ฝันโง่โง่

8.9

เขียนโดย ฮางมะ

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.50 น.

  1 ตอน
  7 วิจารณ์
  4,146 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 18.52 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

           แสงแดดร้อนกลางเดือนพฤษภาคมสาดส่องแปลงผักที่เขียวขจีด้วยพืชพันธ์อันหลาก หลายชนิด มีทั้งผักกาดกวางตุ้ง ผักกาดเขียว ผักบุ้ง ถั่วฝักยาวที่เลื้อยขึ้นซุ้มไม้ไมยราพยักษ์  ผักกาดหอม และแตงกวาไม่ไกลจากแปลงผักขนาดไร่เศษ ไอระอุร้อนโลมเลียวัวที่เล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งอาศัยร่มเงาต้นทองกาวที่ยืน เด่นท่ามกลางทุ่งอันร้อนแล้งนั้น 

 

           นิดายืนใต้ร่มเงาแห่งต้นทองกาว ยืนมองพยับแดด อย่างใจอ่อน เธอรอฝนแรกของปี แม้เข้ากลางเดือนห้าแต่ยังไม่มีวี่แววแห่งพระพิรุณที่จะโปรยความชุ่มฉ่ำสู่ ทุ่งโล่งแห่งนี้ ผักของนิดากำลังจะขาดน้ำ เมื่อบ่อใหญ่พึ่งแห้งขอดไปเมื่อวานนี้หลังจากใช้ชโลมผักเหล่านั้น และวัวของหญิงสาวกำลังไร้หญ้าให้เลาะเล็ม

 

           ทุกอย่างเข้าสู่วิกฤติ ทั้งหมดที่ลงทุนลงแรงมากำลังสูญสลาย เป็นอีกครั้งที่เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า คิดถูกแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจมาทำแบบนี้ ซึ่งไม่น่าเสียเวลามาตั้งคำถามโง่ๆนั้นให้ตัวเอง ก็คำตอบมันก็เห็นชัดอยู่นั่น ไร่ผักปลอดสารพิษ ที่นิดาลงแรงปลูก แต่ที่หญิงสาวอดคิดไม่ได้คือ เธอกลัวว่าทุกอย่างจะเหมือนอย่างที่พ่อพูด เหมือนที่พ่อบอกหญิงสาวทันทีที่เอ่ยความคิดที่จะปลูกผักปลอดสารพิษ ใช้ชีวิตในชนบทที่เรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนทำงานไกลถึงเมืองใหญ่เพื่อรับใช้นายทุนเพียงเพื่อแลกกับเศษ เงินที่ไม่พอแม้จะดำรงชีพ

 

          “ คิดดีแล้วกา พ่อว่าลูกแม่หญิงอย่างลูกทำบ่ได้หรอกงานทุ่งงานนามันหนัก “ พ่อดูจะตกใจกับการตัดสินใจลูกสาว

 

          “ คิดดีแล้ว ถ้าไม่ออกมาตอนนี้อีกไม่นานเขาก็ให้ออกอยู่ดี ลูกทำงานโรงงานมาจะยี่สิบปีแล้ว ไม่เห็นจะได้อะไรเลย แล้วจะทำไปอีกนานแค่ไหน “ นิดาว่า

 

          ผู้เป็นพ่อหายใจหนักหน่วง มวนบุหรี่ใบตองแห้งช้าๆดวงตาเม่อลอย พ่อของเธอดูแก่ไปทุกครั้งที่ ไม่รู้เพราะงานไร่หรือความเครียดจากหนี้สินทำให้พ่อเคร่งเครียด แต่ก็คงเป็นทั้งสองอย่าง งานสวนที่ทำไปวันๆไมมีความหวังไม่ขาดทุนก็นับว่าบุญแล้ว

 

          “ พ่อก็ทำสวนทำไร่ มาทั้งชีวิต มันก็บ่ได้อะไรเหมือนกัน แถมยังมีแต่หนี้สิน พ่อจึงไม่เห็นตวยที่ลูกจะมาทำ มันบ่มีอนาคตหรอกลูก อาชีพนี้ “  

 

          แม้พ่อของเธอจะบอกอย่างนั้นแต่นิดาก็ออกมาทันทีที่บริษัทถูกน้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี54 เพราะหญิงสาวรู้แล้วว่าในยามวิกฤติเช่นนั้น แม้จะมีเงินมากมายเพียงใดก็แทบจะไร้ค่าในสถานการณ์ที่ขาดแคลนสิ่งของ เธอจึงมุ่งหน้ากลับมาที่บ้านและเริ่มพลิกฟื้นดินที่เต็มไปด้วยสารพิษจากการ ทำเกษตรแบบตามระบบทุนนิยมของพ่อ

 

          นิดาขอที่ดินว่างเปล่าสองไร่ที่ดินแข็งแห้งเกินจะว่านพืชผลใดให้เติบโต พ่อปล่อยให้มันรกร้างไปด้วยดงไมยราพยักษ์  เศษซากของความพยายามที่จะปลูกลำใยในที่ดินผืนนี้ของผู้เป็นพ่อยังคงมีให้ เห็น นิดาศึกษาการปลูกพืชแบบอินทรีย์ อย่างจริงจัง และใช้เงินเก็บซื้อวัวเพศเมียตัวหนึ่งก่อนที่มันจะเข้าสู่โรงเชือด 

 

          เพื่อให้มันผลิตปุ๋ย แต่ปัญหาหนักคือ ดินที่แข็งแห้งเกินแรงมือแรงจอบ จะยกร่องทำแปลงได้ หญิงสาวจึงจ้างรถไถมาพรวนดินนำมูลวัวที่ตากแห้งมาผสมลงไปให้ผสาน เธอรู้ว่าทุกอย่างต้องเริ่มที่พระแม่ธรณีถ้าอยากให้พืชผักออกมาดีต้องบำรุง ดิน ถึงฐานราก ใช้เวลานานกว่าทุกอย่างจะเป็นรูปเป็นร่าง นิดาปลูกต้นกล้วยเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น ขุดบ่อกักเก็บน้ำฝนให้เพียงพอต่อการเลี้ยงพืชไร่

 

          แต่เนื่องจากไม่ใช่วสันตฤดู บ่อของเธอต้องอาศัยน้ำจากลำคลอง แต่ในช่วงฤดูแล้งและเป็นพื้นที่ห่างไกลชลประทาน น้ำจึงไหลมาเก็บได้แค่ครึ่งบ่อ แต่นิดาก็รอต่อไปไม่ได้แล้วเมื่อใกล้สิ้นเดือนเมษายน เธอก็ลงมือปลูกผักเหล่านั้น  และก็เป็นอย่างที่เห็น น้ำในบ่อหมดลงไปแล้ว มันเป็นความผิดของเธอเอง ที่เร่งรีบในการปลูกผักเกินไป…

 

         แสงแดดเปรี้ยงแทบจะเผาศรีษะ ของหญิงสาวให้ลุกไหม้เป็นจุณ นิดายื่นถังน้ำให้กับวัวของหล่อนมันชื่อ บุญรอด เธอตั้งให้มันเอง มันมองหน้าอย่างไม่ไว้วางใจนัก มันยังไม่คุ้นกับเธอ เมื่อเย็นวานตอนพากลับเข้าคอก มันเต้นสะบัดเชือกจนหลุดมือ

 

          นิดาวิ่งตามไปคว้าเชือก กลับถูกอีบุญรอด ถึงกระชากล้มแต่เชื่อกพันมือของหญิงสาวแน่น จึงถูกลากครูดกับดิน กว่าจะยันตัวขึ้นมาได้ เนื้อตัวก็ถลอกปอกเปิกหมด หล่อนโกรธมาก อยากจะฟาดไม้ใส่มัน เข้าสักที แต่เมื่อเห็นหน้าของวัวสาวแล้ว  หญิงสาวก็ทำมันไม่ลง

 

          ก็เธออุตสาห์ช่วยให้มันรอดจากโรงเชือด แล้วกลับจะมาทำมันเอง อย่างนั้นหรือ  บุญรอดกินน้ำในถังอย่างเสียงดัง เสียงหายใจมันบอกถึงความเหนื่อยล้า อากาศร้อนจนทำให้น้ำตามันไหลอาบเป็นร่อง นิดามองไปรอบๆอีกครั้งไม่มีที่ใดพอจะให้ บุญรอดได้เล็มหญ้าสักที่ บุญรอดต้องการหญ้าแต่หญ้าก็ต้องการน้ำฝน พอๆกับนิดาเหมือนกัน คิดดูแล้วทุกอย่างมันช่างแปลกประหลาดจริงๆ สิ้นปีที่แล้วน้ำท่วมเกือบทั่วประเทศ แต่พอไม่กี่เดือนก็เกิดสภาวะแล้งขึ้น ธรรมชาติกำลังทำร้ายมนุษย์โลก เพราะมนุษย์โลกไปทำลายธรรมชาติก่อน  มันจึงเกิดการเอาคืนของธรรมชาติที่ไม่มีมนุษย์คนไหนรอดพ้น   

 

          น้ำในถังหมดแล้วแต่บุญรอดยังต้องการอีก เธอจึงเดินกลับบ้านไปเอาน้ำประปามาให้มันอีกถึงจะไกลแต่เธอก็ต้องไป

    

 

          สามวันแห่งการรอคอยเม็ดฝนไม่มีสิ่งใดที่จะบอกว่าพระพิรุณจะโปรยลงเมื่อใด นิดาได้เจอมาแต่สายลมแห่งความแห้งแล้ง ที่มันพัด ดอกลมแล้ง หรือดอกคูณร่วงกราว ราวกับใครปูพรมสีเหลือง

 

          เธอนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนของโรงเรียนประถม มองดูเด็กๆกลับบ้าน อย่างเงียบๆ นั่งคุยกับครูดาว เพื่อนวัยประถมที่ปัจจุบันได้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ อยู่ที่โรงเรียนนี้ ทั้งสองคนกับคนละเส้นทางเดินของชีวิต ดาวโชคดีที่ พ่อแม่สนับสนุนให้เรียนสูงๆ ผิดกับเธอที่พ่อแม่ไม่สนับสนุน

 

           เธอถูกตลาดแรงงานพัดพาไปไกลถึงเมืองใหญ่พาเธอหายไปจากบ้านอย่างยาวนาน เพื่อหวังสร้างชีวิตที่ดีของครอบครัว แล้วเธอก็ติดกับดักทางทุนนิยม เพราะทุกอย่างในเมืองใหญ่ มีแต่ค่าใช้จ่ายมากมายหลายอย่างไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร มีเพียงแต่อากาศที่ใช้หายใจเท่านั้น ที่ไม่ได้เสียเงินซื้อ

 

          นอกจากนั้นทุกอย่างต้องแลกกับธนบัตร แล้วเงินนั้นก็แลกมาจากหยาดเหงื่อแรงกาย ที่ขายชีวิตและจิตวิญญาณให้นายทุน

 

          เมื่อค่าแรงกับค่าครองชีพไปกันคนละทาง แล้วเธอจะทนอยู่อีกต่อไปทำไม แต่เธอก็อยู่ อยู่ใช้ชีวิตแรงงานอันอ่อนล้าเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ยิ่งอยู่ไปเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความคิด  จึงตัดสินใจละทิ้งชีวิตโรงงานนั้น นิดาไม่สนและไมคิดทนรอค่าแรง สามร้อยบาทต่อวัน ทั้งที่เมื่อก่อน เธอเคยฝันอยากให้มันเพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้เธอคิดว่า มันจะเพิ่มอีกเท่าไหร่เธอก็เชื่อว่ามันไม่ต่างจากเดิมยังไงแรงงานก็ไม่มีวัน ลืมตาอ้าปากได้!

 

          หลายคนอาจรวมทั้งครอบครัวของเธอ ที่มองว่าเธอบ้า ที่คิดมาทำเกษตร ในช่วงที่ชาวเกษตรก็อยากหนีไปทำอย่างอื่น

 

          ทุกคนมองแล้วว่าอาชีพนี้มันไม่เหลือความหวังอะไรอีก แต่ก็เพราะทุกคนทำเกษตรอย่างไม่ปราณีต ทำแบบหยาบๆไม่มีแม้แต่จรรยาบรรณของวิชาชีพ 

 

          ทุกคนมุ่งหวังทำให้ทันตามตลาด ตามกระแส สุดท้ายจึงได้แต่หนี้ในธนาคารและตามมาด้วยการสูญเสียที่ดินทำกินให้นายทุน เพราะต้องขายเอาเงินมาใช้หนี้ แต่ที่น่าเสียใจก็คือ ขายเท่าไหร่ก็ไม่พอถ้ายังทำการเกษตรแบบตามก้นนายทุน!

 

          พ่อของนิดาคือเกษตรกรกลุ่มนั้น ที่ใครแนะนำให้ทำอะไรก็ทำ ปลูกข้าวโผดฝักอ่อนส่งโรงงาน ทำลำใยนอกฤดูทำโดยไม่ได้ศึกษา สุดท้ายก็ไม่คุ้มค่าปุ๋ยยา และการล้มตายของพืชและต้นไม้และดินที่เสื่อมสภาพ รวมทั้งสุขภาพที่ทรุดโทรมของตัวเกษตรกรเมื่อร่างกายเต็มไปด้วยสารพิษ  

 

          ทุกอย่างคือความล้มเหลวซ้ำซาก อย่างที่มีคนกล่าวไว้ เจ็บ จน โง่  แต่เธอไม่ได้หวังมาเปลี่ยนแปลงการเกษตรแบบนั้น เธอเพียงต้องการอยู่ให้รอดโดยไม่ต้องดิ้นรนไปกับสังคมเมืองใหญ่ที่เร่งรีบ และมีชีวิตอยู่บนสายพานของระบบทุนนิยม

 

          ซึ่งเวลาเกือบยี่สิบปีมันก็พิสูจน์เพียงพอแล้ว บุญแค่ไหนที่เธอไม่ได้กลับมาบ้านด้วยสภาพที่ติดลบ ด้วยการเป็นหนี้บัตรเครดิตอย่างเพื่อนในโรงงาน ที่ซื้อสิ่งฟุ้งเฟ้อเกินกำลังเงินที่ตัวเองหาได้ หลายคนอาจคิดว่าเธอเพ้อฝัน การทำเกษตรไม่ว่าแบบไหนก็ไม่เคยง่าย แต่นิดาก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำให้เต็มที่ที่สุด

     

 

          เปลวแดดอันร้อนระอุแผดเผาใบผักที่เธอปลูกจนหงิกงอ ทุกอย่างสูญสิ้นหมดแล้ว ผักของเธอจะไม่มีวันได้ออกไปขาย แม้สายฝนจะตกมาตอนนี้แต่มันก็เกินเยียวยา เสียงบุญรอดเคี้ยวผัก ดังกร๊วบๆ นิดาดูมันกินผักบุ้งในแปลงที่เธอปลูกแล้วยิ้ม อย่างน้อยเธอก็มีหญ้าให้มันกิน เธอมองไปบนฟ้าอีกครั้ง ไกลลิบเห็นก้อนเมฆกำลังก่อตัว ความหวังกำลังเคลือนตัวเข้ามาหา ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง...ขอเพียงไม่ท้อ แม้แต่ความฝันโง่ๆก็คุ้งค่าที่จะฝัน!

 

 

(เขียนไว้ตั้งแต่ปี55 แต่ไม่ได้เอาลงที่ไหนเลย)

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา