ห่มรักเคียงดาว

-

เขียนโดย zusuran

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,141 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 15.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ความจริงที่ว่า......

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เรื่องมันเริ่มมาจากตรงไหน

ผมกับภูผาอยู่ด้วยกัน และความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

“บอสคะ คนขับรถมาถึงแล้วค่ะ”

“รู้แล้ว เดี๋ยวผมไป”

ผมขานรับทั้งที่ยังก้มหน้าจดจ่อกับงานอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทุกคนที่ร้านรู้จักภูผาในฐานะที่ว่าเขาเป็นคนขับรถและบอดี้การ์ดชั่วคราวที่เข้ามาแทนไทด์ที่ยังรักษาตัวอยู่

ปึง!

ผมปิดประตูรถและเดินเข้าไปในโรงพยาบาลพร้อมกับกระเช้าใบเล็กๆ

“คุณธารา ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย คุณเองก็งานยุ่ง ดูสิ ซูบลงไปเยอะเลยนะคะ”

ภรรยาของไทด์รับกระเช้าไปจากผมพร้อมกับสีหน้าเป็นกังวล ไทด์ยังนอนหลับ มันเป็นผลดีสำหรับเขาที่จะพักฟื้นได้เร็วๆ

“ว่าแต่มาคนเดียวแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอคะ”

“มีคนขับรถมาส่งน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”

ผมใช้เวลาพูดคุยไม่นานก่อนจะบอกลาภรรยาของไทด์และเดินออกมาจากโรงพยาบาล ผมไม่ได้ตรงไปที่รถทันทีแต่เลี่ยงไปอีกทางที่เป็นทางเท้าของสวนสาธารณะ

ผมเดินสูดอากาศใช้ความคิดไปคนเดียว นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ทำแบบนี้ อาจจะตั้งแต่ที่ผมกลายมาเป็นพวกบ้าที่ไล่ล่าเอาชนะทุกอย่างที่ขวางหน้าในโลกธุรกิจ

ผมนั่งลงที่ม้านั่งข้างสระน้ำกลางสวน ผู้คนเริ่มออกมาเดินเล่นกันประปราย หลายคนก็ใช้เป็นเส้นทางลัดเดินออกไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนนใหญ่ สายตาของผมไม่ได้โฟกัสอะไรเป็นพิเศษ แค่มองออกไปเรื่อยๆและถอนหายใจทิ้งสองสามเฮือก

แปะๆๆ.....

ฝนตกลงมาอีกแล้ว ผู้คนวิ่งหาที่หลบแต่ผมไม่ ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมและมองผิวน้ำที่ถูกเม็ดฝนกระทบจนเกิดเป็นวงนับไม่ถ้วน

พรึ่บ!

ร่มคันใหญ่ถูกยื่นมากันฝนให้ผม ผมไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นใคร

“เห็นว่ายังไม่กลับไปที่รถก็เลยมาตาม”

“รู้ได้ไงว่าอยู่นี่”

“ผมไม่ได้ตาบอด”

อ้อ นั่นสิ ขึ้นชื่อว่าบอดี้การ์ด คงไม่ปล่อยให้อะไรเล็ดลอดสายตาไปได้

ผมยังเงียบและนั่งอยู่ที่เดิม ฝนก็เริ่มตกลงมาแรงเรื่อยๆ ถึงร่มจะคันใหญ่แต่ภูผาก็ยื่นมาให้ผมทั้งหมดจนไหล่เปียกไปซีกหนึ่ง

ผมลุกขึ้นและเดินออกจากร่มตรงไปที่รถ แต่การก้าวเท้าของผมก็ยังช้ากว่าภูผาอยู่ดี

“จะไปไหนต่อ”

“กลับ”

ผมตอบสั้นๆก่อนจะเอนตัวพิงเบาะหลังและมองเม็ดฝนที่ตกกระทบกระจกรถ โชคดีที่คอนโดไม่ได้อยู่ไกลจากโรงพยาบาลมาก ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง

เวลาพักของผมหมดลงตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในห้อง สิ่งที่ขับเคลื่อนพลังชีวิตของผมทั้งหมดคืองานแล้วก็งาน

“ผมต้องการที่ดินตรงนี้ ส่งราคาประมูลมาให้ผมภายในหนึ่งชั่วโมง”

ผมคุยกับเลขาส่วนตัวจบก็วางสายและหันหน้าเข้าหาแล็บท็อปที่วางอยู่บนตัก ผมทำงานจนลืมไปแล้วว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่

ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่ผมจะไม่ต้องว่าง เพราะเมื่อไหร่ที่ผมว่างความคิดของผมก็จะเพี้ยนไปทันที

มันต้องไม่เป็นแบบนั้นและจะไม่มีวันเป็น

ตุ้บ!

แล็บท็อปถูกโยนลงบนเบาะข้างๆก่อนที่ผมจะเอนตัวพิงพนักโซฟาถอนหายใจยาวๆเสียทีหนึ่ง

ในที่สุดการเจรจาธุรกิจก็จบลงพร้อมกับผลลัพธ์ที่ผมเป็นฝ่ายชนะ

ภูผาเข้ามานั่งลงข้างๆพร้อมกับกาแฟดำร้อนๆที่ยื่นมาให้ผม

“ทำงานหนักไปรึเปล่า”

ผมรับกาแฟจากภูผาไปถือไว้ ความร้อนจากถ้วยเซรามิกทำให้มือเย็นๆของผมเริ่มอุ่นสบายขึ้น

“ท่าทางพี่จะชอบงานของพี่เอามากนะ”

“ไม่ได้ชอบ”

ผมตอบไปพร้อมกับยกกาแฟขึ้นจิบ สายตามองสายฝนที่ยังตกปรอยๆอยู่นอกระเบียงที่มีเพียงกระจกบานใหญ่เป็นตัวกั้น เพราะอยู่บนชั้นสูงสุดทำให้มองเห็นวิวข้างนอกเป็นเพียงยอดตึกประปรายกับท้องฟ้ายามกลางคืน หน้าต่างกระจกบานใหญ่มีเม็ดฝนเกาะประปรายแต่ก็ยังสะท้อนภาพของผมกับภูผาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันในห้องได้ชัดเจน ผมมองเงาที่สะท้อนในกระจก ถึงได้รู้ว่าภูผาเองก็มองผมผ่านกระจกเหมือนกัน

“พี่ไม่ชอบงานของพี่หรอกเหรอ”

“ไม่ได้ชอบ แต่มันเป็นหน้าที่”

“..........”

“หน้าที่ของฉัน ฉันต้องทำมันด้วยตัวเอง”

ผมพูดออกไปก่อนที่ถอนหายใจและวางถ้วยกาแฟลง

“ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยเถอะ….ผมจะอยู่เป็นเพื่อน”

“คนอย่างนายใส่ใจคนอื่นเป็นด้วยเหรอ”

“แค่กับพี่คนเดียว…..”

“……..!!!” ผมหันมองหน้าภูผาและภูผาก็มองหน้าผมเหมือนกัน

ทุกคนรู้จักภูผาในฐานะบอดี้การ์ดชั่วคราว แต่สิ่งที่คนพวกนั้นไม่รู้มันมีมากกว่านั้น

แม้แต่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร

“นี่”

“หืม”

“สถานะของฉันกับนายตอนนี้ มันคืออะไร”

“................”

“ฉันเป็นผู้ชาย นายเองก็เป็นผู้ชาย โอเคสิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นแค่อารมณ์ของเราทั้งคู่ ฉันคิดว่ามันควรจบลงตรงนี้ได้แล้ว คงไม่จำเป็นที่นายจะต้องมาคอยคุ้มกันฉันอีกแล้ว”

“คิดแบบนั้นเหรอ”

“หมายความว่าไง”

ผมไม่ใช่พวกโลกสวยที่จะทำตัวไร้เดียงสายืดเยื้อ ในเมื่อไม่มีความเกี่ยวข้องกันก็ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องอยู่ที่นี่กับคนคนนี้

ภูผาวาดแขนมาเกี่ยวคอผมเข้าไปและจูบมุมปากโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมไม่ได้ขัดขืนเพราะรู้ว่าถึงจะขัดขืนยังไงก็สู้แรงของหมอนี่ไม่ได้

“ผมจะไม่ปล่อยพี่ไปไหน จะผลักไสยังไงผมก็ไม่ไป”

“ทำไม”

“เพราะ.....พี่เป็นคนสำคัญ”

ตึกตักๆๆ

แค่คำพูดที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าไม่กี่คำก็ทำเอาหัวใจผมเต้นแรง ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร แต่มาตอนนี้คนที่ทำให้ผมใจเต้นแรงกลับเป็นผู้ชายด้วยกันเนี่ยสิ

“ฉันไม่ใช่คนสำคัญอะไรของนาย เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว”

ผมผลักภูผาออกและลุกออกไปจากโซฟา ตรงเข้าห้องนอนและปิดประตู

ผมทรุดเข่าลงนั่งกับพื้นแผ่นหลังพิงแนบประตู คำพูดของภูผาทำให้ผมใจเต้นแรงไม่ไม่สงบลงง่ายๆ

ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้ามาจนผมเวียนหัว

ก๊อกๆ....

“พี่ ผมต้องไปทำงาน มีงานด่วนเข้ามาน่ะ”

“........”

เสียงภูผาเงียบลง ผมไม่ได้ตอบรับคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตู

ผมเปิดประตูออกไปและเจอแค่ห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า เดินไปที่ประตูก็พบว่าเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเก่งที่ภูผาชอบห้อยไว้ใกล้ๆชั้นวางรองเท้าก็หายไปด้วย

ผมเดินย้อนกลับมาที่หน้าต่างและเปิดประตูเดินออกไปที่ระเบียง มองเห็นรถของภูผากำลังแล่นออกไป ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาไม่หยุด

เฮ้อ....

ผมถอนหายใจออกมาเสียทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนโซฟา แก้วกาแฟยังวางอยู่ที่เดิมแต่มันเย็นชืดไปหมดแล้วและผมก็ไม่ได้สนใจจะยกมันขึ้นมาแตะริมฝีปากอีก

สองมือของผมเริ่มสั่นแปลกๆ มันบอกให้รู้ว่าอารมณ์ผมกำลังดิ่งดาวน์ ผมต้องหาอะไรสักอย่างทำเพื่อฆ่าเวลาและสิ่งเดียวที่ผมมีก็คืองาน

ผมเปิดแล็บท็อปหาดูการประมูลที่อสังหาริมทรัพย์สวยๆจนได้ที่ถูกใจก่อนจะส่งเมล์ให้เลาขาประจำตัว

ผมทำมันซ้ำๆและจมอยู่กับสิ่งที่ผมเรียกว่างานจนลืมดูเวลา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่

RRRRRRRRRRRR….

โทรศัพท์ที่ผมยังถือไว้ในมือสั่นจนผมสะดุ้งตื่นและกดรับสายอย่างมึนงง และไม่ทันได้สังเกตเบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ

“ฮัลโหล....”

(พี่.......)

“หืม?”

เสียงภูผาขาดช่วงไปแค่นั้น ผมเอาโทรศัพท์แนบหูอยู่สักพักก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีกเลย

“เห้ย ถ้านายไม่พูดฉันจะวางละนะ”

ผมเริ่มหงุดหงิด บวกกับอาการสะลึมสะลือของคนที่นอนไม่อิ่ม

แต่ว่าผมกลับรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล

“ภูผา?”

(..............) ปลายสายเงียบกริบ ไม่นานก็มีเสียงไซเรนดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงผู้คนที่ดูจะวุ่นวายกันอยู่

ตึกตักๆๆๆ

หัวใจของผมเต้นรัวทำให้ผมตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที

ผมดีดตัวลุก ในมือถือโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้ว มันสั่นจนผมแทบจะควบคุมไม่อยู่

นี่มันอะไร ความรู้สึกเหมือนกับเมื่อสองปีที่แล้วไม่มีผิด

เหมือนตอนที่ผมสูญเสียเคียงดาวไป

ผมพยายามพาตัวเองลุกขึ้นยืนแต่เรี่ยวแรงของผมกลับไม่เหลือพอให้เดินต่อแม้แต่ก้าวเดียว

โครม!

ผมล้มลงไม่ทันระวังจนปัดแก้วกาแฟบนโต๊ะหล่นตามไปด้วย ผมพยายามลุกขึ้นแต่ขาสองข้างกลับไม่มีแรงเลย อีกครั้ง และอีกครั้ง ความขัดใจทำให้ตาสองข้างของผมเริ่มร้อนผ่าวและน้ำตาเริ่มจะรื้นขึ้นมาบดบังภาพตรงหน้าจนโย้เย้

ชึ่บ!

มือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าผมประจวบเหมาะที่น้ำตาหยดแรกของผมร่วงเผาะลงบนมือข้างนั้นพอดี

แปะ....

ผมเงยหน้ามองไล่ขึ้นไปหาเจ้าของมือข้างนั้น ภูผาสภาพเปียกชุ่มไปทั้งตัวส่งยิ้มเจื่อนๆมาให้

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของเราทั้งคู่นอกจากรอยยิ้มเจื่อนบนหน้าของคนตรงหน้าผมที่ดูยังไงก็ตลกไม่ออก ผมรีบหันหน้าหนียกแขนปาดน้ำตาออกไปลวกๆ

“กะ กลับมาแล้วเหรอ”

“อื้ม กลับมาแล้ว”

ภูผาตอบผมสั้นๆก่อนจะคุกเข่าลงมาและกอดผม

“ตกใจมากเหรอ”

“ใครตกใจ ฉันสบายดีหรอก”

ผมรีบตอบกลับแต่ภูผากอดผมแน่นกว่าเดิม ใบหน้าผมซบเข้ากับสาบเสื้อเปียกชุ่มของอีกฝ่ายและมันทำให้ผมได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อจนฉุนขึ้นจมูก

ผมรีบดันตัวออกห่างและกระชากสาบเสื้อของภูผาออก คราบเลือดยังเหลือให้เห็นจางๆที่ไหปาร้าและพอเอามือทาบลงบนเสื้อเชิ้ตตัวในของอีกฝ่ายเลือดสีแดงก็ติดมือออกมาจริงๆ

“อึก!”

“เกิดอะไรขึ้น!”

“อ่า แค่บาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างปฏิบัติหน้าที่น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

แน่นอนว่าผมไม่เชื่อ ผมกระชากคอเสื้อภูผาลงมาจนเห็นผ้าปิดแผลปิดทับบนอกและมีเลือดซึมออกมาเป็นวง นี่เหรอที่ว่าเล็กน้อย และเหมือนการกระทำของผมจะแรงไปหน่อย ทำให้ภูผาถึงกับหลุดเสียงร้องออกมาพร้อมกับสีหน้าบิดเบี้ยว

“อึก!”

“ขะ ขอโทษที”

“พี่จะฆ่าผมรึไงเนี่ย เจ็บ”

“น้อยๆหน่อย ใครที่บอกว่าเล็กน้อยล่ะ ห๊ะ!!!”

ผมรีบผลักภูผาออกห่างตัวและลุกขึ้นยืนแต่ก่อนจะได้เดินหนีมือเย็นๆของภูผาก็คว้าข้อมือของผมเอาไว้ก่อน

“ผมขอโทษ ตอนนี้ผมเจ็บจนลุกไม่ไหวแล้ว”

“คิดว่าจะเชื่อไหม”

“ผมเจ็บจริงๆ แถมตอนนี้ก็หนาวมากด้วย”

“ก็ไปจัดการตัวเองซะสิ มานั่งอยู่ทำไม”

“ลุกไม่ไหวครับ”

“......”

“ช่วยผมหน่อย นะๆๆๆ”

เฮ้อ....

สุดท้ายก็ใจอ่อน ผมกลายเป็นคนใจอ่อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ผมช่วยหาเสื้อผ้าให้และเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยแผลเย็บขนาดใหญ่ที่กลางอกของภูผา

“นายเคยผ่าตัดหัวใจมาเหรอ”

“...ปลูกถ่ายหัวใจใหม่น่ะ” ภูผาตอบ

ผมเผลอยกมือลูบรอยแผลนั้นตั้งแต่จุดแรกไล่ลงมาจนสุดความยาว ก่อนจะย้ายมือมาทาบลงบนหน้าอกตำแหน่งที่หัวใจเต้นอยู่ รู้สึกแปลกๆยังไงบอกไม่ถูก ฝ่ามือสัมผัสกับจังหวะหัวใจของอีกฝ่ายหัวใจผมก็พลอยจะเต้นแรงและตื้นตันขึ้นมาเสียดื้อๆ

หมับ...

ภูผาทาบมือลงบนมือของผมและกระชับมันแน่นจนผมรู้สึกเจ็บและรีบดึงมือกลับ

“เดี๋ยวก็เป็นหวัด รีบใส่เสื้อผ้าซะ”

ผมลำล่ำละลักบอกคนตรงหน้าและหยิบเสื้อผ้าชุดเดิมพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผลไปเก็บที่เดิม หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่เริ่มสงบลงแต่มันก็ยังทำให้ผมหายใจไม่ค่อยเป็นจังหวะ

ผมมองตัวเองในกระจกในห้องน้ำ ขอบตาผมยังแดงระเรื่อและออกจะบวมไปสักหน่อย

นึกถึงตอนที่ได้รับโทรศัพท์และได้ยินเสียงไซเรนเข้ามาในสาย หัวใจของผมมันบีบตัวจนผมหมดแรง

มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมสูญเสียน้องสาว และมันทำให้ผม.....กลัว

“ฮะ....ฮะๆๆ”

ผมหลุดเสียงหัวเราะแห้งๆออกมา มันแทบจะไม่เป็นเสียงหัวเราะเพราะมันแหบแห้งจนไม่มีใครได้ยิน ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวและเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกที แต่คราวนี้มีภูผาสะท้อนอยู่ในกระจกด้วย เขาเดินเข้ามาซ้อนกอดผมจากด้านหลังและซบหน้าลงบนไหล่ผม

“ทำอะไร ไปนอนซะ”

“ผมนอนไม่หลับ นอนกับผมหน่อยสิ”

“ไม่นอน ปล่อย”

“พี่นอนกับผมหน่อยสิ”

“บอกว่าไม่นอนไง”

“พี่ไม่นอนผมก็ไม่นอน”

นี่มันอะไรกันเนี่ย ไอ้เด็กบ้านี่

สุดท้ายผมก็ยอมขึ้นเตียงมานอนกับมัน

ภูผานอนตะแคงเพราะยังเจ็บแผลแต่มันก็ยังไม่วายจะกอดผมเอาไว้เหมือนหมอนข้าง นอนไปไม่ถึงสิบนาทีภูผาก็หลับสนิท

“ประเสริฐจริงๆเอาฉันมาเป็นหมอนข้าง”

ผมบ่นกระปอดกระแปดมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับ พอดูดีๆแล้วหน้าตาเจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาเอาการ เริ่มสงสัยแล้วสิว่ามันมีแฟนกับเขาบ้างรึเปล่า

แต่ว่าทำไมกันนะ พอคิดเรื่องแบบนี้แล้วในอกผมมันอึดอัดแปลกๆชอบกล

บ้าแล้วธารา แกกำลังเป็นบ้าไปแล้ว

ความง่วงทำให้ผมเคลิ้มจะหลับช้าๆ และหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย

ธารา ฉันคิดถึงพี่จัง......

ฉันจะอยู่กับพี่ตลอดไป.....

เสียงเคียงดาวกำลังพูดกับผม

นี่ผมกำลังฝันอยู่อย่างนั้นสินะ

ธารา...

เธอกำลังเรียกผม..........

ผมสะดุ้งตื่นเพราะมีไอร้อนมาสัมผัสผิว ที่มาของไอร้อนแสบผิวนั้นมาจากคนที่นอนอยู่ข้างๆนี้เอง

ภูผาไข้ขึ้น ตัวร้อนราวกับไฟ

ผมลุกเดินไปเตรียมกะละมังกับผ้ามาเช็ดตัวให้อีกฝ่าย และหาหยุกยาให้กิน เชื่อเขาเลยถ้าอยู่คนเดียวก็คงจะนอนซมแบบนี้ไม่มีใครดูแลสินะ

หลังจากกินยาและหลับไปอีกครั้งภูผาค่อยๆดีขึ้นและตื่นขึ้นมาในช่วงสายของอีกวัน

“ธารา..........”

“ตื่นแล้วเหรอ”

ผมนั่งอยู่ขอบเตียงและเปลี่ยนผ้าเย็นผืนใหม่ให้อีกฝ่ายพอดี ภูผาจับมือผมไปแนบแก้มตัวเองทันที

“เฮ้ย”

“เย็นสบายดีจัง”

“แหงล่ะ มือฉันแช่น้ำเย็นมานี่”

“อืม”

“ปล่อยได้แล้ว”

“ขออยู่แบบนี้อีกหน่อยนะ”

“ฉันจะทำแผลให้ใหม่”

พูดเท่านั้นภูผาจึงได้ยอมปล่อยมือ ผมจัดชุดทำแผลและเปลี่ยนผ้าปิดแผลให้ภูผา รอยแผลที่เหมือนจะถูกของมีคมเฉือนลึกกว้างประมาณสองนิ้ว ดูจะไม่สาหัสแต่ก็ดูจะเจ็บเอาเรื่อง ผมใส่ยาและปิดผ้าพันแผลเรียบร้อย ทว่า สายตาของผมยังไม่วายจะมองดูรอยผ่าเย็บกลางอกของภูผา

ความสงสัยนำพาให้ผมอ้าปากถามออกไป

“นาย....เปลี่ยนหัวใจใหม่เมื่อไหร่เหรอ”

“2 ที่แล้ว”

ภูผาตอบผมพร้อมหันหน้าไปอีกทาง เหมือนกำลังหลบสายตาผม การกระทำไม่เหมือนกับคนที่ผมรู้จักเลยสักนิด ผมอยากรุ้มากกว่าคำตอบสั้นๆเมื่อครู่ แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่อยากพูดผมจึงเลือกจะเงียบไปดีกว่า

“อยากให้ผมเล่าให้ฟังไหม”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องหัวใจใหม่ของผม”

“ฉันไม่อยากรู้”

“ฮะๆๆ หน้าพี่มันฟ้องซะขนาดนั้น”

“เฮอะ!”

ก็จริงที่ผมอยากรู้แต่มันสำคัญอะไร ในเมื่อผมไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมัน

“พักผ่อนต่ออีกหน่อยเถอะ”

ผมเตรียมจะลุกออกไปแต่ภูผาคว้าข้อมือผมและดึงให้กลับลงไปนั่งเหมือนเดิม สีหน้าของภูผาเหมือนจะอยากบอกอะไรผม

ผมถอนหายใจและยกมือวางทับกับมือข้างนั้นอีกที

“ถ้าทำให้สบายใจก็เล่ามา”

“พยุงผมนั่งหน่อย”

“ได้คืบจะเอาศอกรึไง”

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นสุดท้ายผมก็ยอมพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนที่จัดไว้ตรงหัวเตียง ภูผามองหน้าผม สีหน้าและแววตาของเขาดูจะเศร้ายังไงชอบกล

“หัวใจดวงนี้มีคนให้ผมมาน่ะ”

“อืม”

“สองปีก่อนที่อเมริกา เธอประสบอุบัติเหตุ แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายของลมหายใจเธอต้องการบริจาคอวัยวะ และหัวใจดวงนั้นของเธอก็ถูกเปลี่ยนถ่ายให้กับผมที่กำลังจะตาย.....ผมเป็นหนี้ชีวิตเธอ”

ผมนั่งฟังคำพูดของภูผา แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งฟังหัวใจของผมยิ่งเต้นแรง

“ตลอดสองปีที่ผ่านมาผมไปเยี่ยมเธอ ไปหาครอบครัวของเธอ และผมก็ตามหาคนสำคัญของเธอ ผมต้องการตอบแทนในสิ่งที่เธอให้กับผม ด้วยการดูแลคนสำคัญของเธอคนนั้นให้ดีที่สุด”

“นายตามหาคนคเดียวท่ามกลางคนทั้งโลกไม่ได้หรอก...นายจะรู้จักคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าค่าตาได้ยังไง”

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ในขณะที่หัวใจของผมยังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

ภูผามองหน้าผม แววตาคู่นั้นที่จ้องมาให้ความรู้สึกยินดีและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน

"คนคนนั้น......อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้แล้วนี่ไง"

ตึกตักๆๆๆ........

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา