เรื่องเล่า นิทานในฝัน

8.6

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 19.50 น.

  3 เรื่อง
  11 วิจารณ์
  7,931 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) เรื่องเล่า :: พ่อ...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวมีแต่ความเงียบสงัด ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งเหม่อมองไปยังเตียงเหล็กกลางห้องด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง ดวงตาเศร้าเคล้าคลอด้วยน้ำใสๆที่ทำท่าจะรินไหลอยู่ตลอดเวลา กายกำยำที่แข็งกล้าดูอ่อนล้าโรยราไม่เหมือนดั่งเคย…

 

                เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วที่พ่อของประวิตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยโรคเบาหวานกำเริบ ทำให้เขาต้องมานั่งเฝ้าผู้เป็นพ่ออย่างนี้ไม่ไปไหน ธุรกิจออกแบบภายในที่กำลังดำเนินไปได้สวยถูกเขายกเลิกงานเสียเกือบหมด เหลือเพียงงานเล็กๆที่พอจะทำได้ เพราะพ่อไม่มีใครอยู่ข้างกาย…นอกจากเขา

 

                แม่หย่ากับพ่อเมื่อหลายปีก่อน เขาเองก็หนีออกจากบ้านมาไม่นานหลังจากนั้น พี่สาวของเขาก็หายสาบสูญไปเช่นกัน ส่วนน้องชายคนสุดท้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่คลอด ด้วยสาเหตุอะไรน่ะหรือ…ไม่มีใครที่เอ่ยมาไม่เกลียดพ่อ

 

                พ่อเป็นคนอารมณ์ร้ายและชอบบงการชีวิตคนอื่น ตั้งแต่จำความได้เขาก็เห็นพี่สาวถูกพ่อตีอยู่บ่อยๆ เขาและพี่สาวอายุห่างกันห้าปี แม่พยายามเข้ามาห้ามทุกครั้งแต่พ่อไม่หยุด เขาไม่ทราบหรอกว่าพ่อโมโหพี่เรื่องอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะพี่ชอบกลับบ้านดึกๆดื่นๆ แถมยังเถียงพ่อไม่ขาดคำ แต่ถ้าเป็นเขาก็คงทำเช่นนั้นเหมือนกันเพราะพ่อไม่ยอมฟังเหตุผลเลย มีวันหนึ่งที่พี่กลับมาในสภาพเมามาย พ่อโกรธมากจนตีพี่ไม่ยั้ง พร้อมกับด่าว่าลั่นไปทั่วบ้าน ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวพ่ออย่างจับใจ แม้แต่แม่ยังเงียบกริบไม่ยอมห้าเหมือนเคย เพราะใบหน้าพ่อดูดุดัน ดวงตาของพ่อแดงกร่ำลุกโลดด้วยไฟแห่งโทสะ และวันนั้นเองที่ทำให้พี่สาวหนีออกจากบ้านไป…

 

                พ่อไม่คิดที่จะตาม ท่านยังคงวางอำนาจและไม่ยอมลดทิฐิลงแม้แต่น้อย เขาเห็นแม่แอบร้องไห้ทุกคืนวันเรื่องของพี่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก และพ่อก็หันมาเล่นงานเขาแทน พ่อเอาโซ่ชีวิตมาล่ามเขาไว้แทนพี่ อย่างที่เขาไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้เลย

 

                ชีวิตของประวิตถูกพ่อวาดเส้นทางไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางแหกโค้ง ไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น เขาต้องเดินตามเส้นทางนั้นอย่างจนใจ ต้องทำตามทุกอย่างที่พ่อสั่ง แม้แต่จะมีความรักสักครั้ง…เขายังทำไม่ได้

 

                ในตอนที่เขาเข้าสู่วัยปริญญา พ่อบังคับให้เขาเรียนสายแพทย์ทั้งๆที่พ่อเป็นทหาร เขาจึงตามสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแต่ก็ไม่ติด แม้แต่ผลคะแนนยื่นก็ไม่ติดสักที่ พ่อโกรธมากและเริ่มกร่นดา ศักดิ์ศรีของคนสมัยรุ่นพ่อทำให้ท่านไม่ต้องการส่งเขาเรียนเอกชน และไม่ต้องการให้เขาเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่มีชื่อเสียง นั่นทำให้ประวิตได้ทำในสิ่งที่เขารักเป็นครั้งแรกในชีวิต พ่อยอมให้เขาเรียนสถาปัตยกรรมตามที่เขาชอบ เพราะผลคะแนนสอบติดเป็นอันดับต้นๆของมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่มันก็ไม่ทำให้พ่อภูมิใจได้เลย…

 

                และเมื่อเขาขึ้นปีสาม พ่อและแม่ก็เกิดทะเลาะกันครั้งใหญ่ แม่พูดว่าแม่ไม่ได้รักพ่อเลย ที่แม่แต่งงานกับพ่อมาก็เพราะโดนบังคับ แม่ทนไม่ไหวอีกแล้วที่ต้องจมปักอยู่กับคนอย่างพ่อ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรแม่ต้องอยู่ใต้คำบัญชาของพ่อตลอด มิได้เงยหน้าอ้าปากทำตัวเป็นคุณนายอย่างภรรยาแพทย์เหมือนใครเขา แม่โดนกระทำเสมือนท่านเป็นคนใช้ในบ้านที่ต้องคอยฟังแต่คำสั่งของนาย…แม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

                วันนั้นแม่ถามเหตุผลทุกอย่างที่พ่อทำกับพวกเรา แต่พ่อก็เอาแต่เงียบไม่ยอมอธิบาย ท่านยังคงวางท่าเย่อหยิ่งยโสใส่แม่ ตอนนั้นแม่ท้องแก่อยู่…เรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อแม่ปรี่เข้าไปทำร้ายพ่อและถูกพ่อผลักอย่างเต็มแรง ตัวแม่กระแทกเข้ากับพื้นแข็งอย่างจัง พ่อหน้าซีดรีบพาแม่ไปโรงพยาบาล แต่มันก็สายเกินไป แรงกระแทกทำให้น้องของประวิตไม่ได้ลืมตาดูโลก

 

               และแล้วแม่ก็เลือกที่จะจากไป…พ่อไม่ได้ยื้อแม่ไว้เช่นเดียวกับพี่สาว แต่วูบหนึ่งที่ประวิตได้เห็นแววตาของพ่อ…มันมีทั้งความเจ็บปวดและโศกเศร้า…เพียงชั่วครู่

 

                ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ลงหลังจากนั้น พ่อกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายหนักกว่าเก่า ประวิตแทบจะไม่ได้ออกไปไหนมาไหน หรือไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆตามประสาวัยกำลังหนุ่มเลย นอกเสียจากเขาจะไปมหาวิทยาลัย พ่อสั่งให้เขาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบถึงแม้ว่ามันจะอีกนานโข แถมยังสั่งให้เขาออกแบบงานตามที่เรียนมา และนำไปให้เพื่อนของท่านที่เป็นสถาปนิกดู แต่คำวิจารณ์ไม่เคยถูกใจพ่อเลยสักครั้ง

 

                “แกต้องทำให้ดีกว่านี้”

 

                พ่อพูดคำนี้บ่อยเสียจนเขาเก็บเอาไปฝัน หรือแม้แต่เวลาที่คิดอะไรอยู่คำคำนั้นก็จะเข้ามาวนเวียนให้เขาได้ยินอยู่เสมอ มันทำให้เขารู้สึกกดดันเวลาที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง ต้องคิดด้วยความละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้ผลงานออกมาพลาดน้อยที่สุด เขาใช้ชีวิตอย่างนี้จนเกือบจะจบการศึกษา แต่แล้ววันหนึ่ง…เขาก็ได้พบกับความรัก

 

                หญิงสาวผู้ซึ่งมีหน้าตาธรรมดาๆในสายตาของคนอื่น แต่งดงามและอ่อนหวานสำหรับเขา เธอคือคนที่ทำให้โลกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสดใส ไม่มืดหม่นมัวหมองเหมือนวันเวลาที่ผ่านมา…

 

                ประวิตแอบคบกับแฟนอย่างลับๆไม่ให้พ่อรู้ แต่ความรักที่หวานชื่นในตอนต้นก็เจือจางลงเมื่อเวลาผ่านไป ความที่เขาไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเพราะต้องทำตามที่พ่อสั่งคืออยู่บ้านอ่านหนังสือ หรือฝึกออกแบบงานตามที่เพื่อนท่านต้องการจึงทำให้พวกเขามักทะเลาะกัน

 

                วันหนึ่งแฟนสาวบอกกับประวิตว่าที่มาเป็นแฟนด้วยเพราะเห็นว่าเขาหล่อเหลา ดูดีมีฐานะ คงจะโก้ใช่หยอกหาได้ควงคนอย่างเขาไปไหนมาไหน แต่เปล่าเลย…ตั้งแต่คบกันมาเขาไม่เคยชวนเธอไปไหนเลยนอกจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เขาเคยบอกเธอไปว่าเป็นเพราะพ่อสั่งและเขาก็ขัดท่านไม่ได้ เธอก็กลับตอกกลับมาว่าโตจนจะตายอยู่แล้วยังเป็นลูกขี้แหง่ทำตามพ่อแม่ทุกอย่างอีกเหรอ…แล้วมันผิดงั้นหรือ?

 

                และในที่สุดเธอก็จากเขาไป ประวิตรู้สึกเหมือนตัวเองสูญเสียทุกอย่างในชีวิต เขารักแฟนสาวมาก มากเกินกว่าจะทำใจยอมรับการเลิกราได้ เขาพยายามขอคืนดีและทำทุกวิถีทางให้เธอกลับมา แต่เธอกลับมีแฟนใหม่ในเวลาอันรวดเร็วจนน่าใจหาย เขาเสียเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เขาเสียคนที่รักทั้งสามคนไป…เพราะพ่อคนเดียว

 

                ณ เวลานั้นเขามีสภาพเหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ จมปักอยู่กับความทุกข์ที่สร้างจากความคิดของตัวเอง เขาเอาแต่กร่นด่าชีวิตที่เฮงซวยของเขา อยู่กับความรู้สึกเกลียดแม่ที่ออกจากบ้านไปโดยไม่คิดถึงเขา เกลียดพี่สาวที่หนีหายไปจนทำให้เขาต้องรับชะตากรรมอันโหดร้ายแทน และเกลียดพ่อมากที่สุดเพราะพ่อทำให้ชีวิตของทุกคนร่วงลงสู่เหว พังทลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี…

 

 

                นับตั้งแต่วันนั้นประวิตก็ไม่ได้ไปเรียนเหมือนอย่างเคย เขาไม่ทำอะไรเลยกับชีวิตเสียมากกว่า เอาแต่นั่งจ่อมบนโซฟาหน้าทีวี นอนนิ่งอยู่บนเตียงของเขาให้วันคืนผ่านไป พ่อไม่ได้ว่าอะไรเพราะเดี๋ยวนี้พ่อไม่เคยสนใจเขา ท่านมักจะออกไปข้างนอกและกลับบ้านมืดค่ำอยู่บ่อยๆ พอรุ่งเช้าก็สั่งให้เขาทำนี่ทำนั่นตามแบบฉบับของพ่อ

 

แต่แล้ววันหนึ่งก็มาถึง…

 

                “ทำไมแกไม่ไปเรียน” พ่อถามเสียงดุแต่คนเป็นลูกกลับนั่งเงียบ

 

                “ฉันถามทำไมถึงไม่ตอบ!”

 

                “หยุดยุ่งกับผมสักทีจะได้ไหมพ่อ!”

 

                เป็นครั้งแรกที่ประวิตตะคอกใส่พ่อ ความเกรี้ยวกราดฉายอยู่บนใบหน้าอมทุกข์ พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง

 

                “โดนหักอกมาหรือไงถึงได้ทำตัวซังกะตายอย่างนี้”

 

               คำพูดของท่านทำเอาเขาต้องหันขวับไปมองตาขวาง พลางคิดในใจว่าก็เพราะใครล่ะที่ทำให้เขาต้องโดนหักอก ก่อนที่ใบหน้ากรุ่นโกรธจะหันไปจ้องทีวีอีกครั้ง

 

               “งานที่ฉันสั่งให้แกทำน่ะเสร็จหรือยัง…แล้วไม่ไปเรียนทำไมไม่อ่านหนังสือหนังหา มัวแต่นั่งดูอะไรไร้สาระอยู่…”

 

               “โว้ยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

 

               ไม่ทันที่พ่อจะพูดจบประวิตก็ตะโกนลั่นพลางงอตัวและเอามือกุมศีรษะ ความอดทนของเขามาถึงที่สิ้นสุด สงครามระหว่างพ่อลูกเกิดขึ้นในบัดดล ผู้เป็นลูกกล่าวว่าพ่อต่างๆนาๆ กล่าวหาว่าเป็นท่านที่ทำให้ชีวิตของเขาและพี่กับแม่พังไม่เหลือชิ้นดี และไม่มีใครอยากอยู่กับคนอย่างพ่อ แต่ความโมโหจนขีดสุดทำให้เขาไม่รับรู้ว่าพ่อไม่ได้เถียงอะไร ท่านยืนนิ่งฟังคำว่ากล่าวของเขา จนคำพูดสุดท้ายหลุดออกมาจากปากของลูกชาย…

 

               “ผมเกลียดพ่อ!!!”

 

               สิ้นสุดวาจาคนหนุ่มเลือดพล่านก็วิ่งขึ้นไปบนห้องและเก็บของออกจากบ้าน พ่อไม่รั้งเขาไว้เช่นเดียวกับพี่และแม่ ท่านเอาแต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าพ่อรู้สึกอย่างไรเพราะไม่ได้หันไปมอง บ้านเงียบเชียบลงเหลือแต่พ่อแค่เพียงคนเดียว

 

 

               หลังจากออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านประวิตก็พยายามหางานทำด้วยวุฒิมัธยมหก เขาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในตอนกลางคืน เพื่อหาเงินเรียนเอาวุฒิปริญญาตรีในตอนกลางวัน โชคดีที่เข้าเทอมสุดท้ายและใกล้จะสิ้นสุดแล้ว เขาบากบั่นทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตอยู่ พ่อไม่เคยติดต่อมา แต่เขาก็ไม่สนเพราะเขากำลังมีชีวิตใหม่ ชีวิตที่เป็นของเขาเองไม่ใช่ของพ่อ ได้เดินบนทางเดินแบบที่เขาเป็นผู้กำหนด เขารู้สึกเป็นอิสระจนไม่อยากกลับบ้าน…ในระยะหนึ่ง

 

               เมื่อจบการศึกษาหนุ่มเลือดร้อนนามว่าประวิตก็กลายเป็นคนว่างงาน เขายังคงเป็นเด็กเสิร์ฟตอนกลางคืนแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเรื่องเงินทองเท่าไหร่นัก เพราะต้องโดนหักค่าที่พักในร้านคืนละหนึ่งร้อยบาท เขาได้ค่าจ้างวันละสามร้อย แต่โชคดีที่ร้านให้พนักงานกินข้าวฟรีก่อนเริ่มงานได้ เขาจึงมักแอบเก็บอาหารเอาไว้กินในตอนเช้าด้วย โดยได้ความช่วยเหลือเล็กน้อยจากเพื่อนพนักงานด้วยกัน

 

               ผ่านไปสักพักประวิตก็ได้งานเป็นพนักงานขายของตามบ้าน ตอนสมัครนายจ้างบอกว่าเงินเดือนดี แต่เขาเป็นพวกไม่ชอบบากหน้าไปตามตื้อใคร เขาทนขายแต่ก็ขายได้ไม่มากเท่าไหร่ เงินเดือนที่วาดฝันไว้ในตอนแรกก็หลุดลอย และด้วยความที่เขาออกจากงานเด็กเสิร์ฟและหาเข่าห้องราคาถูกอยู่ มันจึงยิ่งทำให้การใช้ชีวิตไม่ถึงเดือนเงินก็แทบจะไม่มีเหลือ เขาสู้ตรากตรำด้วยชีวิตที่หมองหม่นลงทุกที และแล้วในที่สุดประวิตก็ได้งานเป็นสถาปนิกตามที่เขาต้องการ…

 

               ความที่มีประสบการณ์จากการออกแบบผ่านคำสั่งของพ่อทำให้เขาทำงานง่ายขึ้น บริษัทไม่ต้องสอนอะไรมากมาย และช่วงทดลองงานก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตของประวิตดีขึ้นทันตาเห็น เงินหลายหมื่นเข้าบัญชีของเขาทุกเดือน ทำให้เขามีแต่ความสุขจนไม่อยากคิดที่จะกลับบ้านอีกเลย

 

 

 

               จนเมื่อทำงานไปได้สองปีบริษัทก็มีปัญหา ประวิตกลายเป็นคนตกงานอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้เขาหางานทำไม่ได้ ชีวิตที่เคยอยู่อย่างสุขสบายกลับกลายเป็นทุกข์ระทมอีกครั้ง บ้านที่พึ่งซื้อรถที่พึ่งดาวน์ได้ไม่นานก็ถูกยึดเพราะไม่มีเงินส่ง ความเป็นอยู่ที่เคยมั่นคงกลับพังทลายลงอย่างฉับพลัน

 

และแวบหนึ่งในความคิด…เขาก็นึกถึกใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอมาเนิ่นนาน

 

                วันหนึ่งที่ประวิตนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง เนื้อตัวมอมแมมเพราะไม่ได้อาบน้ำมาหลายอาทิตย์ เขาใช้ที่แห่งนี้เป็นที่พักพิงยามค่ำคืน ผู้คนต่างถอยห่างเขา รถยนต์วิ่งให้เต็มท้องถนน ฝนเริ่มตกกระหน่ำ…

 

                “เป็นไง…มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”

 

                เสียงหนึ่งอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับที่ชายแก่ชรานั่งลงข้างๆเขา ใบหน้าหมองหม่นหันไปมองพลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างยวดยิ่ง

 

                “พ่อ…”

 

                เขาเรียกพ่อเสียงค่อนแผ่ว ดวงตาอมทุกข์มองอย่างพินิจ ท่านดูแกไปมาก แต่แววตาและน้ำเสียงของท่านยังหยิ่งผยองและดุเข้มไม่มีเปลี่ยน

 

                “พ่อรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่นี่” เขาเอ่ยถาม

 

                “เพราะฉันเป็นพ่อแกไง”

 

                คำตอบของพ่อทำเอาประวิตสะอึกในอก รู้สึกจุกท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุจนต้องงอตัวเล็กน้อย แถมยังเจ็บแปลบที่กลางใจอย่างไร้เหตุผล

 

                “ไป…กลับบ้าน”

 

                พ่อพูดพลางลุกขึ้นยืนพร้อมกับกางร่ม แต่คนเป็นลูกยังคงเอาแต่นั่งอึ้งไม่ยอมขยับ หน่วยตาร้อนผ่าวจนมีน้ำใสๆเอ่อคลอ ประวิตมองตามแผ่นหลังของพ่อ ก่อนจะลุกขึ้นและก้มหน้าเดินตามท่านไปแต่โดยดี…

 

 

 

                ตั้งแต่นั้นประวิตก็กลับมาอยู่บ้าน พ่อหาข้าวหาปลาให้เขากินครบทุกมื้อ เสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้บ้างยังคงอยู่ในตู้ไม่ไปไหน พ่อไม่เคยพูดหรือถามอะไร ท่านทำทุกอย่างเหมือนปรกติ ดั่งว่าเขาไม่ได้หนีออกจากบ้านเลยสักนิด และน่าแปลกที่พ่อไม่สั่งให้เขาทำนู่นทำนี่เหมือนเช่นเคย

 

                แต่เมื่อครบหนึ่งเดือนที่เขากลับมา พ่อก็เรียกให้เข้าไปหาที่ห้องและยื่นซองใส่เงินให้กับเขา ท่านบอกว่ามันเป็นเงินที่เขาขายแบบได้ตอนที่เรียนอยู่ งานที่ท่านสั่งให้เขาทำหลายงานถูกใจลูกค้าของเพื่อนพ่อ เขาจึงซื้อต่อในราคาหลายหมื่นบาทแต่ละชิ้น…

 

               ท่านต้องการให้ประวิตเปิดบริษัทของตัวเองโดยใช้เงินก้อนนี้ และมีเงินของท่านสมทบ พ่อพูดเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แต่เขาก็ถามพ่อว่าทำไมไม่ให้เงินเขาตั้งแต่แรก พ่อตอบว่าตั้งใจเก็บเงินก้อนเอาไว้ให้เขาเปิดบริษัท เพราะถ้าหากท่านให้เงินเขาไปเลยตอนนั้น เขาคงไม่มีวันเห็นค่าของเงินนี้เป็นแน่…ซึ่งมันก็จริง

 

    

               ประวิตเริ่มต้นธุรกิจออกแบบบ้านของเขาเองตั้งแต่นั้นมา ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยชื่นชอบผลงานของเขาและบอกต่อคนอื่นๆ กิจการจึงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพียงเวลาแค่ไม่ถึงสองปี พ่อไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น แต่ท่านมักจะพูดคำว่าทำให้ดีกว่านี้เสมอ อย่างที่เคยพูดอยู่บ่อยๆเมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่ และเมื่อบริษัทของเขาประสบปัญหาต่างๆ…พ่อก็จะเป็นคนแรกที่เข้ามาช่วยเสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้แก้ปัญหาเองก็ตาม

 

จนเมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านพ่อเกิดล้มป่วยกะทันหัน…

 

“ประวิต…”

 

               เสียงของใครคนหนึ่งที่เรียกชื่อทำให้ประวิตตื่นจากภวังค์ เขาหันไปมองต้นเสียงด้วยแววตาล่องลอย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นพี่สาวที่หายไปแสนนาน กำลังเดินมาหาเขา

 

               “พี่…” ผู้เป็นน้องเรียกพี่พลางมองเธอตาไม่กระพริบ

 

               “พ่อเป็นไงบ้าง” พี่สาวถามเมื่อเธอนั่งลงข้างๆเขา

 

               ประวิตก้มหน้าและนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบออกมา “หมอบอกให้ทำใจ”

 

               “ฮื่อ…” พี่ถอนหายใจพลางมองพ่อที่ยังนอนหลับอยู่

 

               “พ่อเป็นเบาหวานแถมยังมีโรคแทรกซ้อนมาก หมอบอกว่าพ่อมารักษาช้าเกินไป…ฉันไม่รู้ว่าพ่อเป็น พ่อไม่เคยบอก”

 

               “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

               “แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าพ่อเข้าโรง’บาล” ประวิตหันไปถามอย่างสงสัย

 

               “เพื่อนพี่ทำงานอยู่ที่นี่” พี่สาวตอบตายังคงจ้องมองไปที่พ่อ

 

               ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ลูกทั้งสองต่างมองพ่อที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยแววตาหม่นเศร้า นานแสนนานจนในที่สุดพี่สาวก็เป็นฝ่ายพูดออกมา…

 

               “วิต…แกรู้ไหมเราโชคดีแค่ไหนที่มีพ่อ” พี่กล่าวเสียงสั่น “พ่อไม่เคยทิ้งเรา มีแต่เราที่ทิ้งท่านให้เผชิญกับโลกที่โหดร้ายอยู่คนเดียว”

 

               น้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นไห้ดังเป็นระยะให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆต้องใจสั่น

 

               “แกรู้ไหม…ตั้งแต่ฉันหนีออกจากบ้านไปพ่อก็ส่งเงินมาให้ฉันใช้ทุกเดือน พ่อไม่รู้หรอกว่าฉันอยู่ที่ไหน แต่พ่อโอนเงินเข้าบัญชีของฉันที่เคยเปิดกับพ่อ ถึงพ่อจะไม่ตามหากฉันแต่ท่านก็ไม่เคยให้ฉันลำบาก”

 

               ประวิตนั่งเงียบฟังคำพี่ด้วยความรู้สึกจุกที่อก มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนเห็นเป็นเส้นเลือดปูดโปน

 

               “พี่หนีไปอยู่ที่ไหน” คำถามแรกดังขึ้น

 

               “ฉันไปอยู่กับเพื่อนที่ต่างจังหวัด พอได้เงินของพ่อก็เลยย้ายออกมาหาห้องอยู่เอง แล้วก็เอาเงินไปลงทุนซื้อของขายที่ตลาด” พี่ตอบพลางเช็ดน้ำตา “ตอนนี้ฉันแต่งงานมีลูกมีเต้าแล้ว แฟนฉันเป็นคนจังหวัดตรังก็เลยต้องลงปอยู่ที่นั่น”

 

               “พ่อรู้หรือเปล่า” เขาถามต่อ

 

               "รู้…พี่ส่งจดหมายบอกพ่อกับแม่ก่อนแต่ง…แต่ตอนนั้นแม่คงหนีแกกับพ่อไปแล้ว เพราะมีแต่พ่อที่ส่งจดหมายและเงินกลับ”

 

               “พี่รู้ไหมว่าแม่ไปอยู่ที่ไหน”

 

               คำถามของเขาทำให้ผู้เป็นพี่สาวเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

 

               “แกรู้ไหมว่าแม่มีชู้”

 

               ประโยคนั้นทำเอาประวิตแทบหงายหลัง ดวงตาแดงก่ำของพี่ที่จ้องตอบกลับมาทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้โกหก เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก สมองตื้อชาและมึนเบลอไปหมด ดั่งว่าถูกของแข็งตีเข้าให้ที่ศีรษะอย่างจัง

 

               “พะ…พ่อรู้ไหม”

 

               “รู้…ตอนที่ฉันเริ่มจะตั้งตัวได้ฉันแอบมาหาแม่ที่บ้าน แกไปเรียนส่วนพ่อก็ไปหาพวกพ้องในกรม มีวันหนึ่งฉันกำลังจะข้ามถนนตรงหน้าบ้านเรา ฉันเห็นแม่พาผู้ชายอายุอานาเท่ากับแม่เข้าบ้าน เขาหอมแก้มแม่แล้วแม่ก็ยิ้มรับ ฉันถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปเลย”

 

               พี่สาวเล่าด้วยเสียงที่เบาลง เธอยังคงจดจำความรู้สึกของวันนั้นได้เป็นอย่างดี มันเหมือนมีโซ่เหล็กมาตรวนขาไว้ไม่ให้ขยับ เหมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางใจ ตื้อชาไปหมด…

 

               “แล้วพ่อรู้ได้ยังไง” ประวิตถามต่อ

 

               “ก็พอฉันหันหลังกลับ ฉันก็เห็นพ่อยืนจังก้าอยู่ด้านหลังน่ะสิ” พี่ตอบพลางมองไปที่พ่ออีกครั้ง “พ่อไม่พูดอะไรสักคำ ท่านพาฉันไปนั่งกินกาแฟที่ร้านเฮียอ้วนแล้วก็บอกฉันว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกแกและอย่าบอกแม่ว่าพ่อรู้”

 

               ประวิตนิ่งเงียบนั่งฟัง สมองของเขารู้สึกสับสนอลหม่านไปหมด ภายในท้องปั่นป่วนจนเหมือนตัวกำลังจะบิดเกร็ง พ่อไม่เคยเปิดปากเล่าอะไรให้ใครฟัง แม้แต่กับเพื่อนของท่าน เวลามีปัญหาเราสามคนก็ไม่เคยจะรับรู้สักครั้งนอกจากเรื่องจะแดงขึ้นมาเอง พ่อสู้ชะตาอยู่คนเดียวจนกระทั่งแม้แต่ตอนนี้

 

               “ฉันหายไปสักพักตอนแกเข้ามหา’ลัย กลับมาอีกทีก็ตอนที่แม่จะหนีออกจากบ้าน แม่บอกฉันไว้นานแล้ว…แต่จู่ๆแม่ก็ท้อง” พี่พูดต่อ “น้องของเราไม่ใช่ลูกของพ่อ เพราะพ่อทำหมันตั้งแต่ที่มีแก”

 

               คำเล่าของพี่สาวทำเอาผู้เป็นน้องต้องสะอึกในอก ดวงตาหม่นมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

               “พี่รู้ได้ไงว่าพ่อเป็นหมัน”

 

               “ก็ตอนที่พ่อทำหมันพี่ไปด้วยน่ะสิ ถึงตอนนั้นพี่จะยังเด็กมากแต่ก็พอรู้เรื่องอยู่หรอก ความจริงพี่มารู้ว่าทำหมันคืออะไรก็ตอนมัธยมเนี่ยแหละ”

 

               ประวิตก้มหน้ามองพื้นอีกครั้ง พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยออกมา “ถ้าอย่างนั้นที่พ่อผลักแม่จนเสียน้อง…”

 

               “เชื่อเถอะพ่อไม่ได้ตั้งใจ ขนาดแม่มีชู้ตั้งหลายปีพ่อยังไม่ปริปากด่าแม่สักคำจริงไหม”

 

               ผู้เป็นน้องได้แต่ถอนหายใจ ใช่…เขาไม่เคยเห็นพ่อด่าแม่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ท่านเพียงแค่สั่งให้แม่ทำโน่นทำนี่เหมือนที่เคยอยู่ประจำ มีบ่นบ้างเมื่อไม่ถูกใจ แต่ท่านไม่เคยด่าแม่ด้วยคำหยาบ แม้แต่กับลูก…ท่านก็ไม่เคย

 

               “พ่อหวังดีกับพวกเราเสมอ…ที่ฉันโดนตีบ่อยๆแกจำได้ไหม” พี่สาวหันมาถามน้องชายพลางยิ้มน้อยๆ เขาพยักหน้าตอบกลับแทนคำว่าจำได้

 

               “มันเป็นเพราะฉันดื้อเอง เพราะฉันทำตัวเกเร…ตอนมอปลายพ่อรู้ว่าฉันไปคบกับพวกเสพยาและลองเสพด้วยความคึกคะนอง พ่อไม่บอกแม่และนั่นทำให้แม่ปกป้องฉันเวลาที่ฉันโดนพ่อตี ด้วยความที่ตอนนั้นฉันเป็นพวกไม่ชอบคิดจึงเสพยาประชดพ่อจนติด แน่นอนว่าแม่ไม่รู้อีกเหมือนเคย…พ่อพาฉันไปบำบัดจนเลิกได้”

 

               เรื่องให้น่าตกใจฟากเข้ากลางกระหม่อมของประวิตอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าพี่เคยติดยามาก่อน อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยสนิทกับพี่ เราทั้งสองไม่ค่อยคุยหรือเล่นหัวกัน ความต่างของอายุเป็นผลส่วนหนึ่ง แต่เขาก็รักพี่และแม่มาก…

 

               “แต่พอเข้ามหา’ลัยฉันก็กลับเลือกคบเพื่อนที่ไม่ดีอีกครั้ง มันทำให้ฉันติดทั้งเหล้าและบุหรี่งอมแงม นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงกลับดึกๆดื่นๆ ซึ่งพ่อก็รู้และทำได้แค่ตีฉัน” พี่พูดต่อด้วยเสียงหนัก ดวงตาแดงก่ำเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง “วันที่ฉันหนีออกจากบ้านคือวันที่ฉันกลับไปลองเสพยาอีกครั้ง อาการที่ออกมันปิดพ่อไม่อยู่และแม่ก็รู้จึงไม่เข้ามาช่วยฉัน ความเกลียดชังในตอนนั้นทำให้ฉันหนีออกจากบ้านในที่สุด…แล้วฉันก็รู้ว่าฉันคิดผิด”

 

               “ทำไมพี่ไม่กลับบ้านล่ะ”

 

               “ฉันรู้สึกกระดากเกินกว่าจะบากหน้ามาเจอพ่อได้อีกน่ะสิ”

 

               ทั้งสองเงียบไปอีกครั้ง ต่างก็นึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา เรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เพราะพ่อแต่เป็นเพราะพวกเขาเอง พวกเขาเองที่ทำลายชีวิตพ่อ แต่พ่อไม่เคยปล่อย ไม่เคยทิ้งพวกเขาหรือหายจากไปไหน ทั้งๆที่ท่านโดนกระทำมามากมาย แต่นั่นเป็นเพราะพ่อ…รักพวกเราจนหมดหัวใจ

 

 

 

               นานนับชั่วโมงกว่าที่พ่อจะตื่น พี่อยู่ทันที่จะลาท่านกลับเพราะทางบ้านเกิดปัญหา เธอกอดพ่อและร้องไห้อยู่เนิ่นนาน พ่อไม่พูดอะไรเหมือนเช่นเคย แววตาของพ่อยังดูมุ่งมั่นแต่เจือปนด้วยความหมองเศร้า น้ำเสียงที่ดุดันแต่สั่นเครือยังคงเอาแต่ไล่ให้พี่กลับ และบอกกล่าวว่าท่านไม่เป็นอะไรอยู่อย่างนั้น

 

               “แล้วแกล่ะไม่ทำการทำงานหรือไง” พ่อพูดเมื่อพี่กลับไปแล้ว

 

               “ถ้าผมทำงานแล้วใครจะดูแลพ่อล่ะ” ประวิตบอกพลางเดินมายืนข้างเตียง “ผมเคลียร์ไปหมดแล้วเหลือแต่งานเล็กๆแค่นั้น”

 

               “ฮื่อ…แกต้องทำให้ดีกว่านี้”

 

               คำพูดสุดฮิตของพ่อดังให้เขาได้ยินอีกครั้ง ผู้เป็นลูกจึงได้แต่อมยิ้มน้อยๆถึงแม้ว่าจะดูเหนื่อยอ่อน จากนั้นทั้งสองก็เงียบไปสักพัก พ่อมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกมาอีกครั้ง

 

               “วิต…พ่ออยากกลับบ้าน”

 

               พ่อกล่าวทั้งที่ยังจ้องเพดาน ผู้เป็นลูกชายจึงได้แต่จำใจยอมทำตามที่พ่อบอกเพราะไม่อยากขัด เขาไปคุยกับหมอและหมอก็ให้คำอนุมัติ จึงเป็นอันว่าพ่อได้ออกจากโรงพยาบาลสมใจ

 

               รถคันใหม่ที่ประวิตพึ่งถอยด้วยเงินสดจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจอดเงียบอยู่ในลานจอดรถมาเกือบอาทิตย์ เขาพาพ่อขึ้นรถอย่างระมัดระวัง แต่พ่อก็รั้นจะทำทุกอย่างเองตามแบบฉบับนายทหารเก่า ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน มีแต่เสียงหึ่มของเครื่องยนต์ที่ดังระงมเบาๆเท่านั้น ท้องฟ้ากำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นพลบค่ำเพราะตะวันกำลังจะตกดิน…

 

               “ไปเที่ยวกันไหมพ่อ” ผู้เป็นลูกถามขึ้นในที่สุด

 

               พ่อหยุดคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบออกมา “ก็เอาสิ…”

 

 

               ราตรีคลืบคลานประวิตพาพ่อมันยังสถานที่ที่ซึ่งเคยมากับท่านตอนเยาว์วัย ความมืดปกคลุมทั่วท้องฟ้า ผืนทรายและท้องทะเลจนหมดสิ้น แทบจะมองไม่เห็นหากมิได้แสงไฟดวงเล็กจากเรือหาปลา คลื่นซัดสาดกระทบฝั่งทำลายความเงียบสงัด ลมทะเลโชยพัดให้อากาศค่อนข้างหนาว พ่อนั่งอยู่บนรถเข็นที่ผู้เป็นลูกขอซื้อมาจากโรงพยาบาล ความรู้สึกต่างๆพาดผ่านทางกระแสใจของกันและกัน

 

               “พ่อขอโทษที่แต่ก่อนพ่อเอาแต่สั่งแก” พ่อเริ่มพูด “บังคับให้แกทำทุกอย่างโดยไม่คิดว่าแกจะอึดอัด รวมทั้งแม่และพี่ของแกด้วย”

 

               “พ่อ…”

 

               “แต่พ่ออยากให้แกรู้ไว้ว่าที่พ่อทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับพวกแก พ่อไม่เคยอยากจะให้พวกแกรู้สึกเป็นทุกข์ แต่พ่อก็ทำแบบนั้นใช่ไหม…มันอาจเป็นเพราะพ่อถูกเลี้ยงมาอย่างนั้นก็ได้ ความจริงพ่อก็เคยเกลียดปู่ของแกเหมือนกัน”

 

               คำสารภาพของพ่อพรั่งพรูออกมาให้ประวิตได้รับรู้ เขาได้ยินคำของพ่ออย่างชัดเจนถึงแม้ว่าเสียงของท่านจะแผ่วเบาลงไปมาก ร่างกายของพ่อจมอยู่ในเก้าอี้รถเข็น หลังของพ่อไม่ตั้งตรงเหมือนแต่ก่อน มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย

 

               “พ่อขอโทษที่ทำให้พวกแกเป็นทุกข์ ทำให้พวกแกต้องมีชีวิตอยู่อย่างขมขื่น พ่อรู้ว่าพ่อไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าจะให้ย้อนเวลากลับไป พ่อก็ขอทำเช่นเดิมแต่ในแบบที่ดีกว่า ลอมชอมกว่าแบบเก่า”

 

               “พ่อไม่ต้องขอโทษหรอก พวกผมต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษพ่อ พ่อทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเราได้ดี…ผมขอโทษ”

 

               น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม ใบหน้าหมองหม่นทั้งสองแฝงไปด้วยความเสียใจ

 

               “วิต…แกผ่านอะไรมามากกว่าจะได้มีวันนี้ รู้ไหมว่าพ่อภูมิใจมากแค่ไหน”

 

               “พ่อ…”

 

               “พ่อภูมิใจทั้งแกและพี่ของแก และถ้าแม่รับรู้ก็คงจะภูมิใจในตัวพวกแกมากเช่นกัน”

 

               พ่อเอ่ยเสียงสั่นแต่นุ่มนวลกว่าที่ประวิตเคยได้ยินมา รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าอ่อนโรย ก่อนที่ท่านจะค่อยๆหลับตาลง และเปล่งคำอันคุ้นเคยสำหรับคนในบ้านออกมา…

 

               “แต่พวกแกต้องทำให้ดีกว่านี้…ต้องทำให้ดียิ่งขึ้นในวันพรุ่ง ทำให้ดีในทุกๆวัน…แม้แต่ในอนาคต…จนกว่า…จนกว่าแกจะหมด…ลมหายใจ…”

 

               ราตรีไร้หมู่ดาวที่เคยพร่างพราวอยู่บนฟากฟ้า มีแต่แสงจันทราสีนวลที่สาดส่องให้คืนที่มืดมิดสุกสว่างขึ้นมาบ้าง กระแสลมที่พัดผ่านหอบเอาความเจ็บปวดสุดตรอมตรมมาด้วย ประวิตมองคนที่นั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่บนรถเข็น…ไม่มีแล้วน้ำเสียงที่เคยดุดัน ไม่มีแล้วสายตาที่เคยมุ่งมั่น ไม่มีแล้วผู้ชายที่คอยผลักดันและเคี่ยวเข็ญให้พวกเขาได้ดี

 

ไม่มีแล้วคนนี้

 

คนที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อ’

 

*

 

**

 

จากดวงจิตของประวิต

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มิรู้หรอกว่าใครจะไม่ซึ้งแต่คนแต่งซึ้งก็เลิศแล้ว Y_Y

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านเรื่องสั้นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา