวุโสทั้งหลายคอยให้ท้ายจึงไม่กลัวนาง แต่ว่าหากวันหลังเจ้าแต่งงานไปในตระกูลสามีแล้วยังคิดรับเรื่องทุกเรื่องอย่างนี้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเสียใจแน่"

"นี่มันเรื่องใหญ่อะไรกัน?" เว่ยฉางอิ๋งไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า "หนึ่งคืออาสะใภ้สาม น้องสี่รวมไปถึงน้องห้าต่างก็เป็นพี่น้องเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน สองคือเว่ยฉางเสียนมักไม่ไว้หน้าอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสายของพวกเราหรือ สามก็อย่างที่ท่านพี่พูดมา ข้าไม่ต้องกังวลนางเลย ทำเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้เป็นอะไร ส่วนที่ท่านพี่พูดว่าเมื่อไปถึงบ้านสามีแล้วนั้น ข้าก็ไม่ได้โง่ จะยุ่งเรื่องอะไรก็ต้องคิดก่อนสิ หากว่าข้าช่วยได้ก็ช่วย ข้าไม่ได้คิดจะรับเรื่องทั้งหมดมาเสียหน่อย"

ซ่งไจ้สุ่ยถูกนางกล่าวกลับมา เพราะนางถูกอบรมให้เป็นมารดาของแผ่นดินในวันหลัง สั่งสอนอบรมเพื่อคอยควบคุมวังทั้งหก วังหลังลึกล้ำ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงสั่งสอนนางว่าเคลื่อนไหวไม่สู้นิ่งไว้ หากว่าไม่มีประโยชน์เพียงพอก็อย่าได้ให้มาถึงตนได้ และนางก็เกลียดการที่คนอื่นมาคิดใช้ประโยชน์จากนางเป็นที่สุด

อย่างเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนในวันนี้ พูดอย่างผิวเผินว่าอยากจะให้เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยช่วยแนะนำว่าจะให้ของขวัญอะไรกับเว่ยฉางเสียนดีในอีกครึ่งเดือนให้หลัง แต่ว่าจริงๆ แล้วกลับใช้ชื่อเสียงของพวกนางว่าช่วยหาของขวัญ เพื่อให้เมื่อถูกเว่ยฉางเสียนหาเรื่องจะได้มีผู้ช่วย

ซ่งไจ้สุ่ยเห็นแผนการนี้ ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเข้าใจ แต่ว่ากลับไม่คิดจะไปคิดจัดการ พี่สาวน้องสาวทั้งสองนิสัยไม่เหมือนกัน มองคนมองเรื่องราวต่างๆ ก็ต่างกัน ซ่งไจ้สุ่ยพูดกล่อมเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ ทั้งยังถูกน้องสาวที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกช่างพูดพูดจาตอกกลับมาอย่างนี้อีก ทำให้ดูเหมือนนางใจแคบ ใบหน้าจึงพลันไม่ค่อยดีขึ้นมาทันที

เมื่อไปถึงศาลาไฉ่ผิงแล้ว เว่ยเกาฉานกับเว่ยฉางเยียนก็เหมือนรับรู้ได้ จึงยิ่งระมัดระวังมากขึ้น

ดื่มชากฤษณาไปกาหนึ่ง เว่ยเกาฉานครุ่นคิดแล้วจึงกล่าวถึงของขวัญที่นางคิดเลือกจะให้ในปีนี้ออกมา พวกเข็มด้าย ของเล่น และดอกไม้ล้ำค่า หากว่าเป็นพี่น้องที่นิสัยดีหน่อยก็พอจะใช้ได้บ้าง แต่ว่าเว่ยฉางเสียนนั่นกับคนอื่นยังนับว่าใช้ได้ แต่ว่ากับพวกนางสองพี่น้องแล้วกลับเรื่องมากและช่างเลือกมาก ตอนนี้เว่ยเกาฉานกับเว่ยฉานเยียนเพียงหวังว่าจะถูกกล่าวว่าน้อยลงหน่อยเท่านั้น

เพียงแต่ว่าเว่ยฉางอิ๋งเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า "ของเหล่านี้มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องเสียเวลาและไม่มีคุณค่ามากนัก?"

เว่ยเกาฉานชะงักไปแล้วกล่าวว่า "ที่ไม่มีราคาที่สุดก็น่าจะเป็นผ้าเช็ดหน้าปักอันนั้น ข้าปักมันเอง ส่วนที่ไม่ต้องเสียเวลาอะไรก็คือท้อหยกอันนั้น เป็นของที่พี่ชายสี่นำกลับมาด้วยตอนที่ออกไปข้างนอก"

"ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ให้ท้อหยกเถอะ" เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าเว่ยเกาชวนมีเงินในแต่ละเดือนไม่มากนัก ท้อหยกที่เขาซื้อมาให้น้องสาวก็คงไม่มีทางที่จะดีเท่าไหร่นัก แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจต่อว่า "ปักผ้าเช็ดหน้าอย่างไรก็ต้องเสียเวลาและแรงกายตนเองไปปัก ท้อหยกให้ไปแล้วอย่างมากก็ให้พี่ชายสี่ให้มาอีกสักอันก็พอ!"

"แต่ว่าท้อหยกนั่นไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก..." เว่ยเกาฉานกล่าวอย่างเก้อเขินว่า "ข้าพูดถึงมันเพราะว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่เห็นกันทั่วไป...หยกเห็นกันมากที่สุด ได้ยินพี่ชายสี่พูดว่า ร้านแผงลอยภายนอกนั่นเห็นกันบ่อยครั้ง"

เว่ยฉางอิ๋งกล่าว "อย่างไรเจ้าส่งอะไรไป พี่หญิงรองก็ต้องเลือกมากอยู่แล้ว ปีที่แล้วความพยายามอย่างยากลำบากของน้องสี่ นางปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร วันนี้ทำไมจะต้องไปสนใจนางอีก เอาของอะไรไปให้ก็พอแล้ว อย่างไรนางก็ไม่มีทางพูดดีอะไร แล้วทำไมจะต้องเอาของดีๆ ไปให้นางทำลายด้วย"

คำพูดนี้เข้าไปในใจของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน แม้ว่าตระกูลเว่ยจะเป็นตระกูลชั้นสูง แต่ว่าก็มีกฎมารยาทที่เข้มงวด คุณหนูที่ยังไม่ได้แต่งงานออกไปได้แต่เอาเงินเดือนไปใช้เท่านั้น อย่างบุตรสาวสายตรงยังพอจะเอาเพิ่มจากท่านแม่ได้บ้าง แต่อย่างเว่ยเกาฉานที่เป็นบุตรสาวอนุภรรยาอย่างนี้ ปกติให้ของอะไรไปก็มักจะมาจากการประหยัดเงินเดือนของตน เดิมเงินเดือนของบุตรอนุภรรยาก็น้อยกว่าบุตรภรรยาเอกอยู่ครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว แม้ว่านางเผยจะทำกระโปรงที่เหมือนกันให้กับเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน แต่ว่าเงินเดือนกลับยังคงต้องเป็นไปตามกฎของตระกูลที่ตั้งกันมา นางเผยเองจะไปแก้ก็ไม่ได้

ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงภาพกระเรียนขาวที่งดงามภาพนั้นเมื่อปีที่แล้วที่เว่ยเกาฉานปักมันขึ้นมาทีละเข็มๆ ด้วยมือตนเองเลย กระทั่งวันเกิดของแม่ใหญ่ยังพยายามไม่มากเท่านี้เลย แต่กลับถูกเว่ยฉางเสียนปฏิบัติอย่างนั้นต่อหน้าทุกคน หากพูดว่าในใจไม่โมโหจะเป็นไปได้อย่างไร

แต่หากจะพูดว่าเพราะอย่างนี้จึงนำของทั่วๆ ไปไปให้กับเว่ยฉางเสียน เว่ยเกาฉานกับเว่ยฉางเยียนก็รู้สึกกังวลใจ พวกนางสบตากันแล้วกล่าวว่า "เกรงว่าหากพี่หญิงรองเห็นว่าของขวัญไม่ได้ประณีตจะยิ่งโมโห"

"นางโมโหก็โมโหเถอะ สองปีมานี้มีงานเลี้ยงครั้งไหนบ้างที่นางมีสีหน้าดีให้" เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "เดี๋ยวพวกเราไปพร้อมกัน นางพูดอะไรข้าจะตอบให้เอง"

เพิ่งจะกล่าวอย่างนี้ออกมาก็ถูกซ่งไจ้สุ่ยหยิกเข้าให้แล้วกล่าวว่า "จริงๆ แล้วหากว่าคุณหนูสี่กับคุณหนูห้าไม่อยากจะพบคุณหนูรองคนนี้ ทำไมทุกครั้งถึงต้องไปที่จวนเพื่อให้ถูกทำให้โมโหด้วยล่ะ?"

เว่ยเกาฉานกับเว่ยฉางเยียนกำลังดีใจกับคำตอบรับของเว่ยฉางอิ๋ง ได้ยินซ่งไจ้สุ่ยกล่าวมาอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรออกมาดี พวกนางนิ่งไปครู่หนึ่ง เว่ยฉางเยียนถึงกล่าวว่า "แต่ว่าพี่หญิงรองส่งบัตรเชิญมา..."

"จะอย่างไรคุณหนูรองก็ถือว่าอยู่ในรุ่นเดียวกับพวกเรา ใช่ไหม?" ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า "แล้วจะเทียบกับผู้ใหญ่กว่าได้อย่างไร ตอนนี้คือช่วงหน้าร้อนที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาเฟิ่งโจวก็ร้อนที่สุด ในฐานะผู้น้อยอย่างพวกเราจะอย่างไรก็ต้องกตัญญูกับผู้ใหญ่ก่อน แล้วทำไมถึงได้ทิ้งผู้ใหญ่ไว้ในบ้าน เพื่อไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของคนรุ่นเดียวกันล่ะ?"

........................................

[1] เฮอจื่อ : ชุดที่สตรีจีนในช่วงราชวงศ์ถังนิยม คล้ายเกาะอก

[2] เซี่ยนหนาน : บรรดาศักดิ์ ยศขั้นห้า

[3] ลัทธิหวงเหล่า : เชิดชูหวงตี้หรือจักรพรรดิเหลืองในคัมภีร์เต๋า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา