Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  9,535 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) สิ่งใหม่ ๆ อาจจะเป็นที่ใช่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 5 : สิ่งใหม่ ๆ อาจจะเป็นที่ใช่
 
นี้ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย...
 
ความรู้สึกแรกที่เด็กหนุ่มรู้สึกก็คือปวดหัว ตอนนี้เขายังรู้สึกปวดหัวไม่หาย สาเหตุน่าจะมาจากหัวของเขากระแทกพื้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป
 
กุงซูพยายามลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่พอลืมตาขึ้นมาแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเพดานห้องพักรับรองสุดหรู
 
“ฟื้นแล้วเหรอ พ่อหนุ่มน้อย” เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงนั้น เขาก็ค้นพบว่า เจ้าของเสียงนั่นเป็นหญิงสาวชาวตะวันออกคนหนึ่งที่กำลังนั่งไขว่ห้างและอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่
 
กุงซูไม่สามารถระบุได้ว่าเธอคนผู้นั้นคือชาวโชซอนหรือไม่ เพราะตอนนี้เราแต่งกายด้วยชุดสไตล์วิกตอเรียนสีแดง เช่นเดียวกันกับริมฝีปากบางของเธอที่เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา
 
“อะไรกันเนี่ย หรือว่าฉันสวยจนพูดอะไรไม่ออกเลยหรือ หืม?” เธอค่อย ๆ ปิดหนังสือของเธออย่างเบามือ และหัวเราะออกมานิดหน่อย
 
“น...นี้ผมอยู่ที่ไหน” กุงซูตัดสินใจถามเธอเป็นภาษาบริเตนออกไปก่อนที่เธอผู้นั้นจะหันมามองเขาด้วยสายตาที่สนใจในตัวเขาเป็นพิเศษ
 
“แหม...พูดบริเตนได้ด้วย น่าสนใจดีนี่” เธอตอบกลับเด็กหนุ่มเป็นภาษาบริเตนเช่นเดียวกัน แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้คุยอะไรมากกว่านี้ ก็มีบุคคลหนึ่งวิ่งเข้ามากอดเด็กหนุ่ม
 
“กุงซู! ป้าห่วงเจ้าแทบแย่ นึกว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปแล้ว” เมเทียนั่นเองที่เข้ามากอดกุงซู เด็กหนุ่มเองก็กอดท่านป้าของเขากลับเช่นกัน เพราะเขาเองก็นึกว่าเขาจะไม่รอดแล้วเช่นกัน
 
“ให้ตายสิ โดนแรงระเบิดอัดไปขนาดนั้นยังไม่เป็นอะไรอีก อึดจริง ๆ ไอ้หลานชาย” เลออสตบหลังของกุงซูดังอัก เอ่อ...นี่ท่านลุงไม่ได้คิดจะฆ่าเขาใช่ไหม
 
“แล้วดอกเตอร์ล่ะครับ?” ตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมา เขายังไม่เห็นอาจารย์ประจำสถาบันเลย ชายวัยกลางคนจึงใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางประตู
 
“กำลังเคลียร์เรื่องค่าจ้างกับพวกนั้นอยู่ ให้ตายสิ พาพวกเรามาเกือบตายแล้วยังจะเรียกเงินเพิ่มอีก” ฟังจากน้ำเสียงของเลออส กุงซูก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ค่อยพึงพอใจในการบริการของพวกนั้นเท่าไหร่นัก
 
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวดิฉันจะไปช่วยดอกเตอร์ไกล่เกลี่ยค่าว่าจ้างให้นะคะ” สตรีในชุดวิกตอเรียนสีแดงลุกขึ้นยืนพร้อมกับวางหนังสือของเธอลงบนโต๊ะ
 
“ขอบคุณมาดามมาก ๆ เลยนะครับ ที่ช่วยเหลือพวกเรา แถมเมื่อกี้ยังเฝ้าหลานของเราอีก”
 
เอ๊ะ...มาดามเหรอ?
 
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกคุณเองก็โดนมาหนักเหมือน คนสำคัญของดอกเตอร์ก็เหมือนเป็นคนสำคัญของดิฉันเช่นเดียวกันค่ะ” เธอโบกมือไปมาบอกไม่เป็นไร และบอกให้พวกเขาทำตัวตามสบาย
 
“เดี๋ยวเราค่อยเจอกันอีกทีนะจ๊ะ พ่อหนุ่มน้อย” เธอขยิบตาข้างหนึ่งให้เด็กหนุ่ม ก่อนที่เธอจะขอตัวเดินออกจากห้องพักไปช่วยดร.เดวิดเคลียร์เรื่องค่าว่าจ้างด้านนอก กุงซูมองเธอเดินจนออกจากห้องไป จึงถามผู้ปกครองทั้งสองของเขา
 
“นางเป็นใครน่ะท่านลุง ท่านป้า”
 
“เอ้า หรือคุยกันอยู่ตั้งนาน นึกว่ารู้สึกกันแล้ว นางก็คือมาดามอาโซมิ คนที่จะช่วยเรื่องเอกสารยืนยันตัวตนของพวกเราไง” คำตอบของเลออสทำเอากุงซูร้องอ๋อขึ้นมาทันที ที่แท้นางก็คือคนที่พวกเขาต้องมาหานี่เอง
 
“หลังจากที่เพดานทางระบายถล่ม พวกเรารอดกันมาได้ยังไงน่ะท่านลุง ท่านป้า” เพราะภาพสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือทั้งคู่วิ่งมาหาเขา และหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
 
“ท่านลุงของท่านก็แบกเจ้าขึ้นหลังมาน่ะสิ พวกเราใช้เวลานานอยู่สักพักในการพังลูกกรงนั้น โชคดีที่คนนำทางของเราพาพวกเรามาโผล่ใกล้ ๆ โรงแรมของมาดามอาโซมิพอดี ไม่งั้นช้ากว่านี้อีกนิดเดียวเจ้าคงจะไปพบบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว” น้ำเสียงของเมเทียบ่งบอกไม่พอใจนิด ๆ ที่กุงซูตัดสินใจกระทำการบ้าบิ่นลงไป แต่จะโทษเขามากก็ไม่ได้ เพราะหากกุงซูไม่ระเบิดทาง พวกเขาก็คงมาไม่ถึงโรงแรมของมาดามอาโซมิแน่ ๆ
 
“เอาน่าเมเทียเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าไปโมโหเขานักเลย ส่วนเจ้าเองก็อย่าทำอะไรวู่วามแบบนี้อีกนะ” เลออสกึ่งตำหนิกึ่งสอนเด็กหนุ่ม เขาจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ เขาคิดน้อยไปจริง ๆ นั่นแหละ ที่ไม่ทันคิดถึงแรงระเบิดที่ตามมา
 
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ งั้นเดี๋ยวข้าขอเข้าห้องน้ำก่อนนะขอรับ” กุงซูกะจะไปล้างหน้าล้างตาให้หายมึนเสียหน่อย เขาเดินเซไปเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้มือยันประตูปรากฏว่าแขนขวาของเขาเจ็บแปล๊บขึ้นมา ซึ่งน่าจะเกิดจากการกระแทกก่อนที่เขาจะหมดสติไป
 
แบบนี้คงฝืนยิงธนูไปไม่ได้สักพัก จนกว่าแขนขวาของเขาจะหายเป็นปกติ
 
คิดได้ดังนั้นกุงซูก็ถอนหายใจออกอย่างช่วยไม่ได้ เขาเปิดก๊อกน้ำและเอามือรองน้ำเอาไว้ ก่อนที่จะล้างหน้าล้างตา เขาหยิบผ้าขนหนูสีขาวที่แขวนข้าง ๆ กระจกอ่างล้างหน้า และซับน้ำบนใบหน้าเขา
 
นัยน์ตาสีน้ำเงินสว่างจ้องมองไปยังกระจกตรงหน้า ก่อนที่นัยต์ของเขาจะเบิกกว้างขึ้น
 
“เหวอ!”
 
“เกิดอะไรขึ้น!” ทั้งเลออสและเมเทียวิ่งมาดูกุงซูที่ห้องน้ำ เด็กหนุ่มพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่ลนลานอย่างเห็นได้ชัด
 
“น...หน้าข้าเปลี่ยนไป!” จากตอนแรกที่หน้าตาของเขาเป็นแบบลูกครึ่งระหว่างชาวตะวันตกและชาวตะวันออกมาโดยตลอด บัดนี้กลับกลายเป็นว่า ชาวเปลี่ยนไปเป็นชาวตะวันตกเต็มรูปแบบแล้ว
 
ผมของเขายังเป็นผมสีดำ และยังมัดจุกแบบชาวตะวันออกอยู่ ผิวพรรณของเขาก็ขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนตัวเขาจะสูงขึ้นด้วย!
 
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” เลออสระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังมาก ส่วนเมเทียเองก็ส่ายหน้าไปมา นึกว่าเรื่องใหญ่อะไร ยิ่งปฏิกิริยาของทั้งสองยิ่งทำให้เด็กหนุ่มงงยิ่งกว่าเดิม เลออสจึงพากุงซูมานั่งที่เตียงเหมือนเดิม
 
“จำที่ข้าเคยบอกเจ้าได้ไหม ว่าร่างที่เจ้าคุ้นชินอยู่ทุกวันมันมาจากมนตร์ของท่านป้าของเจ้า”
 
“คิดว่าน่าจะจำได้นะขอรับ...” อ่า เรื่องนี้ท่านลุงเคยเล่าให้ฟังไปตั้งแต่ตอนฝึกแล้วนี่นา ทำไมถึงความจำสั้นเช่นนี้ล่ะกุงซู!
 
“ถ้าอย่างนั้น ที่ข้าเห็นตอนนี้คือ...” ทั้งเลออสและเมเทียต่างก็พยักหน้าให้เด็กหนุ่มรับรู้คำตอบ เขายกมือขึ้นมามองอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ
 
“แล้วทำไมจู่ ๆ ข้าถึงคืนร่างเดิมแบบนี้ล่ะขอรับ ท่านป้าเป็นคนคืนร่างให้ข้าเหรอ?” คำตอบที่เขาได้รับกลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิด เมื่อหญิงวัยกลางคนส่ายหน้าให้เขา
 
“เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน หลังจากที่เจ้าหมดสติไป ข้าสังเกตเห็นแล้วว่าร่างกายเจ้าไม่เหมือนเดิม เป็นไปได้ว่าตอนที่เจ้ากำลังรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีในการสร้างสายธนูแห่งแสง อาจจะล้างมนตร์กำบังร่างกายที่แท้จริงของเจ้าไปด้วย”
 
ข้อสันนิษฐานนี้ น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด เพราะหลังจากที่เขาสลบไป ก็ไม่มีใครอะไรกับตัวเขาเลย
 
เอ๊ะหรือว่ามี แต่เขาไม่รู้กันแน่!
 
“เอ้าล่ะ คิดไปก็ปวดหัว ตอนนี้ร่างของเจ้าก็เปลี่ยนไปแล้ว เป็นแบบนี้น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำเพราะยังไม่มีใครเคยเห็นร่างที่แท้จริงของเจ้าด้วย นอกจากพวกเรา” พอกล่าวเสร็จ ชายวัยกลางคนก็ก้มหัวลงนอนเหยียดกับเตียงหรูทันที
 
“ไม่ได้มีโอกาสบ่อย ๆ ที่จะได้นอนในโรงแรมหรูขนาดนี้เนี่ย”
 
“เลออส! พวกเรายังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ มานอนเหยียดบนโซฟาแบบนี้ได้ไง” ว่าแล้วเมเทียก็ตีไหล่คู่หูของเธอดังเพี๊ยะ นั้นทำให้ชายวัยกลางคนถึงกับบ่นอุบออกมาทันทีว่าแค่นั่งพักนิดเดียวเองก็ไม่ได้หรือไงให้ตายสิ ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมานี้ เขาได้แม่มาอีกคนหรือยังไงกัน!
 
“เอ๊ะ นี้ชื่อจริง ๆ ของท่านลุงใช่ไหมขอรับ?” เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้เอ่ยทักเลออสขึ้นมา อ่านั้นสินะ พวกเขายังไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่กุงซูเลยแม้แต่ครั้งเดียวนี้นา
 
“จริงสินะ พวกเรายังไม่เคยบอกเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนิเนอะ” ว่าแล้วเลออสกับเมเทียก็ยิ้มให้กัน ทั้งคู่เดินไปหากุงซู และหยิบเก้าอี้มานั่งกับเขาด้วย
 
“ต่อจากนี้ไปพวกเราทุกคน แม้กระทั่งชื่อที่จะอยู่เอกสารยืนยันตัวตน จะใช้ชื่อจริง ๆ ของพวกเราทั้งหมด”
 
“ชื่อจริงหรือขอรับ?”
 
“ใช่แล้วละ จากนี้เจ้าจะต้องเรียกข้าว่า เลออส และเรียกป้าของเจ้าว่าเมเทีย เข้าใจใช่ไหม? ไม่มีท่านลุงและท่านป้านำหน้าแล้ว”
 
คำพูดของเลออสทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา เพราะเขาก็เรียกท่านลุง ท่านป้ามาตั้งแต่ต้น การที่อยู่ ๆ จะให้เปลี่ยนเป็นไปเรียกชื่อเฉย ๆ จึงสร้างความไม่คุ้นชินและอึดอัดใจ
 
“เอ่อ...แต่ว่า”
 
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นแหละ ในที่สุดแล้ว เจ้าก็จะกลับไปอยู่ในฐานะที่ถูกต้องของเจ้าสักวัน ดังนั้นฐานะของพวกเราจะเป็นแค่เจ้านายและผู้ติดตาม เพราะพวกข้ารับใช้พ่อแม่เจ้ามาก่อน และพ่อของเจ้าก็มอบหมายให้พวกข้าต้องดูแลเจ้า ในฐานะนายน้อยแห่งตระกูลซาจิทารัส เพราะฉะนั้นฝึกเรียกแบบนั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ถูกแล้ว จะได้ชิน” คำอธิบายอันยาวเหยียดของเมเทียทำเอาเด็กหนุ่มเงียบไป
 
“เข้าใจแล้วขอรับ...แต่ข้าขอเรียกพวกท่านอย่างเดิมไปก่อนได้ไหมขอรับ อย่างน้อยก็ก่อนที่จะออกจากโชซอนก็ได้” เลออสถอนหายใจออกมาและยิ้มให้เขาทีนึง
 
“ได้สิ แต่หลังจากนี้พวกเราต้องพูดภาษาบริเตนกันนะ ไม่พูดภาษาโชซอนแล้วนะ” เลออสพูดคุยกับเขาเป็นภาษาบริเตนทันที นั้นก็ทำเอาเด็กหนุ่มปรับตัวแทบไม่ทัน
 
“ขอ...เอ่อ ครับผมเข้าใจแล้ว” เห็นทีต่อจากนี้คงต้องใช้ภาษาบริเตนพูดกับเลออสและเมเทียทุกวันเสียแล้วกระมัง
 
“ดีมาก เออ! คุยกันตั้งนาน ลืมไปสนิทเลย ชื่อที่พ่อแม่เธอตั้งให้อยู่ไหนน้า...” ชายวัยกลางเริ่มค้นตามกระเป๋ากางเกงของตนทางซ้ายทีทางขวาที หวังว่ามันคงจะไปหายไปไหนนะอุตส่าห์เขียนเก็บเอาไว้จะได้ไม่ลืม เขาค้นอยู่สักซักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็หยิบกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งออกมา
 
“เปิดดูสิ แม้ว่าสภาพของมันจะยับยู่ยี่ไปหน่อยน่ะนะ”
 
เด็กหนุ่มคลี่กระดาษแผ่นนั้นออก เขาก็พบว่าน้ำหมึกในกระดาษแผ่นนั้นมันเลอะ เนื่องจากมาจากวันนี้ทั้งวัน พวกเขาฝ่าอุปสรรคมาเยอะ มันอาจจะเปียกเหงื่อไปบ้าง แต่ก็ยังพออ่านออกว่าชื่อที่เขียนในนั้นคือชื่ออะไร
 
“อา...เชอร์... อาเชอร์?” เด็กหนุ่มอ่านชื่อของตนเองออกมา และมองไปยังเลออสและเมเทีย
 
“ใช่แล้วละ ต่อจากนี้ไป เธอคืออาเชอร์ นายน้อยแห่งตระกูลซาจิทารัส ทายาทของอารอน ซาจิทารัสและเอลิน่า ซาจิทารัส” อาเชอร์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกันเมื่อได้ยินชื่อของพ่อและแม่ของเขาจากปากของเมเทียเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่ดี และเขาก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่เคยขาดหายไปกลับมาเชื่อมต่อกันอีกครั้ง
 
อาเชอร์เหรอ? เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ และเขาว่าเขาก็ชอบชื่อที่พ่อแม่เขาตั้งให้นะ
 
“ผมว่า...ผมชอบชื่อนี้นะ”
 
“พ่อแม่ของเธอต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เธอชอบชื่อนี้อาเชอร์” เมเทียพูดไปก็อดคิดถึงผู้เป็นพ่อและแม่ของอาเชอร์ไม่ได้ เธอยังคงตอนที่ท่านหญิงตั้งท้องได้ดี สีหน้าของนายหญิงเอลิน่านั้นดูมีความสุขมาก และนายท่านอารอนเองก็ดูท่าทางตื่นเต้นสุด ๆ มันคงจะดีไม่น้อยถ้าพวกเขาได้เห็นนายน้อยอาเชอร์ผู้นี้ เติบใหญ่มาจนถึงตอนนี้
 
“เอาละ วันนี้พวกเราพักกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันละกัน” เลออสที่ทำท่าจะไปนอนที่โซฟาก็ถูกเมเทียตีไหล่แล้วจ้องเขม็ง เรื่องความสะอาดนี้เธอยอมไม่ได้จริงๆ นั้นจึงทำให้เลออสต้องเข้าไปอาบน้ำอย่างจำใจ
 
พวกเขาตัดสินใจแบ่งโซนห้องนอนกัน โดยที่เขาและท่าน...เอ่อ ลุงเลออสนอนที่โซฟาคนละตัวที่อยู่อีกฟากของห้อง และป้าเมเทียก็นอนที่เตียงนอน หลังจากที่พวกเขาชำระร่างกายเสร็จแล้ว ก็ประจำที่นอนตามที่ตกลงกันเอาไว้ และทั้งสามคนก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้คืนนี้ผ่านไปอย่างช้า ๆ จนกว่าเช้าวันใหม่จะมาเยือน
 
 
“อืม..ฉันว่าก่อนที่ทุกคนจะถ่ายรูปติดเอกสารกัน ทุกคนไปปรับเปลี่ยนโฉมกันก่อนดีไหมคะ?” มาดามอาโซมิในชุดกิโนโมลายซากูระกล่าวเสนอความคิดเห็นของเธอ
 
“เอ๋ ปรับเปลี่ยนโฉมเหรอครับ” อาเชอร์ที่กำลังหัดใช้มีดและซ้อมในการรับประทานอาหารเช้าพูดเข้ามา
 
“ใช่แล้วละพ่อหนุ่มน้อย ไหน ๆ ก็ต้องทำเอกสารยืนยันตัวตนแล้ว เราเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวใหม่ก่อนที่จะเข้าลินโด้เป็นไง ตอนไปถึงที่นั่นจะได้ไม่เขิน” เธอกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะยกแก้วกาแฟของเธอมาดื่ม
 
“อืม...ผมเห็นด้วยนะครับ ยังไงคนที่ตามเราอยู่ยังไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของทุกคนไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เปลี่ยนโฉมให้หมดเลยก็ยิ่งดีครับ แถมพวกด่านตรวจจะได้เข้าใจด้วยว่าเราเป็นชาวตะวันตกที่มาท่องเที่ยวในโชซอนแทน” เดวิดสนับสนุนความคิดของมาดามอาโซมิ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะทำให้พวกคนที่คิดว่ากำลังตามล่าพวกเขาอยู่น่าจะตามกันลำบากขึ้น
 
“ถ้าเป็นร้านปรับเปลี่ยนโฉมล่ะก็ แถวนี้ละก็มีเยอะเลยล่ะค่ะ ตรงนี้เป็นใจกลางเมือง นอกจากร้านตัดผมแล้วยังมีร้านเสื้อผ้าด้วยนะคะ ลองเดินไปเรื่อย ๆ ดูก็ได้ค่ะ ถือซะว่าวันนี้เดินชมเมืองไปก็ได้ค่ะ”
 
“แต่ว่าพวกเราไม่เงินติดตัวมาเลยนะคะ”
 
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เดี๋ยวอึนฮีจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองค่ะ” ว่าแล้วอึนฮีที่ยืนข้าง ๆ ก็โค้งคำนับทุกคนและยิ้มให้เป็นอันว่าไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แต่อย่างใด
 
เมื่อแนะนำร้านตัดผมและร้านเสื้อผ้าที่หล่อนรู้จักคร่าว ๆ เสร็จ มาดามอาโซมิก็ลุกขึ้นและขอตัวไปทำธุระตนเองต่อ
 
“วันนี้ฉันคงต้องเข้าวังไปพบพระราชินีนานเลยละค่ะ กว่าจะได้กลับมาก็คงจะตอนเย็นพอดี”
 
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวพวกเราก็คงจะเดินตามแถว ๆ เองครับ” เมื่อเลออสกล่าวลาเสร็จ มาดามอาโซมิก็แยกตัวออกไป โดยไม่ลืมกำชับกับอึนฮีว่าให้ดูแลแขกพิเศษของเธอด้วย
 
“ว่าแต่เราจะเริ่มไปกันที่ไหนดี?” เมเทียเอ่ยถามออกมา เพราะตอนที่ทั้งคู่แอบพาอาเชอร์เข้าฮันยางมาก็ปาไปสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว เมืองฮันยางเองก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เธอจำได้อีกด้วย
 
“ถ้าเช่นนั้น ทุกท่านลองไปแถวย่านทางตะวันตกของโรงแรมไหมเจ้าคะ ย่านนั้นเป็นแหล่งรวมของต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงของจากตะวัตก และร้านที่ทุกท่านกำลังตามด้วย” อึนฮีผู้เป็นเจ้าถิ่นในเมือง ฮันยางแนะนำย่านต่าง ๆ ของพวกเมืองฮันยาง ที่สำคัญเธอยังแนะนำพวกเขาเป็นภาษาบริเตนได้อย่างคล่องแคล่ว นั้นแสดงให้เห็นว่าที่นี้คงจะมีแต่ชาวต่างชาติเข้ามาพักเป็นจำนวนมาก จึงทำให้พนักงานแทบ ทุกคนพูดภาษาบริเตนได้
 
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเราไปเริ่มต้นที่จุดนั้นก็ได้นะครับ ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณอึนฮีแล้ว” สาวใช้คนสนิทของมาดามอาโซมิส่ายหัวเบา ๆ แก่เลออส ก่อนที่จะพูดว่าตนเองยินดีให้บริการพวกเขาเต็มที่
 
“มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ คนพิเศษของมาดามก็เท่ากับเป็นคนพิเศษของข้าน้อยด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
 
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะครับ นี้ก็น่าจะสายมากแล้ว” เดวิดบอกกล่าวเวลาแก่ทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากโรงแรมไปยังจุดหมายปลายทาง
 
ย่านตะวันตกถัดจากโรงแรมนั้นเป็นย่านที่ผู้คนพลุกพล่านมาก ตลอดเส้นทางของถนนสายนี้เต็มไปด้วยร้านค้าที่ดูดีมีระดับ และพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงลอยขายของเรียกลูกค้ากันอย่างคึกคักกันตลอดสาย
 
“โห เยอะแบบนี้เราจะไปที่ไหนก่อนดีละ?” เมเทียไม่ค่อยชอบที่ ๆ คนเยอะแบบนี้เท่าไหร่นักเพราะเธอไม่ชอบไอร้อนที่ออกมาจากตัวผู้คน เนื่องจากเธอเป็นนักเวทจึงทำให้การสัมผัสพลังจากตัวคนจึงง่ายกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ
 
“ถ้าเช่นนั้นเราไปที่ร้านแห่งนี้กันก่อนไหมเจ้าค่ะ ร้านที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการปรับเปลี่ยนรูปโฉมสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษมากเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
 
อึนฮีแนะนำร้านปรับเปลี่ยนโฉมที่ขึ้นชื่อของย่านนี้ เพราะร้านแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่เท่าไหร่ หลังจากนั้นทั้งหมดก็เข้ามาอยู่หน้าล็อบบี้ของร้านที่อึนฮีแนะนำ ไม่นานนักก็มีพนักงานต้อนรับออกมาทักทายพวกเขา
 
“ออโซ อูเซโย (ยินดีตีอนรับ) อะ...อ้าว คุณอึนฮี” พนักงานต้อนรับผู้นั้นเอ่ยคนนำทัวร์ของพวกเขาอย่างแปลกใจ ดูถ้ามาดามอาโซมิและคนของนางน่าจะเป็นคนที่ค่อนขว้างพอสมควร พนักงานต้อนรับถึงรู้จักนาง
 
“อันยองนะ กาอิน” อึนฮีเอ่ยทักกาอินพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มตามฉบับของเธอ
 
“เอ๊ะ เมื่อวันก่อนคุณอึนฮีเพิ่งมาที่นี่เองนิคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
 
“อ่อ วันนี้ฉันไม่ได้มาใช้บริการหรอกนะ ทางนู้นตังหาก” เธอชี้ไปยังนักเวทหญิงที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ ทำให้กาอินเข้าใจได้ทันทีว่าลูกค้าวันนี้เป็นแขกของมาดามอาโซมิแน่ ๆ
 
แบบนี้คงจะต้องบริการขั้นวีไอพีกันหน่อยเสียแล้ว
 
“อันยอง เอ่อ...ฮัลโล่นะคะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าวันนี้คุณลูกค้ามารับบริการอะไรดีคะ?” เสียงแหลมๆ ของกาอินทำเอาเมเทียสะดุ้งไปเล็กน้อย ปกติหญิงชาวตะวันออก พวกนางมักจะเงียบๆ และไม่พูดไม่จา แต่ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วน่าจะตรงข้ามกับค่านิยมของสาวชาวโชซอนทุกอย่าง
 
“เอ่อ...คือ ฉันต้องการปรับโฉมตัวเองใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ”
 
“ถ้าอย่างนั้นคุณลูกค้าลองดูตัวอย่างปรับโฉมของเราก่อนก็ได้นะคะ” กาอินรีบเปิดภาพโฮโลแกรมขึ้นมาทันที โฮโลแกรมแสดงผลนั้นเผยภาพของนางแบบจำนวนมาก เท่าที่เมเทียลองเปิดดูผ่าน ๆ นับว่าสวยงามตามที่อึนฮีบอกเอาไว้จริง ๆ ว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียง เพราะนางแบบหลาย ๆ คนที่อยู่ในนั้นมีการปรับโฉมให้เข้ากันกับสายอาชีพของพวกนางด้วย เช่น นักแม่นปืน หรือพวกนักเวทแบบที่เธอเป็น แต่เมเทียรู้สึกว่า สไตล์ที่นำเสนอมานั้น ดูจะอ่อนกว่าวัยของเธอไปนิดหน่อย
 
“คือคุณกาอินคะ ฉันว่ามันน่าจะดูวัยรุ่นเกินไปสำหรับคนที่เลยวัยสามสิบห้ามาแล้วฉันน่ะค่ะ” เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าของร้านปรับโฉมจึงดำเนินกลยุทธ์การค้าขั้นต่อไปทันที
 
“เอ๋ คุณพี่เลยสามสิบห้ามาแล้วเหรอคะ นี้ถ้าไม่บอกกันนี้ น้องนึกว่าคุณพี่ยังไม่ถึงสามสิบเลยนะคะ” เอ่ยปากชมว่าอ่อนเยาว์กว่าวัย ทำให้ชายหนุ่มอีกสามคนที่ยืนดูปฏิกิริยาอยู่ห่าง ๆ ของเมเทียก็ได้มองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
 
ติดกับซะแล้วละ...
 
“เอ๋...ไม่ถึงสามสิบเหรอคะ?” เมเทียเริ่มรู้สึกหวั่นไหวไปกับคำชมนั้น และคุณกาอินก็ไม่เว้นช่องว่างให้เมเทียได้คิดอะไรต่อ
 
“ใช่แล้วค่ะคุณพี่ แม้คุณพี่จะบอกว่าเลยสามสิบห้ามาแล้ว แต่ริ้วรอยบนใบหน้ายังไม่ปรากฏให้เห็นเลยนะคะ หน้าตาดูอ่อนเยาว์แบบนี้ คุณพี่แต่งสู้สาว ๆ พวกนี้ได้สบายเลย น่าจะสวยกว่าด้วยซ้ำไปค่ะ”
 
“แหม...คุณน้องก็พูดเกินไปค่ะ พี่จะไปสู้สาว ๆ วัยรุ่นพวกนี้ได้ยังไงกันล่ะคะ!”
 
นับกันเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วเรียบร้อย แบบนี้ไม่ต้องเดาเหตุการณ์ได้เลยว่า เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไป
 
“ได้สิคะ รับรองว่าแซ่บแน่นอนค่ะ!”
 
เลออสกับอาเชอร์หันมาขำกันเล็กน้อย ชมต่อเนื่องกันแบบนี้ปลาฮุบเหยื่อเต็ม ๆ! ว่าแล้วคุณเธอคุยตกลงกันเรื่องปรับโฉมตามแบบที่เมเทียเลือกไปให้เสร็จสรรพ
 
“ของคุณพี่ น่าจะปรับเปลี่ยนโฉมเสร็จประมาณช่วงบ่ายนะคะ อ่าคุณอึนฮีคะ มีแค่คุณพี่คนสวยท่านเดียวใช่ไหมคะ”
 
“มีสุภาพบุรุษอีกสองท่านด้วย แต่ว่าดอกเตอร์สนใจด้วยหรือเปล่าคะ?”
 
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมว่าผมคงเอกลักษณ์นักผจญภัยแบบนี้ดีกว่า” เดวิดโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ฉะนั้นคุณกาอินที่เพิ่งส่งตัวเมเทียให้กับช่างปรับเปลี่ยนโฉม จึงเดินเข้ามาหาพวกเขาทันที วันนี้น่าจะเป็นโชคลาภของร้านปรับเปลี่ยนโฉมของเธอจริง ๆ ที่ได้ลูกค้าเป็นแขกของมาดามอาโซมิทั้งหมดเลย
 
“อ่า ไม่ทราบว่า คุณสุภาพบุรุษทั้งสองจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบไหนดีคะ” ว่าแล้วเธอก็เปิด โฮโลแกรมสำหรับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ผู้ชายให้เลออสและอาเชอร์ดู
 
เลออสนั้นดูรูปแป๊บเดียว ก็ตัดสินเอาภาพลักษณ์ที่สมกับเป็นนักรบให้ตัวเองทันที
 
“ว้าว คุณลูกค้าเลือกได้เหมาะสมกับตัวเองมาก ๆ เลยนะคะ”
 
“มันเป็นสไตล์ของผมนะครับ” เลออสยืดอกเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชมว่าเลือกได้เหมาะสมกับตนเอง
 
“ของลูกค้าจะไวกว่าคุณพี่เมื่อสักครู่นะคะ น่าจะแล้วเสร็จก่อนเที่ยงค่ะ” เมื่อเลือกรูปลักษณ์ได้แล้ว เลออสก็เดินตามช่างปรับเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง
 
ส่วนอาเชอร์ที่กำลังดูอยู่นั้นกำลังขมวดคิ้ว เพราะเขาไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับเขา
 
“อืม คุณลูกค้ายังเลือกไม่ได้เหรอคะ” กาอินที่เห็นว่าอาเชอร์หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน จึงเดินเข้ามาให้คำแนะนำแก่เขา
 
“ผมไม่เคยทำอะไรกับมันมาก่อนเลย ผมก็เลยไม่ทราบว่าแบบไหนถึงจะเหมาะกับผมจริง ๆ น่ะครับ” อาเชอร์ชี้ไปยังผมมัดจุกของตน เขาไม่เคยไปเปลี่ยนทรงอะไรเลยนอกจากทรงนี้จริง ๆ
 
“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ งั้นเดี๋ยวดิฉันช่วยดูให้นะคะ” กาอินทำการเลื่อนภาพโฮโลแกรม และพินิจพิจารณารูปหน้าของเด็กหนุ่ม ตอนนี้ในหัวของเธอกำลังคิดรูปลักษณ์ที่เหมาะสมกับเด็กหนุ่มตรงหน้านี้
 
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ดิฉันขอแนะนำคุณลูกค้าให้เป็นสไตล์แบบนี้เลยค่ะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปิดไปหน้าของนายแบบคนหนึ่ง ทรงผมของเขาเป็นผมสั้น และไถข้าง เจาะหูข้างหนึ่ง และแต่งตัวในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
 
“เสื้อผ้าแบบยีนน่ะค่ะ เพิ่งเข้ามาใหม่เลยนะคะ แถมตอนนี้เป็นที่นิยมของหมู่วัยรุ่นในฮันยางด้วย” ด้วยกางเกงขาด ๆ แบบนั้นน่ะนะ นี้คนที่จัดสไตล์แบบนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากขอทานหรือยังไงกันนะ
 
“เอ่อ...แบบนี้จะเหมาะกับผมจริง ๆ เหรอครับ?”
 
“ใช่ค่ะ ดิฉันยังคงยืนยันนะคะ ว่าถ้าคุณลูกค้าแต่งตัวออกมาสไตล์นี้ สาว ๆ ในเมืองต้องกรี๊ดแน่นอนค่ะ” อาเชอร์ยังคงรู้สึกแปลกชอบกลที่ตนเองจะแต่งตัวตามนายแบบในภาพนี้
 
“การลองอะไรใหม่ ๆ ที่ต่างจากเดิม บางทีเราอาจจะเจอสิ่งที่ใช่ก็ได้นะคะ” กาอินลองกระตุ้นเด็กหนุ่มไปอีกรอบ คราวนี้อาเชอร์จึงตัดสินใจบอกตกลงกับเธอ
 
“งั้น...ตกลงครับ เอาแบบนี้เลย”
 
ใช่แล้วละ บางทีเราต้องลองอะไรใหม่ ๆ บ้างเพื่ออาจจะเจอในสิ่งที่ใช่ก็ได้
 
ตอนนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปตามช่างของตัวเองแล้ว อาเชอร์เองก็กำลังเดินตามช่างมาเหมือนกัน ช่างตัดผมพาเขามายังที่นั่งที่เรียงรายไปด้วยคนที่มาใช้บริการที่นี่ ส่วนใหญ่ที่เขาเห็นเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาทั้งนั้นเลย แถมยังมีทั้งชาวโชซอนและชาวต่างชาติอีกด้วย
 
“เชิญทางนี้เลยครับ” ช่างตัดผมของเขา ผายมือเชิญให้เขานั่งประจำที่ จากนั้นช่างตัดผมผู้นี้ก็คลุมผ้ากันเศษผมให้เขา และเริ่มลงมือตัดผมทันที
 
เชือกที่มัดผมจุกของเขาถูกกรรไกรตัดขาดทันทีที่มีเสียงดังกริ๊บขึ้นมา ผมยาวสีดำของเขาก็คลายตัวลงมาทันทีเพราะไม่มีอะไรไปขวางพวกมันแล้ว
 
ช่างตัดผมผู้นี้ค่อย ๆ ใช้กรรไกรตัดผม ตัดส่วนที่ยาวเกินออกไปก่อน พอผมสั้นไปประมาณหนึ่ง เขาก็เปลี่ยนจากกรรไกรมาเปลี่ยนเครื่องมือบางอย่างที่มีเสียงดังหึ่ง ๆ
 
“เอ่อ นั้นมันคืออะไรน่ะครับ?” อาเชอร์ตัดสินใจถามช่างตัดผม เพราะเสียงของมันทำให้เขาหวาดหวั่นนิด ๆ
 
“อ๋อ แบตตาเลี่ยนตัดผมนะครับ ไม่ต้องกังวลนะครับมันไม่ตัดหูของคุณลูกค้าแน่นอนครับ” ได้ยินแบบนั้นเขาก็ค่อยสบายใจหน่อย อืม!
 
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ” เสียงของช่างตัดผมบอกแก่อาเชอร์ ทุกครั้งที่แบตตาเลี่ยนนั้นโดนหัวเขาทีไร เขาก็อดเกร็งขึ้นมาไม่ได้ทุกที แต่พอนาน ๆ เข้า เขาก็เริ่มปรับตัวได้
 
“เดี๋ยวคุณลูกค้าไปล้างเศษผมตรงนั้นก่อน แล้วกลับมาหาผมอีกครั้งนะครับ” อาเชอร์ทำตามที่ช่างตัดผมบอก เขาเดินมาตรงที่เตียงสำหรับสระผม อาเชอร์เกือบจะหลับไปจริง ๆ ตอนที่พนักงานสระผมมีบริการนวดหัวให้เขาด้วย ให้ตายสิ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ
 
พอสระผมเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาที่เดิม ตอนนี้ช่างที่ตัดตัดผมให้เขาหยิบอุปกรณ์ที่ดูคล้าย ๆ ปืนในความคิดของเขาน่ะนะ (เห็นช่างตัดผมคนนั้นบอกว่ามันคือไดร์เป่าผมเพื่อให้ผมแห้งไวขึ้น)
 
เสียงของดังของมันไม่ได้ทำให้อาเชอร์รู้สึกตกใจอีกแล้ว เขาน่าจะเริ่มชินกับอุปกรณ์พวกนี้ไปเสียแล้วละ เพราะเขาไม่สะดุ้งตกใจกับเสียงอุปกรณ์พวกนี้แล้วแหละ พอเป่าผมจนแห้งเสร็จ ช่างตัดผมคนนั้นก็หยิบกระปุกเล็ก ๆ มาอันหนึ่ง เขาเปิดฝากระปุกนั้นก่อนที่จะควักของเหลวที่อยู่ในนั้นออกมาพอประมาณและถูมือจนเนื้อของเหลวนั้นชโลมไปทั่วมือ จากนั้นเขาก็มือของเขามาปาดผมของอาเชอร์ ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก อาเชอร์ก็เห็นตัวเองกับทรงผมใหม่ของเขาในกระจกด้านหน้าของเขา
 
เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจริง ๆ ด้วยแฮะ...
 
อาเชอร์ดูตัวหน้าในกระจกนั้น ผมสีดำขลับของเขาบัดนี้ถูกตัดให้สั้นลง และถูกจัดทรงตามแบบอย่างที่คุณกาอินเลือกรูปแบบทรงให้เขา ตอนแรกเขาค่อนข้างกังวลว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ ทว่าผลที่ออกมานับว่าเป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างพึงพอใจทีเดียว แถมทรงตัดสั้นแบบนี้ยังเข้ากันกับแผลเป็นที่อยู่บนคิ้วของเขาอีก
 
ต้องนับว่าสายตาของเจ้าของร้านแห่งนี้นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ที่เสริมสิ่งที่เขาคิดเป็นจุดด้อยของตัวเองมาตลอดให้กลายเป็นจุดเด่นบนใบหน้าของเขาได้
 
“โอเครึเปล่าครับคุณลูกค้า” เสียงของช่างตัดผมเรียกสติของอาเชอร์ให้กลับมาเหตุการณ์ตรงหน้านี้อีกครั้ง อาเชอร์กล่าวกับช่างตัดผมว่าเขาโอเคมาก ๆ กับผลงานที่ออกมานั้นทำให้ช่างตัดผมยิ้มแทบแก้มจะปริ
 
“เดี๋ยวคุณลูกค้าออกจากห้องไปแล้วเลี้ยวซ้ายนะครับ ห้องที่ใช้ปรับเปลี่ยนโฉมจะอยู่ทางนั้น” อาเชอร์กล่าวขอบคุณช่างตัดผมอีกครั้ง ก่อนที่จะไปตามทางที่ช่างตัดผมผู้นั้นบอก ระหว่างเขาแอบเห็น เมเทียนอกจากการปรับเปลี่ยนโฉมแล้ว ยังทำสปาผิว สปาหน้า อีกบริการเสริมความงามอีกหลายบริการด้วย
 
ซึ่งแน่นอนว่า ถูกใจท่านป้าของเขาแน่ ๆ ละ!
 
อาเชอร์เดินไปถึงที่ห้องสำหรับปรับเปลี่ยนโฉมจนได้ ในห้องนี้เหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เพราะห้องนี้มันเต็มไปด้วยเสื้อผ้านับพันชุดน่ะสิ! แม่เจ้า อะไรจะเยอะขนาดนั้น
 
“เชิญทางนี้ได้เลยครับคุณลูกค้า” คราวนี้พนักงานโซนเสื้อผ้ามาเชิญเขาให้ไปที่ห้องลองชุด ซึ่งห้องลองชุดของที่นี่จะแบ่งเป็นล็อก ๆ เรียงรายกันเป็นแถวยาว
 
เด็กหนุ่มเดินตามจนมาถึงห้องลองชุดของเขา ในห้องลองชุดนั้นไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก เพราะในห้องมีเพียงกระจกและมีความกว้างสำหรับคนเดียวในนั้น
 
“ของคุณลูกค้าเลือกรูปแบบแบบนี้ใช่ไหมครับ?” พนักงานคนนั้นเปิดโฮโลแกรมขึ้นมา เป็นรูปของนายแบบคนเดิมที่เขาเห็นในโฮโลแกรมที่คุณกาอินเคยให้เขาดูนั่นแหละ
 
“ครับ แบบนี้ครับ” อาเชอร์ยืนยันคำตอบของตัวเอง พนักงานผู้นั้นพยักหน้ารับทราบก่อนที่จะกดปุ่มที่เขียนว่า ตกลง ในโฮโลแกรมนั้น แล้วชุดที่เขาเลือกเอาไว้ก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าเขาทันที
 
“คุณลูกค้าลองสวมชุดดูก่อนนะครับว่าขนาดตัวพอดีกับเสื้อผ้าหรือเปล่า ไม่พอดียังไง เดี๋ยวทางเราปรับขนาดเสื้อผ้าให้นะครับ”
 
“ได้ครับ”
 
“ถ้าอย่างนั้นผมจะรออยู่ด้านนอกนะครับ ถ้ามีอะไรให้ความช่วยเหลือเรียกผมได้เลยนะครับ” ว่าแล้วพนักงานคนนั้นก็ปิดประตูให้เด็กหนุ่มและรออยู่ด้านนอก
 
อาเชอร์ถอดเสื้อผ้าชุดเก่าของตัวเองออก แล้วหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มา ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องสวมเสื้อผ้าพวกนี้ยังไง เลยมองดูโฮโลแกรมที่เป็นภาพของนายแบบที่สวมใส่ชุดอยู่ เขาใช้ความเชื่อมโยงระหว่างรูปในโฮโลแกรมกับรูปแบบของเสื้อผ้าชุดใหม่นี้ แม้จะทุลักทุเลไปนิด แต่โชคดีที่เขาก็สามารถสวมใส่เสื้อผ้าชุดนี้ได้โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสินค้าแต่อย่างใด
 
ตอนนี้เขาสวมเสื้อสีขาว ตรงเสื้อกลางเป็นลวดลายแปลก ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คาดว่าน่าจะเป็นลายที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาตอนนี้นิยมกันละมั้ง ส่วนท่อนล่างตอนนี้เขาใส่กางเกงที่คุณกาอินเรียกเป็นผ้ายีน กางเกงยีนของเขาชิ้นนี้เป็นสีเข้ม มันถูกทำให้ทำขาดเป็นบางจุด เขาไม่แน่ใจว่ามันรัดรูปเกินไปหรือเปล่า เพราะมันทำให้เห็นรูปขาของเขาชัดเจน แต่ถ้าดูจากรูปในโฮโลแกรมและข้อมูลที่เขียนในนั้นว่าเป็นกางเกงแบบสกินนี่
 
สกินนี่ก็คือแนบเนื้อสินะ อ่า...รู้สึกแปลก ๆ จังแฮะ...
 
อาเชอร์รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อยที่จะต้องมาใส่กางเกงรัดรูปเช่นนี้ เพราะทุกทีที่ผ่านมา กางเกงที่เขาใส่มันเป็นกางเกงที่ไม่ได้รัดรูปขนาดนี้
 
อาเชอร์เพิ่งสังเกตว่ามันมีกระเป๋าตามแบบในรูปมาให้เขาด้วย มันคือกระเป๋าคือกระเป๋าคาดอกนั้นเอง ตัวกระเป๋าเป็นวัสดุสีดำ ตรงเอ่อ อะไรนะเหมือนเขาจะลืมคำศัพท์ของมัน
 
อ่อ! ซิป ใช่ ๆ มันเรียกว่าซิป
 
ซิปและสายสะพายของกระเป๋านี้เป็นสีน้ำเงิน อืม ช่างเป็นสีที่เข้ากันกับดวงตาของเขาจังเลย
 
อาเชอร์หยิบกระเป๋านั้นมาคาดไว้ที่หน้าอกตามรูป และหยิบเสื้อคลุมที่เป็นผ้ายีนส์มาสวมทับอีกที ในตอนนี้เขาดูเป็นคนใหม่มาก ๆ ลืมกุงซูผู้เติบโตมาในหมู่บ้านเล็ก ๆ คนเก่าไปได้เลย เพราะตอนนี้อาเชอร์คนคูลยืนอยู่ตรงแล้ว!
 
ว่าแล้วอาเชอร์ก็ขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่ยืนเก๊กหน้าเข้มหน้ากระจกแบบนี้ ไม่น่าเชื่อเลยการเปลี่ยนโฉมครั้งนี้มันจะทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไปด้วย
 
“เสื้อผ้าขนาดพอดีกับตัวไหมครับ?” เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบแก่พนักงานคนเดิมที่ยืนอยู่หน้าห้อง “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเชิญคุณลูกค้าไปที่ห้องถัดไปได้เลยครับผม” พนักงานคนเดิมก็นำอาเชอร์มายังห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเปลี่ยนโฉมของเขา
 
“เอ๊ะ นี้เรากำลังจะทำอะไรเหรอครับ?” อาเชอร์ถามพนักงานทันทีที่เขาเห็นอุปกรณ์ที่ดูคล้าย ๆ ปืนอีกแล้ว
 
“อ๋อ เจาะหูน่ะครับ”
 
“หา! เจาะหูเหรอครับ”
 
“ตามรูปแบบที่คุณลูกค้าเลือกเอาไว้เลยครับผม” พูดเสร็จพนักงานคนนั้นก็เปิดโฮโลแกรมขึ้นมาให้อาเชอร์ดูอีกครั้ง คราวนี้เขาเพิ่งจะสังเกตว่านายแบบคนนั้นใส่ต่างหูสีดำแบบที่วัยรุ่นในเมืองใส่กันด้วย
 
“อ๋อ...เอ่อ ครับพอดีผมไม่เคยทำมาก่อนน่ะครับ แหะ ๆ”
 
“หรือว่าถ้าคุณลูกค้าไม่สะดวก คุณลูกค้าจะไม่เจาะหูก็ได้นะครับผม”
 
อาเชอร์ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่คำพูดของคุณกาอินจะดังขึ้นในหัวของเขาว่าบางครั้งเราต้องลองทำอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง
 
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน!
 
“จัดมาเลยครับ” อาเชอร์ลองพูดศัพท์สแลงที่เขาแอบได้ยินตอนที่ลองเสื้อกับพนักงานไป บางทีเขาคงต้องเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ อย่างที่ว่าจริง ๆ
 
“งั้นคุณลูกค้าลองเลือกดูนะครับว่าจะเอาต่างหูแบบไหน” พนักงานคนนั้นทำการเปิดโฮโลแกรมต่างหูให้เขาเลือก เด็กหนุ่มรู้สะดุดตากับต่างหูชิ้นหนึ่งที่ห้อยสามเหลี่ยมกลับหัว มันทำให้เขานึกหัวลูกธนู แล้วน่าจะบ่งบอกความเป็นตัวเขาว่าเป็นนักธนูได้ดีที่สุด
 
“เอาอันนี้ครับ” เขาชี้ไปยังต่างหูที่เขาต้องการ พนักงานกดปุ่มตกลงในนั้น และต่างหูที่เขาต้องการก็ปรากฏขึ้นมา
 
“เจาะข้างไหนดีครับ?”
 
“ตามนายแบบคนนี้เลยก็ได้ครับ” อาเชอร์เลือกที่จะเจาะหูด้านขวาเฉกเช่นนายแบบในโฮโลแกรม
 
“หายใจเข้าลึก ๆ นะครับ” พนักงานคนนั้นเอาอุปกรณ์เจาะหูที่เหมือนปืนมาจ่อที่ติ่งหูด้านขวาของเขา ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวอะไร พนักงานคนนั้นก็เหนี่ยวไกอุปกรณ์เจาะหู
 
อาเชอร์ไม่รู้ว่าเขาร้องออกไปดังแค่ไหน แต่รู้ ๆ คือพนักงานคนนั้นถึงกับสะดุ้งไปและคนอื่น ๆ ในห้องนั้นก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว ราวกับว่าจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้นเสียแล้ว
 
 
to be continued...............

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา