ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  30.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

55) เรื่องเล่าของย้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

              เสียงตึง ตึง พร้อมร่างที่โยกโยนตามจังหวะการก้าวเท้าของภุควันท์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังนั่งเสลี่ยงที่มีคานหามก็ไม่ปาน นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนักกับการเดินทางบนความสูงขนาดนี้ซึ่งน่าหวาดเสียวเป็นที่สุด

 

              แต่ละก้าวย่างของมันยาวเป็นเส้นเป็นวา แม้ไม่ได้ไกลมากนักแต่แน่นอนว่าย่อมเร็วกว่าการเดินเท้าธรรมดาซึ่งพาเราไปได้ทีละเมตรๆ และที่สำคัญคือการได้นั่งพักอยู่ข้างบนนี้ก็เหมือนมีโอกาสฟื้นฟูกำลังวังชาไปด้วยในตัว

 

              “โหคุณดูรถดูตึกพวกนั้นสิ” ผมซึ่งเกาะอยู่ตรงกระดูกไหปลาร้าของภุควันท์บอกพลางชี้ชวนให้อีกฝ่ายมองตามตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางเบื้องล่างที่คลาคล่ำไปด้วยรถราแม้จะดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้วก็ตาม ชีวิตคนกรุงในเมืองใหญ่อันศิวิไลซ์ยังคงเต็มตื่นไปด้วยสีสันอันแพรวพรายของแสงไฟราวกับไม่มีวันหลับไหลโดยเฉพาะเมื่อเราได้มองจากด้านบน

 

             โลกทัศน์ที่เคยเห็นก็ดูจะกว้างไกลออกไป สิ่งต่างๆ เล็กลง แต่ผมกลับเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ละเอียดขึ้น เส้นถนนที่ต่อเชื่อมกัน บ้านเรือนที่ตั้งเรียงราย ห้องแถว ตรอกซอกซอยล้วนมีเหตุผลในการดำรงอยู่ และเป็นอย่างที่มันเคยเป็นมาช้านานแล้ว

 

              “ตึง…” ก้าวหนึ่ง “ตึง…” ต่อด้วยอีกก้าวหนึ่ง เปรตร่างสูงชะลูดใหญ่โตราวยักษ์ปักหลั่นยังคงมุ่งหน้าไปช้าๆ บางครั้งมันก็เลี้ยวตรงโน้น ข้ามผ่านที่นั่นที่นี่เหมือนรู้จักทิศทางที่จะไปเป็นอย่างดี

 

              นั่นไงรถแท็กซี่กำลังจอดรับผู้โดยสาร เสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่เร่งเครื่อง ร้านอาหารมากมายที่ยังมีลูกค้ายืนต่อคิวกันหน้าสลอน ตรอกซอกซอยอันลี้ลับ ผู้ชายผู้หญิงยืนกอดกันอยู่ตรงระเบียงคอนโด

 

              ‘พวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ พวกเขาจะรู้สึกถึงการมีตัวตนของพวกเรามั๊ย’

 

              “เอ๊ะ นั่นถนนเส้นนี้มันมีตลาดนัดตอนกลางคืนด้วยเหรอ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

 

              ราวกับว่าทุกๆ ก้าวย่างของเปรตร่างยักษ์ คือการเข้าไปสู่ดินแดนใหม่ของผู้คนที่ผมไม่เคยได้รู้จัก พวกเขาเหล่านั้นที่ยังคงดำรงชีวิตเพื่อผันผ่านไปอีกวัน เวลาแห่งการพักผ่อน นักท่องราตรีที่สยายปีกเริงร่า รวมไปถึงดวงวิญญาณหลายต่อหลายตนที่ล่องลอยปะปนไปกับมนุษย์ปุถุชน…ผมก็ได้เห็น

 

              “เฮ้ พวกคุณเป็นไงบ้าง” ผมทักทายบรรดาเพื่อนๆ ในภพภูมิของเราอย่างอารมณ์ดี แต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะแยแส  พวกเขาค่อนข้างเงียบเฉย เย็นชา เหมือนอากาศธาตุ บางตนก็หยุดนิ่ง บ้างก็เคลื่อนร่างโปร่งใสเอื่อยๆ ไปตามทางอย่างเลื่อนลอยไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้เหนือรู้ใต้ คงอยู่ในภาวะที่ดวงจิตใกล้จะตกตะกอนเต็มที

 

              ‘มันคงน่าเศร้าหากเราต้องกลายไปเป็นอะไรแบบนั้น’ ผมคิดอย่างรันทดใจ แต่ก็สะบัดความรู้สึกนี้ทิ้งไปได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอยากจะซึมซับเอาบรรยากาศรอบตัวนี้ให้ได้มากที่สุดเพราะอาจไม่มีโอกาสได้พบกับเรื่องมหัศจรรย์พันลึกแบบนี้อีกแล้วก็เป็นได้

 

              “ฮ่า ฮ่า ฮ่า วู้วๆ” ผมหัวเราะโห่ร้องราวกับเด็กๆ รู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานเหมือนแมลงตัวน้อยๆ ที่ระริกระรี้อยู่กลางแสงไฟ ชี้ชวนให้อีกฝ่ายดูนั่นดูนี่ตลอดทางขณะที่ยักษ์ใหญ่เดินทะลุผ่านตัวอาคารพาณิชย์มากมาย ก้าวข้ามถนนหลายสายเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ดูแล้วการเคลื่อนที่ทะลุผ่านวัตถุต่างๆ คงจะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำกันได้ในโลกหลังความตายนี้กระมัง  

 

              “นี่คุณอีกนานมั๊ย กว่าจะถึงที่ที่คุณบอก” ผมหันไปถามอีกฝ่ายที่กำลังนั่งพับเพียบปล่อยชายกระโปรงปรกพื้นวางมือสำรวมไว้บนตัก

 

              “ก็คงอีกสักพักนึงแหละกว่าจะถึง” เธอตอบด้วยท่าทีผ่อนคลายและเรียบนิ่ง

 

              “แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกันล่ะคุณ”

 

              “โรงพยาบาล…” เธอตอบสั้นๆ แล้วคลี่ยิ้มให้จางๆ ใบหน้างดงามเริ่มย้อนวัยสู่ความเป็นสาวขึ้นมาอีกหน่อย ดูราวกับผู้หญิงวัยกลางคนแล้วในตอนนี้ ทว่าผมกลับมองเห็นเป็นใบหน้าสวยหวานและรอยยิ้มพิมพ์ใจของนุ่นซ้อนทับขึ้นมาแทนที่

 

              ในช่วงเวลานี้ ผมกลับคิดถึงแฟนสาวขึ้นมาในใจ หากเธอได้มาเห็นแสงสีอันตระการตาของกรุงเทพฯ ยามราตรีในมุมสูงแบบนี้เจ้าตัวคงมีความสุขมากแน่ๆ

 

              “อ่อ” ผมพยักหน้า ก่อนจะเสกน้ำอัดลมกระป๋องขึ้นมาดื่มแก้กระหายเพียงเพื่อไม่อยากจะฟุ้งซ่านคิดถึงเธอมากเกินไป

 

              น้ำสีดำเย็นซ่าไหลพรูลงลำคอ ผมพยายามตั้งสติและใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังรับประทานเพราะเกรงว่ามันจะกลายเป็นอะไรอย่างอื่นไปอีกหากสมาธิไขว้เขว

 

              “ไม่เลวแหะ…” ผมถอนริมฝีปากออกจากกระป๋องน้ำอัดลม พินิจรูปทรงของมันเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยถามนางฟ้า

 

              “คุณเอาด้วยมะ เดี๋ยวผมเสกให้”

 

              “ฉันขอแค่ชาร้อนๆ สักถ้วยก็พอแล้วล่ะ”เธอบอก

 

              ผมจึงจัดแจงเนรมิตชุดชากระเบื้องเคลือบสีขาวเกลี้ยงเกลาขึ้นมาในมือ จากนั้นจึงยื่นส่งให้แก่หญิงงามในชุดเดรสคอปาดสลับสีม่วงฟ้าน้ำเงินที่บัดนี้เครื่องเพชรบนเรือนกายที่เจ้าตัวเคยสวมใส่อยู่ได้อันตรธานไปหมดแล้ว

 

              “ขอบใจนะ” เธอกล่าวแล้วรับไปถือไว้เหนือตักก่อนบรรจงคนช้อนเงินเบาๆ แล้วยกจิบ

 

              เท่านั้น เจ้าหล่อนก็สีหน้าเปลี่ยน เหยเกขึ้นมาทันที

 

              “อื้อหืออ…ขมปี๋เลย”

 

              “อะอุ๊ย ขอโทษทีคุณผมคงสมาธิไม่นิ่งพอ” ผมขอโทษขอโพยแล้วจึงยกกระป๋องขึ้นดื่มจากนั้นจึงเข้าไปนั่งขัดสมาธิข้างๆ อีกฝ่าย

 

              “พลังของพวกเราคงยังไม่ฟื้นฟูดี” เธอบอกพลางคนช้อนใหม่แล้วยกดื่มอีกครั้ง คราวนี้เจ้าหล่อนพยักหน้าแล้วยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ

 

              “ผมก็นึกว่าพวกเทวดานางฟ้าเป็นพวกอิ่มทิพย์ ไม่ต้องกินอะไรซะอีก”

 

              “ใช่ความจริงพวกเราเป็นแบบนั้น แต่บาทีก็อยากทานอะไรเล่นๆ บ้างก็เท่านั้นแหละ”

 

              สาริกากล่าวพร้อมกับยกมือซ้ายพลิกไปมาก่อนจะเลื่อนมาจับจานรองเล็กๆ ดังเดิม

 

              “คุณคงเสียพลังไปมากเลยสินะ” ผมบอก

 

              “เกือบหมด…” ร่างเพรียวในชุดเดรสยาวตอบ “ฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องใช้มัน ระเบิดพลังออกไปเหมือนระเบิดตัวเองอะไรทำนองนั้น”

 

              “ขอบคุณนะที่ช่วยผม ทำเอาคุณเองก็แย่ไปด้วยเลย” ผมเอ่ยด้วยความขอบคุณจากใจจริง

 

              “ฉันก็ช่วยตัวฉันเองด้วยเหมือนกันแหละ ถ้าไม่ทำแบบนั้นเราก็คงไม่รอด”

 

              “…ว่าแต่นายมีน้องสาวคนนึงใช่มั๊ยพอดีฉันดูจากฐานข้อมูลนายก่อนมาที่นี่ เธอเป็นไงเหรอ” อีกฝ่ายชวนคุยเรื่องสัพเพเหระพลางจับหูถ้วยชานิ่งเพื่อรอฟังอย่างสนอกสนใจ

 

              “ช่าย ชื่อไอ้หยกอายุห่างจากผมสามสี่ปี ตอนนี้ทำงานเป็นนักออกแบบอยู่บริษัททำกล่อง กระดาษห่อของขวัญ การ์ดอวยพร อะไรทำนองนี้อะคุณ นิสัยมันก็ห้าวๆ ใจร้อนหน่อยแต่ก็เป็นผู้หญิงแหละ” เล่าแล้วก็นึกถึงหน้ายัยตัวดีขึ้นมาทันใด ผู้หญิงผอมบางร่างเล็กผิวขาวหยวก รูปหน้ากลมสั้นคิ้วเข้มโค้งสวย 

 

              ดวงตาเรียวเล็กดูตี่ๆ ที่ถอดแบบมาจากป๊าเด๊ะ จมูกขนาดกลางๆ พอมีดั้ง ริมฝีปากบางเหยียดตรงเหมือนแม่ และชอบมัดผมดำขลับด้วยหนังยางหลากสีซึ่งเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เจ้าตัวมักใส่เสื้อกล้ามคลุมทับด้วยเชิ้ตแขนยาวสบายๆ กับกางเกงยีนขาสั้นบ้าง ยาวบ้างดูเรียบง่ายทะมัดทะแมงจนใครหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นพวกทอมบอย ผมเองก็เคยแซวไอ้หยกอยู่หลายหน แต่มันก็ปฏิเสธว่าชอบผู้ชายนะไม่ได้คิดตีฉิ่งรักเพศเดียวกันแต่อย่างใด

 

               ถึงแม้ว่าผมกับน้องสาวจะไม่ค่อยได้พบปะพูดคุยกันมากนักเพราะอยู่ไกลกัน และนิสัยใจคอ รสนิยม ความชอบไม่ค่อยคล้ายคลึงหรือไปในแนวทางเดียวกันนัก แต่ผมก็ห่วงใยมันอยู่เสมอ

 

              “ผมน่ะต่อยตีกับไอ้หยกมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง” ผมกล่าว “มันไม่ค่อยยอมใครส่วนผมน่ะชอบแกล้ง แอบอิจฉามันด้วยนะ เพราะมันเรียนเก่งกว่าผมมากได้คะแนนอันดับต้นๆ ของห้องตลอด ป๊านี่ชมบ่อยแถมยังตามใจซื้อตุ๊กตา ของเล่นให้ ส่วนผมนี่แม่จะโอ๋มากกว่า

 

             แต่พอเราสองคนโตขึ้นผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน มันก็กลายเป็นผู้หญิงแกร่ง วันๆ เอาแต่ทำงานงกๆ แม้แต่ตอนป๊าตายมันก็เป็นคนคอยปลอบผมกับแม่ คอยอยู่ดูแลแม่ตลอด”

 

              “แล้วแม่ละ ตอนนี้เป็นไงบ้าง”

 

              “แม่ก็อยู่กับไอ้หยกมันที่บ้านนอก ทำงานสานชะลอม ดอกไม้ประดิษฐ์กับกลุ่มแม่บ้านสหกรณ์แล้วก็รับเย็บผ้านิดๆ หน่อยๆ เป็นรายได้เสริม แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีรายได้ก็ลดลงบ้างเหมือนกัน ส่วนป๊าผมแต่ก่อนแกเป็นจับกังทำงานแบกหาม พอมีทุนหน่อยก็ค้าขายนู่นนี่มาเรื่อยๆ แต่ก็เจ๊ง สุดท้ายก็มาเป็นช่างซ่อมร้องเท้า กระเป๋า เครื่องหนัง

 

              แกมีลูกค้าเยอะเลยแหละเพราะแถวนั้นคนเยอะ งานแกดี ราคาถูก เสียอย่างที่ป๊าเค้าเป็นคนอารมณ์ร้อน พูดจาขวานผ่าซากไปหน่อย บางทีก็เผลอทะเลาะกับลูกค้า คนละแวกนั้นจนเค้าหนีหายไปก็มี ตอนหลังแกเลยไม่ค่อยพูดจากับใครวางตัวขรึมรับงานเก็บเงินไปเงียบๆ ดีกว่า” ผมเล่าเรื่อยด้วยความระลึกถึง

 

              คนฟังพยักเพยิดหน้าให้น้อยๆ เป็นเชิงสนใจ ผมเลยพรั่งพรูความทรงจำเกี่ยวกับอาชีพของพ่อให้เธอได้ฟัง

 

               “ตอนเด็กๆ ผมเคยตามแกไปที่ร้านอยู่บ่อยๆ  มันจะเป็นโต๊ะแบบเคาท์เตอร์วางกันสองสามตัวล้อมเป็นคอก แล้วก็มีรองเท้ากองพะเนินเทินทึกไปหมด มีทั่งซ่อมรองเท้าอยู่อัน หนักมาาาก มันเป็นเหล็กหนาๆ สามขาอะไว้สำหรับสอดในช่องรองเท้าเวลาตอกพื้นรองเท้า” ว่าแล้วก็ทำมือไม้ประกอบการบรรยายไปด้วย

 

              “บนโต๊ะก็มีกระป๋อง ย่ามไว้ใส่พวกเครื่องมือเช่นค้อน แปรง กระดาษทราย เข็ม ด้าย มีด คัตเตอร์ กรรไกรอันใหญ่ๆ คีมปากนกแก้ว ไขควง เยอะแยะมากมายเลยล่ะคุณ ผมก็เห็นแกนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆ เบาะแข็งๆ ตอกหมุดเอย ขัดเงา  ร้อยด้ายบ้าง ลงกาวบ้าง  เลาะพื้น เปลี่ยนส้น เปลี่ยนซิป กรีดยาง ใส่ยางรองเท้า กระเป๋า ฯลฯ กลิ่นกาวยางสีเหลืองๆ นี่ฉุนไปหมด ลูกค้าก็มีเข้ามาเรื่อยๆ นะมากบ้างน้อยบ้าง

 

              คนแถวนั้นก็รู้จักแกหมดแหละ เพราะแกทำมาตลอดชีวิตของแกไม่เคยหนีหายหรือย้ายไปไหนเป็นสิบปี แม้แต่ตอนป่วยป๊าก็ยังฝืนสังขารไปทำเลย แกเป็นคนขยัน เอาการเอางานมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะมีกินเหล้า สูบบุหรี่บ้าง แต่ก็ไม่ติดพนัน ไม่มีปัญหาเรื่องนอกใจเลยสักครั้ง นี่ล่ะที่ทำให้แม่ประทับใจ”

 

              “แม่ของนายโชคดีจัง” เธอเปรยแล้วจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

 

              ถ้อยคำนั้นทำให้ผมนึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมา

 

              “แม่ผมก็เคยพูดเหมือนอย่างคุณ”

 

              “ยังไง…เหรอ”

 

              พอเห็นอีกฝ่ายซักไซ้ด้วยท่าทีสนใจผมจึงเอ่ยปากเล่า ภาพแห่งความทรงจำในวัยเยาว์ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้งในความคิดคำนึงหลังจากที่ได้ลืมเลือนมันไปเสียนานแล้ว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา