ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  9 วิจารณ์
  1,914 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) พบพาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “ถ้าอ้ายหนานมีกระไรให้น้องช่วยอีกก็บอกเน้อเจ้า”  หญิงสาวเจ้าของใบหน้ารูปไข่เอ่ยกับชายหนุ่มที่เดินนำหน้าด้วยถ้อยคำรื่นหู

           “แค่นี้พี่ก็ขอบน้ำใจน้องมากแล้ว” ชายหนุ่มหันไปตอบสายตาเหลือบไปมองหีบไม้ใส่เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่แกะสลักไว้อย่างประณีตอยู่หลายใบ บ่าวชายหญิงต่างช่วยกันยกหีบแล้วเดินตามเขามาเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่หนึ่ง

          “น้องชักอยากจะเห็นแม่หญิงประหลาดคนที่อ้ายพูดให้น้องฟังเสียแล้ว” หญิงสาวพูดพลางอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงตอนที่ญาติผู้พี่มายังเฮือนจันทร์แล้ววานให้เธอช่วยจัดแจงเสื้อผ้าให้แม่หญิงปริศนาคนนี้ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากเพียงแต่พยักหน้าช้าๆและยิ้มมุมปากเล็กน้อย

   สองพี่น้องต่างพูดคุยสัพเพเหระระหว่างเดินมายังเฮือนแก้วตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อยซักเท่าไหร่คงเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ชอบสุงสิงกับใครหรือไม่ก็ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างกะทันหันแต่แล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองและบ่าวที่ติดตามมาอีกห้าคนต้องหยุดชะงักเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก

เสียงคนร้องโหวกเหวกโวยวายดังลั่นเฮือนแก้วก่อนที่จะมีเสียงดังตุบคล้ายกับของใหญ่ตกลงมาจากที่สูง ปรากฎให้เห็นร่างของหญิงสาวที่พึ่งกระโดดลงมาจากหน้าต่างของเฮือนไม้สักตรงห้องที่เขาจัดให้แม่หญิงคนนั้นพักอยู่ ร่างบางนอนคว่ำไปกับพื้นหญ้าทุกคนต่างตกตะลึงทำตาโตหยุดนิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

           “แม่หญิง!” เสียงตะโกนเรียกด้วยความตกใจพร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตระหนกชะโงกลงมาจากหน้าต่างบานใหญ่ ใบหน้างามของปิ่นตะวันค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเศษดินและหญ้าติดเต็มใบหน้านั้น ปิ่นตะวันหันไปทางกลุ่มคนที่หยุดดูเธออยู่พร้อมกับยิ้มแหยๆ 

           “ช่วย ช่วยด้วย” ปิ่นตะวันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาส่งสายตาออดอ้อนให้คนมาช่วย

           “พวกเอ็งมาช่วยแม่หญิงเร็ว” เสียงแกร่งออกคำสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวบ่าวผู้หญิงที่เดินติดตามมาต่างพากันวิ่งกรูเข้ามาหาร่างที่นอนเจ็บอยู่และช่วยพยุงให้หญิงสาวลุกขึ้น   

           “ดาหลา น้องและพวกบ่าวช่วยพาแม่หญิงผู้นี้ไปอาบน้ำผลัดผ้าเถิดหนา” ชายหนุ่มหันมาพูดกับญาติผู้น้อง

           “เจ้าอ้าย  พวกเอ็งไปกับข้า” หญิงสาวหันไปเรียกบ่าวคนสนิทให้ตามมา วันนี้เกือบทั้งวันบ่าวในเฮือนแก้วต่างวิ่งวุ่นไปทั่วเป็นเพราะแม่หญิงผู้นั้นที่คิดพิเรนทร์กระโดดลงมาจากหน้าต่างเฮือน ดีที่บาดเจ็บเล็กน้อยถ้าแข้งขาหักไปเขาคงมีเรื่องวุ่นวายมากกว่านี้

 ‘คงไม่ใช่แค่แม่หญิงประหลาดเสียแล้วแต่เป็นแม่หญิงที่เสียสติมากกว่า’  ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะก้าวขาเดินขึ้นไปบนเฮือนแก้ว  

 

   ปิ่นตะวันออกมาจากห้องด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่เสื้อแขนกระบอกสีเปลือกไข่มีเชือกมัดข้างเอวนุ่งซิ่นยาวถึงข้อเท้า ผมถูกมัดเกล้าไว้ข้างบนแซมด้วยดอกกาสะลอง ระหว่างที่ปิ่นตะวันแต่งตัวอยู่นั้นเธอได้รู้ว่าผู้หญิงที่มาช่วยชื่อดาหลาอายุสิบแปดปีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนานไกรผู้ชายที่เธอเห็นตอนกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ผู้หญิงคนนี้สวยตาสีดำขลับปากนิดจมูกหน่อยรับกับใบหน้ารูปไข่ผิวพรรณก็ขาวผุดผ่องการแต่งกายก็สมฐานะลูกสาวพระโหราธิบดีแห่งเชียงคำ ผิดกับอีกคนที่นั่งหลังตรงทำหน้าเคร่งขรึมเหมือนกับโกรธใครมา ‘หนานไกร’ ดาหลาบอกกับเธอว่าเป็นเพราะเคยบวชเรียนกับพระอาจารย์ตั้งแต่เด็กพอสึกออกมาจึงมีคำว่าหนานนำหน้าชื่อ ดาหลาพาปิ่นตะวันมานั่งที่ตั่งไม้สักกลางเรือน นี่เป็นครั้งแรกที่ปิ่นตะวันได้เห็นชายหนุ่มที่ชื่อหนานไกรแบบเต็มตานับว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีพอสมควรหน้าตาคมเข้มมีสันกรามให้เห็นชัดเจนจมูกโด่งเป็นสันรับกับปากกระจับเสียดายเป็นคนตาดุ แต่สิ่งที่ทำให้ปิ่นตะวันสนใจนั้นกลับเป็นลายสักสีดำเข้มที่ลากยาวตั้งแต่เอวจนถึงเหนือเข่ามันเป็นรอยสักที่เธอไม่คุ้นเอาซะเลย  

           “แม่หญิงเป็นใครมาจากไหนแล้วมาที่นี่ได้อย่างไร” หนานไกรเอ่ยถามเสียงเข้มทันทีที่เห็นปิ่นตะวันนั่งลงที่ตั่งไม้สักข้างๆตน

           “ฉันชื่อปิ่นตะวันหรือจะเรียกสั้นๆว่าปิ่นก็ได้ค่ะ ฉันมาจากอยุธยา” คำตอบที่ได้ยินทำเอาหนาไกรและดาหลาขมวดคิ้วสงสัยกระไรคืออยุธยา 

            “ไม่รู้จักอยุธยากันเหรอที่อยู่ใกล้กรุงเทพไง” ปิ่นตะวันตอบด้วยวาจาฉะฉานหลังจากเห็นปฏิกิริยาของทุกคนที่ทำราวกับว่าไม่รู้จักอยุธยาซะอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด

           “ก็อยู่ถัดลงมาจากสุโขทัยไงคะ” 

           “คนเมืองใต้เจ้าอ้าย” ดาหลาพูดแทรกขึ้นมา

           “ไม่ใช่จ้ะ อยุธยาอยู่ภาคกลาง”  

เสียงกระเอมในลำคอดังขัดจังหวะวงสนทนาระหว่างปิ่นตะวันและดาหลา  

            “เมืองที่อยู่ถัดจากสุโขทัยในทิศใต้เราก็เรียกว่าคนเมืองใต้ทั้งนั้น” ปิ่นตะวันพยักหน้าทำท่าว่าจะเข้าใจที่หนานไกรอธิบาย  

            “แล้วแม่ปิ่นมาที่เชียงคำทำไมรึ” เสียงหวานถามต่อ

            “อ๋อ รถมอเตอร์ไซค์แหกโค้งค่ะ”   

            “รถมอเตอร์… รถกระไรของแม่หญิงข้าเจ้าไม่เคยได้ยิน”  

            “เออ…เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางกลับบ้านจ้ะ” ปิ่นตะวันพยายามหาคำที่สามารถสื่อสารและอธิบายให้เข้ากับยุคสมัยนี้ให้เข้าใจ ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะหลุดเข้ามาในอดีตจากการที่ได้พูดคุยกับดาหลาในตอนแต่งตัวโดยคร่าวๆ  

ปิ่นตะวันถูกซักไซ้อยู่นานบางคำถามต้องจำเป็นโกหกข้างๆคูๆเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นคนประหลาดมากกว่านี้แต่ถ้าคนพวกนี้รู้ว่าเธอมาจากอนาคตคงจะยิ่งเห็นเธอเป็นตัวประหลาดแน่ ๆ บทสนทนาดูราบรื่นดีแต่มีสิ่งหนึ่งที่ปิ่นตะวันไม่ชอบเอาเสียเลยนั้นก็คือสายตาดุคู่นั้นที่จับจ้องมาที่เธอเหมือนกับอาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังจับผิดนักเรียนอยู่อย่างไรอย่างนั้นซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

            “ถ้าไม่มีกระไรแล้วน้องขอตัวกลับเฮือนจันทร์ก่อนเน้อเจ้าออกมานานแล้วเดี๋ยวท่านพ่อจะเป็นห่วง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นกลางวงสนทนาพร้อมกับเตรียมตัวลุกขึ้นยืนหลังจากที่กล่าวคำร่ำลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับปิ่นตะวันนี่คือจังหวะเหมาะที่จะหาทางออกไปจากสถานการณ์อึดอัดตรงหน้า

            “ฉันขอไปส่งแม่หญิงกลับเรือนได้ไหมจ๊ะ” ปิ่นตะวันหันไปพูดกับดาหลาพร้อมส่งสายตาออดอ้อนดูน่าเอ็นดู

            “พี่ไปด้วย พี่มีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับท่านลุง”  

ปิ่นตะวันหันขวับไปทางชายหนุ่มสีหน้าตกตะลึงกับคำพูดที่ได้ยินเหมือนตั้งใจที่จะตามไปจับผิดหญิงสาวเสียมากกว่า หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามดาหลาและหนานไกรไปยังเฮือนจันทร์เส้นทางที่เดินไปรายล้อมไปด้วยต้นไม้ยืนต้นนี่ถ้าเป็นยุคสมัยของเธอคงเรียกว่าเป็นการเดินป่าเพราะมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าแถมถนนก็ยังไม่ได้ตัดผ่านอีก เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงเฮือนจันทร์ เฮือนไม้สักที่ดูใหญ่โตและมีพื้นที่บริเวณรอบๆมากกว่าเฮือนแก้วของหนานไกรเสียด้วยซ้ำ หนานไกรเดินขึ้นไปบนเฮือนเพื่อพูดคุยธุระที่เจ้าตัวติดค้างไว้กับลุงของตนพระโหราธิบดีมิ่งหล้า

            หนานไกรมายังเฮือนจันทร์เพราะมีเรื่องที่อยากปรึกษาลุงของตน ด้านหน้าของชายหนุ่มคือพระโหราธิบดีมิ่งหล้าแห่งเชียงคำนั่งที่ตั่งไม้สักกลางเฮือนท่าทางและการแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะของตนเสื้อคอจีนสีขาวงาช้างมีผ้าบางสีขาวขอบทองพาดตรงไหลบ่งบอกถึงงานที่ทำ  

            “เจ้ามาหาลุงมีกระไรรึ” พระโหราธิบดีมิ่งหล้าที่กำลังเคี้ยวใบพลูอยู่ กล่าวทักทายหนานไกรหลานของตนเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามากลางเฮือน หนานไกรยกมือไหว้ทำความเคารพผู้เป็นลุงหลังจากนั้นจึงไปนั่งบนตั่งไม้สักใกล้ๆ

            “หลานมีเรื่องมาปรึกษาท่านลุงเกี่ยวกับแม่หญิงปิ่นขอรับ” หนานไกรพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

            “ชื่อแม่หญิงปิ่นงั้นรึ” คนตรงหน้าถามย้ำอีกครั้ง

            “ขอรับ ชื่อแม่หญิงปิ่นตะวันมาจากอยุธยาขอรับ” คนตรงหน้าฟังอย่างสนใจใบหน้าที่เหี่ยวเล็กน้อยของคนมีอายุเรียบเฉยนั่งครุ่นคิดในใจก่อนที่จะเอ่ยออกไป

            “อยุธยาเมืองใต้ ถ้าอย่างนั้นข่าวที่ลือกันในหมู่ข้าราชการชั้นสูงก็มีเค้าความจริงสินะ”   

ทั้งหนานไกรและพระโหราธิบดีมิ่งหล้าต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไรแต่ในใจกลับกังวลในสิ่งที่ตนได้ยินมา เรื่องที่เล่าลือกันในข้าราชการชั้นสูงและเจ้าหลวงแห่งเชียงคำว่าด้วยเรื่องเมืองอยุธยาที่พึ่งตั้งเมืองได้ไม่นานแต่กลับร่ำรวยและมีอำนาจที่เริ่มแผ่ขยายกว้างขึ้นและตอนนี้ก็ได้ยินมาว่าเริ่มมีการเขม้นกับทางสุโขทัยแต่ก็เป็นแค่เพียงการอวดอำนาจกันยังไม่ได้ถึงขั้นต้องรบราฆ่าฟัน ถ้าเป็นไปตามที่มีข่าวลือแม่หญิงปิ่นผู้มาจากเมืองใต้คนนี้ก็น่าสงสัยว่ามาทำอะไรที่เชียงคำกันแน่

            “หลานจะเป็นคนจับตาดูแม่หญิงปิ่นเองขอรับท่านลุง” หนานไกรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นสายตาดูมุ่งมั่นจึงทำให้พระโหราธิบดีมิ่งหล้าเห็นด้วยกับสิ่งที่หนานไกรพูด เมื่อเสร็จธุระแล้วหนานไกรจึงขอลากลับเฮือนแก้วจังหวะที่เดินลงบันไดมาก็มีเสียงคนทะเลาะกันเสียงดังโหวกเหวกเหมือนกับอยู่กลางกาดแท่นคำชายหนุ่มรีบเดินไปดูหลังเฮือนจันทร์พบว่ามีแม่หญิงสองคนกำลังจะตบตีกันหนึ่งในนั้นคือปิ่นตะวันคนที่เขาพามากับแม่หญิงอีกคนที่แต่งตัวดูดีปักปิ่นทำด้วยโลหะเงินแม่หญิงผู้นั้นคือคำเอื้อยลูกเลี้ยงของพระโหราธิบดีมิ่งหล้าลูกติดของแม่อุ่นคำจากเชียงเงิน

            “หยุดเดี๋ยวนี้” หนานไกรตะเบ็งเสียงห้ามปรามทั้งสองฝ่ายไม่ให้ตบตีกันทำเอากลุ่มคนที่ยืนมุงดูแถวนั้นรีบเดินหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด 

            “อ้ายหนานเจ้าช่วยข้าเจ้าด้วยแม่หญิงผู้นี้จะตบหน้าน้องเจ้า” คำเอื้อยรีบหันไปฟ้องหนานไกรตัวเซถลาเข้าไปหาหวังว่าจะได้ซบอกแกร่งของชายหนุ่มแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเจ้าของร่างแกร่งรู้ทันจึงหลบหลีกได้ทันเวลา

            “โกหกได้หน้าด้านๆ เธอนั่นแหละที่มาหาเรื่องฉันก่อน ฉันอยู่ของฉันดีๆเธอก็เข้ามาตบหน้าฉันดาหลาเป็นพยานได้” ปิ่นตะวันหันไปสบตาดุของหนานไกรเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

            “เป็นอย่างที่แม่หญิงปิ่นพูดเจ้าคำเอื้อยมาหาเรื่องแม่หญิงก่อน” ดาหลาพูดยืนยันสิ่งที่เห็น

            “อย่างนี้มันต้องเอาคืน” ไม่พูดเปล่าปิ่นตะวันพุ่งเข้าไปจะตบหน้าผู้หญิงที่หาเรื่องเธอแต่ก็ถูกหนานไกรขัดขวาง

            “ข้าบอกให้หยุดแม่หญิงฟังไม่เข้าใจรึ” เสียงเข้มพูดห้ามปรามแต่แววตากลับมองมาที่ปิ่นตะวันอย่างดุๆ หญิงสาวจึงชักมือลงอย่างเสียอารมณ์ในใจมีแต่ความคับแค้นที่เอาคืนหญิงตรงหน้าที่ทำท่าทีเยาะเย้ยเธอไม่ได้

            “ขอโทษแม่หญิงคำเอื้อยซะ” หนานไกรพูดกับปิ่นตะวันแต่ฟังจากน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่บังคับเด็กให้ขอโทษทั้งที่ไม่มีผิด ปิ่นตะวันทำหน้าเหวอกับสิ่งที่เธอได้ยินพลางเหลือบไปมองหญิงสาวคู่กรณีที่ตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังยิ้มกริ่มมองแรงมายังเธอ ปิ่นตะวันเดินเข้าไปหาคำเอื้อยอย่างช้าๆจนประชิดตัว พนมมือไว้กลางอกขาอีกข้างยื่นไปข้างหลังเล็กน้อยก่อนที่จะย่อตัวลง

            “ขอโทษค่ะ” สิ้นเสียงปิ่นตะวันรีบเงยหน้าขึ้นมา ผมที่มัดเกล้าไว้กลางหัวปัดไปโดนคางของคำเอื้อยหญิงสาวรีบถอยหลังหลบถ้าขืนยืนนิ่งอยู่คางของเธอคงถูกหัวของปิ่นตะวันงัดขึ้นมาแน่นอน 

ปิ่นตะวันยืนยิ้มกับผลงานที่เธอทำไว้อย่างภาคภูมิแต่ก็มีเสียงกระแอมในลำคอของหนานไกรที่มาขัดจังหวะความสุขของหญิงสาว ปิ่นตะวันมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ไม่พอใจกับการกระทำของเธอแต่ปิ่นตะวันตีหน้ามึนเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดแม้ว่าในใจหญิงสาวพอจะเดาออกว่าชายหนุ่มตรงหน้าอยากจะให้เธอขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปแต่ใครมันจะไปสนใจล่ะแค่ได้แก้แค้นนิดหน่อยก็สุขใจแล้ว  

หลังจากบอกลาคนในเฮือนจันทร์แล้วทั้งปิ่นตะวันและหนานไกรก็เดินกลับเฮือนแก้วทันทีแต่ในระหว่างทางเดินกลับปิ่นตะวันจำเป็นต้องเอามืออุดหูเอาไว้เพราะหนานไกรบ่นเธอจนหูชาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เฮือนจันทร์วันนี้ จนหญิงสาวคิดสงสัยว่าผู้ชายในเชียงคำบ่นเก่งแบบนี้ทุกคนรึเปล่า  

ในขณะที่เดินทางกลับเฮือนแก้วจู่ ๆหนานไกรก็หยุดนิ่งฟังเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ก่อนที่จะปรากฎให้เห็นชายคลุมผ้าปิดหน้าและถือดาบสามคนโผล่ออกมาจากต้นไม้ท่าทางดูเป็นโจรที่คอยดักปล้นคนที่ใช้เส้นทางนี้ โจรทั้งสามไม่พูดพล่ามทำเพลงพุ่งตัวมายังกลุ่มคนตรงหน้าดาบในมือถูกกวัดแกว่งหมายจะทำร้ายแต่ก็ถูกหนานไกรและบ่าวผู้ชายอีกคนต้านไว้ได้ เสียงดาบปะทะกันดังลั่นป่าปิ่นตะวันเห็นว่ามีโจรอีกคนเดินมุ่งหน้ามาหาเธอด้วยความที่หญิงสาวมีทักษะการต่อสู้จากการเป็นสตั๊นท์แมนอยู่แล้วจึงคิดจะเข้าไปต่อสู้แต่ว่าซิ่นที่เธอนุ่งนั้นมันยาวถึงข้อเท้าทำให้หญิงสาวยกขาขึ้นเตะไม่ได้แถมยังนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้สวมกางเกงทับเพราะมัวยืนงงกับการที่ถูกรุมแต่งตัวจึงลืมไปว่าท่อนล่างไม่ได้ใส่อะไรเลย 

            ‘โธ่ยัยปิ่นทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย’   ปิ่นตะวันนึกโทษตัวเองในใจแต่ตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะมาคร่ำครวญ หญิงสาวมองไปรอบๆ เห็นท่อนไม้ที่วางอยู่บนพื้นจึงหยิบขึ้นมาเพื่อฟาดโจรที่มาทำร้ายเธอ บ่าวผู้หญิงสองคนที่ติดตามมายืนกอดกันกลมเพราะหวาดกลัวโจรที่จะเข้ามาทำร้าย ปิ่นตะวันใช้ท่อนไม้ฟาดไปตามตัวของโจรคนหนึ่งหลายทีจนมันเริ่มโมโหปัดท่อนไม้ออกจากมือของหญิงสาวและเตรียมง้างดาบเข้ามาฟันแต่ก็ถูกดาบอีกเล่มขัดเอาไว้ หนานไกรกวัดแกว่งดาบของตัวเองเพื่อต่อสู้กับโจรที่มาทำร้ายหญิงสาว ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดและก็เป็นหนานไกรที่เอาชนะได้ โจรทั้งสองเมื่อรู้ว่าไม่มีทางสู้รีบหนีออกจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว พอเห็นโจรพวกนั้นถอยหนีไปเงาตะคุ่มที่ยืนดูอยู่หลังต้นไม้ใกล้จึงค่อยๆหลีกตัวออกห่างเหมือนกัน

            “เป็นแม่หญิงริอาจสู้กับโจร คิดว่าตัวเองเก่งมากรึไงทำไมไม่หลบไปด้านหลังเหมือนนางชุ่มกับนางแช่ม” เสียงตวาดดังลั่นกลางป่าทำเอาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งเงียบงันและก้มหน้าก้มตาต่างจากปิ่นตะวันที่ยังจ้องมองใบหน้าเข้มนั้นโดยไม่วางตา

            “ก็แค่อยากจะช่วยและอีกอย่างโจรคนนั้นมันก็เดินตรงมาจะทำร้ายฉัน ฉันก็ต้องป้องกันตัวเองสิ” ปิ่นตะวันอธิบาย

            “อยากจะช่วยงั้นรึ ช่วยตัวเองให้ได้ก่อนเถอะแม่หญิงอย่าอวดดีถ้ายังเอาตัวเองไม่รอด แม่หญิงในเชียงคำทุกคนมิมีผู้ใดทำเยี่ยงนี้ดอกหรือว่าแม่หญิงจากเมืองใต้ชอบทำตัวเก่งกล้าเสมอเหมือนผู้ชาย” หนานไกรพูดด้วยอารมณ์โมโหโดยไม่มีช่องไฟให้ปิ่นตะวันพูดแย้งได้เลย จนตลอดเส้นทางเดินกลับ

ปิ่นตะวันรีบเข้าไปในห้องหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จแล้วแต่หญิงสาวไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียวบ่าวที่ชื่อชุ่มกับแช่มเข้ามานอนในห้องนี้ด้วยเพราะเป็นคำสั่งจากหนานไกรให้มาเป็นบ่าวรับใช้แม่หญิง ปิ่นตะวันนอนลงบนเตียงนอนไม้สักข่มตานอนเพียงเพื่อหวังในใจเล็กๆว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วสิ่งที่หญิงสาวประสบพบเจอมันจะเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้นแต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับปิ่นตะวันลืมตาขึ้นมาหางตาเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เกาะอยู่ข้างๆเตียงของเธอ หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งพลันหันไปหาสิ่งนั้นทันที ปรากฎว่าเป็นผีเสื้อขนาดใหญ่กว่าปกติสีของปีกเป็นสีฟ้าเรืองแสงได้ปลายปีกเป็นสีดำเกาะอยู่ตรงข้างเตียง 

            “ผีเสื้อสวยจัง” ปิ่นตะวันพูดออกมาเบาๆเพราะกลัวว่าชุ่มกับแช่มจะตื่นขึ้นมา ทันใดนั้นผีเสื้อก็ได้บินมาเกาะอยู่ตรงไหล่ของหญิงสาวเหมือนรู้ว่าตัวเองถูกชื่นชมอยู่

            “แม่หญิงนอนได้แล้วเจ้า นี่ก็ค่ำมืดแล้ว” ชุ่มหญิงสาวที่มานอนเป็นเพื่อนตื่นขึ้นมาเห็นหญิงสาวยังไม่นอนจึงพูดเกลี้ยกล่อมให้นอน

            “เห็นผีเสื้อที่เกาะไหล่ฉันไหมสวยมากเลยนะ” ปิ่นตะวันชี้ไปยังผีเสื้อที่ยังเกาะไหล่โดยไม่ยอมบินไปไหน

            “ผีเสื้อที่ไหนเจ้า แม่หญิงอย่าแกล้งกันสิเจ้า นอนเถอะเจ้าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”  ชุ่มแสดงสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อยก่อนจะขอตัวนอนหลับต่อปล่อยให้ปิ่นตะวันงุนงงกับคำพูดของเจ้าหล่อน

            “ไม่เห็นได้ไงตัวออกจะใหญ่ขนาดนี้” หญิงสาวเหลือบมองไปยังผีเสื้อที่ไม่ยอมบินไปไหนเหมือนตั้งใจจะมาอยู่กับเธอก่อนที่ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลียและตกลงไปในห้วงนิทรา   

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา