ยอดคนแดนนรก

-

เขียนโดย Echang

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.26 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,699 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2563 05.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) 6 ข้ากลับมาแล้วนะชนชาวโลก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

6 ข้ากลับมาแล้วนะชนชาวโลก
    ในอวกาศนอกโลกท่ามกลางหมู่ดาวและความมืดมิด                                                                                                                                               ลำแสงสายหนึ่งพุ่งวาบผ่านเข้ามาในซีกโลกที่อยู่ในความ
มืด แลดูคล้ายดาวตกดวงหนึ่งลากเส้นแสงยาวเหยียด
ลงมาถึงพื้นดินในบัดดล ดูเหมือนจะกระแทกลงใส่พื้นดิน
แต่มันกลับหยุดชะงักกับที่ได้อย่างแปลกประหลาด จากการเคลื่อนไหวกลายเป็นหยุดนิ่ง ไม่มีผลกระทบ
ต่อสภาพแวดล้อมแม้แต่น้อย
      เงาร่างในความมืดเป็นหนุ่มน้อยนักศึกษาใบหน้า
ปรากฏรอยยิ้ม ชวนสนิทสนมด้วย   รำพึงขึ้นมาเบาๆ   

         "พวกเจ้าคิดถึงฆ่ากันบ้างหรือไม่"

        ที่ซึ่งมันยืนอยู่เป็นไร่นาของ การเพาะปลูกต้นข้าว ไม่ได้กว้างขวางมากนัก   มองไปเห็นกระท่อมน้อย มี
แสงตะเกียงซีดจาง ส่องลอดออกมาจากทางหน้าต่าง
      ตั้งแต่การที่อยู่ในขุมนรกเป็นเวลานาน จึงทำให้อีชาง
ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติไป  ยิ่งเมื่อได้สำเร็จยอดวิชา

           (กำเนิดจากความว่างเปล่า)

ซึ่งมีกระบวนการบางส่วนเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของ
มวลหมู่สิ่งมีชีวิต ทำให้อีชางเกิดวามรู้แจ้งว่า  ไม่สำคัญที่
คนเราจะรู้สึก  สนุกสนาน  มีรสชาติในชีวิตหรือไม่
โดยเนื้อแท้แล้ว  การกำเนิดเกิดมาไม่ได้มีจุดประสงค์ให้
ให้รับรู้รสชาติของชีวิต แต่เป็นเพียงมาชดใช้กรรมเก่า
ของตัวเองก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องขวนขวายอะไรในชีวิต
สงคราม ความยากดีมีจน   กิเลสทั้งหลายเป็นเพียง
ความหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น จริงๆสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง
มีเพียงเส้นทางของ การเกิดดับตามชะตากรรมเท่านั้น
ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้
     แต่ต่อให้มันเข้าใจเรื่องเหล่านี้  แต่อีชางก็รู้ตัวเองดีว่า มันยังคงมีกิเลสอยู่ในใจอยากได้อยากมีอยู่ดี แม้จะรู้ว่า
ไม่ได้มีสาระอะไรแต่ก็คิดว่า สนองตัณหากิเลสในใจก็ง่ายกว่า
การเก็บกดกิเลสตัณหามากนัก
     ดังนั้นในใจมันขณะนี้จึงมีแต่ความคิดที่ว่าอยากทำอะไร
ก็ทำเท่านั้นเอง
       ห่างหายจากโลกหมุษย์ไปนานได้สัมผัส อากาศเย็นฉ่ำ
ของตอนกลางคืน เสียงซู่ซ่าไหวเอน ของต้นข้าวที่ถูกลมพัดผ่าน แหงนหน้ามองเห็นดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ ใจของอีชางเบิกบานขึ้นมา
      โดยไม่ต้องเพ่งสมาธิ พลังความคิดของมันสามารถรับรู้
ทุกสิ่งทุกอย่าง ในรัศมีหลายพันลี้ได้เอง ภาพล้วนปรากฏ
อยู่ในใจของมัน
       ในกระท่อมน้อยมีตาเฒ่ากับหลานสาวกำลังนอนหลับ
อยู่ในห้องนอนด้านหลัง ส่วนหน้าของกระท่อมมีโต๊ะ เก้าอี้หยาบๆ
ตั้งอยู่  บริเวณหน้าบ้านเลี้ยงไก่อยู่ 4-5 ตัว กำลังหลับอยู่เช่นกัน มีรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบบ้าน
       อีชางเดิน  เรื่อยๆ ช้าๆ  จนถึงหน้ารั้วไม้ไผ่  ก่อนจะเหลือบ
มองดอกไม้สีม่วงขาว ข้างประตูรั้ว มันเด็ดดอกไม้สีม่วงขึ้นมา
ดมอยู่สักครู่ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆว่า

        "ท่านลุง มีใครอยู่บ้างไหม"

     อีชางแกล้งถามทั้งๆที่ มันรู้อยู่แล้วว่ามีตาเฒ่านอนอยู่
ในบ้าน  เสียงของมันไม่ได้ดังกังวาน แต่คลื่นพลังของเสียง
ยังคงผนึกเป็นลำทะลวงเข้าไปในรูหูของตาเฒ่าอย่างรุนแรง
      ชายชรากำลังนอนฝันเคี้ยวขี้ฟันตัวเองอยู่หยับๆ
พลันแหกปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในรูหูพลุ่งขึ้นไป
ในสมอง ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างลนลานดุจแมวน้อย
โดนกระทืบหาง

        "เกิดอะไรขึ้น  เกิดอะไร!"

  ชายชรา ตะโกนออกมาด้วยดวงตาที่เหลือกลาน
      อีชางนึกไม่ถึงว่าตาเฒ่าจะเปราะบางเช่นนี้ จากการพูดอย่าง
ธรรมดาของมัน กลับแทบจะฆ่าตาเฒ่านี้เสียแล้ว
        
          "โอ้......คงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักนิด"
      
     อีชางสูดลมหายใจลึกๆ ควบรวมพลังงานทั้งหมด
ของมันเข้าสู่จุดศูนย์ใต้สะดือ ซึ่งก็คือจุดตันเถียนที่ผู้ฝึกยุทธใช้
เก็บกักลมปราณ

         "ข้าอยู่นี่ท่านลุง ข้าหลงทางมาจากในป่า"

         แม้กระทั่งจะเก็บกักพลังงานของตนไว้แล้วก็ตาม แต่ด้วย ร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากยอดวิชา (ก่อกำเนิดจากความว่างเปล่า)
นั้นมีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก  เสียงสดใสของมันก็ยังคง
หนักแน่นเปี่ยมพลังอำนาจ      
        ชายชราใจสะท้านหวั่นไหว
        
      "นี่เป็นผู้ฝึกวิชากำลังภายนอกที่ฝึกฝนร่างกายจน
เข้าสู่ขั้น (สังขารวชิระ)ทีเดียว"

       สังขารวชิระ เป็นความสำเร็จ ของการฝึกฝนกายาชนิดหนึ่ง ที่เมื่อฝึกได้ถึงขั้นสุดยอด จะอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ร้อนหนาวยากกล้ำกลาย เสียงของผู้ฝึกวิชานี้ จะแข็งแกร่งทรง พลังเป็นที่สุด
      ชายชราผู้นี้  อย่าเห็นว่ามันแก่ชรา  จนฟันฟางร่วงจะหมดปาก ห่อหุ้มร่างกายอันเหี่ยวแห้งของมัน  ด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดดั่งผ้าขี้ริ้ว แต่แท้ที่จริงแล้วมัน  คือสุดยอดฝีมือคนหนึ่งทีเดียว
      รอจนสายตาของผู้เฒ่าที่เปิดประตูกระท่อมซ่อมซ่อออกมา เห็นชายหนุ่มที่ยืนอยูริมประตูรั้ว  แม้เป็นค่ำคืนอันมืดมิด  อาศัยแสง ดาวและตะเกียงในบ้านที่ส่องสว่างออกมาเล็กน้อย   แต่ด้วย สายตาอันคมกล้าของยอดฝีมือระดับตำนานอย่างชายชรา ยังมองเห็นอีชางได้อย่างชัดเจนไม่ต่างจากกลางวัน
          "นี่มันนับเป็นมังกรในมวลหมู่มนุษย์โดยแท้  ด้วยร่างกายที่
ดูสะโอดสะอง  อมโรคของมัน  กลับซุกซ่อนพลังอันยิ่งใหญ่ไว้ข้างใน"

      ดวงตาฝ้าฟางของชายชรา  ทอประกายคมกริบดั่ง
เหยี่ยวร้ายออกมา  อ้าปากคิดจะกล่าวคำออกมา  แต่โดนแทรกด้วยเสียง

         "ข้าชื่ออีชาง  ศึกษาท่องเที่ยวออกหาประสบการณ์ทางภายนอก บ้านอยู่ทางหลังเขาโน่นแน่ะ ท่านลุง ข้าหลงทางออกมาจาก ที่นั้น"

      อีชางโกหกตอแหลอย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งชี้นิ้วไปทางด้านหลัง
อย่างส่งเดช
       ผู้เฒ่าแค่นเสียงในใจ

         "หลังเขานั้น  เป็นป่าดงดิบรกทึบ  มีสิงสาราสัตว์ที่น่ากลัว
มากมาย นักศึกษาบัดซบนี้คิดว่า  ข้าเป็นปัญญาอ่อนหรือยังไง ใจคิดอย่างหนึ่ง  แต่ปากกลับกล่าววาจา

         "เชิญเข้าๆ   หนุ่มน้อยท่านคงจะเหนื่อยล้ามากแล้วเชิญ
เข้ามาข้างในก่อน"

      ชายชรากล่าวพลางเดินออกไปที่ลานบ้าน พร้อมทั้งกำหมัดหลวมๆ อาศัยจังหวะที่เดินแกว่งแขนสะบัดมือ  ไปทางอีชางที่ยืนยิ้มแย้ม
อยู่นอกประตูรั้วไม้ไผ่
      พลังลับขุมหนึ่ง  ทะลักออกจากหมัดของชายชรา กระแทกผาง
เข้ายังบุรุษหนุ่ม  อย่างไร้สุ่มเสียง
      อีชางเพึ่งผลักประตูรั้วบ้าน  เดินไปหาชายชรา รับรู้ถึงสิ่งที่
ชายชรากระทำได้เป็นอย่างดี
      กำลังภายในที่พุ่งเข้ามาหามันนั้น  เป็นพลังประเภทหยุ่นเหนียว โถมทับประดุจ  คลื่นน้ำที่กดดัน  แรงขึ้นแรงขึ้น
      สำหรับยอดมนุษย์เฉกเช่นอีชาง  พลังทำลายล้างนี้เปรียบประดุจลม เย็นอ้นเฉื่อยฉิวเท่านั้น
       แต่เพื่อตอบสนองต่อเจตนาอันชั่วร้ายของอีกฝ่าย  มันย้งแสร้ง
ทำเป็นร่าง  ถูกดันปลิวกระเด็นไปทางด้านหลัง  ชนประตูรั้วไม้
จนหักกระเด็น ออกไปดุจว่าวขาดป่าน
      ชายชราเหม่อมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างงงงัน

         "หรือข้าจะเข้าใจผิดไป"

      ในยุคปัจจุบันนี้  เป็นยุคที่บ้านเมืองสงบร่มเย็น  ไร้การ
ศึกสงคราม
       แต่ในส่วนของยุทธจักร  มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเกิดขึ้น
อยู่ตลอดเวลา เกิดการต่อสู้แก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์
ทรัพย์สมบัติ  และชื่อเสียงกันอยู่ตลอดเวลา  ฝ่ายธัมมะและอธรรม ต่างสะสมกำลังกันเพื่อชิงความได้เปรียบ  ฝ่ายหนึ่ง ชนะฝ่ายหนึ่งแพ้สลับกันไปเรื่อยมา
      ในส่วนของฝ่ายธรรมะมียอดฝีมือสูงสุด อยู่ 7 คน เป็นตำนานเล่าขาน เอกะฟ้ามีราชัน  พสุธามี 2 สุดยอด  บู๊ลิ้มกำเนิดมังกร 4 ตัว
       หนึ่งราชันนั้นหายสาบสูญไป 50 ปีแล้ว  สองสุดยอดยังคงอยู่ในวงนักเลง
      คนหนึ่ง  เป็นหัวหน้าพรรคอันยิ่งใหญ่  อีกผู้หนึ่ง เป็นผู้พเนจร  ถือขอบฟ้าเป็นหลังคา  พื้นดินเป็นตั่งเตียง
      มังกร 4 ตัว  เป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่เด่นล้ำที่สุดในยุทธภพ ชาย 3 หญิง 1   ในสีมังกร 2 มังกรเป็นทายาทสืบทอดวิชาของสองสุดยอด  ที่เหลืออีก 2 คนเป็นนักบู๊ของค่ายสำนักใหญ่ของบู๊ลิ้ม  คือวัดเสียวลิ้ม  และสำนักพรต
บู๊ตึง
      ชายชราผู้นี้คือเล่งฮู้พก  1ใน 2 สุดยอดที่พเนจรร่อนเร่ไปทั่ว
ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน คราวนี้ได้กลับมายังถิ่นกำเนิดเดิม
เพื่อเยี่ยมเยือนญาติมิตร  แต่กลับพบว่าได้เกิดภัยพิบัติ
ในที่แห่งนี้ผู้คนล้มหายตายจากมากมาย  เหลือเพียงหลาน สาวของสหายเก่าผู้หนึ่ง  ที่รอดอยู่ทั้งบาดเจ็บสาหัส จึงอยู่ช่วยดูแลหญิงสาวผู้นี้
      ประเดี๋ยวเดียว มันก็อยู่ที่นี่มา 1 ปีเต็ม ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะทั้ง 7 คนเป็น กำลังสำคัญที่ถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายอธรรมไว้ไม่ให้กำเริบเสิบสานมากจน
เกินไป
      ช่วงเวลานี้  เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายธรรมะมีกำลังกล้าแข็งกว่า
ฝ่ายอธรรมทำให้  เหล่าโจรร้าย  มือสังหาร  และผู้มีอิทธิพล  เรียกเก็บค่าคุ้มครองต่างๆ  จึงผ่านชีวิตกันได้ด้วยความยากลำบาก ดังนั้นจึงมีขบวนการใต้ดินที่คอยมาสืบเสาะความเป็นไปของยอดฝีมือ ซึ่งเป็นแกนนำของฝ่ายธรรมะอยู่เรื่อยๆ
      แสวงหาข้อมูลของ ยอดฝีมือเหล่านี้  หรือแม้กระทั่งพยายามแสวงหา  
จุดอ่อนของยอดฝีมือ เพื่อลงมือประทุษร้าย
      จนกระทั่งเริ่มมีเรื่อง ที่ฉายแววว่าจะทำเกิดมรสุมปั่นป่วนขึ้นมา เนื่องเพราะได้ปรากฏว่า  มีผู้ได้รับเบาะแส  ของขุมทรัพย์โบราณแห่งหนึ่ง  ในขุนเขาที่เต็มไปด้วยป่าทึบ  ซึ่งเป็นที่ที่อีชางได้ชี้นิ้วส่งเดชไปนั่นเอง
      ข่าวคราวมาจากพรานป่าที่เข้าไป  ล่าสัตว์  และหาเก็บสมุนไพร บังเอิญหลงทางอยู่ในป่าแห่งหนึ่งเป็นเวลานาน  เนื่องจากโดนสัตว์ร้าย  ไล่ล่าจนไปพบกับหุบเขา ที่มีซุ้มประตูที่ขวางทางช่องเขาที่จะเข้าไปยังหุบเขานี้  ซุ้มประตูนี้
สลักอักษร ตัวมหึมาไว้ว่า  "ตำหนักโลกันตร์"  พรานป่าผู้นี้เล่าว่า มันไม่สามารถผ่านประตูเข้าไปในตำหนักนั้นได้  เพราะหลัง ประตูเป็นวังวนพายุหมุนที่เกรี้ยวกราด  มีสายลมพัด  อย่างรุนแรง อะไรก็ตามที่ผ่านเข้าไปข้างใน  จะถูกบดทำลายเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นพรานป่าผู้นี้จึงได้พยายามหาทิศทางด้วยความลำบาก
ยากแค้นแสนสาหัส  จนในสุดกลับออกมาจากป่า  และหุบเขา  เข้าเมืองได้อีก  โดยใช้เวลาถึง 2 ปีกว่า  
      มันจึงได้กระจายข่าวนี้ออกไป  พร้อมกับจัดทำแผนที่ขึ้นมา  เพื่อจำหน่ายให้กับนักแสวงโชคทั้งหลาย
      คาดไม่ถึงว่าคำว่า  "ตำหนักโลกันตร์"
      จุดมุ่งหมายปลายทางของแผนที่ ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพ  โดยเฉพาะฝ่ายอธรรม ซึ่งมพรรคยิ่งใหญ่พรรคหนึ่ง  ชื่อว่าพรรคมังกรโลหิต  ฟังว่าประมุขพรรค  สืบเชื้อสายมาจากลัทธิบูชาปีศาจในอดีต กาลนาน นับร้อยๆปี  ในตำนานกล่าวว่า  ตำหนักโลกันคือ  ที่ตั้งของลัทธิบูชาปีศาจแห่งนี้
      ที่แห่งนี้ย่อมซุกซ่อนไว้ด้วยความลับที่ยิ่งใหญ่มหาศาล  รวมทั้งสมบัติ จำนวนมากมาย   ถ้ามีผู้ใดได้ครอบครอง  สามารถเป็นเจ้าโลกได้เลย
      ด้วยเหตุนี้ฝ่ายอธรรม  จึงได้เคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก  มีเหตุกระทบกระทั่งบ่อยคร้ง
      และเมื่อมีคนชั่วเหล่านี้มาอยู่ในที่เดียวกันมากขึ้น คดีต่างๆ  ทั้งปล้นชิง  ลักขโมย  ข่มขืน  ฆาตกรรม  ล้วนมีสถิติพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
      ดังนั้นเมื่ออีชางปล่อยพิรุธออกมาอย่างใหญ่โตเช่นนี้  ตาเฒ่า จึงได้ลงมือใส่ไปอย่างดุดันไม่รอช้า
      ร่างอีชาง  ที่ลอยละลิ่วไปไกลพลันตีลังกาสองตลบบิดเอว ลงมายืนกับพื้น อย่างสวยงาม

       "แหมๆ  ท่านลุง โทสะของท่านช่างใหญ่โตยิ่งนัก"

        เห็นบุรุษหนุ่มยืนอยู่ โดยไร้การบาดเจ็บเสียหายใดๆ  ชายชราร้องคำ  ร้ายกาจในใจ

                  "เห็นว่าเจ้ามีบุคลิกอันสง่างาม  คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นผู้มีฝีมือ  จึงได้ลงมือ  ล้อเล่นเจ้าไปก็เท่านั้น"

       อีชางหรี่ตาลง  มองดูชายชราตรงหน้า ที่ยืนทำหน้าซื่อ ไร้เดียงสา
       เรึ่อง ประเภทพูดอย่างใจอย่างอย่างนี้  มันคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
ตาเฒ่า   พูดจาเหมือนไม่ได้จริงจังอะไร ที่ไหนได้ลมปราณในร่างมันได้ผนึก
ขึ้นจนเต็มที่  เตรียมรับมือคู่ต่อสู้  เมื่อกี้มันลงมือไปก่อน  โดยถึงกับ ใช้พลัง  (โซยเทียนกังขี่)  ซึ่งเป็นลมปราณธาตุธรรมชาติ  ออกไปถึง 8 ส่วนโดยกะจะให้อีกฝ่ายตายคาที่เลย  แต่ไม่นึกว่า  ชายหนุ่มผู้นี้กลับไร้ซึ่งอันตรายใดๆ   ชายชรารีบพูดต่อไปว่า

         "ดูจากฝีมือของเจ้า  หรือจะเป็นหนึ่งในมังกร 4 ตัวของยุทธจักร  ในเมื่อ  3 คนที่เป็นบุรุษ  หนึ่งเป็นพระ   หนึ่งเป็นนักพรต  เหลืออีกหนึ่ง  หรือว่าเจ้าจะเป็นปวยเอ็ง  ฉายานางแอ่นเหิรบิน   แห่งพรรคสุริยันจันทรา  ศิษของ  มือประกาศิตจากสวรรค์  ที่เป็นประมุขพรรค
      อีชางแย้มยิ้ม  พลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมและกล่าว

         "ผู้อาวุโสรู้จักกับท่านอาจารย์ด้วยหรือนี่  ข้าช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ที่ได้มาบังเอิญพบ.........."

      อีชางชะงักคำพูดไว้กลางคัน  ชายชรากำลังเงี่ยหูฟังว่า บุรุษหนุ่มนี้ คือศิษย์ของอีกหนึ่งสุดยอดที่ได้รับขนานนามร่วมกับตัวเอง  นึกในใจว่า  ชิบหายแล้วไง
      ทันใดเสียงกึกก้องกราดเกรี้ยว ดังสนั่นขึ้นมาพร้อมกับ  การกระแทกมือที่ประสานกันไว้ของอีช้างออกไปข้างหน้า
      ที่แท้อีชางกำลังรอให้ตาเฒ่าชั่วร้ายเผลอตัวอยู่  เห็นชายชรากำลังรับฟัง สิ่งที่มันพูดยังไม่ทันจบอยู่  มีสีหน้าครุ่นคิดกังวล  จึงยิ้มแล้วกระแทกพลังภายใน  ในแนวทางแกร่งกร้าวออกไปอย่างดุดัน
 มวลพลังผนึกขึ้นเป็นเหมือนลำเสา  กระแทกฝ่าอากาศ  เกิดดังครืนครั่น เข้ายังชายชราตรงๆ

         "บังอาจ"

ชายชราแหกปากตะโกน   พลังครอบจักรวาล  (เคียงง้วนจิ้นลัก)  อันยิ่งยง
ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาที่หนุนส่งให้มันมีชื่อเสียงเกรียงไกรไร้ผู้ต้านทานมาจนถึงทุกวันนี้  ที่เกร็งไว้ถึง 12 ส่วน  ต่อยผางออกไปปะทะทันที

      ถ้ามีผู้อื่นใดที่เห็นการต่อสู้ของมันสอง ก็คงต้องบอกว่า  ช่างเป็นตัวบัดซบที่โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ  แต่ละคน ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน  แต่กลับลงมือใส่กันแบบไม่ต้อง ประนีประนอมใดๆ ขอเพียงได้ล้างชีวิตฝ่ายตรงข้ามออกไปเป็นพอ  
      ขุมพลังทั้งสอง ยังไม่ทันกระแทก เข้าหากัน  ร่างอีช้างพลันพุ่งขวับ  ขึ้นไปบนฟ้า  ประดุจพลุแตก  มาถึงเหนือชายชราในทันใด  ประกบนิ้วเป็นดาบ   มือธรรมดาของมัน  กลายเป็นเงาวาววับคล้ายโลหะ  ฟันใส่หัวชายชราในบัดดล
      เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างกึกก้องกัมปนาท  คลื่นพลังแตก ระเบิดกระจายออกไปรอบด้าน  ในเสียงแค่นอย่างคลั่งแค้นของชายชรา อาศัยแรงกระแทกที่เกิดจากการระเบิด  หงายร่างไปทางด้านหลัง ดีดตัวขึ้นจากพื้น  ตระหวัดเท้าขวาเตะเข้าปะทะกับ หัตถ์ดาบของคู่ต่อสู้ทันควัน

         "กร๊อบบบบ..."
       
      เงาร่าง 2 สาย  แยกย้ายออกจากกัน  ฟากหนึ่ง เห็นเป็นนักศึกษาเสื้อสีฟ้า  ยืนมือไพล่หลังอยู่   ส่วนด้านตรงข้ามสามวา  เป็นชายชราใบหน้าบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ  หอบหายใจไม่หยุดยั้ง ตาเฒ่ารู้สึกลมปราณพลุ่งพล่าน  มุมปากมีเลือดไหลซึมเล็กน้อย  จากการปะทะกำลังภายในกันในตอนแรก ส่วนเท้าขวาของชายชรา  กระดูกเท้าขวาของมัน  ถูกกระแทกจนแตกหัก  มันทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล
      มันเมื่อถูกจัดอันดับเป็น 1ใน 2 สุดยอดของฝ่ายธรรมะย่อม
ต้องมีพลังฝีมือ  ลึกล้ำสูงส่งมานานปีเคยพ่ายแพ้ให้แก่ราชันย์เอกะฟ้า  เพียงผู้เดียวเท่านั้น  สู้กัน 500 กว่ากระบวนท่า
      แต่บัดนี้ประมือกันแค่ 2 กระบวนท่า  มันกลับพลาดพลั้งไปในมือผู้เยาว์ที่อยู่ด้านหน้านี้   อย่างน่าอนาถ มันไม่สามารถหลอกตัวเองว่า พ่ายแพ้เพราะประมาทคู่ต่อสู้ได้ ซ้ำมันยังชิงเป็นฝ่ายลงมือก่อนเสียด้วยซ้ำ

         "ฮิๆ"   อีช้างหัวเราะ 3 เสียง  "รสชาติยังไม่เลวอยู่กระมังเฒ่าชรา"

      ชายชราหน้าแดงฉานคำราม

         "เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของเต็งม่าย"
      
      ชายชราหมายถึงพรรคสุริยันจันทรา

        "เฮ้ย  เจ้าไม่ต้องพูดมาก  พวกเราต่างไม่รู้จักกันมาก่อน  แต่เจ้ากลับลงมือใส่ข้าอย่างชั่วร้าย"

       ชายหนุ่มส่งเสียงต่อว่า
       จริงๆตาเฒ่าไม่ได้อยากรู้สักนิดว่า  บุรุษหนุ่มเป็นใครมาจากไหน มันเพียงต้องการถ่วงเวลา เพื่อรอคอยให้ ลมปราณภายในของมันสงบลง เท่านั้น
      ชายชราคำนึง  กระบวนท่าเมื่อกี้  หัตถ์ดาบเป็นยอดวิชาที่  ชายชราเพียงเคยได้ยินแต่ชื่อ  เล่ากันว่า  เมื่อฝึกถึงขั้นสุดยอด สามารถผ่าภูเขา  ตัดทะเลได้  คำเล่าขานอาจจะเกินจริงไปบ้าง  แต่ว่า ถ้าชายหนุ่ม  วันนี้แทนที่จะใช้ฝ่ามือตบลงยังหลังเท้าของมัน  แต่ใช้ สันมือที่แผ่พุ่งพลังอันแหลมคมออกมา  เท้าขวาข้างนี้ คงได้บอกลามันไปเรียบร้อยแล้ว  นับว่าฝ่ายตรงข้ามยังยั้งมือ  ไว้ไมตรีต่อมันอยู่
      เมื่อสงบเยือกเย็นลงตาเฒ่าเปลี่ยนสีหน้าแบบ หน้ามือกลายเป็นหลังมือ

         "ผู้กล้าหาญน้อย  โปรดประทานนามอันสูงส่ง  แก่ชายชราผู้นี้ด้วย"

      อีชางจ้องมองตาเฒ่าไร้ยางอาย  ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า  คำนึงขึ้น

         "มันผู้นี้  มิเสียทีที่มีอายุผ่านโลกมาได้หลายปี ตาเฒ่านี้นับว่า  มีฝีมืออยู่บ้าง"

       อีชางก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน  ใบหน้าที่เมื่อครู่แย้มยิ้มเย้ยหยัน  พลันเปลี่ยนเป็นนอบน้อม  ถ่อมตนในทันที
         
         "เมื่อคู่ได้ล่วงเกิน  ท่านผู้เฒ่าไปเล็กน้อยนับว่าไม่สมควร
ไม่สมควรอย่างยิ่ง"

       อีชางประสานมือคารวะซ้ำๆ   ชายชราก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ หลังเท้าขวา  ยังเกิดความเจ็บปวดอย่างมากมาย ถ้าไม่ใช่  เพราะมันมีกำลังภายในอันลึกล้ำ กล้ำกลืนแผ่ซ่านลมปราณเข้าไป  ควบคุมอาการบาดเจ็บ  ของกล้ามเนื้อและกระดูก ให้แช่แข็งกับที่ มันคงต้องเจ็บปวดจนต้องเกลือกกลิ้ง  อยู่บนพื้นไปนานแล้ว
      อีชางเดินเข้าไปประคองไหล่ของชายชรา

         "เข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนจะดีกว่านะท่านลุง"

      กล่าวพลางพยุงชายชราไปยังประตูกระท่อม  พอเคลื่อนไหว
ชายชราเจ็บปวดที่เท้าขวา จนพุ่งขึ้นในสมองแยกเขี้ยวยิงฟันร้อง
         
         "ดีๆ  รบกวนสหายน้อยแล้ว"

     ยอมให้อีชางประคองแต่โดยดี  มันทั้งคู่พากันเดินไปทางประตูกระท่อม  จึงพบเห็นดรุณีเยาว์วัยอายุประมาณ 16 ปี  ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย  สวมเสื้อคลุมอย่างลวกๆ  ยืนอ้าปากหวอตาค้าง  อยู่ข้างในประตู
      ที่แท้  เป็นหลานสาวของเฒ่าชรา  นางตกใจตื่น  ขึ้นมา จากเสียงระเบิดอันกึกก้องกัมปนาทเมื่อครู่  กระโดดหาเสื้อคลุมใส่ตัว วิ่งมาทางหน้าประตู  พอดีเห็นฉากที่ทั้งสองปะทะฝ่ามือกับหลังเท้า นางได้รับรู้ถึง  พลังที่แตกทะลักจากการกระแทกเข้าหากัน  ของฝ่ามือและเท้า  กระท่อมทั้งหลังสั่นสะเทือน  ตัวนางเอง  โดนกระแทกถอยไปถึง 3 ก้าวใหญ่  แทบหงายท้องล้มลง  ตกใจจน อกสั่นขวัญหาย
      ท่านตาของนางเป็นถึงสุดยอดฝีมือฝ่ายธัมมะ มีชื่อเสียงเกรียงไกรมานานปี   ผู้ใดกันที่บังอาจปะทะพลังอย่าง ตรงไปตรงมากับชายชราผู้นี้ได้ รอจนนางระงับจิตใจความแตกตื่น  ของนางลงได้  จึงเห็นมันทั้งสองที่เพิ่ง จะทะยานเข้าเข่นฆ่าล้างผลาญกัน  กลับกลายเป็น  โอบกอดประคองกัน  เดินยิ้มแย้มแจ่มแจ่มใสกันเข้ามา
       ดารุณีน้อยจึงต้องอึ้งตะลึงงัน กับการเปลี่ยนแปลงของจากศัตรูเป็นมิตร  อย่างพลันกระทันหัน  ของบุคคลทั้งสอง
       ทั้งคู่เข้าประตูมาถึงยังเบื้องหน้านาง  ชายชราอ้าปากไร้ฟัน ของมันไปทางบุรุษหนุ่ม

         "นี่เป็นเอียเท้าของเล่าฮู  นับเป็นหลานสาวเพียงผู้เดียว  พอมีความสำเร็จในวิชาการต่อสู้อยู่บ้างเล็กน้อย"

      หันหน้าไปทางดรุณีน้อย

         "หวินเอ๋อ  เจ้าจงไปชงชามาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ท่านนี้อย่าชักช้าเลย"

       อีชางกวาดตาของมันสำรวจทั่วเรือนร่าง  ของหวินเอ๋อ อย่างรวดเร็ว  ดวงตาวูบขึ้น  คมวาวราวสายฟ้า  จากนั้สลายหายไป

          "รบกวนแม่นางกลางดึกดื่น"

       พูดพลางแย้มยิ้มไปด้วย  หญิงสาวหน้าแดงซ่านขึ้นทันที เสื้อคลุมที่ห่อหุ้มร่างกายนางอยู่  ยังไม่ได้ใส่จนเรียบร้อย  คอเสื้อหลุดลุ่ย เห็นเนินอกขาวผ่องลับล่อรำไร  ช่วงล่างยังไม่ได้ติดกระดุม  เผยให้เห็นขาอ่อนเรียวงาม  ขาวเนียน
      ดวงตาโจรของอีชางเมื่อครู่  ทำให้นางเกิดความรู้สึกเหมือนเปลือยกาย  อยู่ต่อหน้าบุรุษหนุ่มผู้นี้ นางลนลานกระชับเสื้อผ้า  ไม่พูดจาโต้ตอบใดๆ เดินอย่างเร่งรีบไปในครัว  ด้วยใบหน้าอันแดงฉาน
      อีชางถอนหายใจด้วยความเสียดาย  ไม่ว่าเมื่อก่อนมันจะเป็นอะไร มาจากไหน  แต่ปัจจุบันนี้สังขารร่างกายของมันเป็นบุรุษหนุ่มอายุ 18-19 ปี ผู้หนึ่ง  สัญชาตญาณของมนุษย์ล้วนมีอย่างครบถ้วน
      สารรูปเซ็กซี่ของหญิงสาว  อีชางใจเต้นถี่เร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
      อีชางประคองชายชราไปนั่งยังเก้าอี้ซอมซ่อที่มีอยู่ไม่กี่ตัว

         "เดี๋ยวข้าจะรักษาเท้าของท่านลุงให้"
      
      ชายชรานั่งบนเก้าอี้  ดวงตาสำรวจดูเท้าขวาที่บวมเขียวเป็นปื้นใหญ่

        "ข้ามีความรู้ทางการรักษาพยาบาลอยู่บ้าง  ไม่ต้องรบกวนสหายน้อยให้ต้องลำบากตรากตรำดอก"

        มันไม่ได้กลัวตัวบัดซบนี้จะประทุษร้ายมันใดๆ  นั่นเป็น เพราะถ้าอีกฝ่ายต้องการแล้ว  คงสามารถฆ่ามันได้เลยเสียด้วยซ้ำ มันเพียงกลัวว่า  ถ้ารักษาเท้ามันได้ไม่ดี  จะทำให้เท้าขวาของมัน  อาจมีปัญหา  ได้ในอนาคตต่างหาก  อีชางยิ้มอยู่ในใจ  เหลือบ มองดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของชายชรา

         "ข้ามีวิธีการรักษาพยาบาล  ที่ไม่ธรรมดาเลยนะท่านลุง  แค่นี้ข้าทำ ให้หายทันทีได้ง่ายๆเลย
     
      ด้วยยอดวิชา  (ก่อกำเนิดจากความว่างเปล่า) อย่าว่าแต่อาการบาดเจ็บเท่านี้   ขนาดว่าดวงวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว มันยังสามารถดึงดวงวิญญาณกลับมา  เชื่อมต่อพันธะกับสังขารเดิม แล้วซ่อมแซมสังขารให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งก็ยังได้
      ชายชราเหลือบตาดูบุรุษหนุ่มอย่างไม่แน่ใจ

        "ถ้าเช่นนั้นคงต้อง  ขอรบกวนท่านผู้กล้าหาญน้อยแล้ว"

      มันพูดจาอย่างไพเราะเสนาะหู

         "ถ้าข้าเจ็บข้าจะร้องบอกนะ"

         "ไม่เจ็บหรอกท่านลุง  อย่าปอดแหกไปหน่อยเลย"

      พอดีดรุณีน้อยเดินกลับมาในห้อง  ประคองชุดน้ำชาใส่ในถาด กระเบื้องเคลือบถูกๆ   เดินเข้ามาถึง  ค่อยๆวางของลงบนโต๊ะ
      อีชางเหลือบดู  รู้สึกผิดหวังอย่างแรง  ข้างในเสื้อคลุมของนาง สวมใส่กางเกงนักบู๊รัดกุมเป็นที่เรียบร้อย  ยังคงมีความหวังเงยหน้ามอง ยังข้างบน  อีชางร้องบัดซบในใจ  ดวงตาโจรซอกซอนผ่านช่องว่าง ใต้เสื้อคลุม  เห็นมีเสื้อแขนยาวสีดำใส่เข้าคู่กับกางเกงสีดำอย่างดี

         "ใส่เต็มยศอย่างนี้แล้ว  จะสวมเสื้อคลุมทำห่าอะไรอีกวะเนี่ย"

      อีชางสบถด่าในใจ  แต่ใบหน้าแย้มยิ้มละมุนละไม พร้อมกับส่งสายตาปริบๆดูใสซื่อ  ไปยังหวินเอ๋อ
      ชายชรากระแอมกระไอออกมา  อีชางแอบย่นหน้า ค่อยหันเหความสนใจกลับมายังเท้าขวาของชายชรา
      ความจริงด้วยการนั่งอยู่บนเก้าอี้คนละตัวเช่นนี้  มันก็สามารถส่ง พลังความคิดอันสุดยอดของมันไปรักษาเท้าขวาของชายชราได้อย่างง่ายๆ แต่เพื่อให้ดูเป็นจริงเป็นจัง  และรู้สึกลำบากยากเย็น  มันจึงนั่งยองยองลงไป  ถอดรองเท้าหญ้าของชายชราออกมา  ทำเป็นดูซ้ายดูขวาอยู่สักครู่ แล้วจึงวางฝ่ามือซ้ายลงไปบนเท้าขวาของชายชรา
       ท่ามกลางสายตา 2 คู่  ของชายชราและหลานสาว  ใต้ฝ่ามือซ้ายของบุรุษหนุ่ม  ปรากฎแสงสีทองสดใส  ค่อยๆเริ่มเรืองรองเจิดจ้าขึ้น  ปกคลุมเท้าขวาของชายชรา
       แลเห็นแสงสีทองสั่นพริ้ว  ดุจดั่งเป็นระลอกคลื่น  แผ่กระจายออกไป เท้าที่บวมใหญ่โต  ค่อยๆหดแฟบลง  ที่เขียวคล้ำจางลงอย่างรวดเร็ว  มี เสียงกรอบแกรบดังแผ่วเบา
       ในความรู้สึกของชายชราความเจ็บปวดที่เท้าขวา  ค่อยบรรเทาเบาบางลง  รู้สึกเหมือนมีมดมาไต่ตอมที่เท้าขวาของมัน รู้สึกคันๆไปทั่วมีความอบอุ่น  ซึมทราบเข้ามาในเท้าขวาของมัน

         "รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านลุง"

      ชายชรา  กำลังตาปรือเคลิบเคลิ้มไปพร้อมกับความสุขสบายที่เท้าขวา เมื่อได้ยินเสียงจึงค่อยๆลืมตาขึ้น
      มองไปยังเท้าขวาของตนเอง  แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด เท้าขวาของมันไม่เพียงแต่เป็นปกติทุกประการแล้ว แต่ย้งมีผิวหนังที่ขาวละเอียดอ่อน  เหมือนเท้าของมันเมื่อยังเป็นชายหนุ่ม ดูไปเหมือนเท้าของมันได้งอกใหม่ออกมาฉันใดฉันนั้น
       หวินเอ๋อคางตกห้อยลงมา  ปากอ้ากว้าง เบิ่งตาโต  มองไปที่เท้า ของท่านตาตัวเองอย่างโง่งม  ดูแล้วเท้าขวาของชายชรา เหมือนกับตัดเอาเท้าขวาของชายฉกรรจ์ มาต่อเข้ากับขาของมันยังไง  ยังงั้น
      อีชางเหลือบตาดูตาหลานทั้งคู่  ร่างที่ยังนั่งยองยองอยู่  แสร้งทำเป็น หายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยออกมาจนเสียงดัง  ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้น  อย่างทุลักทุเล
      ชราจึงค่อยสะดุ้งตื่นขึ้นจากการตกตะลึง  ลนลานลุกขึ้นมา ประคับประคองชายหนุ่ม  ดุจดั่งของวิเศษ  ให้นั่งลงตรงหน้า

         "โอ้....พ่อหมอนี่  ท่านไม่ใช่ผู้กล้าหาญน้อยธรรมดาธรรมดาเสียแล้ว    นี่  สวรรค์ประทานพรมาให้ท่านโดยแท้"
     
      ด้วยความเคารพเทิดทูนอย่างสูง  หลังจากบุรุษหนุ่มนั่งลงเรียบร้อย มันทั้งตาหลานยืนห้อยมือสำรวมอยู่ด้านข้าง
      อีช้างแสร้งทำเป็นหอบหายใจ  แสร้งกล่าวอย่างอ่อนล้าว่า
         
         "นับว่าไม่สร้างความผิดหวังให้กับท่านลุงแล้ว  ขอเชิญท่าน และน้องสาวผู้นี้  จงนั่งลงเพื่อสนทนากันเถิด"

      ชายชรารับคำเสียงถี่เร็ว  เอื้อมมือฉุดแขนเสื้อคลุม ของหลานสาว  ให้นั่งบนเก้าอี้คนละตัว  ขนาบข้างอีชาง

         "ข้าชื่อว่าเล่งฮู้พก  ส่วนหลานสาวผู้นี้เรียกว่าชุยหวิน  เป็นโสดโดดเดี่ยวมาเป็นเวลานาน"

      ชายชราแนะนำตัวเอง และหลานสาว
      หวินเอ๋อ  หรือชื่อจริงว่าชุยหวิน  แย้มยิ้มอย่างเอียงอาย  เมื่อตาของตนแนะนำตนเองด้วยน้ำเสียงของพ่อสื่อพ่อชัก
      อีชางประสานมือ  ร้องยินดียินดี   ชายชราจึงกล่าวต่อ

         "ข้าาความจริงนับเป็น ยอดฝีมือผู้หนึ่งได้  กล่าวโดยไม่ละอาย  ตั้งแต่เข้าสู่วงนักเลงมา  เพียงพ่ายแพ้แก่คนผู้เดียวเท่านั้น  ซึ่งต้อง ประกระบวนท่ากันถึง 500 กว่ากระบวนท่า  จึงเอาชัยข้าได้อย่างโชคช่วย
      เมื่อเห็นอีชางตั้งอกตั้งใจฟังอยู่  เฒ่าแซ่เล่งรีบคุยโม้ต่อไป

         "แต่มาในวันนี้  จึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า  ไม่นึกไม่ฝันว่า  จะได้พบกับยอดอัจฉริยะ  เช่นหนุ่มน้อยท่าน"

      อีชางชายตาไปยังชุยหวิน  ที่นั่งข้างเคียง ตากลมโตจ้องมองมายังมัน  อย่างสนอกสนใจ

         "ท่านลุงเพียงแต่ออมมือให้ข้าต่างหาก"

      เล่งฮู้พกหัวเราะชอบใจ  ตบไหล่อีชาง

         "ท่านไม่ต้องมาปิดทองใส่ใบหน้าเล่าฮูดอก  ล้วนแล้วแต่เป็นคนกันเองทั้งนั้น"

      ชายชรากลอกตา  พร้อมกับพยักพเยิดไปทางหลานสาวของมัน ทั้งชายชราและชายหนุ่มสบตากันส่งเสียงหัวเราะ อย่างเบิกบานใจ
       ดรุณีน้อยหน้าแดงสดใส  กระทืบเท้า  ถลึงตาโตจ้องไปยังคนทั้งสอง

           "พวกท่านล้วนเป็นตัวเลวร้าย"

        กล่าวพลาง  สะบัดหน้าลุกขึ้นเดินตุปัดตุป๋องเข้าไปในห้องของนาง
        และแล้วมันทั้งคู่  ชายชรา  และบุรุษหนุ่มจึงร่วมสนทนากันตลอดคืน ถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ของที่ที่มันอยู่นี้
         เมืองนี้คือ เบ๊แกจิบ  เป็นชุมทางผ่านของเส้นทาง  ที่เชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆอีก 5 แห่ง  ขณะนี้ล้วนแล้วแต่มีผู้คนทยอย  เข้ามากันอย่างคึกคัก เพื่อแสวงหาโชคจากเรื่องราวของตำหนักโลกันต์
         ทำให้ปัจจุบันมีทั้งมังกรพยัคฆ์  รวมทั้งกิ้งกือ  แมลงสาบ ผสมปนเปกันอย่างยุ่งเหยิงในเมืองเบ๊แกจิบแห่งนี้
       ต่างคนต่างมาเพื่อแสวงหาโชค  ชนชาวบู๊ลิ้มที่เลียเลือดบนคมดาบ ผู้ใดประสบความสำเร็จก็มีชื่อเสียงเลื่องลือ  ผู้ที่โชคร้ายหรือมือไม่ถึง  ก็จะแตกดับไป  หรือไม่ก็ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีฝีมือเพื่อ หวังโชคลาภเล็กๆน้อยๆ  ไม่ให้เสียเที่ยวที่มา
     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา