เรื่องสั้นขยันดอง : มัลลิกา (Re-upload)

-

เขียนโดย รินวิฬาร์

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.51 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  4,993 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 15.34 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) บทแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

ยัยนั่นอีกแล้ว ยัยเด็ก ม.ต้นที่ตัดผมสั้นเสมอหูคนนั้น

 

เจ้าหล่อนนั่งห้อยขาอยู่ที่บนราวระเบียงทางเดินของชั้นสองด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ขาเล็กๆเตะสลับไปมาในอากาศ เพิ่งเตือนไปเมื่อวานแท้ๆ วันนี้ก็ยังจะกล้าขึ้นไปบนอาคารนั้นอีกเหรอ ชักจะหยามกันมากไปแล้วนะ

 

“เห้ย ยัยกะลาครอบบนนั้นอ่ะ บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าขึ้นไป” ดวงหน้าเล็กๆก้มลงมองมาที่ผมก่อนจะมองบนใส่ซึ่งๆหน้า

 

“เป็นแค่กรรมการนักเรียน แต่วางท่าซะใหญ่โตเชียวนะ” เสียงเล็กๆนั้นโต้ตอบ หน๊อยยยย...ยัยหัวกะลาครอบ!!

 

“ลงมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นฉันจะขึ้นไปลากเธอลงมา!”

 

“คิม คุยกับใครอยู่น่ะ ตะโกนลั่นเลย” ผมหันกลับไปมองที่ด้านหลัง เด็กสาวร่างผอมสูงคนนึงยืนกอดหนังสือแนบอกแน่น เธอมองผมสลับกับการมองขึ้นไปด้านบนตัวอาคารด้วยท่าทางหวาดๆ

 

“มิ้ว ก็ตรงนั้น...” ผมชี้พร้อมกับแหงนขึ้นไปมอง แต่ตรงนั้นกลับว่าเปล่า หนีไปอีกแล้วซินะ ยัยขวางโลกนั่นน่ะ

 

“มะ มะ ไม่มีใครสักหน่อย” เธอตะกุกตะกัก

 

“เด็กผู้หญิงน่ะ ตัวเล็กๆใส่เครื่องแบบของ ม.ต้นโรงเรียนเราด้วยนะ” ผมอธิบาย มิ้วชี้ไปที่ประตูด้านหน้าของอาคารไม้ กุญแจเก่าเกรอะสนิมคล้องอยู่กับโซ่เส้นโต ผมอึงนิดหน่อยเมื่อได้เห็นภาพนั้น

 

“ไม่มีใครขึ้นไปบนนั้นได้หรอก เธอน่ะโดนผีหลอกแล้วแหงๆ เราไปนะ” พูดจบ มิ้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากหน้าอาคารไม้ในทันที

 

ผีเผออะไรกัน ไร้สาระที่สุด ผีไม่มีในโลกหรอกนะ ถ้ามีอยู่จริง มนุษย์ก็คงไม่ต้องหวาดกลัวความตายอีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าตายก็คงได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่รวมกันเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

แต่...ความตายสำหรับผมนั้น มันก็แค่เซลล์ทั้งหมดในร่างกายหยุดทำงาน โปรตีนในกล้ามเนื้อค่อยๆเน่าเสีย และย่อยสลายอย่างไม่อาจแก้ไขหรือหยุดยั้งมันได้ก็เท่านั้น

 

ความตายก็คือ การที่เราจะไม่สามารถพบกันได้อีกต่อไป ตลอดกาล... เรื่องผีน่ะเหรอ ไร้สาระที่สุด

 

ผมเดินลัดไปตามทางเดินแคบๆในสวนระหว่างตัวอาคาร แอบหันกลับไปมองที่อาคารไม้หลังนั้น ไร้วี่แววของยัยกะลาครอบนั่น นึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนกระทำผิดซึ่งหน้าแล้วไม่สามารถทำอะไรได้

 

“เช้าวันนี้มีประกาศอย่างเป็นทางการมาจากท่านผู้อำนวยการแล้วค่ะว่า เห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะทำการรื้อถอนอาคารไม้หลังเก่า หลังแรกของโรงเรียนเรา ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี เนื่องด้วยมีสภาพผุพังจนไม่สามารถซ้อมแซมได้..”

 

ที่โรงอาหาร เสียงวิทยุกระจ่ายเสียงของโรงเรียนประกาศข่าวเกี่ยวกับอาคารไม้หลังเก่า เสียงนักเรียนที่เซ็งแส้ในตอนแรก กลับพากันเงียบฟังอย่างตั้งใจ

 

“รื้อๆไปเถอะ อาคารผีสิงนั่นน่ะ น่ากลัวจะตายไป” พี่เต๋อ หนุ่มแว่นหุ่นหมีที่นั่งตรงข้ามผม บ่นงึมงำแล้วกัดขนมปังใส้หมูหยองเข้าไปคำใหญ่ๆ

 

“ผีบ้าผีบออะไร ไร้สาระว่ะพี่” เขาเหลือบตาตี่ๆขึ้นมองจิกที่ผมแบบไม่พอใจ ถ้าไม่ติดว่ากำลังเคี้ยวตุ้ยๆอยู่ ก็คงขึ้นเสียงเถียงผมแบบทันควัน

 

“แล้วเรื่องเมื่อวันก่อนน่ะล่ะ?” มิ้วที่นั่งถัดจากพี่เต๋อถามขึ้นเบาๆ

 

“วันก่อนทำไมเหรอ?” พี่เต๋อถามต่อ

 

“ก็คิมมัน...”

“พอเลยๆ ผีที่ไหนจะมาเถียงเราฉอดๆแบบนั้นได้ล่ะ คนตัวเป็นๆนี่แหล่ะมิ้ว”

 

“ได้คุยกันด้วยเหรอ?”

 

“ก็บอกว่าคนไง” ผมยืนยัน

 

“เห้ยๆ มีอะไร เล่าให้ฟังบ้างสิ”

 

“ก็เมื่อวันก่อนไงพี่เต๋อ มิ้วเห็นคิมยืนคุยกับใครไม่รู้หน้าอาคารเก่าน่ะ”

 

“เห้ย จริงดิ่” มิ้วพยักหน้าหงึกๆ

 

“คนธรรมดาชัดๆ ใส่ชุด ม.ต้นของโรงเรียนเรา ผมสั้นๆประมาณเนี้ย” ผมเอามือจิ้มจึกๆที่ติ่งหูตัวเองประกอบการเล่า

 

“ใส่คอซองแต่ไม่ผูกหูกระต่าย แล้วชอบนั่งบนราวระเบียงชั้นสอง” พี่เต๋อพูดแทรกขึ้นมา ทำตาวาวใส่ผม

 

“ใช่”

 

“โห้ยยยยย..ผีชัดๆ!” เสียงนั้นดังจนทำให้คนที่นั่งในโรงอาหารพากันหันมาจ้องเป็นตาเดียว

 

“คิม เห็นมั้ยละ เราบอกแล้วว่าผีก็ไม่เชื่อ”

 

“ไม่มีทาง คุยก็คุยมาแล้ว แถมเถียงผมฉอดๆ ไว้คราวหน้าถ้าเห็นว่าขึ้นไปวิ่งเล่นบนเขตหวงห้ามอีก ผมจะจับมาประจานให้เข็ดเลย” สองคนนั่นนั่งมองผมด้วยแววตาหวาดๆ

 

“มัลลิกา มัลลิกาแหงๆ” พี่เต๋อกระซิบ ทำสีหน้าหวาดกลัวแบบโอเว่อร์แอ็คชั่น

 

“ห๊า? ใครอ่ะ มัลลิกา?” ผมได้ยินไม่ถนัดนัก

 

“ก็มัลลิกาไง เด็กสาวเครื่องสังเวยที่ถูกกักขังดวงวิญญาณไว้ในอาคารไม้หลังเก่านั่นน่ะ เคยมีคนเล่าต่อๆกันมาว่า เจ้าที่โรงเรียนเราแรงมากเลยนะ ตอนที่เริ่มสร้างโรงเรียนมีแต่ปัญหา เกิดอุบัติเหตุซ้ำๆจนไม่สามารถสร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จได้ ต่อมาคนที่ทำหน้าที่ดูแลการก่อสร้างเลยไปบนบานเอาไว้ว่า ถ้าสามารถสร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จตามเวลาได้ เขาจะสังเวยเซ่นไหว้ด้วยหญิงสาวพรหมจรรย์ แต่พอถึงเวลาจริงๆ คนที่ดูแลเรื่องการก่อสร้างกลับทำแค่การเซ่นไหว้ธรรมดาเท่านั้น หลังจากเปิดอาคารให้ใช้เรียนได้ไม่นาน ก็มีนักเรียนตายด้วยอุบัติเหตุสยดสยองอยู่อย่างต่อเนื่องจนคนที่คุมการก่อสร้างต้องกลับมาบูชายันเด็กสาวตามที่เคยพูดไว้”

 

“แบบนั้นก็ฆาตกรรมไม่ใช่รึไง” ผมค้าน

 

“ก็เค้าเล่าต่อๆกันมาแบบนั้นนี่นา แถมมันก็สอดคล้องกับที่เคยมีคนเห็นเด็กผู้หญิง ใส่ชุด ม.ต้นนั่งอยู่บนอาคารตอนดึกๆดื่นๆ ไหนจะข่าวลือเกี่ยวกับเสียงฝีเท้าประหลาดที่วิ่งวนไปมาอยู่บนระเบียงทางเดินชั้นสองนั่นอีก” มิ้วกลายเป็นคนช่างพูดไปซะแล้ว ปกติเงียบๆหงิมๆ

 

“เค้าเล่ากันมา เค้านี่ใครล่ะ แล้วไหนจะคนที่เห็นวิญญาณเด็กผู้หญิงนั่นอีก”

 

“ก็แกไง” พี่เต๋อชี้หน้าผม

 

“โว๊ะ ไปกันใหญ่แล้ว ไร้สาระ ผมไปล่ะ วันนี้มีเวร” ผมลุกออกจากโต๊ะอาหารแบบไม่ใยดีนัก เพราะยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

 

“เห้ย เดี๋ยวสิ แกน่ะระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ” ผมชะงักหันกลับมามองที่รุ่นพี่หุ่นบิ๊กไซร์ “เค้าว่ากันว่ากันว่า คนที่ได้เจอหรือพบเห็นกับมัลลิกาก็คือเหยื่อรายต่อไปนะ”

 

“ก็มาดิ่ครับ เดี๋ยวผมคนนี้นี่แหล่ะที่จะลากตัววิญญาณอะไรนั่นเข้าไปนั่งตากแอร์ในห้องฝ่ายกิจการนักเรียนน่ะ” เหมือนสองคนนั่นจะพูดอะไรต่อ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คอยดูเถอะ ยัยหัวกะลาครอบนั่นน่ะ ถ้าเจออีกทีจะขึ้นไปลากคอให้ได้เลย

 

17:12 น. หลังจากที่ฝนกระหน่ำลงมาได้พักใหญ่ๆฟ้าก็เริ่มเปิด

 

มุมมองจากหน้าต่างห้องชมรมวรรณกรรมที่อยู่ชั้น 4 ของตึก ผมมองเห็นตัวอาคารไม้หลังเก่าสองชั้นนั้นได้อย่างชัดเจน คนงานพากันเก็บของขึ้นท้ายรถ งานของวันนี้คงยุติลงแล้วเพราะสายฝนเมื่อครู่

 

“เฮี้ยนนะเนี่ย คนงานมารื่อวันแรกฝนก็ตกยังกะฟ้ารั่ว” พี่เต๋อกระแสะตัวเข้ามาเบียดผมที่หน้าต่าง

 

“ไร้...”

 

“ไร้สาระ?” หนุ่มหุ่นหมีแย่งพูดแล้วเบะปากใส่ผม

 

“โว๊ะ! อะไรของพี่วะเนี่ย งมงายอะไรกัน”

 

“ไม่ใช่แค่พี่นะเว้ย แกไม่ได้สังเกตเหรอ ก็เป็นกันทุกคนแหล่ะ เรื่องแบบนี้สนุกจะตายใครก็ชอบ”

 

“เมืองไทยโอลลี่อ่ะดิ่” ในตอนนั้นเอง วัตถุสีขาวชิ้นหนึ่งก็แวบเข้ามาในระยะสายตาของผม ที่อาคารไม้หลังเก่าฝั่งตรงข้ามนั้นเอง เด็กสาวร่างเล็กในชุดนักเรียนยืนพิงกรอบหน้าต่างเอาหน้ารับลมอยู่ตรงนั้น “นั่นไง ยัยกะลาครอบ”

 

“ไหน? ไม่มี แกอย่าทำให้ตกใจซิฟ๊ะ!” พี่เต๋อหันไปมองไม่ทัน ผมเห็นกับตาว่าเธอหลุบหายเข้าไปในห้องนั้น ผมไม่มัวต่อปากต่อคำอะไรอีก รีบคว้ากระเป๋าเป้และทะยานตัววิ่งออกไปจากห้องชมรม วิ่งลงบันไดจากชั้น 4 วิ่งฝ่าสนามหญ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เพียงอึกใจเดียว ร่างสูงๆของผมก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตัวอาคารไม้หลังนั้น

 

กุญแจคล้องอยู่กับโซ่เก่าๆในสภาพเดิม บ้าชะมัด มันต้องมีทางอื่นอีกสินะ ไม่งั้นยัยนั่นจะขึ้นไปได้ยังไง ผมหันซ้ายแลขวาไปรอบๆ ท่ามกลางความเงียบนั้น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะสลับกับเสียงไม้ลั่นเบาๆเพราะแรงกดย่ำ

 

ตึก ตึก ตึก ตึก

 

ยัยกะลาครอบยังอยู่ข้างบน  หัวใจผมพองโตขึ้นมาทันทีที่คิดว่าจะจับยัยตัวแสบนั่นได้

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา