โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )

6.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20.40 น.

  43 บทที่
  2 วิจารณ์
  22.71K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ข้าที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันทั้งวันเด็กชายตัวน้อยเหมือนตกอยู่ในภวังค์   ในหัวมีเรื่องราวมากมายวุ่นวายสับสน   ทั้งเรื่องที่เป็นไปได้และเรื่องที่เป็นไปไม่ได้   ดารีลจากไปแล้วจริงๆ หรือจากกันโดยยังไม่ทันเอ่ยคำลา   ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร   ภาพจำสุดท้ายยังเป็นดารีลที่หัวเราะร่าเริงในเมืองที่ล่มสลายไปแล้วอย่างแพสทรูแลนด์   เขาผู้อารมณ์ดีอยู่ได้แม้ถูกใส่ความและโดนจองจำโดยไร้ซึ่งความผิด   คนแบบนี้สามารถคิดสั้นได้จริงหรือ

 

เพื่อนๆ ของเขาได้กลับไปในตอนเย็นของวันนั้น   ฟิโลโซเฟอร์เดินตามหลังขบวนเกวียนไปเรื่อยๆ จนขบวนเกวียนทิ้งห่างลับสายตา   แต่เขาก็ยังไม่หยุด

 

ในที่สุดก็เดินมาถึงสี่แยกหัวมุมถนน   แต่จิตใจของเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใดนอกจากคนผู้เดียว   เด็กชายตัวน้อยหยิบกระพรวนทองเหลืองออกมาด้วยความรู้สึกว้าวุ่น   กลัวความจริงที่ต้องรับรู้

 

พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเทือกเขาสีดำทอดตัวยาวเหยียด   ซาเหวจลอร์ดอย่างนั้นหรือ   ใช่คนเดียวกับที่เขาฝันถึงอยู่เสมอไหมนะ

 

“ ถ้าเจ้าพาเขาไป   ข้าจะตามทวงคืนแน่   ต่อให้ต้องง้างทั้งเทือกเขาปีศาจนั่นก็ตามที ”

 

เด็กชายประกาศกับตนเอง

 

เขาก้มลงมองกระพรวนในมือ

ของสิ่งนี้ดารีลมอบให้เมื่อนานมาแล้ว

 

บอกว่าหากเขาสั่นกระพรวน

ดารีลจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรและจะตอบสนองเขา

 

เว้นแต่ว่า

หากหนุ่มน้อยคนนั้นตายแล้ว

 

ดารีลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่เป็นทางเดียวที่จะรู้

แต่เด็กชายก็หวาดกลัวเหลือเกิน

 

สุดท้ายความคิดถึงก็มีมากกว่า

เขาจึงกลั้นใจสั่นกระพรวน

เสียงของมันหวานใสเหมือนเช่นเคย

 

ฟิโลโซเฟอร์ยืนนิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป

สายลมพัดแผ่วๆ แต่มันคือลมทุ่งที่เขารู้จักดี

หาใช่สิ่งที่เขาต้องการไม่

 

อึดใจต่อมาเด็กชายจึงแผดเสียงร้อง

 

“ ดารีล   ข้ารู้เจ้ายังอยู่หยุดเสียที   อย่าทำแบบนี้ ”

 

ทันใดก็มีลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง

เป็นลมที่เศร้าโศกและอ้างว้าง

 

ฟิโลโซเฟอร์โล่งใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับที่

เขาก้มลงพูดกับกระพรวนทองเหลือง

 

“ กลับมาเถอะ   อย่าไปไหนไกลเลยข้ารอเจ้าอยู่ ”

 

แล้วก็นั่งรออยู่ตรงนั้น

หวังว่าจะเห็นพ่อมดน้อยขี่ม้ามาตามถนน

เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า

เหล่านกกลางคืนเริ่มโผบินอีกครั้ง

 

ฟิโลโซเฟอร์จึงตัดใจ

เดินคอตกกลับบ้าน

 

บางทีดารีลอาจอยู่ไกลไป

ต้องเดินทางหลายวัน

 

แต่ไม่เป็นไรหรอก

เขารอได้

 

แค่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่

ก็ดีใจมากแล้ว

 

เด็กชายตัวน้อยกลับเข้าบ้าน

รับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย

 

แล้วนั่งทำงานเรื่อยเปื่อยจนดึก

จึงขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา

อันเป็นห้องนอนส่วนตัวของเขา

 

ทันทีที่เดินพ้นบันได

เขาก็มองเห็นสิ่งหนึ่งตรงริมหน้าต่าง

 

ที่ๆ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา

ร่างในชุดคลุมดำนั่งกอดเขาอยู่ตรงนั้น

โดดเดี่ยวและเศร้าหมอง

  

ฟิโลโซเฟอร์รีบวิ่งเข้าไปหาทันทีที่จำได้

เขานั่งลงตรงหน้าหนุ่มน้อยคนนั้น

 

“ เจ้าหายไปไหนมา   รู้ไหมทุกคนเป็นกังวลกันมาก ”

 

เด็กน้อยเอ่ยถาม

วางมือบนแขนของคนผู้นั้นอย่างห่วงใย

 

“ ข้าไปมาหลายแห่ง   ทั้งป่าลึก   แม่น้ำใหญ่หรือแม้กระทั่งในถ้ำกลางหุบเขา   แต่ไม่มีที่ใดเลยที่จะสามารถอยู่อย่างเป็นสุข   ทุกสิ่งที่เคยมีได้ล่มสลายไปหมดแล้ว   ข้าเหมือนตัวคนเดียวหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง   ไม่อาจคาดหวังสิ่งใดได้อีกต่อไป ”

 

ฟิโลโซเฟอร์จับใบหน้าของดารีล

บังคับให้จ้องตากับเขา

ภายใต้แสงสว่างของเงาจันทร์

 

“ ข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคนเจ้าอย่าพูดว่าตัวคนเดียว   ไม่ว่าเป็นหรือตายสุขหรือทุกข์ข้าจะไม่หันหลังให้เจ้า   เพราะฉะนั้นจงอย่าโศกเศร้าไปเลย ”

 

ดารีลปิดปากเด็กน้อยเอาไว้

ก่อนที่จะพูดอะไรมากมายกว่านี้

 

“ เจ้าหญิงลูเซียน่าเพียงผู้เดียวที่รักข้าอย่าจริงใจ   สุดท้ายต้องมาจบชีวิตเพราะข้า   ฉะนั้นเจ้าอย่าคิดเดินเคียงข้างข้าเลยนะ   ข้าที่ไม่สามารถปกป้องใครได้อีกต่อไป   หากยังดึงดันอยู่เช่นนี้ชะตากรรมของเจ้าจะไม่ต่างจากนาง   เจ้ายังมีคนข้าหลังอีกมากมาย   ปล่อยข้าให้มอดไหม้ในกองเพลิงเพียงลำพังเถิด ”

 

“ อย่าห่วงไปเลยข้ามิใช่เจ้าหญิงลูเซียน่าและข้าแกร่งกว่านาง   เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องปกป้องข้าแต่เป็นข้าต่างหากที่จะปกป้องเจ้า ”

 

ดารีลไม่ตอบว่าอะไร

เขาแค่ซบหน้าลงบนเข่าของตนเอง

เก็บความเศร้าโศกและเจ็บแค้นไว้ในใจ

แต่เพียงผู้เดียว

 

เด็กชายตัวน้อยอยากรู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น  

เขาหนีออกจากวงล้อมของเหล่ามังกรได้อย่างไร

และตอนนี้ร่างของเจ้าหญิงลูเซียน่าซ่อนอยู่ที่ใด

 

แต่กลัวว่าคำถามเหล่านั้น

จะไปทิ่มแทงหัวใจที่กำลังเจ็บช้ำ

จึงเลือกที่จะมองข้ามไป

 

“ เจ้าไม่เป็นไรนะ ”

 

เด็กชายเอ่ยถามอีกครั้ง      

 

“ ข้าที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง   ส่วนอีกครึ่งยังหาหนทางไม่พบ   ดังหมุนวนอยู่ในกับดักที่ไร้ทางออก   ถ้าหากพูดว่าไม่เป็นไร   มันคงเป็นแค่คำโกหก ” 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา