คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  17.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

28) 00 28

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
00 28
 
“ขอบคุณมากครับ”
“อืม” ใบหน้านุ่มนวลพยักหน้ารับ ตอบว่า “ตั้งใจเรียน”
อินทรชิตหน้าแดงเรื่อ เขายิ้มกว้างขณะยืนมองคุณพฤกษ์ขับรถจากไป ในอกพลันอุ่นวาบขึ้นมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาบบนตำแหน่งดวงใจ ก้อนเนืัอข้างในนั้นเต้นเร่าน่ากลัวราวกับจะระเบิดออกมา
เขาจะตายไหม เขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย..
“มึงยืนยิ้มอะไรวะ เสพกัญชาแต่หัววันเลยเรอะ”
อินทรชิตหันกลับเข้าไปในโรงเรียน เห็นเด็กหนุ่มหัวแดงแสบทรวงยืนขมวดคิ้วมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ เขาเบิกตาโพลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ทันที
“มึง! ” เขากำคอเสื้ออีกฝ่าย ดึงเข้ามาประชิดโดยแรง
อัคราผงะ เด็กหนุ่มมีสีหน้าตกใจ หลับตาปี๋และทำท่าทางเขินอาย
“มึงจะทำอะไร ..ไอ้บ้า กูมีพ่อมีแม่นะ”
อินทรชิตไม่ได้สนใจท่าทางกระมิดกระเมี้ยนนั้น เขาถามคำถาม
“เมื่อกี้เห็นอะไร! ”
“ห๊ะ” อัคราทำหน้ามึน
“ถามว่าเมื่อกี้มึงเห็นหน้าคนในรถไหม!? ”
“ในรถอะไร” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “กูเห็นแค่มึงยืนยิ้ม”
อินทรชิตเหมือนจะได้สติกลับคืนมา เขาปล่อยมือจากคอเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่ พูดว่า
“ขอโทษ”
“มึงเป็นอะไรมากไหมวะ” อัคราจัดคอเสื้อตนเอง “ท่าทางมึงดูไม่ชอบกูนะ”
อินทรชิตหันควับมามอง ดวงตาเข้มขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“เปล่า” เขาตอบไปแบบไม่ได้ใส่ใจนักก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเรียน อัครายักไหล่ มองแผ่นหลังอีกฝ่ายก่อนจะเดินตามเข้าไปอีกคน
อินทรชิตไม่ได้สังเกตุบรรยากาศรอบโรงเรียนในตอนประชุมผู้ปกครองมากนัก ตอนที่เดินเข้าไปจึงถือโอกาสนี้ลอบสังเกตโรงเรียนเก่าของคุณพฤกษ์โดยละเอียด
ที่นี่กว้างขวางและใหญ่โตมาก นอกจากตึกเรียนตึกกิจกรรมหลายตึกยังมีสนามกีฬาและโรงยิมอีกยิบย่อยมากมาย นักเรียนที่เดินสวนเขาไปมาต่างพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษและมีบ้างที่ได้ยินภาษาที่สามปะปนกันไป อินทรชิตใจเต้นแรง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำในกาลก่อน เขามักเห็นคุณพฤกษ์สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเขาในตอนนี้แล้วพูดภาษาอังกฤษชนิดที่รัวจนฟังไม่ทัน คุณเขาเก่งมาก พูดได้ทั้งอังกฤษ จีนและฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะรอบด้าน อินทรชิตนั้นเห็นคุณพฤกษ์เป็นแบบอย่างมาเสมอ เพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มีความสามารถทัดเทียมอยู่ในระดับเดียวกับสายตาอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเรียนเก่งมากแค่ไหน ประสบความสำเร็จมากมายเพียงไร ...คุณพฤกษ์ก็ไม่เคยมองมาที่เขาสักครั้ง
มิหนำซ้ำพอเห็นว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าขั้นหนึ่งก็ตั้งแง่กับเขาเป็นปรปักษ์เสียอย่างนั้น ทั้งที่จริงเขาไม่เคยคิดจะแข่งขันกับคุณพฤกษ์ด้วยซ้ำ เขาแค่ต้องการคำชมจากอีกฝ่ายว่าเขาเป็นคนเก่ง อินทรชิตต้องการแค่นั้น
“เฮ้ย ๆ เกรดสิบเรียนชั้นนี้ มึงจะไปไหน”
เสียงเข้ม ๆ ของอัคราเรียกเขา อินทรชิตกระพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังเดินขึ้นบันไดไปยังเกรดสิบเอ็ด เขาเดินกลับลงมาทันทีพร้อมกับใบหูที่เริ่มแดงเพราะกระดากอาย
“มึงไม่พูดอังกฤษหรือไง” อินทรชิตถามแก้เก้อ
“ไม่อะ” อัครายักไหล่ “กูชอบพูดไทย”
“ตอนเรียนต้องพูด”
“ก็ตอนเรียนดิ”
อินทรชิตคร้านจะโต้แย้ง เด็กหนุ่มเดินผ่านร่างของอัคราไปโดยไม่พูดอะไร พอมองเห็นป้ายหน้าห้องเขียนว่าห้องเอก็รีบแทรกตัวเข้าไปทันที เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นเพื่อนร่วมชั้นไม่ถึงสิบคนนั่งกระจัดกระจายไปตามโต๊ะต่าง ๆ ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงแล้ว ที่นี่ไม่มีการเข้าแถวและไม่มีห้องเรียนประจำจึงทำให้นักเรียนมีเวลาว่างไปทำธุระส่วนตัวก่อนเริ่มคาบแรก
อินทรชิตกำลังหาที่นั่งเหมาะ ๆ เขาจะไม่นั่งด้านหน้าสุดเพราะนั่นดูเหมือนคนที่ตั้งใจเรียนเกินไป ที่นั่งด้านหลังสุดก็ไม่เอาเหมือนกันเพราะไม่อยากถูกผู้สอนเพ่งเล็งมากกว่าคนอื่น สุดท้ายเขาจึงเดินมานั่งโต๊ะแถวกลาง ๆ ด้านข้างที่ไม่เป็นจุดเด่นในสายตาใคร
“เลือกที่ได้ห่วยมาก” อัคราเดินมาทิ้งตัวลงข้าง ๆ
อินทรชิตหรี่ตา “มึงก็ไปนั่งที่อื่นสิ”
“กูไม่รู้จักใครนี่หว่า” เด็กหนุ่มว่าพลางเสยผมสีแดงของตนเองไปด้านหลังและนั่งเอกเขนกเหมือนนักเลงคุมถิ่น อินทรชิตเหลือบตามอง เห็นสายตาสงสัยของหลายคนมองมาจึงหันไปปรามอีกฝ่าย
“นั่งดี ๆ ไม่ได้หรือไง” อินทรชิตว่า “คนมองมึงอยู่”
“what's your problem? ” เขาแสร้งพูดลอย ๆ “กูไม่ได้ไปนั่งบนหัวพ่อใครเสียหน่อย”
เพียงเท่านั้นแหละ เพื่อนรวมห้องนับสิบก็เก็บสายตาอยากรู้อยากเห็นกลับไปในทันที อินทรชิตถอนหายใจ ดูท่านิสัยกร่าง ๆ ของมันคงจะมีมาตั้งแต่เด็กแบบนี้เลยกระมัง ตอนเป็นผู้ใหญ่ถึงได้ดูโหดเหี้ยมโฉดชั่วปานนั้น
เขาหันไปมองอัคราอีกครั้งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรไปเรื่อย
..หากว่ากันตามจริง อัครากับเขามีศักดิ์เป็นญาติกัน สิงหาพ่อของเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของสิงหลที่เป็นพ่อของอัครา ดังนั้นเขาทั้งคู่จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ในกาลก่อนอัคราเกิดก่อนเขาห้าปี อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพฤกษ์ แต่ตอนนี้ไม่รู้จับพลัดจับผลูอีท่าไหนถึงได้เกิดปีเดียวพร้อมกัน อินทรชิตไม่อยากคิดถึงเรื่องช่วงเวลาที่เขาได้ย้อนมามากนัก เพราะนั่นดูไม่สมเหตุสมผลตามตรรกะสักอย่าง เขายังไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าตนเองได้ย้อนอดีตกลับมาจริง ๆ แต่พอคิดว่าอะไรที่ทำให้ตัวเขาในอนาคตย้อนอดีตกลับมาได้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าโลกแห่งนี้มันเรียกว่าอดีตได้หรือเปล่า เพราะในเมื่อมันไม่ใช่อดีตที่เขารู้จัก คนที่ตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ คนที่ควรเกิดก่อนดันเกิดมาพร้อมกัน หรือนี่จะเป็นโลกคู่ขนาน? หรือเพราะเขาและคุณพฤกษ์ต่างก็เปลี่ยนแปลงอดีตเลยทำให้กาลเวลาบิดเบี้ยว? ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่และเพื่อแก้ปัญหาตรงนั้นเขาเลยเลือกที่จะปัดเหตุผลข้อนี้ไปอยู่ในเรื่องเหนือธรรมชาติแทนเสียดื้อ ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งตกตะกอนคิดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้ปวดสมอง
ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้เขาควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อดี?
แรกเริ่มเดิมทีแผนในการดำเนินชีวิตครั้งใหม่นี้ไม่มีอัคราอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ เขาคิดว่าฉัตรตะวันคือคนที่มาทำหน้าที่แทนอีกฝ่าย ให้ตายเถอะ ลำพังแค่ไอ้คุณฉัตรเพื่อนรักนั่นเขาก็แทบไม่มีทางจะสู้อะไรได้อยู่แล้ว นี่ยังมีโจทก์เก่าที่เป็นเสี้ยนตำใจเขามาหลายสิบปีโผล่มาอีก คิดมาถึงตรงนี้อินทรชิตก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจับจิตจับใจ ฉัตรตะวันที่ว่าหน้าซื่อใจคดยังไม่น่ากลัวเท่าถ่านไฟเก่าที่ยังไม่มอดดับอย่างอัครา
จะเป็นอย่างไรหากคุณพฤกษ์ได้เจอกับคนรักของตนเอง? คุณเขาจะยังมีเยื่อใยกับมันอยู่หรือเปล่า? จะทำอย่างไร? จะรู้สึกแบบไหน? จะรักมันไหม? จะคิดถึง จะโหยหามันหรือเปล่า? อินทรชิตพลันเจ็บเสียดขึ้นมากลางอก เด็กหนุ่มขบฟันกรามแน่นอย่างคับแค้นใจปนริษยา เขาไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น!
..งานนี้ดูท่าจะตึงมือเกินไปเสียแล้ว
“อัคร” อัคราตาโต เด็กหนุ่มหันขวับมามอง เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเรียกชื่อทั้งที่ทำท่าทางรังเกียจปานนั้น
“วะ ว่าไงวะ”
อินทรชิตหันมามอง ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าดวงตากลับเฉยชาดำมืด น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย
“แลกเบอร์กันปะ? ”
 
พฤกษ์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหยิบแว่นสายตาที่ร่วงอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่ เมื่อทัศนียภาพกลับมาเด่นชัด สิ่งต่อไปที่เขามองหาคือโทรศัพท์มือถือ พฤกษ์อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว
“อืม.. จะรีบไปไหนครับ เพิ่งจะเย็นเอง” ฉัตรตะวันงัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากพฤกษ์เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มขยับตัวเอาหน้าถูไปมาที่เอวบางเปลือยเปล่า พูดออดอ้อนว่า
“นอนต่ออีกหน่อยสิ” และ “ยังกอดไม่หนำใจเลย”
พฤกษ์เอี่ยวตัวก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา หน้าจอของมันนอกจากจะบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วยังมีรอยร้าวเป็นทางยาวอีกสองแห่ง พฤกษ์ถอนหายใจ ดูท่าเมื่อช่วงบ่ายพวกเขาคงจะรุนแรงเกินไปจนไม่ทันระวัง
“ไม่ได้หรอกครับ” เขาตอบเสียงนุ่ม “ผมคลุกอยู่นี่ทั้งวันแล้ว ต้องโผล่ไปให้คนที่บ้านเห็นหน้าบ้าง”
“ก็ค้างเสียที่นี่เลย” ฉัตรตะวันบอก “ไม่มีใครเขาสงสัยหรอก”
“ผมชอบนอนเตียงตัวเองมากกว่า”
“โธ่..” ชายหนุ่มผละออกจากเอวมานอนหงาย “พูดแบบนี้อีกแล้ว คุณทำธุระของคุณเสร็จก็กลับไปทุกที ไม่เคยอยู่ให้ผมกอดนาน ๆ สักครั้ง”
ฉัตรตะวันตัดพ้อ
“ทำอย่างกับผมเป็นเมียน้อย”
พฤกษ์หัวเราะในคอ ก้มลงไปจูบที่หว่างคิ้วเบา ๆ และพูดว่า
“เมียน้อยอะไรกัน ผมก็แค่เป็นเด็กดี ไม่เถลไถลและรีบกลับบ้านเท่านั้น”
“คุณดูติดบ้านจังเลยนะ”
เขายักไหล่ “ก็มันเป็นบ้าน”
“งั้นหรือ” ฉัตรตะวันเหม่อมองเพดาน “บ้านคืออะไรนะ”
“ทำไมคุณฉัตรถามแบบนั้น? ”
“ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มหลับตา “ผมไม่ชอบบ้านตัวเองเท่าไหร่ ไม่ใช่บ้านหรอกที่ไม่ชอบ แค่อยากหนีจากคนที่คาดหวังในตัวผมก็เท่านั้น มาอยู่คอนโดก็ดีเหมือนกัน อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ”
พฤกษ์มองเพื่อนสนิทที่นอนอยู่ พอเห็นใบหน้าหล่อเหลามีความทุกข์ใจปรากฏอยู่ก็ยื่นฝ่ามือไปลูบเบา ๆ ที่ศรีษะ เสียงนุ่มปลอบ
“คุณคงเหนื่อย” พฤกษ์ยิ้ม “บ้านสำหรับผมก็คือบ้าน บางครั้งผมก็ไม่ชอบมันเพราะที่นั่นมีแต่เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับผม แต่บางครั้งผมก็ชอบมันเพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่ที่คุณแม่ใช้ชีวิตอยู่ ท่านมีตัวตนอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนของผม มุมนั่งเล่น ห้องหนังสือและตรงเปียโน ท่านอยู่ที่นั่นกับผม และเร็ว ๆ นี้ผมก็เริ่มคิดได้ว่านอกจากคุณแม่แล้วยังมีอีกหลายอย่างอยู่ในบ้านหลังนั้น ..และอยู่ร่วมกับผมมาตลอด” พฤกษ์นึกถึงบรรดาน้อง ๆ ของตนเอง หลังจากที่เขาปลดล็อคตนเองได้นั้นมันทำให้พฤกษ์ตระหนักรู้ถึงการมีชีวิตมากขึ้น
“คุณดูมีความสุข” ฉัตรตะวันลืมตาขึ้นมองเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง “เข้ากับน้อง ๆ ได้ดีเลยสินะ”
“อืม” เขายอมรับ “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
“ผมดีใจที่คุณมีความสุข” ฉัตรตะวันยิ้มก่อนจะเกลี่ยข้อนิ้วลงบนผิวแก้มนุ่ม ชายหนุ่มกล่าว
“ถึงแม้ว่าตัวตนของคุณที่ผมรู้จักจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปก็ตาม บอกตามตรง ..ผมชอบตอนที่คุณพฤกษ์ทำตัวร้าย ๆ มากกว่า”
พฤกษ์กรีดรอยยิ้มร้าย
“คุณชอบหรือ” เขาเย้า “แบบนั้นมันเร้าอารมณ์ดีใช่ไหม? ”
ฉัตรตะวันไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มกดริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มของอีกฝ่าย พยายามขบเม้มเนื้อนิ่มและสอดลิ้นร้อนเข้าแทรกแซง
ทว่าพฤกษ์กลับดันอกเขาออกห่าง
“หมดเวลาของเมียน้อยแล้วครับ”
ฉัตรตะวันถึงกับหัวเราะดังลั่น
 
นับจากวันนั้นก็ล่วงเลยผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ อินทรชิตแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนว่าเขาจะมีช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้เป็นเวลาราวสามสิบนาทีร่วมกับคุณพฤกษ์ในทุกเช้า
‘นี่มันเกินคำว่าฝันไปมาก ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้’
เด็กหนุ่มอมยิ้มขณะที่ขึ้นมานั่งประจำที่อย่างเช่นทุกวัน คุณพฤกษ์ที่ตามขึ้นมาพอคาดเข็มขัดเสร็จแล้วจึงเอื้อมมือขึ้นปรับกระจก คุณเขาใช้มันเพื่อส่องหาจุดตำหนิเล็กน้อยอย่างเส้นผมที่ชอบกระดกขึ้นหรือขี้ตาที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างนี้ประจำ
“ดูดีแล้ว” คุณพฤกษ์พึมพำกับตนเองขณะที่ลูบขนคิ้ว เสียงทุ้มหวานทำให้เขาแอบอมยิ้มตาม
“อือฮึ” จนพลั้งเผลอตัวครางรับสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป
“ฮ๊ะ? ” เหงื่อตก! คุณพฤกษ์หันมาทางเขาพร้อมสีหน้าชวนสงสัย “พูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ ..ผมเอ่อ.. ” เขาเรียบเรียงคำก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “เห็นด้วยกับคุณครับ”
“เห็นด้วยหรือ..” คุณเขาขมวดคิ้ว “แกหมายถึงอะไร”
อินทรชิตเกาแก้ม “ก็ที่คุณพฤกษ์บอกว่าดูดีแล้ว ผมก็คิด วะ ว่าคุณพฤกษ์ดูดีเหมือนกัน”
“อ้อ” เสียงนุ่มร้อง ก่อนจะทำสีหน้าพึงพอใจ
“แกกำลังบอกว่าฉันดูดีอย่างนั้นสินะ”
“ครับ ..คุณพฤกษ์ดูดีมาก”
อินทรชิตได้ยินเสียงหัวเราะจากลำคออีกฝ่าย เขาไม่กล้าหันไปสบตาจึงได้แต่แสร้งมองออกไปนอกรถ
“อยู่เป็นเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์และขับรถออกไป อินทรชิตที่ได้ยินดังนั้นจึงสวนกลับทันควัน
“ผมไม่ได้คิดจะประจบนะครับ” จริง ๆ ก็แอบคิด บางทีลูกอ้อนอาจจะใช้ได้ผลกับคุณเขาเหมือนอย่างที่มาลีวัลย์ทำอยู่บ่อย ๆ
ทว่ามาลีวัลย์เป็นเด็กสาวตัวเล็กนิดเดียว ทำแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่หากเขาทำบ้าง..
“ถ้าเกิดว่าคุณพฤกษ์ไม่ชอบผมก็ขอ..”
“ฉันชอบ”
เสียงนุ่มเอ่ยอย่างเรียบง่าย ขณะที่อินทรชิตแทบจะสำลักความสุขที่ล้นอยู่เต็มอก เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ คุณเขาพูดว่าชอบกับอินทรชิตเป็นครั้งแรก
ครั้งแรกในชีวิต!
“ครับ.. ชอบหรือครับ” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นทุกความสุขที่แทบทะลักให้คงอยู่ปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ใครบ้างล่ะไม่ชอบคำชม” คุณเขาว่า “แล้วแกเป็นอะไร ทำไมต้องตะกุกตะกักทุกทีที่อยู่กับฉัน กลัวฉันจะกินหัวเอาหรือไง”
“ปะ เปล่า เปล่าครับ”
“นั่นปะไร”
อินทรชิตหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มกอดกระเป๋านักเรียนไว้แน่นก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ
“ผมแค่ตื่นเต้น” เขาพูดในตอนที่รถหยุดวิ่งและสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง ทั้งห้องโดยสารเงียบกริบ คุณพฤกษ์ไม่ได้พูดสิ่งใดแต่อินทรชิตกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังพูด
“ปกติคุณไม่เคยพูดจาดี ๆ กับผมสักครั้ง ถ้าจะพูดก็มีแต่คำด่า คำพูดที่คิดว่าผมจะทนฟังไม่ได้ ไม่ก็คำพูดที่จะทำให้ผมอับอายหรือน้อยใจ พอคุณเริ่มพูดจาปกติ ..ผมหมายถึงพูดเหมือนคนทั่วไปพูดคุยกัน พูดคุยอย่างไม่มีอคติ ไม่มีความเกลียดชัง พอคุณทำแบบนั้นมันก็ทำให้ผมดีใจมาก ๆ แต่มันก็ทำให้ผมต้องคอยระมัดระวังตัวเองมากกว่าเดิม ผมกลัวว่าจะเผลอพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจ ผมไม่อยากให้คุณพฤกษ์หงุดหงิดใส่ผมแบบนั้นอีกแล้ว..”
“...”
“ขอโทษนะครับ ถ้าเกิดว่าการแสดงออกของผมมันทำให้คุณพฤกษ์รำคาญใจ ผมไม่รู้ว่าควรแสดงออกหรือพูดกับคุณได้มากน้อยแค่ไหน”
อินทรชิตพูดรัวไม่หยุด พูดจบก็แทบกลั้นหายใจทันทีเพราะไม่กล้าคาดเดาว่าผลที่ตามมาจากคำพูดนั้นจะเป็นอย่างไร นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดและคงเป็นครั้งแรกที่คุณเขารับฟัง
เด็กหนุ่มเหม่อมองไฟจราจรและเมื่อความเงียบผ่านไปชั่วอึดใจ เสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“เด็กโง่..”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาถูกคุณเขาด่าว่าด้วยคำนั้นมานับร้อยครั้ง เขาอาจจะเป็นคนโง่อย่างที่คุณพฤกษ์ว่า แต่ต่อให้โง่เขลาเพียงใดก็รู้ว่าครั้งนี้น้ำเสียงที่เคยเย้ยหยันเขานั้นแตกต่างออกไป..
“อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป”
“...”
“คิดเสียว่าที่ผ่านมาฉันผีเข้าก็แล้วกัน”
“คุณพฤกษ์ไม่เกลียดผมแล้วใช่ไหมครับ” เขาถามเสียงสั่นเครือ
“ฉันมานั่งคิดดูก็ไม่เห็นเหตุผลที่ต้องเกลียดแกเลย มันเหมือนกับว่าฉันเกลียดเด็กสองคนนั้นแล้วก็พาลมาเกลียดแกไปด้วยอีกคน ฉันคิดว่าตัวเองคงโรคจิต ทำอะไรคุณพ่อไม่ได้ก็เอาความเกลียดชังมาลงกับพวกแก ฉันแค่อยากให้พวกแกสามคนไม่มีความสุข อยากตีจนร้องไห้ อยากให้ทุรนทุราย อยากให้รู้สึกแบบเดียวกันกับที่ฉันเป็น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าพวกแกไม่รู้เรื่องอะไร ยิ่งเด็กสองคนนั้นยิ่งไม่รู้เรื่องแม่ของตัวเอง หน้าแม่เป็นยังไงคงจำกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งที่รู้แบบนั้นฉันก็ยังทำ ..ฟังดูไม่แฟร์ใช่ไหม อืม มันไร้เหตุผล ฉันมันแย่จริง ๆ นั่นแหละ”
“คุณพฤกษ์ไม่ได้เป็นคนแย่ ผมต่างหากที่ไม่ควรเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณตั้งแต่แรก ผมรู้ดีว่าผมเป็นแค่เด็กกำพร้า ตัวคนเดียว ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีสิทธิ์ไปหือกับคุณ ผมเจียมตัวมาตลอด” อินทรชิตหยุดพูดไว้เพียงเท่านั้นแม้ว่าภายในใจอยากจะพูดต่ออีกสักนิดแต่ก็กลัวว่าจะเผยพิรุธออกไป
‘เพราะผมได้เฝ้ามองคุณมานาน ผมรู้ว่าคุณต้องทรมานเพราะใคร ต้องทนทุกข์เพราะใคร ผมเข้าใจในความร้ายกาจนั้นของคุณดี ต่อให้คุณจะด่าหรือทำร้ายผมยังไงผมก็ไม่เคยโกรธสักนิด ที่รัก ..คุณพฤกษ์คนดีของผม แค่คุณหันมามองผมบ้างก็สุขใจแล้ว’
อยากจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้รับรู้ ทว่าความเป็นจริงคุณพฤกษ์ไม่เกลียดเขาในกาลนี้ที่ยังเป็นแค่เด็ก แต่นั่นไม่ได้เหมารวมถึงตัวเขาในกาลก่อนที่เป็นผู้ใหญ่
จะให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด ..จะเก็บเป็นความลับไปตลอดชีวิต
“เขี้ยว” คุณพฤกษ์เรียก เด็กหนุ่มที่จมอยู่ในห้วงความคิดจึงได้สติ
“ยิ่งแกพูดฉันยิ่งรู้สึกแย่ นี่ฉันคงทำชีวิตแกด่างพร้อยไปอีกคนสินะ”
แม้ท้ายประโยคจะพูดเสียงเบาหวิวเหมือนกำลังพูดกับตนเอง ทว่าอินทรชิตกลับได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน คุณพฤกษ์กำลังพูดถึงตัวเขา พงพีและมาลีวัลย์ในวัยผู้ใหญ่ไม่ผิดแน่
“ฉันพูดคำนี้ไม่บ่อย แทบจะไม่พูดกับใครเพราะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองผิด อาจจะสายไปแล้วก็ได้ที่มาพูดเอาป่านนี้..”
เขาหันไปหาคุณพฤกษ์ คิดว่าคุณเขาคงกำลังมองตนเองอยู่ ทว่าผิดคาด อีกฝ่ายกำลังมองไปที่สัญญาณไฟจราจร ที่น่าประหลาดคือแก้มขาว ๆ ข้างนั้นของคุณพฤกษ์แดงซ่านชวนมองราวกับสีของไฟจราจรในตอนนี้ไม่มีผิด
สีแดงเริ่มนับถอยหลัง ..สี่ สาม สอง และหนึ่ง กระทั่งมันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว คุณพฤกษ์จึงพูดต่อไปว่า
“ฉันขอ..”
“อย่าขอโทษผม” เขาแทรกขึ้นขณะอีกฝ่ายกำลังพูด ..นี่เป็นครัังแรกในชีวิตอีกเหมือนกัน
คุณพฤกษ์กระพริบตาปริบ ๆ มองด้วยสีหน้าชวนสงสัย ในตอนนั้นเองที่เสียงแตรถูกบีบไล่มาจากรถยนต์คันด้านหลัง คุณเขาตื่นตระหนกก่อนจะรีบเคลื่อนรถออกไป
อินทรชิตมองการกระทำนั้นพลางยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“ผมไม่เคยโกรธคุณ” เขาพูด
“แกอย่ามาทำเป็นคนดีไปหน่อยเลย” เสียงทุ้มเอ่ย “ที่บอกว่าไม่เคยโกรธมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ ลึก ๆ แกก็เกลียดฉันอยู่บ้างล่ะ”
“ก็อาจจะมีครับ” เขายอมรับอย่างซื่อสัตย์ “แต่มันน้อยมากถ้าเทียบกับอีกความรู้สึก”
“บอกฉันสิ” น้ำเสียงนั้นหยอกเย้า
“ผมน้อยใจ” และเขาก็บ้าพอที่จะพูดออกไป “ผมอยากให้คุณทำดีกับผมแบบนี้มาตลอด”
“...”
“แต่พอคุณทำดีด้วยจริง ๆ ผมก็เริ่มอิจฉาพีร์กับมะลิ ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่น้องของคุณพฤกษ์แท้ ๆ แต่ก็ยังจะคิดแบบนั้น ..คงเป็นเพราะขาดความอบอุ่น”
อินทรชิตทำหน้าหงอยชนิดที่ว่าคนมองปวดใจแทน
‘มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ’ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด
“ก็นึกว่าอะไรเสียอีก” นิ้วเรียวถูกยกขึ้นมาดันแว่นสายตา คุณพฤกษ์พูดเสียงนุ่มนวลว่า
“ได้สิ”
“ต่อไปนี้ฉันจะดีกับแกอย่างที่แกต้องการ”
“อะไรที่ทำให้เด็กสองคนนั้น ฉันจะทำกับแกด้วย”
“หรืออะไรที่เด็กสองคนนั้นทำกับฉัน แกก็ทำแบบเดียวกันได้”
“ไม่ต้องคอยระวังอะไรอีก อยากพูดอะไรก็พูด อยากรู้สึกอะไรก็ตามใจ”
“ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องรื้อฟื้นอดีต ไม่ต้องคิดถึงอนาคตและไม่ต้องกลัวปัจจุบัน”
 
“พักนี้มึงดูหลอนนะ” เสียงห้าวทักขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ข้างสนามบาสเกตบอล อัคราที่ตัวโชกเหงื่อจากการเล่นบาสทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับมองมาด้วยสายตาแพรวพราว
“ยิ้มอะไรอยู่ได้ทั้งวัน มีเมียหรือไง? ”
“เสือก” เขาตอบกลับไปแต่มันดันหัวเราะ
“นั่นปะไร หน้าตาชื่นมื่นขนาดนี้กูว่าชัวร์เลย” อัคราบุ้ยหน้า “หยิบน้ำมาให้หน่อยดิ”
“ไม่ใช่เมีย” อินทรชิตว่าและส่งขวดน้ำให้เพื่อน
“จะจริงเร้อ”
“ไม่รู้ แค่ตอนนี้มั้ง กูไม่รีบ”
“แค่ก! ว่าไงนะ เอาจริงดิ ใครวะ? ”
อินทรชิตหรี่ตาลงต่ำ “มึงอย่ารู้เลย”
"Damn.. ” อัคราหัวเสีย “หัดมีความลับกับเพื่อน”
“คนเรามันก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้สักเรื่องทั้งนั้น”
“อะไรวะ กลัวกูจีบหรือไง” เด็กหนุ่มหยอกเอินทว่าอินทรชิตกลับนิ่งเงียบและไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงแค่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาราบเรียบ เพียงเท่านั้นอัคราก็ร้องออกมาทันที
“เฮ้ย ๆ ๆ อย่าบอกว่ามึงคิดงั้นอะไอ้อินทร์ ไอ้ห่านี่ กูไม่แย่งของ ๆ เพื่อนหรอกนะเว้ย”
“มึงพูดเองนะ” เขาสวนกลับไปทันควัน
“ฮ๊ะ? อะไร!? ”
“มึงจะไม่แย่งของ ๆ กู”
“ฮ๊ะ? ”
“มึง จะ ไม่ แย่ง ของ ๆ กู”
อินทรชิตเน้นชัดและหนักแน่นทุกพยางค์ เล่นเอาอัคราเริ่มทำตัวไม่ถูก
“กูแค่พูดเล่นเอง มึงจริงจังไปหรือเปล่า”
“กูจริงจัง” เขาว่า “สัญญามาก่อนดิ เราเพื่อนกันใช่ไหมล่ะ? สัญญาดิ ถ้ามึงผิดสัญญากูขอให้ตายไม่ดี”
“ว๊อทททท! ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ใจเย็น ๆ ไอ้สัตว์”
อินทรชิตแสร้งยิ้มบาง ๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นบิดเบี้ยวชวนให้อึดอัดไปเสียหน่อย เขาชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าระหว่างตนเองกับอัครา
“ว่าไง? ”
“Are you joking? ”
“....”
“ก็ได้ ๆ อ่ะ สัญญา เกี่ยวก้อยกันเลย กูจะไม่แย่งของ ๆ มึงเด็ดขาด”
อัครายื่นนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวตามที่เขาร้องขอในที่สุด
“สบายใจยัง”
เขายักไหล่ “Sure ”
หลังจากนั้นอัคราก็ถูกเรียกตัวกลับเข้าสนาม อินทรชิตจึงโบกมือส่งเพื่อน เขายืนมองอีกฝ่ายเล่นบาสเกตบอลอย่างบ้าระห่ำอยู่สักพักก่อนจะปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ เพราะต้องเข้าชมรมที่ตึกกิจกรรมเหมือนกัน เขาไม่ได้อยู่ชมรมบาสเกตบอลอย่างอัครา อันที่จริงในกาลก่อนตัวเขาก็อยู่ชมรมบาสนั่นแหละ เคยเป็นถึงนักกีฬาระดับเยาวชนเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาชักจะเบื่อบรรยากาศเดิม ๆ ที่ต้องวุ่นวายกับการเก็บตัวฝึกหนักเพื่อการแข่งขันหรือต้องมาตามงานค้างหลังแข่งทัวร์นาเมนต์ เขาอยากมีเวลาใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง
ตอนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ..เขาไม่ต้องพยายามจนตัวตายเพื่อให้คุณพฤกษ์หันมามองอีกแล้ว
อินทรชิตหยุดเดิน เขาก้มลงมองนิ้วก้อยของตนเอง
“เก็บมันเอาไว้ใกล้ตัวอาจจะดีกว่าสินะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา