ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  31.46K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) กล่องไม้ (กับความคาดหวัง)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“แก๊ก  แก๊ก   แก๊ก” จู่ๆ เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นขณะที่นางฟ้าแสนสวยกำลังทำหน้ายุ่งและผมกำลังหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจ
 
หญิงสาวลดแผ่นพลาสติกในมือลงแล้วจึงก้าวเดินไปยังทิศทางของเสียง ผมตามเธอไปแล้วก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยง
 
“เหวอ ผีหรือคนเนี่ย…!?”
 
“อยากรู้ก็ลองจับดูสิถ้าเป็นวิญญาณเหมือนกันนายจะสามารถสัมผัสเขาได้” อีกฝ่ายท้าทายสีหน้ายียวนแต่ใครมันจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้นเล่าคนรู้จักรึก็ไม่ใช่
 
ผมมองทอดไปยังร่างของคุณลุงคนหนึ่งซึ่งกำลังก้มหน้านั่งยองๆ อยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงนอนด้วยความงุนงง สังเกตจากชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมใส่อยู่แล้วคงไม่ต้องบอกว่าแกเป็นคนไข้เจ้าของห้องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเห็นเค้าโครงเครื่องหน้าไม่ถนัดนัก แต่เรือนผมสั้นกุดสีขาวโพลนและรอยยับย่นบนหน้าผากกับคิ้วหนาสีดอกเลาและดวงตาโตลึกที่จดจ้องอยู่แต่ตัวต่อไม้รูปตัวแซดในมือนั่นแล้วก็พอจะคาดเดาอายุได้ว่าไม่น่าจะน้อยกว่าห้าสิบปีเป็นแน่
 
“กึก…” ชายชราจะบรรจงเสียบมันเข้ากับกองไม้ซึ่งแต่ละชิ้นก็มีลักษณะเป็นรูปทรงต่างๆ แตกต่างกันไปทั้งตัวแอล ตัวที ตัวเอส ฯลฯ คล้ายจำลองมาจากเกมเตอร์ติส ประกอบกันเกือบเป็นกล่องทรงลูกบาศก์ได้สมบูรณ์แล้ว
 
บุคลิกซึมเซาเหงาหงอยกอปรกับการที่แกลุกขึ้นมาเล่นของเล่นยามดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ทำให้ผมพอจะมองออกว่าที่นี่คงไม่ใช่โรงพยาบาลสำหรับรักษาบุคคลทั่วไปเป็นแน่
 
“ถูกต้องแล้วล่ะ” สาริกาซึ่งยืนอยู่ทางด้านซ้ายกล่าวย้ำความคิดของผมแล้วจึงพูดต่อ “ที่นี่คือโรง’บาลจิตเวชส่วนผู้ชายคนนี้ชื่อว่านายบวรภพ  วัลลาห์ดี อายุห้าสิบหกปี”
 
ผมเอียงคอฟังเธอพูดด้วยความสนใจ
 
“ก่อนที่เขาจะถูกส่งมาอยู่ที่นี่เขาเคยเป็นเจ้าของโรงแรมในจังหวัดยะลาและมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายที่นั่น แน่นอนว่าเขาเคยเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวย มีรถยนต์ราคาแพงขับ ชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายได้กินอาหารที่ปรุงสำเร็จจากพ่อครัวชั้นดีและยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันตามวิสัยของคนที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว”
 
นางฟ้าในชุดสีโอโรสยังคงเล่าเรื่อย
 
“ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากเหตุการณ์การก่อการร้าย และเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง”
 
“ช่างน่าสงสารจริงๆ” เธอกล่าวเสียงสลดหดหู่ แล้วจึงเท้าความถึงชายชราที่อยู่ตรงหน้าเราต่อ
 
 “นักท่องเที่ยวที่เคยมี ผู้คนที่เคยเข้าพักจองกันข้ามเดือนข้ามปี รายได้ที่เคยเข้ามือเข้ากระเป๋าอย่างไม่ขาดสายกลับหดหายไป หนี้ก้อนมหาศาลที่ตนเองต้องแบกรับไว้ส่งผลให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับชีวิตจมอยู่ในห้วงทุกข์อย่างแสนสาหัส และสุดท้ายจึงลงเอยด้วยการมานั่งอยู่ตรงนี้
 
“โจรใต้ไอ้พวกสาระเลว” ผมระบายคำพูดด้วยความเจ็บแค้นแทนพี่น้องร่วมชาติอยากให้พวกมันตายโหงตายห่าตกนรกหมกไหม้ไปเสียให้หมด
 
“ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เธอเปรยก่อนจะไล่เรียงความคิดออกมา “คนเราเมื่อคาดหวังสูงเดิมพันชีวิตก็ย่อมสูงตามไปด้วย เหมือนกับคนที่เรียงกล่องไม้ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพียงเพื่อป่ายปีนหวังเด็ดเอาผลไม้สุกงอมตรงปลายยอดกิ่งนั่นแหละวันใดก็ตามที่คลื่นปัญหาสูงใหญ่ซัดโถมเข้ามา กล่องไม้เล็กๆ ที่ซ้อนโย้ไปเย้มามีหรือจะทานทนได้ไหว”
 
“แกรกกก” เสียงของตัวต่อไม้หลายชิ้นที่ร่วงหล่นลงกับพื้นทำให้คุณลุงออกอาการหงุดหงิดหน้าบึ้งตึงเกาหัวแล้วทึ้งดึงผมแรงๆ ปากก็บ่นงึมงำส่ายหน้าหันรีหันขวางก่อนจะใช้มือขวาปัดตัวต่อไม้ที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์อยู่รอมร่อกระจัดกระจายด้วยความโมโห
 
“บ้า  บ้า  ไอ้บ้า!” คุณลุงแผดเสียงออกมา แล้วจึงค่อยๆ ยื่นแขนออกไปเก็บตัวต่อไม้ที่เกลื่อนพื้นยัดใส่มือทีละชิ้นสองชิ้น
 
“หากนายรู้ว่ากล่องนั้นจะล้มลงมา นายจะทำยังไง” สาริกาผินหน้ามาถาม
 
“ถ้าเป็นผม ผมก็คงพยายามเกาะกล่องไม้นั้นไว้มั้ง” ผมตอบไปซื่อๆ เท่าที่จะคิดได้ “จะได้มีอะไรรองรับ”
 
“หรืออย่างน้อยที่สุดก็เอาหลังหรือแขนลง” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง “แต่สำหรับคนที่ตั้งสติรับกับภาวะแห่งความล่มสลายนั้นไม่ได้ก็เหมือนกับคนที่เอาหัวโหม่งพื้นนั่นแหละสุดท้าย…ถ้าไม่บ้า…ก็ตาย”
 
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วจึงเสนอความคิดเห็นว่า
 
“ถ้าเราไม่อยากเจ็บตัวก็คงต้องสร้างฐานให้แข็งแรง”  
 
หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้เห็นแล้วจึงยื่นกระจกอนันตยกรรมเหนือศีรษะของชายชราก่อนจะกล่าวว่า
 
“การสร้างฐานให้แข็งแรงถึงแม้จะต้องใช้เวลานานหน่อยแต่โอกาสที่จะตกลงมาก็มีน้อยกว่า แต่คนส่วนใหญ่เมื่อหิวมากก็ย่อมอยากคว้ามันให้ได้เร็วๆ จนลืมคิดหน้าคิดหลัง และอย่างที่ฉันบอกไม่มีใครล่วงรู้อนาคตหรอกบางทีไอ้ผลไม้ที่เราคิดว่ามันสวยงามน่าทานแท้จริงแล้วอาจจะมีพิษหรือถูกหนอนชอนไชเน่าเสียไปเกือบครึ่งค่อนลูกแล้วก็ได้ หรือไม่มันก็อาจหล่นน้ำหายต๋อมไปเสียก่อนที่เราจะทันได้เอื้อมมือไปเด็ดมันเสียอีก อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ”
 
“นั่นสินะ…เราคงไม่อาจคาดหวังอะไรได้เลย” ผมปรารภออกมาเบาๆ
 
ประเดี๋ยวหนึ่งตัวเลขดิจิตอลก็ปรากฏขึ้นมาตรงกลางบานกระจกใส
 
“ห้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเหรอ” นางฟ้าสาวเปรยพลางกางแผ่นพลาสติกดูแล้วจิ้มกดหาข้อมูลประกอบกัน “อีกนิดเดียวสินะ…ยังดีที่ก่อนหน้านี้ทำบุญทำทานเอาไว้มาก ถือว่ายังมีโอกาสผ่าน” ว่าแล้วเธอก็จรดนิ้วชี้ลงไปบนแบบสำรวจอีกครั้ง
 
“ปึ๊ง…วี้บ” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ระบบต่างๆ จะปิดการทำงานตัวอักษรมากมายดับแสงลง เห็นแต่เพียงแผ่นพลาสติกใสไร้อักขระ
 
“การคาดหวังไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ที่สำคัญคือการเผื่อใจ หรือทำใจให้เป็น เพราะไม่ว่าเราจะสุขสมหวังหรือผิดหวัง ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องปีนกลับลงมาอยู่บนพื้นดินอยู่ดี” สาริกาบอกพร้อมกับใช้สองมือม้วนมันเก็บอย่างคล่องแคล่ว
 
“คุณหมายถึง…”
 
“ความตายยังไงล่ะ” เธอตอบพลางใช้มือรวบของวิเศษทั้งสองกำไว้ในมือขวา หลังจากนั้นแสงสีเขียวเรืองก็เจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่มันจะหดวืบลงแล้วหายไป
 
เอาล่ะประตูเปิดแล้ว” ร่างเพรียวบอก “ไปกันเถอะ”
 
“ปะปะไปไหนเหรอ?” ผมไถ่ถามเสียงตะกุกตะกักพลางหันตัวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็พบแสงสีขาวเรืองรองส่องออกมาจากร่องประตูห้องน้ำเล็กๆ ภายในห้อง
 
เพียงแค่ไม่กี่ก้าวร่างของผมก็ไปรอเธออยู่ที่หน้าห้องนั้นแล้ว
 
“ฉันก็ไปทำงานของฉันต่อน่ะสิ” อีกฝ่ายยืนเท้าสะเอวบอกผมก่อนจะค้อมตัวก้มหน้ากล่าวลาชายสติฟั่นเฟือนที่ยังคงนั่งเล่นตัวต่อไม้อยู่ตรงนั้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและแผ่วเบาว่า
 
“ไปก่อนนะคะคุณลุง แล้วเจอกันบนสวรรค์ค่ะ”
 
หลังจากนั้นเจ้าหล่อนจึงเงยตัวแล้วเดินยิ้มร่ามาแต่ไกล สองแขนขาวแกว่งสลับกระฉับกระเฉง ร่างเพรียวระหงในชุดสีโอโรสดูสวยสง่าและอ่อนหวานยิ่งนัก ยามก้าวเดินชายกระโปรงบางเบาก็พลิ้วไหวระไปตามต้นขาเรียวงามดึงดูดสายตาเสียจนผมออกอาการสะเทิ้นแต่ก็ยิ้มตอบรับไมตรีจิตของอีกฝ่ายไปเช่นกัน ในวินาทีนั้นแววตาแห่งมิตรภาพได้เกิดแก่เราทั้งสอง และถ้าจะมีมุมใดมุมหนึ่งในความรู้สึกจะแอบหวั่นไหวในความน่ารักน่าทะนุถนอมของเธออยู่บ้างผมคิดว่าก็คงไม่ผิดจนเกินไปนัก
 
“คุณจะพาผมไปไหนเหรอ?” ผมถามขึ้นระหว่างเราทั้งสองยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าประตู
 
“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่าตาบื้อ”
 
“คุณเลิกว่าผมแบบนี้สักทีได้มั๊ยเนี่ย” ผมท้วงเสียงขุ่น
 
“นายเองก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอซื่อบื้อเสียจนไม่ค่อยจะทันเกมคนอื่นเขาน่ะ” เธอกล่าว
 
“คุณรู้ได้ยังไง”ผมสวนกลับไปทันควัน
 
“ก็ฉันน่ะ…ดูนายมาตลอดนั่นแหละ” ถ้อยคำปริศนาของหญิงสาวทำให้ผมงุนงง
 
“เอ๋….?” นี่เธอหมายความว่าอย่างไรกัน
 
“เอาเป็นว่าฉันขอโทษด้วยละกันนะและจะพยายามระมัดระวังให้มากกว่านี้” โทนเสียงอ่อนและท่าทีรู้สึกผิดของอีกฝ่ายทำให้ผมใจเย็นลง และไม่คิดจะถือสาหาความอะไรอีก
 
“อืม…ไม่เป็นไร” ผมตอบ คนเราทุกคนก็มีโอกาสทำผิดพลาดได้ทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งสำคัญคือคนที่ทำผิดนั้นจะรู้สำนึกหรือไม่ กล้าพอไหมที่จะยอมรับผิดแค่เพียงเรากล่าวขอโทษและอภัยกันให้เป็นผมว่าปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันก็คงจะลดน้อยถอยลงไปกว่านี้มากเลยทีเดียว
 
“ไปกันเถอะ” นางฟ้าสาวพูดก่อนจะเอามือขวาของเธอมากุมมือซ้ายของผมไว้ เราหันมามองหน้ากันเจ้าหล่อนเลิกคิ้วให้นิดหนึ่งผมพยักหน้าเป็นสัญญาณแห่งความพร้อมสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่
 
‘ชักอยากรู้แล้วสิว่าบานประตูนี้จะพาเราไปแห่งหนใดกันอีกหนอ?’ คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินเข้าไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยกัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา