THE MYSTERY OF YOU : สืบรักนักล่าผี

-

เขียนโดย คัมรีน

วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.39 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,712 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มกราคม พ.ศ. 2565 14.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Chapter 2 : อย่ายุ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

#2 : อย่ายุ่ง 

 

                     ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความน่าหดหู่ใจผ่านพ้นไป พร้อมกับอาการทรงๆของนายศักดิ์ชัย แพทย์ที่ดูแลอาการของเขาให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าหากเขาได้สติและตื่นขึ้นมา ทางโรงพยาบาลจะรีบติดต่อกลับมาหาฉันทันที

                     ฉันยอมรับเลยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันก้าวเข้ามาทำคดีการตายของคุณกานดา มีแต่เรื่องราวเหลือเชื่อเกิดขึ้นในชีวิตฉัน รวมถึง ‘ผู้ต้องสงสัยลำดับหนึ่ง’ อย่างนายนาวี ก็ทำให้ฉันปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ก่อนที่ฉัน จ่าไท และจ่าอ้นจะแยกย้ายกับนายนาวี เขาบอกกับฉันว่า มันจะมีคนตายเพิ่มขึ้น ฟังดูแล้วอาจจะเป็นคำพูดลมๆแล้งจากบุคคลต้องสงสัยเท่านั้น แต่พอฉันได้มองเข้าไปนัยน์ตาของเขา เขาไม่มีทีท่าที่จะโกหกพวกเราเลย ไม่รู้อะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกเชื่อเขา

 

                     ตึ้ง

                     Line Message

                     นาวี : นอนหรือยังครับหมด ?          

           

                   ฉันและนายนาวีแลกไอดีไลน์เอาไว้ ก่อนแยกจากกันที่โรงพยาบาล เพื่อง่ายต่อการติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ ฉันยังคงต้องการความคิดเห็นจากเขา

                     

                     ปานจันทร์ : ยัง มีอะไรหรือเปล่า?

                     ฉันตอบข้อความของเขา

 

                     นาวี : ออกมาเจอผมหน่อยได้ไหม?

                     ข้อความจากนายนาวีส่งมาให้ฉัน ทันทีหลังจากที่ฉันตอบกลับข้อความของเขา เขาออาจจะมีเบาะแสอะไรสำคัญเกี่ยวกับคดีนี้ก็ได้

 

                     ปานจันทร์ : ที่ไหน ?

                     นาวี : ตอนนี้ผมอยู่ที่หน้าบ้านคุณ มองมานอกหน้าต่างสิ

 

                     ห้ะ! หน้าบ้านฉัน

                     ฉันรีบลุกออกจากเตียงของฉันอย่างเร็ว และรีบไปเปิดผ้าม่านเพื่อมองออกไปยังหน้าบ้านทันที                      

                     รถสปอร์ตสีดำสนิทถูกจอดอยู่บริเวณรั้วหน้าบ้านของฉัน ตรงหน้ารถมีชายร่างสูงโปร่งยืนโบกมือให้กับฉันพร้อมกับส่งยิ้มทักทาย นายนาวี มาอยู่ที่หน้าบ้านของฉันจริงๆ

                     ฉันรีบวิ่งลงบันไดบ้านลงมาอย่างรวดเร็ว และวิ่งตรงไปเปิดประตูรั้วทันที

                     “นายมาบ้านฉันทำไมเนี่ย” ฉันเอ่ยถามขึ้นทันทีหลังจากยืนประจันหน้ากับเขา ฉันรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ อีกทั้งยังกลัวคนในบ้านมาเห็นอีก กลัวจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

                     “ผมออกมาขับรถเล่น แต่ไม่รู้อยู่ ๆมาโผล่ที่หน้าบ้านคุณได้ยังไง” เขาตอบ

                     “แล้วมีอะไรด่วนไหม?” ฉันเอ่ยถามเขา

                     “ไม่รู้สิ ผมแค่อยากเจอคุณ ผมแค่รู้สึกไม่สบายใจ ผมเลยอยากพบคุณ ก็แค่นั้น” เขาเริ่มพูดออกมา พร้อมกับส่งยิ้มให้กับฉัน จะมาไม้ไหนอีก

                     “ถ้าไม่มีอะไรด่วน ก็กลับบ้านไปเถอะ ฉันจะนอนแล้ว” ฉันกล่าว พร้อมกับหันหลังเข้าบ้านทันที

                     “คุณใส่ชุดนี้น่ารักดีนะ” เสียงของเขาไล่หลังฉันมา ทำให้ฉันก้มหน้าลงไปมองชุดที่ฉันได้สวมใส่

                     ตายแล้ว! ฉันสวมใส่ชุดนอนสีชมพู ลายลูกแมวตัวโปรด เพราะว่ามัวแต่ตกใจที่เขามาหาฉันที่บ้านตอนดึกทำให้ฉันไม่ทันระวังแล้วรีบวิ่งลง ไม่ทันได้เปลี่ยนชุดเลย น่าอายชะมัด!

                     “ไปให้พ้นเลยนะ!” ฉันตะโกนสุดเสียงก่อนจะวิ่งเข้าบ้านโดยที่ไม่หันไปมองเขา

                     

                     ตึ้ง

                     นาวี : ผมพูดจริงๆนะ

                   

                     07.00 น.

                     “มอร์นิ่งจ้า จันทร์เจ้าขาของแม่” เสียงเอ่ยทักทายสวัสดียามเช้าของแม่ เรียกชื่อเล่นวัยเด็กของฉันที่มักจะเรียกติดปากกันในครอบครัว ดังขึ้นมาหลังจากที่ฉันก้าวเท้าลงมายังชั้นล่างของบ้าน

                     “สวัสดีตอนเช้าค่ะแม่” ฉันพูดพรางส่งยิ้ม

                     “มอร์นิ่งคุณตำรวจจันทร์เจ้าขา” หึ!! ฉันหันไปทางต้นเสียง เห็นนายนาวี นั่งอยู่บริเวณโต๊ะอาหารของครอบครัวเรา ตรงนั้นมี พ่อฉัน ยัยตะวัน และนายนาวี? มายังไงวะเนี่ย

                     “นายมาทำบ้าอะไรแต่เช้าเนี่ย ห้ะ !!” ฉันร้องถามเขาอย่างสุดเสียง

                     “จุ๊ๆ ปานจันทร์ พูดไม่เพราะเลยนะลูก” พ่อฉันปรามขึ้นมา

                     “คุณนาวีมารอพี่แต่เช้าเลยนะ” ตะวันพูดขึ้นมาหลังจากที่ฉันยืนงงกับแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้า

                     “แต่แม่เห็นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน๊า คิคิ” หลังจากยัยตะวันพูดจบ แม่ของฉันก็พูดเสริมขึ้นมา เมื่อคืนแม่เห็นด้วยเหรอเนี่ย โอ้ย อับอายเป็นบ้าเลย

                     “มาๆ เสียเวลาทานอาหารเช้าหมด ตะวันต้องรีบไปเข้าเวรเช้านะวันนี้” ยัยน้องสาวตัดบทสนทนาขึ้นมา เหมือนจะช่วยไม่ให้ฉันซักไซ้แม่

                     “จ้า ยัยตะวันฉายแสง!!” ฉันตอบพร้อมกับเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงที่ประจำทันที แล้วทำไมแม่กับพ่อต้องจัดที่นั่งให้นายนาวีมานั่งข้างเก้าอี้ของฉันด้วยเนี่ย

                     “ทานเยอะๆนะคุณนาวี” แม่ฉันพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับเขา โอ้ยบรรยากาศน่าอึดอัดชะมัด

                     “นี่จับฉ่าย เมนูโปรดของปานจันทร์เลยคุณลองทานดูสิ” แม่ของฉันยังคงพรีเซ้นท์อาหารให้นายนั่นฟัง พลางใช้ช้อนกลางตักจับฉ่ายของโปรดของฉัน ไปใส่จานให้หมอนั่น แล้วดูซิ นั่นมันหมูสามชั้นของฉันนะ ทำไมแม่ถึงตักให้นายกันเล่า!

                     “ขอบคุณครับคุณน้า” นายนาวีตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้

                     “นายมาบ้านฉันทำไมแต่เช้าเนี่ย ห้ะ?!” หลังจากที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับอาหารเช้า ฉันก็ไปกระซิบถามนายนาวี

                     “มาทานข้าวไง” เขาตอบด้วยสีหน้ายียวน

                     “จะบ้าหรือไง ที่บ้านไม่มีข้าวกินเหรอ”

                     “ก็ผมอยากมาทานที่บ้านคุณ”

                     “เอาๆ สองคนนี้ ทานข้าวก่อนค่อยทะเลาะกันลูก ยัยจันทร์ก็อย่าใจร้ายกับคุณนาวีนักเลย มาทุกวันก็ได้นะลูก บ้านเรายินดีต้อนรับ” หลังจากที่ฉันกับนายนาวีแทบจะตีกันตายอยู่แล้ว แม่ของฉันก็ปรามขึ้นมา พร้อมทั้งยังชวนนายนาวีมาที่บ้านเราอีก

                      ถ้าหากครอบครัวของฉันรู้ ว่าแท้จริงแล้วนายนาวีไม่ได้เป็นไปอย่างที่ทุกคนเห็นอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะทั้งการใช้ชีวิต ความชอบ ธุรกิจ ครอบครัวของฉันคงไม่ได้คิดจะต้อนรับเขาแบบนี้แน่นอน

                      พวกเราทั้งหมดใช้เวลาทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตาไม่นาน ยัยปานตะวันก็ต้องรีบออกไปทำงาน ฉันเองก็ต้องเข้าสถานีตำรวจเพื่อไปทำงานต่อ ยังมีรายงานอีกมากมายที่ฉันจะต้องเขียนส่งสารวัตร

 

                     “จริงๆแล้วที่ผมมาหาคุณแต่เช้า ผมไม่ได้อยากมาทานข้าวบ้านคุณอย่างเดียวหรอกนะ” ท่ามกลางความเงียบ ในขณะที่ฉันนั่งผูกเชือกรองเท้าผ้าใบอยู่หน้าบ้าน นายนาวีที่เดินตามออกมา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

                     “หืม?”

                     “เมื่อคืน ที่ผมมาบ้านคุณ ผมก็ไม่ได้มาเพราะขับรถเล่น แต่หมอมั่นบอกให้ผมคอยดูแลคุณเอานี่!” เขาเริ่มพูดในสิ่งที่ตั้งใจจะบอกกับฉัน พร้อมกับยื่นอะไรสักอย่างในมือมาให้ฉัน ฉันมองไปยังสิ่งที่เขายื่นมาให้ มันเป็นเหมือนกับหลอดแก้วเล็กๆ ข้างในสีดำ พันด้วยเชือกอะไรสักอย่างที่ฉันเข้าใจว่าน่าจะเป็นสายสิญจน์

                     “อะไร?” ฉันถามเขา

                     “ตะกรุดมหาสะท้อน หมอมั่นฝากมาให้คุณพกติดตัวเอาไว้ ป้องกันอันตรายจากสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้นะ ผมก็มีอันหนึ่ง นี่ไง” เขาอธิบายให้ฉันฟัง พร้อมกับโชว์ตะกรุดที่ว่านั่นที่เขาเอาห้อยคอไว้ให้ฉันดู

                     “งมงายเกินไปไหม ห้ะ?” 

                     “ถ้าคุณไม่เชื่อผม อย่างน้อยก็เชื่ออาจารย์มั่น มั่งมี หน่อยเถอะนะหมวด อาจารย์เป็นห่วงคุณจริงๆ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พรางมองมาที่ฉันด้วยนัยน์ตาเรียบเฉย ฉันยื่นมือไปรับตะกรุดในมือเขามา และจ้องมองมันอย่างพิจารณา อืม..ก็ดูไม่น่าจะมีอะไร รับไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายมั้ง

                     “เห็นแก่อาจารย์นะ ฉันจะเก็บไว้ละกัน” ฉันกล่าว

                     “คุณจะไปที่ทำงานใช่ไหม เดี๋ยวไปรถผม ผมไปส่ง” เขาเอ่ยขึ้น

                     “นี่คุณไม่มีการมีงานทำหรือยังไง มาตามฉันแบบนี้มันน่ารำคาญชะมัดเลย”

                     “ผมรวย ผมใช้เงินทำงาน ตัวผมไม่ต้องไปก็ได้ครับหมวด” เอ้อ ! หลงตัวเองแล้วยังขี้อวดเป็นบ้า

 

                     กริ๊งงง

                     ระหว่างที่เราสองคนโต้เถียงกันอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือของนายนาวีก็ดังขึ้น

                     “ฮัลโลว่ายังไง วารี?” เขารับสาย “เออใช่ นั่นพี่เอง ... เออใช่เธอเป็นตำรวจ ทำไม? ... ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” นายนาวีคุยโทรศัพท์กับปลายสายที่ฉันได้ยินเขาเรียกว่า วารี และวารีน่าจะเป็นผู้หญิง และเมื่อสักครู่เขาพูดว่า ‘เธอเป็นตำรวจ’ นายนั่นหมายถึงฉันหรือเปล่า มีอะไรงั้นเหรอ...

                     

                     “ไปคุณ เดี๋ยวผมไปส่งที่ สน.” หลังจากฉันยืนเหม่อกับคำถามที่วนในหัว นายนาวีที่คุยโทรศัพท์จบก็เดินมาทางฉันพร้อมกับเปิดประตูรถของเขาและส่งสัญญาณให้ฉันเดินขึ้นรถไป

                     ด้วยความที่ฉันคิดว่า ถ้าฉันปฏิเสธที่จะไม่ไปกับเขา เขาก็คงจะเร้าหรือฉันไม่เลิกอยู่ดี ฉันเลยก้าวขาขึ้นรถของเขามาแต่โดยดี

                     “วารี น้องสาวผมโทรมา บอกว่าตอนนี้ในโลกโซเชียลลงข่าวผมกับคุณเต็มไปหมดเลย” หลังจากออกรถมาไม่นาน เขาก็บอกในสิ่งที๋ฉันควรจะรู้ และก็นั่นไง.. มันเกี่ยวกับฉันจริงๆ

                     “ข่าวอะไร?”

                     “เค้าว่าผมกับคุณกำลังเดทกัน”

 

                     กริ๊งงงง

                     สายเรียกเข้า ‘สารวัตรทัตเทพ’

 

                     “ค่ะ? สารวัตร”

                     ‘ฮัลโหล หมวดจันทร์คุณเห็นข่าวหรือยัง เรื่องมันเป็นยังไง คุณต้องมาอธิบายให้ผมเข้าใจที่แผนกตอนนี้เลย’ สารวัตรทัตยิงคำถามใส่ฉันทันทีหลังจากที่ฉันรับสาย และคงไม่พ้นเรื่องที่นายนาวีเพิ่งจะบอกให้ฉันรู้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

                     “จันทร์กำลังเดินทางเข้าไปที่ สน. ค่ะอีกไม่เกินสามสิบนาที” ฉันกล่าว พร้อมกับกดวางสาย

 

                     “โอ้ยยยยยยยย!! ปวดหัวโว้ย เรื่องบ้าอะไรแต่เช้าเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

                     “เห้ยคุณ!! ใจเย็น เสียงดังผมตกใจหมด!” นายนาวีที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ สะดุ้งสุดตัวหลังจากที่ฉันแผดเสียงออกมาด้วยความเสียสติ

                     “คุณจอดรถเดี๋ยวนี้เลยนะ เพราะคุณ ทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปหมดแล้ว ฉันไม่น่าร่วมมือกับคุณเลย น่าโมโหชะมัด!!” ฉันยังคงต่อว่าเขาต่อ ด้วยความหัวเสีย แต่ถึงแม่ว่าฉันจะบอกว่าให้เขาจอดรถ เขาก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉันพูด อีกทั้งยังเหยียบคันเร่งแซงรถบนท้องถนนไปอย่างเร็ว

                     “บอกว่าจะถึงที่ทำงานในอีกสามสิบนาทีไม่ใช่หรือไง นั่งเฉยๆไป!” เขากล่าวพร้อมกับเหยียบคันเร่งจนตัวฉันแนบไปกับเบาะ โดยไม่สนใจสิ่งที่ฉันพูดออกไปเลยสักนิด ทำไมเขาถึงเป็นคนที่น่าหงุดหงิดขนาดนี้

 

                     ณ สถานีตำรวจ

                     “อ่ะ ถึงแล้วลงได้” นายนาวีหันมาส่งยิ้มยียวนให้กับฉันที่ตอนนี้อารมณ์โมโหจนสมองจะแตกตายอยู่แล้ว

                     “คุณเลิกมายุ่งกับฉันสักทีเถอะนะ” ฉันกล่าว

                     “ทำไม?”

                     “เพราะฉันรำคาญ คุณมันน่ารำคาญ!”

 

                     ฉันตอบเขาพร้อมกับก้าวลงจากรถสปอร์ตของเขา ก่อนที่จะปิดประตูรถกระแทกใส่เขาอย่างแรงและเดินเข้าไปยังแผนกสืบสวนของสถานทีตำรวจเพื่อจะไปชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับผู้บังคับบัญชาการฟัง

                     ที่ฉันพูดไป มันคงไม่แรงเกินไปหรอกนะ หวังว่าเขาจะเลิกยุ่งกับฉันเสียที

 

                     ก๊อก ก๊อก

                     “ขออนุญาตค่ะสารวัตร” ฉันเคาะประตูและกล่าวขออนุญาตสารวัตรทัต ในใจมันกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก

                     “เชิญนั่ง” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไหนคุณอธิบายมาซิ ว่าข่าวนี้หมายความว่าไง?” เขาเปิดประเด็นขึ้นมาทั้งที่ฉันยังนั่งไม่ถึงเก้าอี้ด้วยซ้ำ พร้อมกับส่งโทรศัพท์มือถือของเขา ที่หน้าจอเต็มไปด้วยข่าว รูปภาพ และแฮชแท๊กต่างๆที่เกี่ยวข้องกับฉันและนายนาวี

                     “ฉันแค่ทำงานกับเขาค่ะ” ฉันตอบ ในหัวก็คิดแต่จะหาคำอธิบายมากมาย แต่จะให้อธิบายอะไรไปได้ ในเมื่อรูปที่ชาวเน็ตเอามาโพสเป็นรูปที่นายนาวีมาหาฉันที่บ้านตอนกลางคืน

                     “คุณรู้ใช่ไหม ว่าเขาคือผู้ต้องสงสัยในคดีคุณกานดาอ แล้วรู้ใช่ไหมว่าธุรกิจของเขามันคืออะไร” สารวัตรทัตถามฉันต่อ ซึ่งฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว

                     ทุกอย่างที่สารวัตรทัตเทพถามฉัน ฉันรู้ดีแก่ใจทั้งหมด แต่ฉันไม่สามารถที่จะโต้แย้ง หรือตอบออกไปได้ มันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย

                     “เขาแค่ต้องการช่วยทางราชการนะคะสารวัตร” ฉันกล่าว

                     “มีความจำเป็นอะไรที่ต้องให้เขาช่วยงั้นเหรอ?” สารวัตรยังคงซักฉันต่อ

                     “เขามีข้อมูลบางอย่างที่ทางเราต้องการค่ะ ซึ่งตอนน็ฉันยังไม่สามารถอธิบายได้ ขอเวลาให้ฉันได้หาคำตอบเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ” ฉันรายงานออกไปตามสิ่งที่ใจฉันคิด ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ซึ่งเขาเองก็คงไม่พอใจในสิ่งที่ฉันพูดออกไปมากนัก

                     “ถ้าคุณยืนยันว่ามันไม่ได้เป็นจริงอย่างในข่าว ผมก็จะเชื่อใจคุณ” สารวัตรทัตมีท่าทีอ่อนลง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ฉันจ้องมองเข้าไปนัยน์ตาของเขา มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาพยายามจะบอกกับฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่

                     “งั้นขอตัวก่อนนะคะ” ฉันกล่าวพร้อมกับยืนขึ้นทำความเคารพเขา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานของเขาด้วยความงุนงงนิดหน่อย

                     

                     “เป็นไงหมวด โดนแต่เช้าเลยนะครับ” จ่าอ้นเอ่ยทักขึ้นหลังจากที๋ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน

                     “โดนว่านิดหน่อยอ่ะพี่ ช่างเถอะ” ฉันตอบ

                     “แต่ผมว่าสารวัตรดูเป็นห่วงหมวดมากนะครับ” จ่าไทเสริมขึ้นมาหลังจากเห็นสีหน้าเคร่งเครียดและคำตอบหมดอาลัยตายอยากของฉัน

                     “จริงพี่ ผมว่ามันชักจะยังไงๆ อยู่น้า..” จ่าอ้อนเสริม

                     

                     สิ้นสุดบทสนทนากับเพื่อนร่วมงานในทีม ฉันก็ใช้เวลาทั้งหมดในการรวบรวมรายงานและเสนอต่อผู้บังคับบัญชา และก็ใช้วเลาทั้งหมดของวันไปกับการค้นหาข้อมูล และรวบรวมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของนายนาวี นายศักดิ์ชัย หรือแม้แต่กระทั่งคุณกานดา เพื่อหาความหน้าจะเป็นแรงจูงใจที่ทำให้คดีนี้เกิดขึ้นมา แต่ฉันมองไม่เห็นช่องโหว่ที่จะสามารถทำให้เจ้าหน้าที่อย่างฉันทำงานต่อได้เลย

                     จะว่าไป วันนี้ไม่มีข้อความใดๆจากนายนั่นส่งมาหาฉันเลย..

                     

                     “จะสามทุ่มแล้วเดี๋ยวจันทร์ขอตัวนะพี่”

                     “ครับหมวด พวกเราก็จะกลับแล้วเหมือนกัน มีนัดกับสาวอ่ะครับ ฮ่าๆ” จ่าอ้นกล่าว

                     เวลาผ่านล่วงเลยไปจนเป็นช่วงเวลา 20.40 น. ฉันปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวพร้อมกับหันไปบอกเพื่อนร่วมงาน หลังจากที่พวกเราทั้งสามคนบอกลากัน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเดินไปคนละทิศละทาง จึงทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าวันนี้ฉันไม่ได้ขับรถมาทำงานนนี่นา เมื่อเช้านายนาวีมาส่งฉัน

                      ฉันเดินออกมาจากสถานีตำรวจตามลำพัง บนถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ต่างพากันใช้ชีวิตกันตามปกติในเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้ คืนนี้เป็นคืนที่ตึงเครียดชะมัด ในหัวของฉันมีแต่คำถามที่หาคำตอบเกี่ยวกับคุณกานดาไม่ได้

                     

                     ปรี๊นนนน

                     ท่ามกลางความเงียบ เสียงบีบแตรของรถยนต์ดังขึ้นทางด้านหลังของฉัน ฉันหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยความตกใจ

                     “ทำไมถึงเดินออกมาคนเดียวหล่ะหมวดจันทร์ รถคุณไปไหน” สารวัตรทัตเปิดกระจกรถยนต์ของเขา พร้อมกับถามฉันด้วยความสงสัย

                     “อ่อ เมื่อเช้าจันทร์ไม่ได้เอารถมาค่ะ” ฉันกล่าว

                     “ขึ้นมา เดี๋ยวผมไปส่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฉันรู้สึกลังเลเล็กน้อยแต่ด้วยความที่เป็นผู้บังคับบัญชา ถึงแม้จะอยู่นอกเวลางาน แต่หากปฏิเสธไป ฉันก็คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ

 

                     ฉันเปิดประตูรถยนต์ของสารวัตรทัพเทตด้วยความเบามือ และค่อยๆก้าวขาขึ้นไปบนรถของเขาอย่างระมัดระวัง ทำไมมันถึงน่าอึดอัดดีแท้ ตัวฉันหดลงเหลือสองนิ้วได้มั้งตอนนี้

                     “ไม่ต้องกลัวผมขนาดนั้น เรื่องเมื่อเช้าผมไม่ได้อยากต่อว่าคุณซะหน่อย” เขากล่าวพร้อมกับมอบรอยยิ้มที่อบอุ่นมาให้กับฉัน

                     “จันทร์ต้องขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้รายงานเรื่องของนายนาวีให้สารวัตรทราบทั้งหมด” ฉันกล่าว

                     “ไม่เป็นไร ผมแค่ไม่อยากให้คุณใกล้ชิดกับเขาก็เท่านั้น” สารวัตรต้องการจะสื่ออะไรกับฉันกันแน่

                     

                     ท่ามกลางความเงียบงันของบรรยากาศภายในรถ สารวัตรใช้เวลาไม่นานไม่การขับรถมาส่งฉันที่บ้าน

                     “ขอบคุณที่มาส่งนะคะสารวัตร” ฉันหันไปกล่าวขอบคุณ พลางเปิดประตูรถ

                     “หมวดจันทร์ อีกเรื่องที่คุณควรรู้ ทางโรงพยาบาลติดต่อมาหาผม บอกว่านายศักดิ์ชัยเสียชีวิตแล้วเมื่อเย็นวันนี้เอง” สารวัตรพูดขึ้นมาก่อนที่ฉันจะสาวเท้าเดินเข้าบ้าน ฉันหยุดชะงักทันทีหลังจากได้รู้ข่าว นายศักดิ์ชัย พยานปากเอกของเราเสียชีวิตแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหมอที่รักษาเขาแจ้งกับเราว่า เขาไม่ได้มีอะไรอะไรที่น่าเป็นห่วง

                     “ทำไมสารวัตรเพิ่งจะบอกเรื่องนี้กับฉัน?”

                      “เพราะผมไม่ต้องการให้คุณยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้อีกต่อไปแล้ว”

 

________________________________________________

 

Writer Talk : สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกคน ขอบคุณที่ผ่านมา Part นี้ ไรท์เขียนเพลินไปหน่อย แอบไว้อาลัยให้คุณศักดิ์ชัยพยานปากเอกด้วย จะจบคดีกันอยู่แล้วเชียว ดันมาตายซะงั้นยังไงก็ตามเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆค่า

คัมรีน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา