มหัศจรรย์แห่งหนังสือ

8.7

เขียนโดย candle

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.

  9 chapter
  34 วิจารณ์
  32.79K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

7) โรงเรียนคาถาวิเศษ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

โรงเรียนคาถาวิเศษ

 

                           

 

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้มาแล้ว  คงไม่ต้องบอกว่าฉันนั้นปลื้มนักเขียนท่านนี้มากขนาดไหนแล้วสินะ  หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของ ‘มิฆาเอ็ล เอ็นเด้’ อีกเหมือนกัน  โรงเรียนคาถาวิเศษเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นกึ่งนิทานอีกเล่มหนึ่งเช่นเดียวกับเรื่อง ‘ดินแดนหลับสบาย’ ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 6 เรื่อง  คือ

          -          โรงเรียนคาถาวิเศษ

          -          ความลับของเลนเชน

          -          ไม่เป็นไร

          -          โมนี่กับรูปวาดชิ้นเอก

          -          ตุ๊กตาหมีกับสัตว์ทั้งหลาย

          -          ทางสายยาวสู่ซานตาครูซ

 

         แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบมากอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ที่สุดคือบทแทนคำนำ : ถ้าจะพูดกันให้ชัดเจนแล้ว  มันเป็นเหมือนกับเรื่องอีกเรื่องหนึ่งด้วยเช่นกัน  และมันเริ่มต้นว่า...

 

          “สมาชิกทุกคนในครอบครัวเรา  ไม่ว่าจะแก่เฒ่าหรืออ่อนเยาว์ขนาดไหน  ล้วนมีข้อเสียที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือติดหนังสือ  มันเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่ายไม่น้อยที่จะโน้มน้าวให้พวกเรายอมวางหนังสือลงสักครู่  เพื่อหันไปทำภารกิจเร่งด่วนและไม่อาจผัดผ่อนออกไปได้อีก  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่ยอมทำภารกิจเหล่านั้นเลย  เพียงแต่พวกเราคิดว่ามันไม่จำเป็น เราต้องถึงกับยอมวางหนังสือลงเพื่อจัดการเรื่องพวกนั้น  ในเมื่อเราสามารถที่จะจัดการกับสิ่งหนึ่งไปพร้อมๆ กับทำอีกสิ่งหนึ่งได้  คุณคงเห็นด้วยใช่ไหม  แต่ถึงอย่างไรก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า  บางครั้งการที่พวกเราทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันมันก็ทำให้เกิดเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เหมือนกัน  ซึ่งจริงๆ  แล้วมันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อยใช่ไหม...”

 

          ที่ชอบก็เพราะว่าฉันก็เป็นเช่นนั้นนั่นเอง  อย่างมีหนังสือเล่มไหนที่อ่านติดพันแล้วละก็แทบไม่อยากวางมันลงเพื่อไปทำอย่างอื่นเลย  แม้แต่การกินข้าวก็เถอะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะเคยเป็นกันไหมเวลาที่อ่านหนังสือบางเล่มแล้วเป็นประมาณว่าวางไม่ลง  อย่างล่าสุดเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่ฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง  หนังสือเล่มนั้นเมื่อเปิดเรื่องดูเอื่อยๆ ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่เลย  ครั้นผ่านไปสักพักเท่านั้นแหละ  วางไม่ลงจริงๆ (ถึงจะไม่ใช่หนังสือของโรฮัลด์ ดาห์ก็เถอะนะ) ว่างไม่ได้  หรือแม้แต่ขณะไม่ว่างก็ยังพยามจะอ่านอยู่นั่นแล้ว  แบบว่าถือติดมือตลอดเวลาแต่มันไม่ดีเลยเพราะมักทำให้เกิดเหตุอันไม่ควรเกิดอยู่เสมอเลยล่ะ (เป็นความลับไม่ขอพูด)

 

          โรงเรียนคาถาวิเศษ 

 

          เป็นการบอกเล่าของชายผู้หนึ่งผู้ซึ่งได้รับคำเชิญอย่างเป็นทางการไปยังดินแดนมหัศจรรย์ (ทำไมฉันถึงไม่ได้รับคำเชิญบ้างน้อ...ฉันล่ะอยากไปจริงๆ นะเออ) เพื่อศึกษาการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คนในดินแดนแห่งนั้น  ทำให้เขาได้รู้จักเด็กชาย-หญิงคู่แฝด  คือมุกกับมาลี  ทั้งคู่เป็นลูกของเจ้าของโรงแรมที่เขาไปพักระหว่างที่อยู่ในดินแดนมหัศจรรย์  นั่นทำให้เขามีโอกาสได้ไปนั่งเรียนกับเด็กๆ ด้วย  ในโรงเรียนคาถาวิเศษนั่นเอง

 

          และสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือเคล็ดลับต่างๆ ที่เหล่าเด็กนักเรียนได้เรียนรู้กันในดินแดนมหัศจรรย์  เป็นเคล็ดลับที่นำมาบอกต่อ...(จงตั้งใจอ่านให้ดีล่ะ)

 

          กฎของการใช้คาถาวิเศษ

  1.           เธอจะสามารถใช้คาถาวิเศษได้ก็ต่อเมื่อเธอเชื่อว่าสิ่งที่เธอปรารถนานั้นเป็นไปได้
  2. ความปรารถนาที่เธอเชื่อว่าเป็นไปได้นั้น  คือความปรารถนาที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่แท้จริงของเธอ
  3. ความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่แท้จริงของเธอนั้น  คือสิ่งที่เธอปรารถนาอย่างแท้จริง

 

          “ใครที่จะใช้คาถาวิเศษได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความปรารถนาอยู่ในตัว  และสามารถที่จะดึงมันออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ”

 

          “จริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องทำก็คือเราต้องหาให้ได้ว่าความปรารถนาที่แท้จริงของเราคืออะไร  เราต้องทำความรู้จักกับมันอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์  ส่วนที่เหลือก็จะตามมาเอง  แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ใครสักคนจะค้นพบว่าจริงๆ แล้วเขามีความปรารถนาอะไร”

 

          “คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเขาเองรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร  คนบางคนคิดว่าตัวเองต้องการจะเป็นหมอ  หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย  หรือนักการเมืองที่มีชื่อเสียง  แต่ความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเขาซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนก็คือ  เขาอยากเป็นแค่คนสวนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ปลูกผักผลไม้ได้ดอกออกผลเท่านั้นเอง

 

          หรือบางคนอาจคิดว่าตัวเองอยากร่ำรวยและมีอำนาจล้นฟ้า  แต่คนพวกนี้หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วตัวเองใฝ่ฝันที่จะเป็นเพียงตัวตลกตามคณะละครสัตว์

 

          คนมากมายคิดว่าตัวเองมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ดีมีความสุข  มีความสงบและพึงพอใจกับชีวิตของตัว  พวกเขาคิดว่าตัวเองอยากจะทำให้คนทุกคนเป็นมิตรต่อกัน  อยากให้สัจธรรมเป็นฝ่ายมีชัยและให้โลกใบนี้มีแต่สันติภาพ

 

          หากคนพวกนี้ได้ล่วงรู้ถึงความปรารถนาที่แท้จริงในใจของตัวเองแล้วล่ะก็  พวกเขาคงประหลาดใจไม่น้อยทีเดียวที่พวกเขาคิดว่าตัวเองปรารถนาสิ่งเหล่านั้นเพราะพวกเขาอยากจะรู้สึกว่าตัวเองงเป็นคนดีมีคุณธรรม  แต่ความอยากนั้นแตกต่างจากความปรารถนาที่แท้จริงมาก

 

          ความปรารถนาที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่มักจะเป็นอะไรที่ห่างไกลจากความอยากของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเอง  และเนื่องจากความปรารถนาที่แปลกปลอมนั้นไม่ได้กำเนิดจากเรื่องราวที่แท้จริงของมัน  คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยรู้เรื่องราวที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร  ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้คาถาวิเศษได้”

 

          บทเรียนที่สองคือ  การสั่งของที่เราไม่ได้เห็นอยู่ตรงหน้ามาปรากฏต่อหน้าเรา  เงื่อนไขข้อแรกคือ...

          ต้องจินตนาการจนเห็นภาพของสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างชัดเจน  ให้เหมือนกับว่าของสิ่งนั้นอยู่เบื้องหน้าตัวเองจริงๆ ต้องนึกถึงรายละเอียดทุกอย่างของสิ่งที่เราต้องการ  เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถสั่งให้มันมาปกกฎต่อหน้าเราได้ (ขณะอ่านอยู่ลองทำตามดูก็ได้นา...ไม่แน่ว่า...) แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งคือ  ต้องเสกของนั้นกลับไปยังที่เดิมของมันด้วย

 

          “มีแต่คนไร้ความสามารถและปลิ้นปล้อนเท่านั้นที่ฉกฉวยสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ต้องการจริงๆ มาเป็นของตัว  คนพวกนี้แหละที่ทำให้โลกวุ่นวาย”

 

          วิธีการเสกให้ของสิ่งหนึ่งกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง  โดยเราจะต้องโยงใยความเกี่ยวพันระหว่างของทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน

 

          “ไม่มีของชิ้นไหนทั่วโลกใบนี้ที่ไม่มีความเกี่ยวพันกับของอีกชิ้นหนึ่ง  ของทุกอย่างมีความเกี่ยวพันกันอย่างเร้นลับ”

 

          “ต้องจำไว้ให้ดีว่า  สิ่งที่ถูกเนรมิตขึ้นมาทุกสิ่งจะมีผลต่อผู้เนรมิตมัน”

           คุณคิดเห็นเป็นไงกับประโยคนี้  สำหรับฉันการเนรมิตก็คือการสร้างการให้กำเนิดการก่อให้เกิด  คิดในแง่มุมแห่งความเป็นจริงไม่ใช่ด้วยเรื่องแห่งจินตนาการ  แม้เป็นสิ่งปลูกสร้างหรือความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน  ฉันคิดอยู่เสมอว่ายิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าไหร่  ความหายนะก็มาเยือนเร็วขึ้นเท่านั้น (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวโดยสมบูรณ์แบบ) การพัฒนาอาวุธสงคราม  อาวุธชีวิภาพ  การฝืนกฎธรรมชาติต่างๆ นาๆ ล้วนเป็นเรื่องฝ่าฝืนกฏและผลของมันก็คือเราผู้เป็นมนุษย์ต้องยอมรับในผลของมันอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงนั่นเอง

 

          เอาล่ะ...หลังจากเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโรงเรียนของดินแดนมหัศจรรรย์แล้ว  อยากลองทำดูบ้างก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง  ไม่แน่ว่าผู้อ่านคนใดคนหนึ่งอาจทำได้จริงๆ ขึ้นมา (ก็ไม่แน่อาจมีใครบางคนเป็นผู้คนที่มาจากดินแดนมหัศจรรย์ก็ได้นี่) แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้  ภายใต้ความตั้งใจและมุ่งมั่นเพียงพอจริงมั๊ยล่ะ  เว้นแต่ว่าใครบางคนจะเรื่อยเปื่อยเกินขนาดไปสักหน่อยเท่านั้นเอง  แต่จะว่าไปฉันเองยังเคยลองใช้คาถาของโรงเรียนนี้บ้างเหมือนกันแหละ  และฉันก็เชื่อเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ซะด้วยว่ามันสามารถเป็นจริงได้

 

          แต่หากคุณเคยอ่านหนังสือ ‘เดอะซีเคร็ต’ ซึ่งเป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องกฎของแรงดึงดูด  ก็น่าจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ในเรื่องราวบทเรียนของโรงเรียนคาถาวิเศษที่เอ็นเด้เขียน  กลับสอดแทรกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่น่าเชื่อ  เพราะหลักใหญ่ใจความมันคือหัวใจเดียวกัน  ว่ากันว่ากฎของการดึงดูดเป็นศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน  แต่ก็นั่นแหละนะแม้ทุกคนจะรู้ก็ใช่ว่าจะทำได้กันทั้งหมด  เพราะมันหมายถึงความปรารถนาอย่างแน่วแน่และตั้งใจอย่างแรงกล้า  ต้องใช้พลังความคิดทางเชิงบวกอยู่มากโข  หากคนเราช่างหน้าแปลกแท้ที่มักใช้พลังความคิดในเชิงลบซะเกินครึ่ง  แทนที่จะคิดเรื่องดีๆ

 

          ความลับของเลนเชน

 

          เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงผู้เอาแต่ใจคนหนึ่งชื่อ ‘เลนเชน’ ปกติแล้วเธอเป็นเด็กหน้ารัก  หรืออย่างน้อยก็ตราบเท่าที่พ่อกับแม่ของเธอทำตัวมีเหตุผล  และยอมทำตามที่เธอต้องการ (เด็กๆ มักเป็นแบบนี้เสมอเลยเนอะ) แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นนะสิ  ดังนั้นเลนเชนจึงตัดสินใจออกไปตามหาแม่มดสักคนหนึ่ง  โดยไม่สนใจว่าจะเป็นแม่มดที่ดีหรือร้าย

 

          “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของหนู  หนูไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการกับพวกเขายังไงดี  พวกเขาไม่เคยยอมทำตามอย่างที่หนูต้องการเลย  ปัญหาก็คือพวกเขามีจำนวนมากกว่า  แถมทั้งสองยังตัวใหญ่กว่าหนูอีก...ถ้าสมมุติว่าทั้งสองคนนั้นตัวเล็กกว่าหนูละก็  เรื่องที่พวกเขามีจำนวนมากกว่าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่  อย่างเช่นว่าพวกเขาตัวเล็กกว่าสักครึ่งหนึ่ง”  นั่นคือสิ่งที่เลนเชนบอกกับแม่มด

 

          แม่มดจึงมอบน้ำตาลวิเศษให้เลนเชนมาสองก้อน  แต่...มีกฎอย่างหนึ่งที่ว่า...การมาขอคำปรึกษาครั้งแรกไม่คิดเงิน  แต่ถ้ามาอีกเป็นครั้งที่สองจะต้องจ่ายเป็นราคาแพง (จ่ายด้วยอะไรล่ะมันน่าสงสัยอยู่นะ  ก็ในเมื่อฟรานซิสกาเป็นแม่มด) ในตอนนั้นเลนเชนคิดเพียงแต่ว่าเธอไม่มีทางกลับมาหาแม่มดอีกเป็นครั้งที่สองแน่  ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว

 

          เด็กหญิงนำน้ำตาลสองก้อนใส่ลงในถ้วยชาของพ่อกับแม่คนละก้อน  และทันทีที่พ่อกับแม่ขัดใจเลนเชนเท่านั้นแหละ  พวกเขาก็ตัวเล็กลงครึ่งหนึ่งในทันที

 

          หลังจากพ่อกับแม่กลายเป็นคนตัวเล็ก  เลนเชนจึงเข้านอนโดยไม่ยอมอาบน้ำแปรงฟัน  เธอเป็นคนกำหนดเองว่าควรจะทำหรือไม่ทำอะไร  แต่ในคืนที่ฝนตกหนักและฟ้าแลบฟ้าร้องเลนเชนอยากเข้าไปนอนกับพ่อแม่  เธอเริ่มรู้สึกอ้างว้าง  ที่ทำได้ในเวลานี้เพียงก้มหน้าร้องไห้กับหมอนอยู่คนเดียว  ครั้นรุ่งสางความกลัวก็หายไปอย่างรวดเร็ว  เด็กหญิงไปโรงเรียนโดยไม่อาบน้ำและไม่ยอมปิดประตูบ้าน

 

          วันหนึ่งขณะเลยนเชนเปิดปลากระป๋องกินเป็นอาหารกลางวัน  ในที่สุดเธอก็โดยปากปลากระป๋องบาดนิ้วจนเลือดไหล  เธอเอาแต่ตะโกนและเรียกหาพ่อ-แม่ เธอกลัวว่าเลือดจะไหลไม่หยุด  ด้วยความเป็นพ่อ-แม่แม้ขนาดตัวจะเล็กแต่ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวทั้งสองทนได้ยินเสียงลูกสาวของตัวเองร้องไห้ไม่ได้  หลังจากนั้นเลนเชนจึงเล่าเรื่องที่เธอไปหาแม่มดฟรานซิสกาเครื่องหมายคำถามให้กับพ่อ-แม่ฟัง  จนถึงตอนที่เธอแอบเอาน้ำตาลใส่ให้พ่อแม่กิน

 

          แม้เลนเชนจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  แต่เธอก็ตัดสินใจว่าไม่มีทางไปหาแม่มดเป็นครั้งที่สองอีกแน่  และคนที่ผิดก็คือพ่อกับแม่เธอนั่นเอง  ถ้าทั้งสองคนเพียงแต่ยอมทำตามความต้องการของเลนเชนเรื่องร้ายๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น  เรื่องร้ายๆ ที่ว่าก็คือ  พ่อกับแม่ของเธอเกือบจะโดนแมวของเพื่อนกินนะสิ  แล้วก็เรื่องที่เธอออกไปเที่ยวเล่นจนดึกดื่นและกลับเข้าบ้านไม่ได้เพราะไม่มีใครเปิดประตูให้ (ก็เธอจับพ่อกับแม่ขังไว้ในตู้กระจกนะสิ  และเลนเชนก็ไม่ได้เอากุญแจติดตัวไป) ทันใดนั้น...กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาตกตรงเท้าของเลนเชน  มีข้อความเขียนไว้

 

          “ไม่เอา ไม่เอา รีบตัดสินใจอย่ารอช้า

          เธอเองก็รู้นี่ว่า คนผิดคือใคร

          พ่อกับแม่ของเธอ จะไปรู้ได้อย่างไร

          หากคิดได้ จงรีบมา ชักช้าอาจเสียใจ”

 

          “เธอต้องตัดสินใจตอนนี้  เพราะอีกไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็จะสายเกินกว่าจะทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้  อะไรสักอย่างที่มันสายเกินแก้เราคงต้องปล่อยเลยตามเลย  ชีวิตมันก็มักเป็นแบบนี้แหละ  เธอต้องเป็นคนตัดสินใจเอง”

 

          “เธอต้องตัดสินใจเอง  เธอต้องเลือกทำในสิ่งที่เธอคิดว่ามันถูกต้อง”

 

          ตอนนี้ฉันยังสามารถหมุนเวลากลับไปณ.จุดที่เราสองคนพบกันครั้งแรก  ก่อนที่เธอจะหย่อนน้ำตาลลงไปในถ้วยชาของพ่อกับแม่  เธอจะเป็นคนเดียวที่จำเรื่องทั้งหมดได้  ถ้าหมุนเวลากลับไปตอนนี้มันจะเป็นเวลาในอนาคตของเธอ  เธอสามารถเลือกตัดสินใจได้ว่าจะเอาน้ำตาลสองก้อนนั้นหย่อนลงไปในถ้วยชาของพ่อกับแม่เธอหรือเปล่า...?  แต่มันไม่ง่ายไปเสียทั้งหมด  การมาขอคำปรึกษาเป็นครั้งที่สองฉันจะคิดค่าจ้างแพงมากจำได้มั๊ย

 

          ‘เธอต้องเป็นคนกินน้ำตาลพวกนั้นซะเอง  มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม’

          ‘ถ้าหนูกินน้ำตาลนั่นเข้าไป  หนูก็ต้องตัวเล็กลงเรื่อยๆ’

          ‘นอกเสียจากว่าเธอจะไม่ดื้อกับพ่อแม่ของเธออีก  ถ้าเธอทำตามที่ทั้งสองคนนั้นบอกตลอดเวลา  มันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นง่ายๆ แค่นั้นเอง’

 

          ตั้งแต่นั้นมาเลนเชนก็กลายเป็นเด็กหญิงที่น่ารักเชื่อฟังพ่อแม่  นั่นเพราะเธอรู้ซึ้งถึงผลของการไม่เชื่อฟังและทำตามใจตัวเองแล้วนั่นเอง

 

          ไม่เป็นไร

 

          เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งกับเด็กยักษ์คนหนึ่งผู้พูดได้คำเดียวว่า “ไม่เป็นไร” ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอย่างไรเกิดขึ้นเด็กยักษ์คนนั้นก็จะพูดแค่คำว่าไม่เป็นไร

          แล้วผู้ใหญ่อย่างเราๆ ล่ะ จะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ได้บ้างมั๊ยนะ

 

          โมนี่กับรูปวาดชิ้นเอก

 

          เป็นเรื่องราวของชายอายุ 60 กับเด็กหญิงชื่อโมนี่วัย 10 ขวบ  สองคนเป็นเพื่อนกัน  คิดอะไรคล้ายๆ กัน  บางครั้งก็ผลัดกันอ่านหนังสือเล่มโปรดกันให้ฟังกัน  สองคนต่างมีความเคารพซึ่งกันและกัน  ชายสูงวัยเคารถเธอเพราะเธอมีความคิดไม่เหมือนคนอื่น  ส่วนเธอเคารถเขาเพราะเขาไม่ดูถูกความคิดของเธอ

 

          ในวันหนึ่งที่เขามอบกล่องระบายสี  กระดาษวาดรูปและพู่กันเป็นของขวัญแก่โมนี่  เด็กหญิงจึงวาดรูปหนึ่งให้เขาเป็นการตอบแทน  เธอวาดรูปตัวเองลงไปในกระดาษ

 

          “คุณอยากเพิ่มอะไรเข้าไปในรูปอีกบอกได้เลยนะคะ”

 

          “ฉันว่าเธอน่าจะวาดเตียงลงไปสักหน่อยนะ เธจะได้นอนบนเตียงแล้วก็รู้สึกสบายกว่าการนอนลอยอยู่บนอากาศแบบนี้”

 

          จากนั้นโมนี่ก็วาดเตียงไม้อันโตลงใต้รูปของตัวเธอ  เลยกลายเป็นว่ารูปคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเล็กเสียจนหน้าเศร้า

 

          “หนูว่าน่าจะสวมเสื้อผ้าอะไรที่มันสวยๆ หน่อย  จะได้ดูเข้ากับเตียงตัวนี้”  ดังนั้นโมนี่ก็ลงมือวาดชุดนอนยาวสีขาวคลุมเหนือรูปตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงทันที

 

          “เยี่ยมมาก  แต่ฉันยังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเธออยู่ดี”

 

          ด้วยเหตุนี้เธอจึงจุมสีขาวระบายเป็นผ้านวมผืนหนาคลุมบนรูปตัวเธอ  รวมทั้งชุดนอนแสนสวยที่เธอเพิ่งจะวาดลงไปเมื่อครู่ด้วย  เธอนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจุ่มสีน้ำเงินเข้ม  ป้ายลงไปเป็นม่านกำมะหยี่ห้อยลงมาจากเพดานขาวของเตียง  และคลุมทั้งสี่ด้านของมันจนมิด

 

          “หนูดึงม่านลงมาคลุมเตียงน่ะค่ะ  ไม่อย่างนั้นจะมีม่านเอาไว้ทำไม”

          “ผ้าม่านจะไปมีประโยชน์อะไรถ้ารวบมันเอาไว้เฉยๆ”

          “แล้วคราวนี้ก็ได้เวลาดับไฟนอนกันซะที”  พูดจบเธอก็จุ่มสีดำระบายลงทั่วทั้งแผ่นกระดาษ

          “ที่นี้คุณพอใจรึยังคะ”

          “รูปนี้เป็นงานศิลปะชิ้นเอกจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่รู้ว่า  แม้จริงแล้วมีอะไรอยู่ข้างใน”

          เรื่องนี้อาจไม่มีอะไรมากมาย  แต่มันน่ารักดีในมิตรภาพระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่คนหนึ่งว่ามั๊ยล่ะ

 

          ตุ๊กตาหมีกับสัตว์ทั้งหลาย

 

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งชื่อว่า ‘ซักได้’ วันหนึ่งขณะที่ซักได้กำลังนั่งอยู่ที่มุมโซฟาเหมือนทุกวัน  มีแมลงวันตัวหนึ่งบินวนไปวนมาอยู่ในห้อง

 

          “ทำไมเธอถึงต้องนั่งอยู่อย่างนี้ด้วยล่ะ  มันต้องมีเหตุผลสิว่าเธออยู่ที่นี่เพื่ออะไร”  แมลงวันพูด

          “แล้วคำถามนี้มันสำคัญนักเหรอ”

          “มันเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในโลก  อย่างฉันก็เกิดมาเพื่อบินไปที่โน่นที่นี่  แล้วก็ตอมของทุกอย่างที่ขวางหน้า”

 

          ดังนั้นซักได้จึงออกถามถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ของมัน

 

          “ความหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือต้องฉลาด  ต้องรู้จักที่จะหลบหลีกไม่ให้ถูกจับตัวได้  แล้วก็คอยเที่ยวหาเนยแข็งและเศษอาหารมาเลี้ยงดูครอบครัว”  เป็นความหมายของเจ้าหนู

 

          “แต่ว่าในโลกนี้จะมีอะไรที่สำคัญไปกว่าไข่อีกล่ะ  เหตุผลเดียของการมีชีวิตอยู่ก็คือการวางไข่”  เป็นความหมายของแม่ไก่

 

          “ความหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือความงามนะสิ”  เป็นความหมายของหงส์

 

          “ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต้องอาศัยตัวเลขและสถิติทั้งนั้น  อะไรที่นับได้ย่อมมีอยู่จริง  อะไรที่นับไม่ได้ก็ไม่มีความสำคัญ”  คำตอบของนกคุกคู

 

          “เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือการก่อตั้งอะไรสักอย่างขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นสมาคม  ชมรม  คณะกรรมการ  พรรคการเมือง  ก่อตั้งอะไรก็ได้ที่มีสักษณะของความเป็นกลุ่มก้อน  เพราะว่าการอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ  เมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องมีคนที่ออกคำสั่ง  และคนที่ทำตามคำสั่ง”  เป็นความหมายของลิงจ่าฝูง

 

          “จริงๆ แล้ว  ความหมายของการมีชีวิตอยู่  ก็คือการครุ่นคิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง”  เป็นความหมายของช้าง

 

 

          “เรามีชีวิตอยู่เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะสิ”  เป็นความหมายของเต่า

 

          “ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่มีความหมาย  ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้  สิ่งที่เห็นอยู่ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพมายา  เอาอย่างฉันสิ  นอนผึ่งแดดคิดถึงความว่างเปล่า  ความว่างเปล่าอย่างเดียวเท่านั้น”  เป็นความหมายของจิ้งจก

 

          “เมื่อแรกเกิดฉันเป็นเพียงไข่ใบหนึ่ง  จากนั้นฉันก็ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นดักแด้  แล้วไม่นานฉันก็ออกจากดัดแก้และกลายเป็นผีเสื้อ  นั่นคือเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ของพวกฉัน  พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อพัฒนาตัวเองสู่สิ่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ”  เป็นความหมายของผีเสื้อ

 

          แล้วความหมายของการมีชีวิตอยู่ของคุณล่ะ...คืออะไร?  ตอบได้ไหมเอ่ย...แต่ว่านะความหมายของแต่ละคนแต่ละชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว  มันค่อนข้างขึ้นอยู่กับปัจจัยหลากหลายที่จะประกอบกันขึ้นมาก  เราจะค้นหาความหมายของมันได้หรือไม่ย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหนา  แค่ว่าเรามีชีวิตขึ้นมาและเป็นคนที่ดีของครอบครัวนั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว  ยังไงซะเราก็ย่อมเป็นคนสำคัญของครอบครัวเราอยู่แล้วล่ะ

 

          ทางสายยาวสู่ซานตาครูซ

 

          เป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ‘แฮร์มัน’ ผู้ไม่อยากไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์  และบนหนทางไปสู่โรงเรียนเขาใช้จินตนาการของตัวเองให้เพลิดเพลิน  ตื่นเต้นต่างๆ ระหว่างการเดินทางจากบ้านไปสู่โรงเรียนจึงไม่เป็นไปตามนั้น  เด็กชายเดินออกนอกเส้นทางการไปโรงเรียนเรื่อยๆ ท้ายที่สุดไปพบเจอกับคนจรจัดที่หลอกเอาเงินไปด้วยการใช้จินตนาการของแฮร์มันเป็นเครื่องมือนั่นเอง

 

          เด็กชายจึงกลับมาบ้านด้วยเนื้อตัวเปียกปอนและรู้สึกแย่มากๆ  แต่ที่หน้าแปลกคือแม่กับพ่อไม่มีท่าทีโกรธเขาเลย  ตรงกันข้าม  หลังอาหารเย็นพ่อกลับทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้ว  พ่อหยิบหนังสือนิทานสนุกมาอ่านให้แฮร์มันน์ฟังที่เตียง

 

          เรื่องนี้มีบางอย่างที่เป็นการสอนอย่างกลายๆ ว่าบางทีคนเราก็ย่อมทำเรื่องผิดพลาดกันได้บ้าง  กว่าจะรู้สึกตัวกว่าจะพบหนทางที่ถูกต้องกว่าจะสำนึกได้  แต่ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินไปเสียทั้งหมด  หากครอบครัวจะคอยเป็นเกราะป้องกันภัยให้  ให้กำลังใจฟูมฟักดูแลอย่างถูกต้องทุกอย่างย่อมมีหนทางแก้ไขเสมอ.

 

          หนังสือเล่มนนี้ก็เป็นแค่หนังสือนิทานอีกเล่มหนึ่งที่มีอะไรสะกิดใจได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งคงพอจะมีประโยชน์กับคนอ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย  หวังว่าคงจะหลงรักมันเหมือนที่ฉันหลงรัก.  by ผู้แบ่ปันจินตนาการ

 

***วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีสำหรับการอยู่ในเวปขีดเขียน  ก็เลยอยากเอามาลงวันนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา