ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  31.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

56) สิ่งสำคัญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             “จำได้ว่าตอนเด็กๆ…”

 

              เวลานั้นพระอาทิตย์ยามเย็นกำลังรอนแสงอ่อนตกกระทบเราสองแม่ลูกซึ่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่บริเวณชานบ้านไม้สองชั้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง

 

              “ดอกอะไรจ้ะลูก เอามาจากไหนกัน” แม่ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวแบบมีปกนุ่งผ้าซิ่นสีเลือดหมูกำลังปักสะดึงเดินลายผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนบางให้หยกไว้ใช้ตอนขึ้นชั้นประถมหนึ่งออกปากถามผมซึ่งนอนหนุนตักเจ้าตัวอยู่ ปากก็เป่าลมใส่เกสรสีขาวบางเบานับร้อยที่เกาะกระจุกอยู่ตรงขั้วก้านให้ปลิดปลิวไปตามลมทีละนิดๆ ดัง พู่ พู่        

 

              “ย้งก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ พอดีเห็นมันขึ้นอยู่ข้างทางตอนปั่นจักรยานไปตลาด แปลกตาดีอะแม่ ขากลับเลยเด็ดมา”

 

              “พู่” ว่าแล้วจอมซนอย่างผมก็พ่นลมใส่หมู่มวลเกสรที่มีลักษณะเป็นก้านเล็กๆ ส่วนบนนั้นมีใยสีขาวดูบอบบางหลายเส้นแผ่กางออกมาคล้ายร่มไว้คอยพาเมล็ดสีน้ำตาลขนาดจิ๋วที่ติดกับส่วนปลายก้านลอยละล่องอย่างเพลินใจ

 

              “ไปเด็ดมันทำไมกันหึ” แม่เอ็ดผมเสียงอ่อนระหว่างที่แทงเข็มปักด้ายลงสะดึงอย่างชำนิชำนาญ ขณะที่ผมมองว่ามันเป็นงานฝีมือที่ยุ่งยากซับซ้อนที่สุดในโลก

 

              “แม่…ย้งถามไรหน่อยดิ แม่คบกะป๊านานป่าวอ่ะ กว่าจะแต่งงานกัน”

 

              เมื่อได้ยินผมถามไปแบบนั้นแม่ก็ทำสีหน้าสงสัย

 

              “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะลูก”

 

              “ก็ต้นหอมน่ะสิ เค้าบอกว่าแม่เค้าสวยมาก พ่อเค้าตามจีบอยู่ตั้งนานแน่ะกว่าจะได้แต่งงานกัน ที่แม่เค้ายอมแต่งงานด้วยก็เพราะว่าพ่อเค้ารวย คอยตามใจแม่ตลอด อยากได้อะไรก็ได้” ผมท้าวความถึงคำพูดของเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องที่ชอบคุยโวโอ้อวด

 

              พอได้ฟังดังนั้นแม่ก็คลี่ยิ้มละไม แล้วจึงตอบว่า

 

              “ไม่นานหรอกจ้ะ ไม่ถึงปีเลย แต่ก่อนหน้าจะคบกันแม่กับป๊าก็พอคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้างแล้วเพราะเจอกันก็ทักทายกันอยู่ประจำ จนวันหนึ่งป๊าเค้าก็มาบอกว่าชอบแม่” ผู้เป็นมารดาเล่าด้วยสีหน้าเคอะเขิน จนผิวแก้มขาวระเรื่อด้วยสีแดงราวกับเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ย้อนคืนมาอีกครั้งกระนั้นแหละ

 

              “แล้วป๊าซื้ออะไรให้แม่ตอนขอแต่งงานเหรอ ต้นหอมบอกว่าพ่อเค้าให้แหวนเพชรวงเบ้อเร่อเลย” ผมพูดไปตามซื่อ

 

              แม่ส่ายศีรษะนิดหนึ่งเป็นคำตอบพร้อมกับเล่าว่า

 

              “ไม่เลยจ้ะ ป๊าเค้าไม่ได้มีเงินมีทองอะไรจะให้ แม่ก็เกรงใจเค้าไม่อยากให้มาเดือดร้อนกันก็เลยไม่ได้เรียกร้องอะไร”

 

              “ไม่ได้ให้อะไรเลยเหรอ” ผมพึมพำรู้สึกผิดหวังอยู่ในทีแล้วจึงไล่เลียงด้วยความอยากรู้

 

              “แล้วไงต่ออ่ะแม่…”

 

              “ป๊าเค้าก็ชวนอากง อาม๊ากับอาเฮียอาเจ๊มาสู่ขอแม่กับป้าสายบัวให้เป็นกิจลักษณะไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรเหมือนคนอื่นเขาหรอก”

 

               “อ่อๆ…” ผมพยักหน้าหงึกพลางประหวัดถึงคุณป้าวัยประมาณห้าสิบหน้าตาท่าทางใจดีซึ่งแม่เล่าว่าเป็นผู้มีพระคุณเสมือนมารดาแท้ๆ ที่คอยส่งเสียเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่แทนพ่อแม่จริงๆ ที่เสียชีวิตไปนานแล้วจากอุบัติเหตุ

 

              “คุณป้าแกก็อวยพรให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นไม่นานแม่กับป๊าก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันตอนแรกๆ ก็อยู่ห้องเช่า แต่พอหยกเกิดมาอากงเค้าเห็นว่าที่อยู่เดิมมันคับแคบไปก็เลยช่วยออกเงินดาว์นบ้านหลังนี้ให้ ที่เหลือป๊ากับแม่ก็เก็บเงินส่งจ่ายเจ้าของเค้าเป็นรายเดือนไป”

 

              “โห…อย่างนี้แต่งกับป๊าแม่ก็ขาดทุนแย่เลยอะสิ”

 

              “ช่างรู้ดีนักนะ…” แม่ว่าแล้วจึงหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะวางสะดึงที่ปักลวดลายผีเสื้อไปได้พอควรแล้วลงข้างตัว

 

              “ความรักน่ะถ้ามอบให้กันด้วยความจริงใจแล้ว ก็ไม่มีวันขาดทุนหรอกลูก…”

 

              “แม่เคยบอกว่ามีอาเสี่ยมาจีบแม่ก่อนหน้าคบกับป๊า ไมแม่ไม่ชอบเค้าล่ะ ทำไมถึงเลือกป๊า” จู่ๆ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกข้อหนึ่ง

 

              “เสี่ยคนนั้นเค้าเจ้าชู้จะตาย เค้าก็จีบไปทั่วแหละจ้ะ” แม่ชี้แจง “คบกับคนร่ำรวยก็ใช่ว่าชีวิตมันจะดีเสมอไปหรอกนะลูก เผลอๆ อาจจะทุกข์ใจมากกว่าด้วยซ้ำ ผู้ชายบางคนน่ะเค้าก็ตีค่าผู้หญิงเหมือนสิ่งของ มีเงินก็ซื้อมาได้ ถ้าแม่ทำตัวให้เค้าซื้อได้ แม่ก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งของสิ”

 

              ผมพยักหน้าเห็นด้วย

 

              “ถึงแม้ว่าป๊าเค้าจะใจร้อน ขี้หงุดหงิด พูดจาโผงผาง”

 

              “ดุ ด้วยล่ะ” ผมรีบพูดแทรกพลางหมุนก้านเล็กเรียวของดอกไม้เล่น

 

              “จ้ะ…” แม่รับคำพร้อมกับส่งยิ้มอย่างเอ็นดูจากนั้นจึงพูดต่อด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “แต่ก็เป็นคนขยัน และมีน้ำใจอยู่เสมอ ไม่ได้คิดรังเกียจแม่ที่เป็นเด็กกำพร้า มีความเป็นอยู่ที่ไม่แตกต่างกันเกินไป คิดเห็นอะไรคล้ายๆ กัน…นี่ล่ะคือสิ่งที่ป๊าเค้าเป็น…และทำให้แม่เลือกเค้า…ในตอนที่พ่อของลูกชวนแม่ออกมาอยู่ด้วยกัน แม่ก็คิดอยู่นานเหมือนกันนะ แต่พอตกลงปลงใจแล้วก็ไม่ได้นึกเสียใจเสียดายอะไรเลย กลับรู้สึกว่าโชคดีมากกว่า” แม่ยังคงเล่าเรื่อยด้วยใบหน้าอิ่มสุข

 

              “หลังจากที่ตัดสินใจมาอยู่ด้วยกัน ป๊าเค้าก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี พอมีลูกเกิดมาป๊าเค้าก็ให้เกียรติแม่พาไปจดทะเบียนแล้วก็มอบแหวนวงนี้ให้แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วล่ะ…” เจ้าตัวบอก ค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นมาพิศมองแหวนทองประดับทับทิมสีชมพูเม็ดเล็กๆ ตรงส่วนหัวซึ่งแม่สวมใส่ติดนิ้วนางตลอดมา แล้วกล่าวต่อไปว่า

 

              “ย้ง…โลกนี้น่ะมันไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบหรือดีพร้อมไปหมดทุกอย่างหรอกนะลูก มันจะมีก็แต่คนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุขหรือไม่มีความสุขก็เท่านั้นเอง…หากเราคิดว่าได้เจอใครคนนั้นแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะปฏิเสธเค้าจริงมั๊ย”  

 

              “แล้วแม่เสียใจมั๊ยที่ไม่ได้จัดงานแต่งกับป๊า” ผมยังคงป้อนคำถามต่อ

 

              “ไม่เลย…จ้ะ” แม่ตอบพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย ดวงตารื้นไปด้วยน้ำใสๆ แล้วจึงเอ่ยเสียงเครือว่า

 

              “แม่อาจไม่ได้มีงานแต่งงานใหญ่โตเหมือนใครคนอื่นเขา แต่สิ่งที่ป๊าเค้าทำให้แก่แม่…มันก็เหมือนว่าเราสองคนได้แต่งงานกันในทุกๆ วันอยู่แล้วละจ้ะ และถึงแม้ว่าแหวนวงนี้จะไม่ได้ราคาแพงอะไร แต่มันก็ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของป๊าเค้า ตอนที่เค้าสวมแหวนนี้ให้ ป๊าก็ให้คำมั่นว่าจะดูแล ให้เกียรติ และรักแม่ในทุกๆ วัน แค่นี้แม่ก็มีความสุขมากแล้ว” แม่บอกผมด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม หยาดน้ำตาไหลย้อยลงมาช้าๆ จากปลายหางตาด้วยอารมณ์เต็มตื้น

 

              ‘แม่กำลังร้องไห้…’ ผมไม่กล้าแม้จะยกมือขึ้นปาดเช็ดสิ่งนั้นให้ เพราะไม่อยากรบกวนความสุขความทรงจำที่แสนงดงามของผู้เป็นมารดา ได้แต่เฝ้ามองมันและทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต่อไป  

 

              “แม่คงรักมันมากสิฮะ”

 

              “ใช่จ้ะ มันมีค่ามากสำหรับแม่” เจ้าตัวบอกพลางทอดมองออกไปเบื้องหน้า “แต่ถ้าจะมีอะไรที่มีค่ามากกว่านั้นก็เห็นจะเป็น…”

 

              เจ้าตัวทิ้งคำพูดไว้เป็นนัยพลางก้มหน้าลงมามอง

 

              “อะไรเหรอครับ” ผมถามพร้อมกับมองใบหน้าแม่ที่กำลังส่งสายตาอ่อนโยนให้แทนคำตอบ

 

              ก่อนที่ผมจะแกล้งทำเป็นเลื่อนหลบสายตา แล้วมองเหล่าเกสรปริศนาที่หลุดหล่นอยู่บนอกจากนั้นจึงเป่าปากให้มันกระจัดพัดพราย หมู่มวลละอองของดอกไม้ลอยฟุ้งราวปุยนุ่นไปตามสายลมเอื่อยๆ ที่โบกโบย  ผมเบนหน้าไปยังทิศทางที่พวกมันเหล่านั้นล่องละลิ่วไป รู้สึกถึงพวงแก้มอุ่นตึงจากเลือดฝาด แม่หัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทีขวยเขินของลูกชายวัยประถมปลายที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของเธอ

 

              มืออุ่นแสนอุ่นลูบหัวของผมช้าๆ อย่างแผ่วเบาปานกล่อมนอนขณะที่ตนเองยังคงเฝ้ามองพวกมันเนิ่นนาน ราวกับดวงตาคู่นี้จะจดจานทุกสิ่งที่เห็นไว้ในความทรงจำ

 

              ทว่า…

 

              มันกลับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมแทบลืมเลือนไปเสียสนิท เพราะหลังจากนั้นไม่นาน มรสุมลูกโตก็พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเราเรื่อยมา จนไม่มีแม้แต่โอกาสได้คิดถึงช่วงเวลาดีๆ อันเล็กน้อยนี้อีกเลย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา