เรื่องสั้นขยันดอง : มัลลิกา (Re-upload)

-

เขียนโดย รินวิฬาร์

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.51 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  4,995 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 15.34 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) บทกลาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

ผมมองสำรวจหาทางเข้าทางอื่น จนหันไปเจอหน้าต่างบานหนึ่งที่แง้มอยู่เลยลองเอามืองัดๆดู แต่มันถูกล็อกจากด้านใน คงเป็นเพราะไม้มันเก่าแล้ว ขอบมันเลยปิดไม่สนิท ผมลองออกแรงเขย่าหนักๆสองที ตัวกลอนก็ลั่นออกจากรูที่ขอบหน้าต่างอย่างง่ายดาย

 

ผมพยายามโหนตัวขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง ปีนอย่างเงียบเชียบและค่อยๆปิดบานหน้าต่างไว้เหมือนเดิม ภายในอาคารนั้นมืดทึม ผมยืนอยู่บนทางเดินของอาคารของชั้นหนึ่ง มันเต็มไปด้วยฝุ่นสีขาวจับตัวหนาจนแทบจะมองไม่เห็นรอยร่องของแผ่นกระดาน ฝั่งหนึ่งของทางเดินเป็นหน้าต่าง ส่วนด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นห้องเรียนที่ถูกปิดประตูไว้สนิทยาวตลอดแนว ปลายสุดของทางเดินนั้นเป็นบันไดไม้ที่ทอดตัวขึ้นไปยังชั้นสอง สภาพโดยรอบดูเก่า เต็มไปด้วยฝุ่นและหยักไหย่ หากแต่ยังอยู่ในสภาพดีไม่ได้มีอะไรผุพังอย่างที่ทุกคนเข้าใจ

 

ไม่ใช่ว่าท่านผู้อำนวยการจะรื้อเอาไม้เก่าพวกนี้ไปขายหรอกนะ ไม้เก่าเนื้อไม้ดี แผ่นกว้างไม่ต่ำว่าหนึ่งเมตรดูแกร่งขนาดนี้คงราคาดีไม่น้อย

 

ตึก ตึก ตึก ตึก

 

เสียงฝีเท้าย่ำไปมาอยู่เหนือศีรษะ ผมไม่รอช้า รีบเดินปรี่ตรงไปที่บันไดและก้าวขึ้นไปอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“นายเข้ามาที่นี่ทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”

 

ผมที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งทางสะดุ้งสุดตัว เสียงนั้นดังมาจากด้านล่าง เด็กสาวร่างผอมบางตัดผมสั้นเสมอหู ยืนเชิดหน้าแหงนมองมาที่ผม สายตามุ่งร้ายจ้องเขม่นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนตัวผมในขณะนี้รู้สึกชาไปทั้งร่างด้วยความพิศวงงงงวยกับเหตุการณ์ตรงหน้า

 

เธอควรจะอยู่ที่ชั้นสองไม่ใช่เหรอ บันไดทางขึ้นลงก็มีแค่ทางเดียว ไหนจะเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำตึงตังข้างบนตลอดเวลานั่นอีก แล้วเธอตรงหน้านี้ คืออะไรกันแน่

 

“...ธะ เธอน่ะแหล่ะ เธอเข้ามาทำไมที่นี่ ฉันเป็นกรรมการนักเรียนนะ ฉัน... ฉันก็จะมาลากเธอออกไปไงล่ะ” ผมพยายามคุมโทนเสียงตัวเองให้ปกติด้วยความยากลำบาก ยัยผมทรงกะลาครอบดูจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดนัก

 

“ลงมาเดี๋ยวนี้ แล้วรีบไสหัวออกไปซะ” เห้ย นั่นมันน่าจะเป็นคำพูดของผมมากกว่านะ

 

ตึก ตึก ตึก ตึก

 

จากชั้นสอง เสียงฝีเท้ายังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง มันดังวนไปมา เหมือนกับเด็กที่วิ่งเล่นไป-กลับตามความยาวของระเบียงนอกจากเธอแล้ว ยังมีใครคนอื่นอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ ผมรีบวิ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของขั้นบันไดโดยมีเสียงเล็กๆโหวกเหวกโวยวายตามมาจากด้านหลังแบบติดๆ

 

“เดี๋ยวสิ ไอ้งี่เง่า ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”

 

บนนั้นไม่มีใคร ไม่มีใครสักคน ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าตัวผมควรจะรู้สึกยังไงดีกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมมองไปจนสุดทางเดินของตัวอาคาร ทุกอย่างว่างเปล่า ประตูทุกบานปิดเงียบไม่มีร่องรอยอะไร ไม่มีแม้แต่รอยเท้าสักลอยด้วยซ้ำ

 

“พอใจรึยังล่ะ ลงไปได้แล้ว” ยัยกะลาครอบกำชายเสื้อผมแล้วกระชากแรงๆ ผมหันกลับไปพร้อมกับจับที่ไหล่เล็กๆทั้งสองข้างของเธอแล้วเขย่าเบาๆเป็นการเอาคืน

 

“เธอต้องบอกฉัน ว่ามันเกินอะไรขึ้น ยัยกะลาครอบ” เธอสบตาผมด้วยใบหน้าเรียบๆ ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องนิ่งมาที่ผมอย่างไร้อาการแสดงออก

 

“ก็ผียังไงล่ะ” ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยค ผมปล่อยมือออกจากไหล่นั่นแล้วถอยหลังออกมาช้าๆ สายตายังจ้องนิ่งที่ร่างเล็ก บอบบางตรงหน้าราวกับกำลังกลัวว่าร่างของเธอนั้นจะแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นอะไรอย่างอื่นที่น่าหวาดกลัวเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ

 

“ผีไม่มีในโลกหรอก ไร้สาระ” ผมตอบออกไปทั้งที่ในใจก็เริ่มไขว่เขว คราวนี้เธอถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

 

“ฮะฮะฮะฮะ คิดแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ?” เธอใช้นิ้วมือเล็กๆกรีดเช็ดน้ำตาที่หางตาตัวเองเบาๆ และยังไม่สามารถที่จะหยุดหัวเราะได้

 

“ก็แหงล่ะสิ เธอจะบอกว่าเธอเป็นผีรึไง”

 

“ไม่ใช่เรื่องของนาย รีบกลับไปได้แล้ว”

 

“นั่นมันคำพูดฉัน เธอน่ะลงไปได้แล้ว ที่นี่ห้ามเข้า เธอก็น่าจะรู้นะ” ผมยังคงคาใจกับตัวตนของเธอแต่ก็ยังพูดออกไปแบบนั้น

 

“ฉันไปไหนไม่ได้หรอก ฉันต้องอยู่ที่นี่” เสียงนั้นเบาลง ดวงตาสีดำสวยฉายแววเศร้า เธอเดินไปที่ราวระเบียงทางเดินแล้วดีดตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาด้วยท่าทางแบบที่ผมเคยเห็น

 

“ทำไม?” เหมือนถามออกไปแบบอัตโนมัติ ทั้งๆที่ความรู้สึกลึกๆในใจผมไม่ได้อยากรู้คำตอบนั้น

 

“ไม่เสือกดิ่ ลงไปได้แล้ว” โว๊ะ! ผมปรับอารมณ์แทบจะไม่ทัน ยัยนี่เป็นเด็กอะไรแบบนี้ ใช้คำพูดคำจาใหญ่โตโออวดตลอดเลย

 

“เธอนั่นแหล่ะ ลงมานี่เลย ไป! กลับลงไปด้วยกันนี่แหล่ะ เร็วๆเลย มืดแล้วเนี่ย” ผมกระชากตัวเธอลงมาจากราวระเบียง สุดท้ายเด็กก็คือเด็ก ยัยกะลาครอบนั้นดิ้นเร้าๆโวยวายลั่นขัดขืนการจับกุมของผม

 

“โอ้ย ไอ้บ้านี่ ปล่อยโว้ย ปล่อย ปล่อยเซ่!” แค่มือเพียงข้างเดียวของผมก็สามารถกำรวบข้อมือเล็กๆทั้งสองของเธอไว้ได้สบายๆ

 

“เธอกำลังขัดขืนกฎระเบียบของโรงเรียนอยู่นะ ที่นี่มันอันตราย ลงไปเลย นี่คือคำสั่ง!”

 

“เป็นแค่กรรมการนักเรียน เบ่งยังกะคนขี้ท้องผูกเลยนะ ไอ้งี่เง่า” โห ให้ตายเถอะ คำพูดของเธอแต่ละคำนี่ช่างสวนทางกับรูปร่างหน้าตาซะเหลือเกิน

 

ตึก ตึก ตึก ตึก

 

ทั้งผมและเธอหยุดนิ่งและมองไปที่ระเบียงทางเดิน เสียงฝีเท้าย้ำเข้ามาหาเราทั้งคู่อย่างช้าๆโดยที่ไม่มีตัวตนใดของผู้มาเยือน แต่แล้วทุกอย่างก็นิ่งไป เหลือไว้แต่เสียงลมที่พัดใบไม้ดังซู่ซ่าอยู่ด้านนอกตัวอาคาร ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับว่าพายุกำลังจะมา สายลมเย็นเยือกที่หอบกลิ่นหอมของดินและกลิ่นอ่อนๆของดอกไม้กลางคืนมาจนกรุ่นไปทั่วบริเวณ

 

“เธอ...”

 

“ชู่ว์!” เธอใช้มือปิดที่ปากผม สีหน้าดูกังวล สายตากวาดมองไปมารอบทิศทางด้วยท่าทางระแวดระวัง

 

“มันมาแล้ว” เธอสะบัดมือผมทิ้ง “รีบลงบันไดไปซะ เร็วเข้า!” เธอผลักหลังผมแรงๆแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวขยับไปไหน อยู่ดีๆ ร่างของเธอก็ปลิวระลิ่วไปกระแทกกับผนังห้องไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ถูกขว้างปา

 

ตึง!!! ร่างเล็กกระแทกลงพื้นนิ่งไม่ขยับไหวติงแม้แต่น้อย ผมได้แต่ยืนอึงอยู่ที่เดิม ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

 

“มัลลิกา...มัลลิกา...ข้าจะกินมัน...”เสียงแหบพร่าดังขึ้นแบบไร้ที่มา ผมกวาดสายตาไปมารอบๆแต่ก็มองไม่เห็นว่าที่นี่จะมีใครอีกนอกจากผมและเธอ

 

“อย่าเข้ามานะ!” เธอตะหวาดเสียงใส่ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเธอ “กลับลงไปซะ ถ้านายไม่ตัดสินใจตอนนี้ นายจะไม่ได้กลับไปอีกเลยนะ” เธอยันตัวขึ้นยืนซวนเซ แขนเล็กๆปาดเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลยาวมาถึงปลายคาง

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอเป็นใครกันแน่?” เธอยืนนิ่งไม่ให้คำตอบใดๆแก่ผม

 

“มัลลิกา...”เสียงเรียกนั้นดังมาอีก เป็นเสียงที่แหบแผ่วราวกับดังออกมาจากที่ไกลๆ

 

ตึกๆๆๆๆๆ

 

เสียงฝีเท้าระรัวถี่วิ่งเข้ามาใกล้ทั้งๆที่ผมไม่สามารถมองเห็นใครหรืออะไรเลย ผมได้แต่ยืนทื่ออยู่ด้วยความตกใจ และในจังหวะนั้นเอง ยัยกะลาครอบนั่นก็ฉุดข้อมือผม

 

“วิ่ง!”

 

“วิ่งไปไหนล่ะ”

 

“วิ่งไปเถอะน่า ไอ้งี่เง่า!”

 

ถ้าวิ่งกันจริงๆผมคิดว่าไม่น่าเกินห้าก้าวก็น่าจะถึงผนังที่เป็นทางตันไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ เราสองคนยังวิ่งไปข้างหน้าแบบสุดกำลังขา วิ่งเท่าที่จะวิ่งให้ไวได้ ระเบียงทางเดินข้างหน้าเราในขณะนี้มันยาวไกลออกไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ข้างหน้าก็มืดสลัวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทางฝั่งที่เป็นระเบียง ผมมองออกไปข้างนอก ทุกๆอย่างดูไม่เหมือนกับสภาพปกติอย่างที่เคยเป็น ตึกเรียนอื่นๆหายไปจนหมดเหลือไว้แค่ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมรอบตัวอาคาร ท้องฟ้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนก้อนโตหายไป มีเพียงท้องฟ้าสีดำสนิทที่เกลื่อนไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

 

“นี่มันอะไรกัน” ผมชะลอฝีเท้า

 

“อย่าอยุดวิ่งนะเห้ย!” เธอเกรี้ยวกราด

 

“มัลลิกา...มัลลิกา...ข้าจะกินมัน” เสียงนั้นตามมาติดๆ

 

“ไม่ได้! ห้ามกินเขาเด็ดขาด”

 

“เห้ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย” ผมสับสนไปหมด นี่กำลังฝันร้ายอยู่รึไงกัน ผมเริ่มหอบหายใจขัดด้วยความเหนื่อยจุก ผิดกับเธอ ยัยกะลาครอบตัวแสบยังวิ่งไปด้วยสีหน้าชิลๆไม่มีเหงื่อสักเม็ด

 

นี่คือข้อแตกต่างระหว่างมนุษย?สามัญธรรมดากับวิญญาณอย่างงั้นหรือ

 

ไม่! ไม่สิ! นี่ผมกำลังจะเชื่อเรื่องผีเรื่องวิญญาณ จะเชื่อสิ่งที่ผมลงความเห็นว่ามัน ไร้สาระ มาตลอด 16 ปีแล้วรึไง เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ทุกอย่างมันต้องมีที่มาที่ไป แต่มีคำอธิบายสิ!

 

ผมหยุดวิ่งลงกะทันหัน พร้อมกับหันกลับหลังไปมองสิ่งที่ตัวเองกำลังวิ่งหนี สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าในขณะนี้คือความมืดดำ ที่มืดกว่าจุดอื่นๆบนระเบียง เงาดำใหญ่นั้นครอบคลุมตั้งแต่พื้นระเบียงและสูงจรดเพดาน เมื่อจ้องดูดีๆจะสังเกตได้ว่ามันขยับขยุกขยุยมีการเคลื่อนไหว  

 

“ทำบ้าอะไรของนายน่ะ” เสียงเธอตะหวาดใส่ผมกราว พร้อมกับมือเล็กๆที่พยายามฉุดกระชากให้ผมวิ่งต่อไปแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว

 

ผมทรุดลงนั่งกับพื้น สายตายังจับจ้องไปที่เงาดำๆนั้น ดูการเคลื่อนไหวแปลกๆไร้ทิศทางของมัน บางทีก็ขยับงอกออกมาเป็นแขน บางทีก็เหมือนจะมีเงาเป็นรูปใบหน้านับสิบที่บิดเบียวผิดสัดส่วนขยับเบียดกันออกมาจากเงานั้น

 

กลัว ผมกลัวเกิดกว่าจะขยับ ผิดกับมัน เงาดำตรงหน้ายังขยับเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้

 

“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เซ่!” เธอฉุดผมขึ้นแต่ก็เปล่าประโยชน์ ผมในตอนนี้แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอแล้วด้วยซ้ำ

 

“มัลลิกา มัลลิกา ข้าจะกินมัน” เงานั้นแหวกช่องตรงกลางออก ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่เปิดขยายเป็นรูปปากที่มีฟันซี่เล็กถี่ๆจำนวนมาก ของเหลวสีดำกลิ่นแรงไหลหนืดๆออกมา ลึกลงไปในปากนั้น ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่สมส่วนจำนวนมากร้องโหยหวน มือนับสิบคู่เหยียดออกมายุบยับเหมือนจะพยายามไขว่ขว้าหาทางออกจากหลุมก็ไม่ปาน

 

“ไม่ได้ กินไม่ได้” เธอตะโกน “ไอ้งี่เง่า ลุกเดี๋ยวนี้นะ ถ้านายโดนมันกิน นายจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล” เธอกระชากผมขึ้นแล้วเหวี่ยงตัวผมลงไปที่บันได

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา