เธอ(YOU)

9.8

วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19.24 น.

  11 chapter
  0 วิจารณ์
  5,544 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565 12.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Think Twice

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     

Think Twice

 

***Warning Mention Anesthetics, Murder: มีการกล่าวถึงการใช้สารที่ทำให้ประสาทสัมผัสและการตอบสนองช้าลง กึ่งๆไม่รู้สึกตัว และมีการกล่าวถึงการฆาตกรรม ซึ่งไม่ควรลอกเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง โปรดใช้วิจารณญาณค่ะ

 


 

 

Saturday

At Yinyang Café in The Afternoon

 

 

“สามีขาไม่เจอกันนาน สามีซูบลงนะคะ คงคิดถึงเมียมากใช่มั้ยคะ” ยลภัทรเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเจษลินทร์ พร้อมทำท่าทำทางหอมหัวอีกฝ่าย

“โอ๊ย เก้าปีแล้วที่มึงพร่ำเรียกมันว่าผัว เอเนอจี้ดีไม่เคยตก แต่ถามว่ามึงมีโอกาสได้เขาเป็นผัวมั้ย? ก็ไม่!” ขุนพลเอ่ยขัดคอเพื่อน

“อีขุนพล!กูเกลียดที่มึงชอบเสนอน้ำหน้ามาขัดคอกูกับผัวยิ่งนัก รู้สึกโกรธจนตัวสั่น!”

“เขาไม่ใช่ผัวมึงค่ะนังยลภัทร อีกอย่างนะ นั่นโกรธหรือผีเข้า?”

 "อีขุน!"

เจษลินทร์มองดูสงครามขนาดย่อมที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ เพราะเขาชินแล้วที่สองคนนี้เจอกันทีไรต้องทะเลาะกันทุกที

แต่โชคดีพนักงานมารับออร์เดอร์ก่อน บทสนทนาทั้งคู่จึงได้เปลี่ยนไป

 

 

 

 

“ขอบใจนะ ที่วันนี้อุตส่าห์มา” เจษลินทร์เอ่ยกับเพื่อนทั้งสอง

“ทำเป็นเกรงใจไปได้ แค่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวกูก็วิ่งมาแล้ว”

“กระดิกหางดิ๊กๆ มาด้วยใช่มั้ย” ยลภัทรไม่วายกัดเพื่อน

“มึงโชคดีนะยู ที่วันนี้กูตั้งใจมาคุยธุระกับเจษมัน ไม่ว่างมาทะเลาะกับมึงโว้ย” ขุนพลเอ่ยพร้อมหยิบ iPad ขึ้นมาเปิดหาอะไรสักอย่างแล้ววางกลางโต๊ะให้เพื่อนทั้งสองดู

“นี่เป็นหลักฐานทั้งหมดของคดีฆาตกรรมนางสาวJ ถ้าดูแบบไม่ได้คิดอะไรก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะ ทั้งหลักฐานและคำรับสารภาพ”

“แล้วที่ขุนบอกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ คืออะไรเหรอ” เจษลินทร์ถาม

“ดูในรูปที่เกิดเหตุสิ เราว่ามันแปลก ทั้งๆที่มันต้องมีการต่อสู้กันรุนแรงภายในรถใช่มั้ย แต่ตุ๊กตาและกล่องทิชชูที่วางอยู่หลังรถกลับยังอยู่แบบปกติ ทั้งที่มันอยู่หลังผู้เสียชีวิตเลยนะ จากสภาพผู้ตายคือทั้งโดนบีบคอและโดนแทง คนเรามันจะต้องดิ้นรนมือก็คงปัดป่ายหรือคว้าหาอะไรสักอย่างตามสัญชาตญาณมั้ยล่ะ” ขุนพลอธิบาย

“ถ้าเขาฆ่าเสร็จ แล้วจัดเรียงขึ้นใหม่ล่ะ” ยลภัทรแย้ง

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าเขาเรียงมันใหม่จริง ของพวกนั้นมันต้องเปื้อนเลือดบ้างสิ แล้วอีกอย่าง ถ้าฆ่าคนตายแล้วเอาศพไว้ในรถขนาดนั้น จะมาเสียเวลาจัดเรียงของพวกนั้นทำไมกัน”

เจษลินทร์และยลภัทรพยักหน้าเห็นด้วย

“อีกอย่างนะ ดูรูปผู้ต้องหาสิ เอ่อ เรียกชื่อเขาแล้วกันเนอะ ร่างกาย'ชวินทร์'ไม่มีรอยฟกช้ำหรือแม้แต่รอยข่วนสักแผลเลย ทั้งที่ผู้ตายก็เล็บยาวซะขนาดนั้น”

เจษลินทร์คลิกซูมรูปภาพตามที่เพื่อนบอก ก็พบว่าชวินทร์นั้นไม่ได้มีรอยขีดข่วนแต่อย่างใดจริงๆ

ยลภัทรที่ก้มหน้าก้มตาอ่านรายละเอียดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เท่าที่อ่านจากคำให้การอันแรกของเขา บวกกับหลักฐานทางร่างกายมันสอดคล้องกันอยู่นะ”

“ยังไงเหรอ?”

“ก็ในคำให้การ ชวินทร์บอกว่ามีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก และง่วงซึม ซึ่งผลตรวจร่างกายของเขาก็พบว่ามีสารของยาไซลาซีน มันคือยาสลบที่ใช้กับสัตว์ แต่ถ้านำมาใช้กับคน จะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและทั่วร่างกาย ทำให้อัตราการหายใจลดลง การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมไปจนถึงสลบ ขึ้นอยู่กับขนาดของยาที่ได้รับ ยาตัวนี้ถ้าใส่ในเครื่องดื่มมันจะไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ถ้าใช้เกินขนาดนี่ตายได้เลยนะ”

เจษลินทร์คิดตามที่เพื่อนทั้งสองพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้น

“แบบนี้มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าชวินทร์อาจจะไม่ได้เป็นคนฆ่าผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย อาจจะกินยานั้นเข้าไปแล้วสลบไปตามคำให้การแรกของเขาอ่ะ”

“แต่มีดที่อยู่บนตัวผู้ตายมันมีรอยนิ้วมือเขาอยู่”

“ยู ช่วยดูรูปภาพศพและผลชันสูตรให้หน่อยสิ มีอะไรผิดปกติบ้างมั้ย”

ยลภัทรพยักหน้ารับตามคำขอของเจษลินทร์

ความเงียบเริ่มขึ้นเมื่อทั้งสามนั่งอ่านและพิจารณารายละเอียดคดีนี้กันอย่างจริงจัง

 

 

“เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ มันก็ทะแม่งๆอยู่นะที่แผลรอยมีดแม้ว่าจะแทงตำแหน่งใกล้หัวใจ แต่แผลไม่ได้ลึกขนาดนั้น  ดูจากลักษณะการแทงคนที่แทงคงถนัดขวาแหละ แต่ว่าเราสงสัยอยู่ว่าอีกมือหนึ่งของคนที่ฆ่าผู้หญิงคนนี้ทำไรอยู่วะ?” ยลภัทรเอ่ย

“ยังไงนะ อีกมือหนึ่งคืออะไร”

“ก็ดูจากรอยนิ้วมือ เขาใช้แค่มือเดียวบีบคอผู้ตายอ่ะ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์มันเกิดในรถ แล้วรอยช้ำตามตัวเหยื่อก็เหมือนเจ้าตัวก็ดิ้นเยอะพอสมควร คนที่บีบคออยู่ก็ต้องใช้สองมือสิ”

“นี่ไง มันเขียนบอกว่าคนขับรถวันนั้นมือเจ็บอยู่เพราะโดนน้ำร้อนลวกอ่ะ นี่ไงรูปถ่าย” ขุนพลเลื่อนรูปถ่ายฝ่ามือขวาของชวินทร์ให้ทั้งสองคนดู พบว่ามีแผลพุพองตรงกลางฝ่ามือ ถึงจะไม่ใหญ่มากแต่ก็คงสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยเลย

 

 

Rrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrr

เสียงโทรศัพท์เจษลินทร์ดังขึ้น ดึงความสนใจของพวกเขา

“ฮัลโหลครับ”

“ห้ะ? เมื่อไหร่ครับ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ที่ไหนนะครับ โอเคครับจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมากครับ”

ท่าทีและน้ำเสียงของเจษลินทร์ทำเอาเพื่อนทั้งสองตกอกตกใจไปตามกัน

“เป็นไรมึง”

“คุณเจนเป็นลมว่ะ เราไปโรง'บาลก่อนนะ ที่เหลือไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”

“อ้าวเห้ย พวกเราก็เป็นห่วงเหมือนกันไปด้วยกันนี่แหละ” ยลภัทรว่าโดยมีขุนพลพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสามจึงรีบรุดไปโรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

 

 

เมื่อมาถึง เจษลินทร์รีบวิ่งไปหามารดาที่นอนอยู่บนเตียง

“คุณเจนเป็นยังไงบ้างครับ โอเครึเปล่า เจ็บตรงไหนครับ” เจษลินทร์ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน พร้อมจับมือมารดา

“ไม่เจ็บตรงไหนจ้ะ แม่ไม่เป็นไรมากแค่นอนไม่พอน่ะ หมอบอกไม่ต้องค้างคืนด้วย” เจนจิราตอบพร้อมส่งยิ้มให้ลูกชายคนโต

“แน่ใจนะครับ”

“แน่ใจค่ะคุณเจษลินทร์” คนเป็นแม่เอ่ยแกมหยอกล้อให้เจษลินทร์คลายกังวลลง

“แม่สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ”

ขุนพลและยลภัทรยกมือไหว้เจนจิราหลังจากแม่ลูกเขาถามไถ่อาการกันเสร็จแล้ว

เจนจิรารับไหว้เพื่อนลูกทั้งสองคน เจษลินทร์จึงปล่อยให้เพื่อนคุยกับมารดาไปก่อน ส่วนเขาเดินไปคุยกับคุณหมอและเคลียร์ค่าใช้จ่าย ไม่นานก็กลับมาพาเจนจิรากลับบ้าน โดยมีเพื่อนทั้งสองติดสอยห้อยตามไปด้วย

 

 

 

 

“โอย แน่นพุง” ขุนพลเอ่ยหลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ

“ตะกละไงมึง ยัดข้าวไปตั้งสองจาน” ยลภัทรเจ้าเดิมเอ่ยแขวะเพื่อน

“ก็กับข้าวฝีมือแม่กับเจษอร่อยนี่หว่า ถ้าท้องมีที่ว่างกูก็จะกินอีกแหละ แล้วจะทำไมล่ะ”

ยลภัทรเบะปากใส่อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าบ้าน

“เรื่องคดี ยูให้อีขุนมันส่งรายละเอียดมาให้แล้ว เดี๋ยวดูให้อีกทีนะหรือว่าพรุ่งนี้เรานัดกันใหม่มั้ยล่ะ”

“ขอบใจนะยู แต่พรุ่งนี้ไม่ว่างอ่ะดิ พี่ซันชวนไปดูหนัง”

“เหยด เดี๋ยวนี้เขามีเวลาชวนมึงดูหนังด้วยว่ะ” ขุนพลเอ่ยแซว

เพื่อนรักทั้งสองรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจษลินทร์กับซีเปียนมาโดยตลอด

เจษลินทร์ยิ้มรับน้อยๆ

“ดีแล้วมึง มีเวลาไปเที่ยวด้วยกันบ้างเหอะ คุยกันจะสี่เดือนแล้ว เจอกันถึงสิบครั้งรึยังก็ไม่รู้”

“หรือถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน” ยลภัทรเอ่ยเสริม

“อ้าว ทำไมวะ” ขุนพลไม่เข้าใจ

“อีขุน มึงเป็นผู้ชาย มึงไม่เข้าใจหรอก คนจะเป็นคนคุยหรือเป็นแฟนกันเนี่ย มันต้องได้รับการใส่ใจ กระชับความสัมพันธ์โว้ย นี่ขนาดอยู่ในช่วงจีบกันยังไม่มีเวลาให้เลย คือความเป็นจริงช่วงนี้มันต้องเป็นช่วงโปรโมชั่นนะแต่นี่คือโปรอะไรก็ไม่มีเลย ถ้าเป็นแฟนกันจะขนาดไหนวะ เจอหน้ากันเดือนละครั้งงี้เหรอ” ยลภัทรเอ่ยแทนเพื่อน

“เอ้า ก็เปิดใจให้เขาทำคะแนนไปก่อนสิวะ มึงรีบไง๊” ขุนพลแย้ง

“จะสี่เดือนแล้วนี่ยังไม่ให้เวลาอีกเหรอ ต้องให้เวลาไปถึงเมื่อไหร่ ครึ่งปี หรือหนึ่งปีล่ะ? กูว่าเสียเวลาชีวิตเปล่าๆ สู้ห่างกันไปตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่รู้สึกอะไรจะไม่ดีกว่าเหรอ” หญิงสาวเอ่ย

เจษลินทร์ขำที่เพื่อนสองคนเอาเรื่องเขามาเป็นประเด็นทะเลาะกันได้เฉยเลย

“เอาล่ะๆ ยังไงก็ขอบใจคุณเพื่อนทั้งสองนะที่หวังดี เราไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอก ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ถ้าใช่เดี๋ยวมันก็ใช่เอง หรือถ้าไม่ใช่มันก็จะไม่ใช่เองเหมือนกันนั่นแหละ”

ยลภัทรและขุนพลพยักหน้าหงึกหงักโดยพร้อมเพรียง

คุยกันอีกไม่กี่ประโยค แขกทั้งสองก็เดินไปลาคุณเจนจิราและลุงวศินที่นั่งคุยกันอยู่ แล้วแยกย้ายกลับบ้าน

 

 

 

 

 

 

Next Day

 

 

หลังจากดูหนังเสร็จเจษลินทร์และซีเปียนมาดินเนอร์กันที่ร้านอาหารบรรยากาศดีบนตึกสูงใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง

ระหว่างที่รออาหารก็คุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสา เจษลินทร์กับซีเปียนคุยกันค่อนข้างถูกคอ เพราะมีความชอบหลายๆอย่างเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องกิน

“โหย ถ้าเราอยู่ด้วยกันทุกวันผมว่าต้องพากันอ้วนแน่ๆเลยครับ” เจษลินทร์เอ่ยติดตลก ก็ตั้งแต่เจอกันพวกเขาก็พากันกินนั่นกินนี่ไปหลายอย่างจวนจะอิ่มแทนข้าวแล้วเถอะ

“ฮ่าฮ่า เจษน่ะไม่อ้วนหรอกครับ ตัวเล็กนิดเดียวเอง” ซีเปียนตอบ พร้อมมองคนตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชมปนหลงใหล

ผู้ชายหน้าหวานๆ มันไม่ได้หวานแบบผู้หญิงแต่มันดูละมุนในแบบผู้ชายอ่ะ ใบหน้าเรียว ผิวขาวอมชมพู ดวงตาเป็นประกายสดใส ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด ยิ้มแต่ละทีคือพระอาทิตย์ตกงานนะเอาจริงๆ

เจษลินทร์ผู้ครองตำแหน่งความน่ารักชุบแป้งทอดในใจซีเปียน หว่องคนนี้

เขาชอบเจษลินทร์มาก อยากเจอหน้า อยากมาหาทุกวัน แต่เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมายในช่วงสองสามเดือนมานี้ เขาเลยแทบไม่มีเวลามาเจอคนตรงหน้าเลย อย่าว่าแต่มาเจอกันเถอะ ให้เขาหาเวลาพักผ่อนให้ได้ก่อน! ช่วงนี้เป็นช่วงชีวิตที่ซีเปียนรู้สึกเหนื่อยมากๆ สิ่งที่เยียวยาหัวใจทำให้เขายิ้มได้ก็เป็นคนน่ารักตรงหน้านี่แหล่ะ

 

 

 

“ดูท่าทางน่าสนุกจังเลย ขอร่วมวงด้วยได้รึเปล่า?” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยทักซีเปียน

ฮันทำไมมาอยู่นี่ล่ะ?” ซีเปียนถามกลับด้วยความแปลกใจ

“ผมนัดกินข้าวกับเพื่อนที่นี่อ่ะ นั่นไง” ว่าพร้อมชี้ไปที่โต๊ะของเจ้าตัวที่มีคนนั่งอยู่สองคน

ซีเปียนมองตามที่ผู้มาใหม่บอก แล้วมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

“แล้วนี่ เฮียจะไม่แนะนำให้ผมรู้จักหน่อยเหรอ” คนมาใหม่เอ่ยพร้อมเบนสายตาไปทางเจษลินทร์

“อ่า นี่เจษลินทร์

เจษครับ นี่ซีฮัน น้องชายพี่ เพิ่งกลับไทยมาไม่นานนี่เอง”

“สวัสดีครับคุณเจษลินทร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ซีฮันว่าพร้อมยื่นมือมาทักทาย

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณซีฮัน” แม้จะรู้สึกแปลกๆกับสายตาของอีกฝ่าย แต่เจษลินทร์ก็ยื่นมือตอบรับการทักทาย

“งั้นผมไม่กวนแล้วดีกว่า ขอตัวเลยแล้วกัน หวังว่าเราคงได้มีโอกาสเจอกันอีกนะครับคุณเจษลินทร์ ผมไปนะเฮีย เจอกันที่บ้าน”

ว่าจบซีฮันก็เดินจากไป โดยไม่ลืมส่งยิ้มแปลกๆให้เจษลินทร์

ครู่ต่อมาซีเปียนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เจษลินทร์จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นเชิงตอบรับ

 

 

 

 

ถัดไปอีกฝั่งของโต๊ะอาหาร มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องทุกการกระทำของทั้งสามคนมาครู่ใหญ่แล้ว

ปัณณวิชญ์ ที่วันนี้มาตามดูซีเปียน เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าควรเข้าไปห้ามเพื่อนของรุ่นพี่ ไม่ให้ดื่มน้ำแก้วนั้นรึเปล่านะ?

เมื่อกี้จังหวะที่ซีฮันยื่นมือไปทักทายเจษลินทร์นั้น เขาได้หย่อนบางสิ่งลงในแก้วของเจษลินทร์อย่างแนบเนียน

ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่ทันได้สังเกต เดาว่าซีเปียนเองก็คงไม่รู้เช่นกัน แต่สำหรับคนตาไวอย่างปัณณวิชญ์นั้น ต่อให้พยาธิเดินผ่านเขาก็มองเห็น มีหรือจะพลาด

 

 

ทว่าปัณณวิชญ์คงตัดสินใจนานไปหน่อย เจษลินทร์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้วแล้วเรียบร้อย

 

 

ครู่ต่อมาพนักงานนำไวน์มาเสิร์ฟที่โต๊ะของเจษลินทร์ ตอนนี้ปัณณวิชญ์เห็นท่าไม่ดีแล้ว เพราะไม่รู้ว่ายาที่ซีฮันเอาใส่ในแก้วคือยาอะไร ถ้าดื่มคู่กับแอลกอฮอลล์เกรงว่าอาจจะเป็นอันตรายมากก็ได้ เขาจึงจำใจต้องเดินเข้าไปทักทาย

“เอ้า คุณเจษลินทร์ สวัสดีครับ”

“เอ๋ สวัสดีครับคุณปัณณวิชญ์ มาทานข้าวเหรอครับ” เจษลินทร์เอ่ยทักทาย สีหน้าแสดงออกถึงความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

“ครับ บังเอิญจังเลยนะครับ” ปัณณวิชญ์พูดพร้อมแกล้งสะบัดมือเหมือนจะดูนาฬิกาแต่ตั้งใจปัดโดนแก้วไวน์ของอีกฝ่ายเข้า

และแน่นอนมันหกเลอะเจษลินทร์เต็มๆ

เออะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ สาบานด๊าย

“เห้ย ขอโทษครับๆๆ” คนเด็กรีบทำทีเป็นขอโทษขอโพยยกใหญ่

คราแรกเจษลินทร์ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่พอมาคิดอีกทีเขาเดาว่าปัณณวิชญ์ตั้งใจแน่ๆ

เจ้าเด็กนี่!  เขาได้แต่คาดโทษไว้ในใจ

“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

คนโตกว่าเอ่ยหน้าตึง แล้วลุกเดินไปยังห้องน้ำของทางร้าน ทว่าคนเยอะเกินไป เขาเลยเดินออกมาเข้าห้องน้ำของตึกแทน

 

 

 

 

“เฮียบอกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปยุ่งกับพวกนั้น ฮันก็รู้ว่าเฮียจะทำอะไร แล้วทำไมยังมาคุยกับพวกนั้นอีก”

เสียงคุ้นหูดังขึ้นในซอยแคบของทางเดินไปสูบบุหรี่ คราแรกเจษลินทร์ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าซีเปียนคงคุยธุระ ทว่าขาเรียวต้องหยุดชะงักกะทันหัน เพราะจู่ๆเขารู้สึกมึนหัวคล้ายจะวูบเสียอย่างนั้น 

 

 

 

“เฮียก็รู้ว่าผมไม่เห็นด้วยกับแผนการของเฮีย ผมเลยต้องจัดการด้วยตัวเองนี่ไง”

“ทำไมถึงไม่เห็นด้วยล่ะ วิธีการของเฮียมันไม่โอเคตรงไหน? ฮันก็จะได้ทุกอย่างที่ต้องการเหมือนเดิม แค่มันอาจจะช้าหน่อย เหนื่อยกว่ากันนิดหน่อย แต่มันสบายใจกว่ากันไม่ใช่เหรอ?”

“ทำไมล่ะ? ทำไมเฮียถึงไม่อยากทำแล้ว ทั้งๆที่แต่ก่อนป๊าให้ทำอะไรเฮียก็ทำทุกอย่าง ทำไมตอนนี้อยู่ดีๆถึงอยากเปลี่ยน?”

“ก็ตอนนั้นมันเลือกไม่ได้ แต่ตอนนี้เลือกได้แล้วไง ฮันก็เลือกได้ แล้วทำไมเราไม่เลือกทางที่มันดีกว่า สบายใจกว่า”

“ผิดแล้วเฮีย มีแค่เฮียกับป๊าเท่านั้นแหละที่เลือกได้ ผมไม่เคยเลือกอะไรได้เลยเว้ย ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ กระทั่งวันนี้เฮียก็ยังสั่งผมอยู่นี่!! เหมือนที่ป๊ากับเฮียส่งผมไปอยู่ต่างประเทศเมื่อสามปีก่อนไง!!” ซีฮันทั้งเอ่ยทั้งตะคอก

“ก็ฮันทำผิด นี่ทำผิดแล้วยังไม่สำนึก ยังมาโทษคนอื่นอีกเหรอ!” ซีเปียนตะคอกกลับ

“เฮียว่าเราเมามากแล้ว กลับบ้านไปพักเถอะ คนพวกนั้นเดี๋ยวเฮียจัดการเอง” คนพี่ถอนหายใจ ปรับน้ำเสียงเป็นปกติ แล้วหันหลังจะเดินไป

“ผมทำผิดแล้วยังไง? สุดท้ายเฮียกับป๊าก็จัดการให้อยู่ดี แล้วทำไมต้องไล่ให้ผมไปอยู่ที่อื่นตั้งสามปี!! ทั้งๆที่ผมอยู่ที่นี่ก็ได้ แม้กระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิตป๊าผมก็ยังไม่ได้เห็นเลย!”

ซีเปียนทอดถอนหายใจอีกครั้ง หันกลับมาหาน้องชายพร้อมเดินเข้าไปตบและลูบบ่าน้องชายเป็นการปลอบประโลม เขารู้ว่าน้องรักป๊ามาก และรู้ว่าน้องชายเสียใจมากเช่นกันที่ป๊าเสียกะทันหัน ซ้ำเจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ดูใจป๊าก่อนเสียอีก

“ฮันกลับบ้านไปก่อน มีอะไรเราไปคุยกันที่บ้านนะ โอเคมั้ย” ซีเปียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

เขายืนอยู่กับน้องชายอีกครู่ใหญ่ เพื่อให้ซีฮันสงบลง แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร

ทว่าก็ไม่เห็นเจษลินทร์แล้ว?

โทรหาไม่มีการตอบรับ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ

พอถามพนักงาน เขาบอกว่าเจษลินทร์เดินออกไปได้พักใหญ่แล้ว

เขาคงออกไปนานเกินไป ทำให้น้องไม่พอใจงั้นเหรอ?

คิดได้ดังนั้นจึงกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปขอโทษเจษลินทร์ หวังว่าคงจะไม่โกรธเขานานนะ

เฮ้อ! ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะได้เจอกับคนหน้าหวานอีกครั้ง

 

 

 

 

TBC

 

 


 

 

 

 

อ่าว พิ่เจษหายตัวได้? ว่าไปปปปปปป

 

 

ติชมกันเข้ามาได้นะคะ

 

 

- Love -

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา