Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  16.70K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) ตอนที่ 10-1 ความจริงและผีเด็ก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม เวลา 13.00 นาฬิกา

          “ตามนั้นแหละนะ ฉันเอง ฉันนี่แหละสปาย อยากรู้จุดประสงฆ์ใช่ไหมล่ะ ฉันจะตอบให้เอง นั่นคือการค้นหาผู้มีพลังจิตที่ยังหลงเหลืออยู่ยังไงล่ะ เพราะมีบางครอบครัวที่รักลูกมาก รักจนยอมที่จะขัดคำสั่งของรัฐบาล แต่ถึงจะขัดคำสั่งไปแต่ทางนี้ก็มีข้อมูลอย่างคร่าวๆอยู่ ดังนั้นตัวตนของฉันจึงมีอยู่เพื่อยืนยันข้อมูลเหล่านั้น ก็เท่านั้นแหละ”

          “ดะ...เดี๋ยวก่อนสิครับ”

          วันนี้ ชินโด มาซามุเนะได้นัดเจอกับอาจารย์มายาซาว่าโดยอ้างเหตุผลคือการขอถามการบ้านปิดเอทมบางข้อที่ไม่ค่อยชัดเจนในความหมาย ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผลดีเป็นอย่างมาก

          ทั้งสองคนนัดเจอกันที่ห้องชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ โดยที่ตัวอาจารย์มายาซาว่าเองเป็นคนเสนอเขามา เมื่อทั้งคู่ได้เจอกัน มาซามุเนะก็เปิดฉากถามคำถามที่ตัวเขาคิดว่าเธอน่าจะคิดไม่ถึง แต่จนถึงคำสารภาพเมื่อตะกี้นี้ ก็อาจจะพิจารณาได้ว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร

          หลังจากที่อาจารย์มายาซาว่าสารภาพออกมาได้บางส่วน เธอก็วิ่งออกไปจากห้องชมรมโดยทันที มาซามุเนะร้องห้ามแล้ววิ่งตามไปทันที โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังอยู่ และใครบางคนที่กำลังรอพวกเขาอยู่

          “จำเอาไว้นะมาซามุเนะ อย่าถูกพวกมันชักนำไปเด็ดขาด จงทลายโซ่ตรวนของพวกมนด้วยมือของเธอ แล้วก็ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ เรื่องราวทั้งหมดมันต่อจากนี้ไปต่างหาก”

          มายาซาว่าหันหลังลับมาพูดกับมาซามุเนะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่หัวของเธอจะหลุดออกจากบ่า โดยอะไรบางอย่างที่บางเฉียบและคมกริบ มันลอยเข้ามาตัดคอของเธอภายในเสียววินาที แล้วก็ละลายหายไปอย่างไรร่องรอย ถึงมาซามุเนะจะไม่ทันรู้สึกตัวว่ามันคือพลังจิตเพราะว่ากำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของตัวเอง

          และในเวลาเดียวกันกับที่สิ่งที่ปลิดชีพของมายาซาว่าละลายหายไป คนน่าสงสัยที่คิดได้อย่างเดียวว่าเป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็ปรากฏตัวออกมายังระเบียงทางเดินที่มาซามุเนะอยู่จากห้องเรียนที่อยู่ถัดไปข้างหน้าของพวกเขา 3 ห้อง

          ทั้งรูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้านั้นไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของมาซามุเนะ เพราะสิ่งเดียวที่เขารู้ในตอนนี้ก็คือ ความโกรธ มีออน่าสีดำทมิฬพวยพุ่งออกมาจากตัวมาซามุเนะอย่างไม่หยุดยั้ง

          “อาจารย์มายาซาว่า!!------ แก------ ไปตายซะ!!!--------”

          อึก

          มีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้ายทอยของมาซามุเนะเข้าอย่างจัง สติของเขาค่อยๆหายไปทีละนิด สิ่งที่เขาจดจำได้เป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่จะสลบไป ก็คือใบหน้าที่ไม่มีทั้งความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานของมายาซาว่า กลับกัน ใบหน้านั้นมันเหมือนกำลังยิ้มให้มาซามุเนะ ที่ใบหน้าของเธอมีของเหลวใสไหลเป็นทางยาว และคาดว่าตอนนี้ของเหลวแบบเดียวกันก็กำลังหลั่งไหลออกมาจากดวงตาของเขาเช่นเดียวกัน

          มีเสียงที่เขาไม่สามารถจับใจความได้ดังขึ้น มันไม่มีอยู่ในความทรงจำของเขาแน่นอน

 

 

 

 

 

          วันพุธที่ 30 กรกฎาคม เวลา 06.00 นาฬิกา

          “คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าครับ”

          พ่อบ้านวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเขย่าตัวหญิงสาววัยรุ่นที่ในชุดนอนบนเตียง เธอลุกขึ้นมาจากเตียงของตัวเองพร้อมกับผมสีแดงอันโดดเด่นที่กำลังยุ่งอยู่ เธอขยี้ตาอยู่สักครู่หนึ่ง แล้จึงหันไปหาพ่อบ้านที่ปลุกเธอมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้ด้วยสีหน้าที่เหมือนว่ากำลังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่

          “นี่ฉัน ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”

          หญิงสาวเดินออกมาจากบ้านในอีก 30 นาทีต่อมา เธออยู่ในเครื่องแบบฤดูร้อนของโรงเรียนมาซาราดะ ระหว่างทางเดินไปโรงเรียนนั้นก็มีนักเรียนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันมองดูเธอถึงการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงซึ่งมันก็เกิดจากการที่เธอไม่ค่อยจะพักผ่อนสักเท่าไหร่ เคนมีอาจารย์หลายคนมาพูดกับเธอว่าเธอควรจะดูแลตัวเองด้วย พร้อมกับประโยคต่อท้ายที่ย้ำเหตุผลที่ว่าเธอเป็นถึงกัปตันชมรมยิงปืนที่เป็นหน้าตาของโรงเรียนด้วย แต่อาจารย์พวกนั้นก็เป็นส่วนน้อยที่จะทำแบบนั้นกับเธอ เพราะในความเป็นจริงแล้ว อาจารย์ส่วนใหญ่นั้นไม่กล้าที่จะเข้ามายุ่งกับตัวเธอที่เป็นทายาทของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง

          “ระ...รุ่นพี่อิโนะอุเอะคะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

          มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของตัวเธอที่กำลังเดินอยู่บนระเบียงทางเดินของอาคารเรียน พอเธอหันกลับไปก็เจอกับเด็กสาวซึ่งเป็นรุ่นน้องของชมรมเธอ กำลังกล่าวทักทายเธอด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเขินอายเล็กน้อย

          “อะ อืม อรุณสวัสดิ์”

          เธอตอบออกไปด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่มีรุ่นน้องเข้ามาทักทาย ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ถูกนักเรียนธรรมดาที่อยู่ในโรงเรียนทักทายเลยก็ว่าได้

          ซาโยโกะเดินเข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่งที่มีเสียงพูดคุยที่ดังจนสามารถได้ยินได้แม้จะอยู่นอกห้องก็ตาม เธอเปิดประตุแบบเลื่อนออกตามปกติ แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือเสียงพูดคุยที่เงียบลงไป ซึ่งตามปกติแล้วมันก็จะดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ประตูแบบเลื่อนถูกปิดลงไปเหมือนเดิม แต่ในตอนนี้ ถึงแม้เธอจะเดินไปนั่งยังโต๊ะเรียนของเธอ เสียงพูดคุยก็ยังไม่มีท่าทีจะดังขึ้นมาอีกครั้ง ซาโยโกะมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ติดกับโต๊ะของตัวเอง จากโต๊ะนั่งของเธอ คือที่เดียวของห้องเรียนที่จะเห็นแม่น้ำที่ไหลตัดผ่านเมืองไป นอกนั้นก็จะถูกผ้าม่านที่ถูกสั่งให้ปิดไว้ตลอดบังไว้เสมอๆ

          เธอมองแม่น้ำสายนั้นอย่างเหม่อลอย ท่ามกลางความเงียบงันของห้องเรียนที่ใช่ว่าจะเกิดได้บ่อยๆ สายน้ำที่ไหลไปอย่างเฉื่อยๆทำให้ความกลัวจากฝันร้ายของเธอเบาบางลงไปบ้าง เธอหลับตาลงอย่างช้าๆพลางนึกถึงสิ่งต่างๆที่เธอหลงลือมันไป ทันใดนั้น ภาพอาจารย์ที่รักของเธอที่หัวหลุดออกจากบ่าก็ลอยเข้ามาในหัวอย่างกะทันหัน นั่นทำให้เธอรู้ทุกๆสิ่งที่เธอลืมมันไป

          “กรี๊ด----------------------------------”

          ถึงเสียงกรี๊ดนั้นจะเป็นเสียงที่เธอร้องออกมาเอง แต่สิ่งที่เธอเห็นและได้ยินกลับไม่ใช่ภาพของเพื่อนๆในห้องที่วิ่งเข้ามาหาเธอหัวกระแทกเข้ากับโต๊ะ แต่เป็นภาพของตัวเธอที่กำลังมองหัวที่กำลังหล่นลงกระแทกพื้นจากห้องเรียนของอาคารเรียนที่ไม่ถูกใช้แทน จากนั้นสติของเธอก็หลุดลอยไปจนไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้

          วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม เวลา 15.30 นาฬิกา

          มาซามุเนะที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ ได้ยินนเสียงเปิดประตูอย่างแผ่วเบาของรุ่นพี่ของเขา อิโนะอุเอะ ซาโยโกะ เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับมองดูรอบๆ แล้วก้หันหน้ามาหามาซามุเนะที่กำลังมองดูรุ่นพี่ของตัวเองด้วยสายตาที่แสดงถึงความสงสัย

          “สวัสดีครับ รุ่นพี่”

          มาซามุเนะกล่าวทักทายออกไป ซาโยโกะพยักหน้าครั้งหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นการตอบรับที่แปลกมากสำหรับตัวเธอ มาซามุเนะจึงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปหาตู้เย้นและกาน้ำร้อนที่อยู่ข้างหลักตน

          “เอาอะไรดีครับ เดี๋ยวผมเตรียมไว้ให้”

          ซาโยโกะทำท่าทางเหมือนลอย ก่อนจะได้สติแล้วหันมาจ้องเขาด้วยสายตาที่ดูเอาจริงเอาจังที่แตกต่างจากครั้งไหนๆ

          “หน้าร้อนก็ต้องของร้อนๆสิ ทำให้เลือดลมไหลเวียนดีด้วยนะ”

          “เข้าใจแล้วครับ”

          มาซามุเนะชงชาร้อนอย่างบรรจง ขณะเดียวกัน ซาโยโกะก็เดินไปหยิบหนังสือที่มาซามุเนะอ่านอยู่จนถึงเมื่อกี้ ก่อนที่จะวางมันลงแล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของที่ๆมาซามุเนะเคยนั่งอยู่ เธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มาซามุเนะจะยกชามาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้าที่นั่งของเธอและเขา        

          “มาซามุเนะ ฉันรู้เรื่องของอาจารย์มายาซาว่าแล้วนะ นายไม่ต้องปิดบังหรือแบกรับมันไว้คนเดียวหรอก”

          มาซามุเนะที่กำลังจิบชาอย่างประณีตเกือบจะทำมันตก เขาวางถ้วยชาลงอย่างเบามือแล้วมองไปที่รุ่นพี่ของตัวเอง ซาโยโกะที่พูดแบบนั้นออกมาทำให้เขารู้สึกว่าเธอต่างจากปกติไปเยอะพอสมควร ตัวมาซามุเนะนั้นคิดว่าเธอน่าจะกำลังกลุ้มใจอะไรอยู่ จึงสายหน้าเบาๆพร้อมกับจ้องหน้าของเธอกลับไปตรงๆ

          “คนที่กำลังแบกรับเรื่องหลายๆอย่างอยู่ คือรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอครับ พูดเรื่องนั้นให้ผมได้รับฟังมันด้วยเถอะครับ ถ้ารุ่นพี่จะสบายใจขึ้น ที่รุ่นพี่หมดสติไปเมื่อวานนี้ก็เพราะมันใช่ไหมล่ะครับ”

          มาซามุเนะตัดสินใจที่จะพูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา ซาโยโกะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบมาซามุเนะกลับไป

          “นายนี่เก่งชะมัด มองออกหมดเลยงั้นเหรอ”

          “ไม่ใช่หรอกครับ ก็แค่เหมือนกันเท่านั้นเอง รุ่นพี่กับตัวผมที่กลุ้มใจน่ะ เหมือนกันอย่างกับแกะแหนะ”

          มาซามุเนะสายหน้าเล็กน้อยตอนที่ตอบออกไป ซาโยโกะถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆกับคำพูดของมาซามุเนะ เธอยิ้มแย้มคนละแบบกับแต่ก่อนก็จริง แต่มาซามุเนะก็คิดว่ามันคือรอยยิ้มที่ซาโยโกะยิ้มออกมาเพื่อทำให้มาซามุเนะสบายใจขึ้นนั่นเอง

          “ถึงนายจะไม่พูดอะไรแต่ฉัน ไม่สิ ฉันว่าหลายๆคนรอบตัวนายก็รับรู้ได้ว่านายมีเรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้อยู่ในใจ เรื่องเมื่อวันอาทิตย์ฃน่ะนะ”

          “ผมขอยอมรับแต่โดยดีเลยล่ะครับว่าผมกำลังหนักใจเรื่องนั้นอยู่ งั้นรุ่นพี่ก็พูดออกมาก่อนสิครับ สำหรับผมแล้ว มีแต่ต้องยอมรับเรื่องนั้นแล้วก็เดินหน้าต่อไป ถ้ายังยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้ก็คงถูกความมืดในใจนั้นกลืนกินอีกแน่นอน”

          มาซามุเนะพูดสิ่งที่ตัวเองกำลังหนักใจอยู่ ซาโยโกะจึงตัดสินใจที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองรุ้สึกอยู่ในใจออกมาให้หมดเปลือกต่อหน้าเด็กชายที่เธอคิดว่าเป็นคนที่ทำตัวได้แก่แดดที่สุดที่เธอเคยเจอ

          “มาซามุเนะ ความจริงแล้ว ฉันเองก็เป็นผู้ใช้พลังจิตล่ะ”

 

 

 

 

 

          “วะ...ว่ายังไงนะครับ”

          มาซามุเนะลุกขึ้นยืนแล้วเอาหน้าเข้าไปหาซาโยโกะหวังจะได้รับคำตอบของคำถาม

          “ดะ...เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆก่อน ให้ฉันได้อธิบายก่อนสิ”

          ซาโยโกะยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามปรามมาซามุเนะ ทำให้เขาต้องกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม แล้วซาโยโกะก็อธิบายสิ่งที่ตัวเธอเองเข้าใจอยู่ในตอนนี้ให้มาซามุเนะได้ฟัง

          “รุ่นพี่อธิบายมาให้หมดเลยนะครับ ตั้งแต่แรกเลย”

          “เข้าใจแล้ว เรื่องมันค่อนข้างจะยาวน่ะนะ งั้นก็ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว-----”

          “ไม่ใช่ตั้งแต่แรกแบบนั้นสิครับ เอาแต่เนื้อหาที่จำเป็นก็พอแล้ว”

          “อ้าว งั้นเหรอๆ โทษทีน้า-----”

          ซาโยโกะยิ้มให้มาซามุเนะครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นแค่การล้อเล่นเฉยๆหรือต้องการให้มาซามุเนะที่เธอเห็นว่าไม่ได้มีอาการผ่อนคลายเหมือนที่พูดเลยแม้แต่น้อย หลุดโฟกัสจากเรื่องที่อยู่ตรงหน้าและผ่อนคลายลง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มาซามุเนะก็ไม่ได้คิดจะบังคับให้เธอพูดตามเพราะว่าเป็นเรื่องพลังจิตอย่างแน่นอน แต่เขาคิดว่าอยากจะเธอพูดออกมาเองเพราะต้องการจริงๆ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

          “คือ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันมีมันตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตัวฉันเองก็พึ่งจะรู้ตัวเมื่อวานนี้เอง และสิ่งที่กระตุ้นให้มันแสดงอาการ ก็คือภาพการตายของอาจารย์มายาซาว่าน่ะ ถึงตอนนั้นฉันจะไม่รู้ตัวว่าฉันเห็น แต่จิตใต้สำนึกของฉันมันคงจะอยากเห็นล่ะมั้ง ร่างกายมันก็เลยขยับไปเอง ภาพที่เห็นก็ถูกบันทึกไว้ในหัว และสุดท้าย ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็เก็บไปฝัน จนนในสุดท้ายก็รู้ตัวว่าฉันเองก็เห็นมัน”

          “ดะ...เดี๋ยวก่อนสิครับ ตามข้อมูลที่มีอยู่ ผู้ที่จะมีพลังจิตได้ต้องมีก่อนที่อายุจะเกิน 14 ปีนี่ครับ ดังนั้นเหตุการณ์นั้นไม่มีทางเป็นต้นกำเนิดพลังจิตของรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอครับ ก็รุ่นพี่อายุ 17 ปีแล้วนี่นา พูดก็คือ รุ่นพี่แก่เกิน โอ๊ย”

          “นี่ๆ นายน่ะระวังคำพูดไว้หน่อยก็ดีนะ พูดออกมาแค่อายุสิบเจ็ดก็พอแล้ว”

          ซาโยโกะหยิบหนังสือที่วางอยู่ข้างๆมาซามุเนะขึ้นมาเคาะหัวของเขา มาซามุเนะเอามือทั้งสองข้างมาจับที่หัวพร้อมๆกับร้องโอดโอยออกมา

          “แต่ก็เอาเถอะ อายุนายก็แค่สิบห้านี่นา เด็กน้อยเอ๊ย”

          “โธ่ ปีนี่ผมสิบหกแล้วนะ”

          “เอาล่ะ มากลับเข้าเรื่องกัน อาจารย์มายาซาว่าก็ตายไปแล้ว ถึงทางโรงเรียนจะบอกไปว่าเธอขอหยุดงานจนหมดเทอมก็เถอะนะ แล้วนายจะเอายังไงกับชมรมนี้ล่ะ จะบอกเรื่องนี้กับคนอื่นๆแล้วยุบงั้นหรอ หรือว่าจะเก็บมันไว้เป็นความลับต่อไป”

          มาซามุเนะที่ได้ยินคำถามก็ส่ายหน้ากับคำพูดของซาโยโกะ เขาลุกแล้วเดินไปที่ชั้นวางฟิกเกอร์ซึ่งอยู่ข้างหลังของซาโยโกะ เธอเองก็หันมองตามเขาไปโดยหวังอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

          “ในวันแรกที่ผมได้เข้ามาที่นี่ผมทำเจ้านี่ของอาจารย์หล่นลงพื้น รุ่นพี่เองก็เห็นสินะครับ ถึงจะเป็นแค่ความคิดของผม แต่ผมคิดว่าอาจารย์มายาซาว่าไม่ได้คิดจะหลอกเราไปซะทุกเรื่องหรอกครับ การที่อาจารย์แท่งผมในวันนั้นก็เป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าตัวอาจารย์ไม่ได้เสแสร้ง แต่ตัวอาจารย์ที่เรารู้จักก็คือตัวอาจารย์”

          มาซามุเนะเอามือมาปิดปากของตัวเอง เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าคำพูดกำกวมของตัวเองจะสื่อไปถึงรุ่นพี่ของเขารึเปล่า แต่ซาโยโกะก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะบ่นแต่อย่างใด เธอถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

          “เฮ้อ--- สรุปก็คือ นายจะบอกเรื่องของอาจารย์ให้ทุกคนรู้ แต่ก็จะไม่ยุบชมรมนี้สินะ ฉันก็อุตส่าห์กังวล แต่นายก็เลือกตัวเลือกเดียวกันกับฉันล่ะนะ”

          ถึงมาซามุเนะจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดออกมาซักเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ได้อย่างหนึ่งว่า ตัวซาโยโกะเองก็คิดแบบเดียวกับเขา นั่นคือ คิดว่าอาจารย์มายาซาว่าที่ทั้งคู่รู้จักนั้นคือตัวจริงที่ไม่มีการแกล้งทำหรือมีเจตนาแอบแฝงไว้อย่างแน่นอน

          “ก็--- ประมาณนั้นละมั้งครับ”

          มาซามุเนะพูดพร้อมกับหันหลังกับมายิ้มอย่างสบายใจให้ซาโยโกะ

          หลังจากนั้นทั้งคู่ก็อยู่คุยกันแบบเรื่อยเปื่อยต่ออีกสักระยะหนึ่งโดยนั้นเป็นการฆ่าเวลาเพื่อรอสมาชิกชมรมคนอื่นๆมาที่นั่นเอง ระหว่างนั้นซาโยโกะก็รับรู้ได้ในทันทีที่เธอจิบชาซึ่งมาซามุเนะชงมาให้ รับรู้ว่าคำพูดของอลิซาเบธที่เคยบอกกับเธอว่าชาที่มาซามุเนะชงนั้นห้ามแตะเด็ดขาด เธอเข้าใจถึงคำพูดนั้นดีเลยว่ามันหมายความตามนั้นจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะกล่าวโทษอะไร เพราะว่าเธอเองก็ตกใจเช่นกันที่มาซามุเนะดื่มมันจนหมดดได้โดยไม่แสดงอาการอะไรเลยนั่นเอง

          “เอ่อ นี่ มาซามุเนะ นายน่ะคิดบางไหมว่าที่นี่อาจจะถูกทำลายก็ได้นะ ก็นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่มีร่องรอยของอาจารย์มายาซาว่าหลงเหลืออยู่เลย บางทีนะ ที่นี่อาจจะถูกทำลายภายในสามวันเจ็ดวันก็ได้”

          ซาโยโกะพูดโดยที่ยังคิดอยู่ว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะว่าที่ห้องนี่ก็มีแค่รสนิยมของมายาซาว่าเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น มันคงไม่มีประโยชน์อะไรให้ทำลานไปก็ได้ เธอคิดไว้อย่างนั้น แต่สิ่งที่มาซามุเนะตอบเธอกลับมาก็ทำให้เธอถึงกับลุกขึ้นกันเลยทีเดียว

          “ก็ว่าอยู่ว่าทำไมรุ่นพี่ดูดีขึ้น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่รุ่นพี่ก็ไม่ได้ฉลาด โอ๊ย!”

          “บอกไปแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังปากหน่อยน่ะ

          “ขอโต๊ดก้าบบบบ”

          ซาโยโกะใช้หมัดขวาทุบไปที่หัวของมาซามุเนะ ส่วนมาซามุเนะก็ใช้มือทั้งสองข้างมาจับหัวพลางขอโทษ

          “ก็ตามนั้นแหละ เพราะมีเรื่องการตื่นขึ้นมาของพลังจิตกวนใจ ก็เลยได้แต่นอนอยู่บ้าน และก็ไม่ได้มีเวลาไปนั่งหาข้อมูลด้วย ดังนั้น รู้อะไรก็พูดมาซะ อย่าให้ต้องออกกแรงอีกรอบเลย

          “เข้าใจแล้วก้าบ”

          มาซามุเนะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนขอความเห็นใจ แต่มันก็ทำอะไรซาโยโกะไม่ได้

          “คือ ผมไปสำรวจที่ๆคิดว่าน่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของอาจารย์มายาซาว่าน่ะครับ แล้วสิ่งที่เจอก็คือสภาพบ้านที่เหมือนถูกไฟเผา แต่ก็ไม่มีร่องรอยของของพวกนั้นอยู่เลยครับ”

          “คิดได้อย่างเดียวแค่ว่ามีคนทำอะไรบางอย่างลงไปสินะ”

          ทั้งสองคนทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองหน้าแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อลองฟังดูแล้ว มันช่างเป็นการหัวเราะกลบเกลื่อนที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก

          “มันคงไม่เกิดขี้นใช่ไหมล่ะครับ ฮ่าๆๆๆ---- ”

          “นั่นสิเนอะ คนที่กล้าบุกเข้ามาในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยผู้มีพลังจิตเนี่ย ท่าจะสติไม่ดีสินะ ฮ่าๆๆๆ---”

          “ไม่ อาจจะเข้ามาโจมตีกันแบบโต้งเลยก็ได้ ถ้าเป็นพวกนั้นด้วยละก็”

          “เอาจริงๆ โอกาสมันมีมากกว่า 50% เลยน่ะสิ”

          ความคิดที่อยู่ในห้องของทั้งสองคนนั้น ช่างขัดแย่งกับสิ่งที่พูดออกมาเสียจริง

          [อ้าวๆ ทำไมคำพูดกับความคิดของพวกคุณถึงได้ขัดแย้งกันซะขนาดนั้นละคะ ช่าง-น่า-อนาถ-ใจ-เสีย-เหลือ-เกิน]     

          มีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมาในหัวของทั้งสองคน จนทำให้ทั้งคู่ถึงกับชะงักอยู่พักใหญ่กันเลยทีเดียว มาซามุเนะและซาโยโกะมองหน้ากัน แล้วก็ยิ้มอย่างเจื่อนๆขึ้นมาพร้อมกัน แล้วก็นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอีกครั้ง แต่เสียงปริศนาก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ครั้งนี้ไม่ใช่ในหัว แต่เป็นจากประตูทางเข้าห้องชมรมแทน

          “อ้าวๆ ไม่คิดจะสนทนากันต่อแล้วเหรอคะ ช่าง-น่า-สม-เพช-เสีย-เหลือ-เกิน

          มีเด็กผู้หญิงที่ดูยังไงก็อายุน้อยกว่าทั้งคู่มากยืนพิงประตูอยู่ ผมยาวเลยไหล่สีดำสนิท สวมชุดโกธิคโลลิต้าสีดำ แต่เฉพาะโบว์ที่ผูกอยู่ที่ข้อและกระโปรงเป็นสีขาว นอกนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นสีดำทั้งหมด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา