ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  9 วิจารณ์
  1,915 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) คำสาบาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            ปิ่นตะวันนั่งพับเพียบอยู่กลางวิหารไม้สักล้านนาโบราณมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักองค์โตนั่งขัดสมาธิศิลปะเชียงแสนตั้งอยู่ด้านหน้าให้ชาวบ้านและผู้ที่ศรัทธามากราบไหว้ หญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาที่วัดแห่งนี้ตามคำสั่งของหนานไกร หญิงสาวมองไปรอบๆวิหารเพื่อดูศิลปะอันเก่าแก่ของล้านนาแต่ติดตรงที่เธอต้องนั่งพับเพียบอยู่กับที่โดยมีสายตาของชุ่มกับแช่มจ้องมองอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงลุกขึ้นไปดูลายแกะสลักไม้อย่างใกล้ชิด  

            “หลวงพ่อมาแล้วขอรับ” ยอด บ่าวรับใช้คนสนิทของหนานไกรรีบเข้ามาในวิหารก่อนจะนั่งลงแล้วพูดกระซิบทางด้านหลัง  ไม่นานนักก็ปรากฏพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินเข้ามาในวิหารด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมนุ่งจีวรสีกรักแดงดูมีอายุมากแล้วแต่ใบหน้าของท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตา พระสงฆ์รูปนั้นนั่งลงบนอาสนะแล้วค่อยๆหันไปมองทีละคนที่มานั่งรอจนมาสะดุดตรงที่ปิ่นตะวัน ทุกคนในวิหารต่างพากันก้มกราบด้วยความเคารพ

            “ไอ้ไกร เอ็งมาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ”  

            “พระอาจารย์ขอรับ ข้าพาแม่หญิงผู้นี้มากล่าวคำสาบานต่อหน้าท่านขอรับ” ชายหนุ่มพูดกับพระสงฆ์ที่เป็นอาจารย์ของตนด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว

            “หา อะไรนะ” ปิ่นตะวันหันขวับไปทางต้นเสียงหญิงสาวเบิกตาโพลงโตด้วยตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หนานไกรหันมามองปิ่นตะวันและใช้สายตาดุปรามไม่ให้หญิงสาวพูดเสียงดัง

            “เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของมัน เอ็งก็ยอมพูดสาบานต่อหน้าข้าเถิดมันจะได้เชื่อใจเอ็งมากขึ้น” พระอาจารย์แสงคำ พูดกับปิ่นตะวันทำให้หญิงสาวจำใจต้องยอมทำตาม

            “พนมมือขึ้นมา” คนเผด็จการออกคำสั่ง

ปิ่นตะวันพนมมือไว้กลางอกหลังจากนั้นจึงกล่าวคำสาบานตามชายหนุ่มโดยที่เจ้าตัวเชื่อว่าการให้คำสัตย์สาบานต่อหน้าพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจะทำให้คำสาบานนั้นศักดิ์สิทธิ์ทันตา 

            “ตอนนี้เอ็งสบายใจแล้วใช่ไหมไอ้ไกร” พระอาจารย์แสงคำเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับมีพลัง

            “ขอรับ” หนานไกรตอบด้วยความสุภาพ

            “ดีแล้ว แม่หญิงผู้นี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้ใดดอกแต่กลับน่าสงสารเสียมากกว่าต้องพลัดบ้านพลัดเมืองมาอยู่ที่นี่โชคชะตาเป็นคนกำหนดหนาแม่หญิง” 

            “ท่านทราบว่าดิฉันมาจากไหนเหรอคะ” ปิ่นตะวันถามด้วยความสนใจก่อนที่พระอาจารย์แสงคำจะพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบคำถาม

            “มาได้ก็ต้องกลับได้ แม่หญิงไม่ต้องกังวลดอกขอแค่แม่หญิงมีสติแล้ววงล้อแห่งกรรมจะหมุนของมันเอง” พระอาจารย์แสงคำซ่อนปริศนาไว้ในคำพูดปล่อยให้หญิงสาวเก็บเอาไปคิดปิ่นตะวันทำหน้าดีใจเมื่อรู้ว่ามีหนทางที่จะได้กลับบ้านผิดกับอีกคนที่จ้องไปที่หญิงสาวโดยไม่ละสายตาพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดในใจกับคำพูดที่พระอาจารย์แสงคำได้กล่าวเอาไว้

            เมื่อเสร็จธุระแล้วทั้งหมดจึงกราบลาพระอาจารย์แสงคำกลับเฮือนแก้ว หนานไกรขอแยกตัวออกไปทำธุระอีกทางหนึ่ง ชายหนุ่มจึงสั่งให้ยอดบ่าวคนสนิทพาแม่หญิงกลับเฮือนแก้ว ระหว่างทางที่กำลังเดินกลับจู่ ๆก็มีชายฉกรรจ์สามคนปิดหน้าปิดตาถือดาบกันคนละเล่มโผล่ออกมาจากที่ซุ่ม ล้อมพวกของหญิงสาวเอาไว้พร้อมกับชี้ดาบข่มขู่ ดูท่าทางแล้วเหมือนกับกลุ่มโจรที่จะมาปล้นวันก่อนไม่มีผิด ส่วนยอดที่ได้รับคำสั่งจากนายให้ดูแลคุ้มครองปิ่นตะวันจึงรีบชักดาบออกมาตั้งรับ

            “แม่หญิงกับพวกที่เหลือหลบไปอยู่ด้านหลังก่อนขอรับเดี๋ยวบ่าวจะล่อพวกมันออกไปทางอื่น”  ยอดหันไปพูดกับหญิงสาวก่อนที่จะตะโกนท้าทายพวกโจร

            “พวกเอ็งทั้งสามคนถ้าแน่จริงก็ไปสู้กับข้าตัวต่อตัวทางด้านนู้นสิวะ” ไม่รอช้า ยอดรีบวิ่งนำไปอีกทางทำให้พวกโจรทั้งสามต่างพากันวิ่งตามชายหนุ่มไป

            “แม่หญิงรีบกลับเฮือนเถอะเจ้า” แช่ม บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยทักขึ้นมาหลังจากเห็นพวกโจรวิ่งไล่ไอ้ยอดไปไกล

            “แล้วยอดล่ะพี่แช่ม” 

            “แม่หญิงไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอกเจ้า มันเอาตัวรอดได้ เรารีบกลับกลับเฮือนเถอะเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย”  ชุ่มพูดสมทบ

แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเดินจู่ ๆ ก็มีโจรอีกสองคนที่ดักซุ่มอยู่ไม่ไกลมากนักตรงปรี่เข้ามาหาหญิงสาวโดยไม่ทันตั้งตัว เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังลั่นป่า ชุ่มกับแช่มกอดกันกลมหวาดกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า

            “ไอ้ที่วิ่งตามไปมันโจรตัวปลอมส่วนโจรตัวจริงคือพวกข้าเว้ย เห้ย ฆ่าพวกมันให้หมด” หนึ่งในพวกโจรตะโกนขู่ฆ่ายิ่งทำให้ชุ่มกับแช่มไม่มีสติยืนสั่นกลัวเหมือนเจ้าเข้า

            “พี่ๆจ๊ะ คือพวกพี่มีดาบกันทั้งสองคนเลยส่วนพวกน้องเนี่ยไม่มีอาวุธอะไรเลยนะจ๊ะ พวกพี่ปล่อยพวกเราไปเถอะจ๊ะพวกเราไม่มีทางสู้หรอกเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ” ปิ่นตะวันรวบรวมสติและพยายามพูดอย่างใจเย็นเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

            “ไม่ได้ พวกข้าต้องฆ่าพวกเอ็งให้หมดโดยเฉพาะเอ็ง” หนึ่งในโจรชี้ดาบมายังปิ่นตะวัน สายตามุ่งอาฆาตมาดร้าย

            “ถ้าแน่จริงก็วางดาบลงแล้วมาตัวต่อตัวสิวะ” ปิ่นตะวันพูดท้าทาย สงสัยทางสันติคงใช้ไม่ได้กับโจรพวกนี้ เมื่อเห็นท่าทางของปิ่นตะวันที่กล้าแกร่งเกินหญิง โจรทั้งสองจึงหัวเราะออกมากับคำพูดชวนน่าขำก่อนที่จะโยนดาบของตัวเองทิ้งตามคำท้าทายของหญิงสาว

            “แม่หญิงตัวแค่นี้จะทำกระไรพวกข้า…..” หญิงสาวไม่รอช้า บรรจงเตะที่ต้นคอของโจรคนหนึ่งเข้าเต็มแรง ทำให้คนโดนเตะล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที

            “เอ็งทำกระไรเพื่อนข้า” โจรอีกคนเมื่อเห็นเพื่อนสนิทนอนสลบลงบนพื้นจึงรีบตรงปรี่เข้ามาหาหญิงสาวทันทีด้วยความโกรธ ปิ่นตะวันแกะปมที่มัดซิ่นเอาไว้ให้หลุดออกเผยให้เห็นกางเกงโยคะเอวสูงสีดำสวมไว้ข้างใน กว่าที่หญิงสาวจะแอบสวมกางเกงตัวนี้ได้โดยที่พี่แช่มกับพี่ชุ่มไม่ทันสังเกตุก็แสนยากลำบากแต่จะให้ไม่สวมอะไรเลยมันก็โล่งเกินไป นี่ถือว่าโชคดีที่หญิงสาวสวมกางเกงตัวนี้ทับไว้จึงทำให้มีโอกาสแก้แค้นที่เมื่อวานทำอะไรพวกโจรไม่ได้

        ปิ่นตะวันเข้าไปต่อสู้กับโจรคนนั้นโดยไม่เกรงกลัวอะไรเพราะเชื่อมั่นในฝีมือจากการเป็นสตั๊นท์แมนมาเป็นเวลานานและก็เป็นไปตามที่คิดเอาไว้  หญิงสาวใช้ทั้งหมัด ทั้งเตะ ทั้งถีบ และความคล่องตัวทำให้อีกฝ่ายแทบล้มทั้งยืน

        สองสาวส่งเสียงเชียร์เจ้านายของตนอย่างสนุกสนานราวกับว่ากำลังดูพนันไก่ชนเสียงตะโกนโหวกเหวกลั่นป่าทำให้หนานไกรและยอดรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยอาการแตกตื่นหลังจากที่ชายหนุ่มเข้าไปช่วยบ่าวคนสนิทต่อสู้กับพวกโจร โชคดีที่เขาส่งผีเลี้ยงให้ตามไปเฝ้าดูจนกว่าจะถึงเฮือนแก้วจึงทำให้รู้ว่ามีกลุ่มโจรออกมาดักปล้นระหว่างทาง ชายหนุ่มจึงตามมาช่วยได้ทันเมื่อจัดการกับพวกโจรสามคนแรกได้แล้วทั้งเขาและไอ้ยอดก็รีบวิ่งมาช่วยพวกผู้หญิงแต่กลับได้เห็นปิ่นตะวันกำลังต่อสู้กับโจรที่มีรูปร่างกำยำได้สบายด้วยวิธีการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใคร

            “ป้อนายไม่เข้าไปช่วยแม่หญิงรึขอรับ” ยอดพูดกระซิบให้หนานไกรได้ยิน

ชายหนุ่มหันไปมองที่บ่าวคนสนิทแล้วส่ายหน้าเบาๆเป็นสัญญาณก่อนที่จะกลับมาตั้งใจดูปิ่นตะวันต่อสู้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงตะโกนเชียร์ยังคงดังสนั่นไอ้ยอดที่พึ่งมาถึงก็ส่งเสียงเชียร์ไปกับเขาด้วย ปิ่นตะวันเห็นว่าโจรตรงหน้าออกอาการมึนงงตัวโอนเอนไปมาท่าทางจะยืนไม่ไหวหญิงสาวจึงนึกใช้ท่าแม่ไม้มวยไทยที่ได้ร่ำเรียนมาใช้เป็นท่าไม้ตาย เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวใช้ความคล่องตัวกระโดดเหยียบไปที่หน้าแข่งของอีกฝ่ายและใช้ศอกกระแทกลงบนกลางศีรษะอย่างแรงทำให้ร่างกำยำทรุดลงไปนอนกับพื้นทันที

            “แม่หญิงเก่งที่สุดเลยเจ้า” ชุ่มพูดโพล่งออกมาด้วยความดีใจ ปิ่นตะวันหันไปมองพร้อมกับชูนิ้วโป้งขึ้นมาและฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงกันด้วยความดีใจ หญิงสาวสังเกตเห็นหนานไกรและยอดบ่าวคนสนิทยืนดูอยู่ข้างๆชุ่มกับแช่มใบหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยแต่แววตากลับจดจ้องมาที่ปิ่นตะวันออย่างไม่ลดละ  

            “แม่หญิงเจ้า ข้างหลัง” แช่มชี้นิ้วไปยังด้านหลังของปิ่นตะวันดวงตาเบิกโพลงราวกับตกใจอะไรบางอย่าง หญิงสาวหันหลังไปตามนิ้วที่ชี้ ปรากฏให้เห็นชายรูปร่างกำยำอีกคนที่นอนสลบไปตั้งแต่แรกตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนงงเล็กน้อย 

            “แหมพี่ จะตื่นทำไมเพื่อนพี่เค้าพึ่งนอนไปเมื่อกี้นี้เอง” หญิงสาวเอ่ยทัก เมื่อโจรเห็นเพื่อนของตนนอนสลบอยู่ที่พื้นร่างกายมีแต่รอยแผลถูกต่อยใบหน้าบวมเป่งฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัวสภาพดูไม่ได้ ด้วยความหวาดกลัวโจรคนนั้นคิดจะเผ่นหนี สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังแต่ยังไปไม่ถึงไหนก็ถูกปิ่นตะวันที่วิ่งตามมาดึงคอเสื้อไว้ไม่ให้หนี

            “พี่ชายจะหนีไปไหน มามะเดี๋ยวฉันจะพาพี่นอนเองนะ” เสียงพูดข้างๆหูทำให้ชายอกสามศอกเย็นวาบไปทั้งตัว หันมามองหญิงสาวด้วยสายตาน่าเวทนาแข้งขาเกิดไร้เรี่ยวแรงกะทันหันความกลัวเกิดขึ้นในจิตใจทำให้มือไม้สั่นไม่หมด 

หญิงสาวจับโจรคนนั้นหันมาทางเธอแล้วจัดการล็อคคอตีเข้าไปสี่ถึงห้าทีแล้วต่อด้วยหมัดที่ง้างมาแต่ไกลซัดเข้าไปที่ใบหน้าเต็มๆ จนสลบไปอีกครั้ง 

            “ฝันดีนะพี่ชาย” ปิ่นตะวันเดินกลับไปเก็บผ้าซิ่นที่ตนถอดไว้ด้วยอาการเหนื่อยหอบ เสียงปรบมือดังขึ้นแสดงความดีใจ

            “แม่หญิงเก่งจริงๆเจ้า”

            “แม่หญิงเอาชนะโจรได้”

หญิงสาวยิ้มกับคำชื่นชมจากสองบ่าวเมื่อเห็นหนานไกรยืนอยู่หญิงสาวจึงเดินเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มแล้วหันไปจ้องสายตาดุคู่นั้น ก่อนจะแลบลิ้นไปที่ชายหนุ่มด้วยความหมั่นไส้ที่เคยดูถูกว่าทำตัวไม่สมกับเป็นแม่หญิง ตอนนี้เธอได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้หญิงอย่างปิ่นตะวันไม่จำเป็นให้ผู้ชายอกสามศอกมาคอยปกป้องเพราะเธอดูแลตัวเองได้   

            “แม่หญิง เดี๋ยวบ่าวช่วยนุ่งซิ่นให้เจ้า” ชุ่มกับแช่มรีบเดินตามเจ้านายไปยังหลังต้นไม้ใหญ่

หนานไกรเมื่อได้เห็นกิริยาที่แปลกประหลาดของปิ่นตะวันทำเอาชายหนุ่มยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกดทั้งท่าทางการต่อสู้ที่ดูไม่ธรรมดาและที่เจ้าหล่อนทำแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ตนอย่างกับจะเยาะเย้ยเขา มันทำให้ชายหนุ่มไม่อาจละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นได้ ‘มิมีผู้ใดเหมือนจริงๆ’ ชายหนุ่มคิดในใจ

            “ป้อนายขอรับ ป้อนายจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหมขอรับ แม่หญิงนุ่งซิ่นเสร็จแล้วนะขอรับ” ยอดสะกิดให้ผู้เป็นนายรู้ตัวหลังจากที่เห็นชายหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติง

            “เดินไปสิ” ชายหนุ่มหันไปพูดกับบ่าวคนสนิทเมื่อเห็นว่าปิ่นตะวันกับสองบ่าวออกเดินทางไปก่อนแล้ว 

 

 

            ‘มาได้ก็ต้องกลับได้ แม่หญิงไม่ต้องกังวลดอกขอแค่แม่หญิงมีสติแล้ววงล้อแห่งกรรมจะหมุนของมันเอง’   คำพูดของพระอาจารย์แสงคำที่พูดไว้ตอนเช้ายังคงวนเวียนอยู่ในหัวของหนานไกร ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่นานจึงตัดสินใจเข้าไปถามให้แน่ใจ ครั้งสุดท้ายที่เห็นแม่หญิงปิ่นหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็น่าจะอยู่ตรงท่าน้ำหลังเฮือนแก้วเพราะเคยได้ยินเจ้าหล่อนเอ่ยปากชวนบ่าวทั้งสองไปเที่ยวเล่นตรงนั้น

            “แม่หญิงปิ่น ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” หนานไกรตรงดิ่งเข้าไปหาหญิงสาวในขณะที่ปิ่นตะวันกำลังนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าหนานไกรยืนอยู่ข้างๆ พลันสายตาดุมองไปที่สองบ่าวเป็นคำสั่งกลายๆให้ออกไปจากตรงนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเขาและเธอ หนานไกรจึงเริ่มถามคำถามหญิงสาวทันที

           “แม่หญิงมาจากที่ใดกันแน่” 

            “ก็อยุธยาไงคะ” ปิ่นตะวันแปลกใจว่าทำไมชายหนุ่มถึงถามในสิ่งที่เธอเคยบอกไปแล้วตั้งแต่ต้น

            “ข้าไม่เชื่อ เจ้าบอกความจริงมาเถิดว่าเจ้ามาจากที่ใด” ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้นพร้อมกับจ้องไปที่ใบหน้างามเพื่อคาดคั้นคำตอบ 

            “ฉันมาจากอยุธยาจริงๆค่ะ” หญิงสาวยันยืนยันหนักแน่นแม้จะถูกกดดันทางสายตาก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ปักใจเชื่อ

            “ไม่ว่าคุณจะถามฉันกี่ครั้งฉันก็จะบอกว่าฉันมาจากอยุธยาค่ะ แต่…..” หญิงสาวเว้นระยะคำพูด

            “แต่กระไร” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย

            “แต่เป็นอยุธยาที่อยู่กันคนละยุคสมัยค่ะ” ปิ่นตะวันยิ้มเจื่อนๆให้ชายหนุ่ม

            “เจ้าพูดกระไรข้าไม่เข้าใจ” ใบหน้าเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย

            “ฉันหมายความว่า ฉันมาจากอนาคตที่ไกลมากไกลจนร้อย ๆ กว่าปีค่ะ” หญิงสาวพยายามอธิบายที่มาที่ไปของเธอโดยละเอียดให้คนฟังได้เข้าใจแต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าไม่เข้าใจมากไปกว่าเดิม

            “เอาอย่างนี้ล่ะกัน คุณรอฉันอยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวฉันมา อย่าไปไหนนะคะรออยู่ตรงนี้” ปิ่นตะวันพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบวิ่งไปยังห้องของตนและหยิบเอากระเป๋าเป้ที่หญิงสาวซ่อนไว้ใต้เตียงออกมา

            “แม่หญิงอย่าวิ่งเจ้ามันไม่งาม” เสียงตะโกนไล่หลังดังขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นนายของตนถกซิ่นขึ้นและรีบวิ่งไปยังเฮือนแก้ว ชุ่มกับแช่มที่ยืนรออยู่ด้านนอกชะเง้อคอดูหญิงสาวที่วิ่งผ่านพวกตนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองต่างพากันทำสีหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมโลดโผนไม่มีความเป็นแม่หญิงที่เรียบร้อยเลยสักนิด

ปิ่นตะวันค้นหาสิ่งของภายในกระเป๋าเป้ของเธอก่อนจะหยิบแว่นตากันแดดสีดำตัวโปรดออกมา

            “อันนี้เค้าเรียกว่าแว่นตากันแดด” ปิ่นตะวันสวมแว่นตากันแดดสีดำแล้วหันมามองชายหนุ่มพร้อมกับทำท่าโพสอย่างมั่นใจ ส่วนคนดูก็ได้แต่ยืนนิ่งมองท่าทางที่แสนพิลึกนี้อย่างตั้งใจ

            “เป็นไง เท่ห์ไหม” 

            “เท่ห์ รึ” ชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายของคำที่หญิงสาวพูดทำได้แต่ยืนมองเท่านั้น

            “ใช่ค่ะ และจะยิ่งเท่ห์กว่านี้ถ้าเราสวมแว่นกันแดดพร้อมกับขับมอเตอร์ไซค์”

            “ขับ กระไรนะ”  

            “ขับมอเตอร์ไซค์ค่ะ แบบนี้ไง” ปิ่นตะวันทำท่าทางประกอบ ชายหนุ่มนึกขำในใจกับท่าทางที่ไม่เคยเห็นแม่หญิงคนไหนทำมาก่อนทำให้ใบหน้าคมมีรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปาก

            “ถ้าคุณยังไม่เชื่อ ฉันยังมีอีก” ปิ่นตะวันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาให้ดู ชายหนุ่มจ้องมองและพิจารณาสิ่งของตรงหน้าที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกะทัดรัด 

            “โชคดีนะที่ปิดโทรศัพท์ไว้” หญิงสาวกดเปิดมือถือแล้วเลือกไปที่กล้องถ่ายรูปหลังจากนั้นจึงกดปุ่มถ่ายรูปคนตรงหน้าทันทีก่อนที่จะนำมันไปให้ชายหนุ่มได้ดู

            “นี่มันกระไรกัน ทำไมถึงมีตัวข้าอยู่ในนั้น เจ้าจะกักขังวิญญาณข้ารึ” ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อเห็นภาพของตัวเองไปอยู่ในสิ่งของประหลาดนั้น ตั้งแต่โตมาก็ไม่เคยเห็นผู้ใดสิ่งนี้มาก่อนหรือว่าแม่หญิงปิ่นจะเป็นพวกเล่นของทำคุณไสย

            “ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ สิ่งนี้เรียกว่าโทรศัพท์มือถือไม่ว่าเราจะอยู่ไกลแค่ไหนก็สามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องไปหาถึงเรือนและเมื่อกี้ฉันไม่ได้จะกักขังวิญญาณของคุณหรอกค่ะ แค่ถ่ายรูปเฉยๆ”  

            “ข้าไม่ชอบสิ่งนี้” ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก

            “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เชื่อแล้วใช่ไหมคะว่าฉันมาจากอนาคต”  

หนานไกรยืนนิ่งไปสักพักก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆเป็นการยอมรับ ถึงแม้สิ่งที่หญิงสาวพูดมันจะเกินจริงไปสักหน่อยแต่เขาก็ได้เห็นกับตาตัวเอง ทั้งสิ่งของเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นตา การพูดจาประหลาดมิมีใครเหมือน ทั้งเรื่องที่จู่ ๆหญิงสาวก็มาโผล่ที่เฮือนแก้วรวมถึงเรื่องที่พระอาจารย์แสงคำพูดทิ้งไว้เป็นปริศนา ทั้งหมดทั้งมวลมันทำให้เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่าแม่หญิงปิ่นคนนี้ไม่ใช่คนในยุคของเขา แล้วแม่หญิงมาที่นี้ได้อย่างไรและใครเป็นคนพามา ไม่ว่าจะถามซักไซ้แค่ไหนคำตอบที่ได้มาก็เหมือนเดิม 

            “ข้าเชื่อเจ้า”

            “เยส  ในที่สุดคุณก็เชื่อฉัน เพราะฉะนั้นเราสองคนลงเรือเดียวกันแล้ว คุณต้องช่วยพาฉันกลับบ้านให้ได้ ดีลค่ะ” ปิ่นตะวันพูดด้วยความดีใจ พลางยื่นมือมาตรงหน้าหวังว่าจะจับมือเพื่อสมานฉันท์ หนานไกรมองการกระทำตรงหน้าอย่างงุนงง แต่แล้วมือเล็กๆก็ดึงมือของเขามาจับโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

            “เจ้า.. เจ้าทำกระไร” ชายหนุ่มรีบชักมือออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหัวใจเริ่มเต้นรัวเป็นจังหวะ

            “ก็จับมือเป็นพวกเดียวกันยังไงค่ะ พี่หนาน” 

            “แต่แม่หญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวชายอื่นที่ไม่ใช่สามีของตนเอง มันไม่งาม” หญิงสาวนึกขำกับท่าทางหวงเนื้อหวงตัวของชายหนุ่มถึงแม้จะพูดแบบนั้นเพื่อกลบเกลื่อนแต่ใบหน้ากลับแสดงออกถึงอาการเขินอาย ปิ่นตะวันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำท่าทางเหมือนจะจับมือกับชายหนุ่มอีกครั้ง คนตัวสูงถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความประหม่าแต่แล้วหญิงสาวใช้มืออีกข้างมาจับกับมือตนเองแทนพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย

 

            “ป้อนายขอรับ มีคนมาหาขอรับ” ยอดวิ่งหน้าตั้งเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ

            “ใคร”

            “ไอ้ผาขอรับ ตอนนี้รออยู่ที่ด้านหลังนู้นขอรับ” ยอดชี้นิ้วไปทางเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำก่อนจะหันมาพูดกับปิ่นตะวัน

            “ข้าขอตัว” สิ้นเสียง หนานไกรรีบเดินตรงไปยังท้ายเรือนเล็กโดยมียอดเดินตามไปติดๆ

ทางด้านปิ่นตะวันเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินหายลับไปแล้วจึงรีบเก็บข้าวของลงในกระเป๋าเป้ทันที

            “ป้อนายขอรับอย่าหาว่าบ่าวสอดเลยนะขอรับ เมื่อกี้ตอนที่บ่าวจะเดินเข้าไปหา บ่าวเห็นป้อนายกับแม่หญิงจับไม้จับมือกัน  ป้อนายเสียผีแล้วใช่ไหมขอรับ” ยอดเน้นน้ำหนักเสียงไปยังประโยคสุดท้ายพร้อมใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะกระเด็นลงไปกองกับพื้นตามแรงถีบของผู้เป็นนาย 

            “ข้าไม่ได้เสียผี เอ็งอย่ามาพูดเป็นเล่น! ที่เอ็งเห็นมันแค่เป็นเหตุสุดวิสัยเอ็งอย่าไปเที่ยวบอกใครล่ะถ้าข้าได้ยินคนอื่นเอาไปพูดกันข้าจะคิดว่าเอ็งเป็นต้นเหตุและข้าก็จะเอาไม้หวายมาโบยเอ็งให้หลังลายเชียว” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังก่อนจะรีบก้าวเดินต่อไป  ส่วนยอดเมื่อเห็นนายของตนเดินไปแล้วจึงรีบลุกขึ้นและปัดฝุ่นตามเนื้อตัวแล้วเดินตามหลังไปแต่ระหว่างทางเดินยอดคอยสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนเกือบจะโดนเขกหัวอยู่หลายที

            “อาจารย์” เสียงทักทายจากหนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีเมื่อเห็นหนานไกรเดินเข้ามา 

            “ไอ้ผา เอ็งแอบหนีออกมาจากบ้านอีกแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มกดเสียงให้ต่ำ ลงเป็นเชิงติเตียน

            “ขอรับ” คนตรงหน้าทำเสียงอ่อยเมื่อโดนจับได้  ‘ผา’ เด็กหนุ่มที่ชอบแอบมาเรียนวิชาการต่อสู้กับหนานไกรเป็นประจำ ท่าทางและการแต่งตัวบ่งบอกถึงฐานะครอบครัวที่ร่ำรวยมากหรือไม่บิดาก็อาจเป็นข้าราชการในวัง ผาได้รู้จักกับหนานไกรเพราะว่าเคยแอบหนีพ่อกับแม่มาเที่ยวเล่นแล้วถูกโจรดักปล้นโชคดีที่หนานไกรช่วยไว้ได้ทันหลังจากนั้นจึงตามตื้อขอให้สอนวิชาการต่อสู้ ด้วยความรำคาญหรือเห็นว่าหนุ่มน้อยมีความพยายามที่อยากจะเรียน ในที่สุดหนานไกรจึงถ่ายทอดวิชาให้ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา