เรื่องสั้นขยันดอง : มัลลิกา (Re-upload)

-

เขียนโดย รินวิฬาร์

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.51 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  4,996 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 15.34 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) บทจบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

ร่างของผมร่วงระลิ่วลงมา โดยเอาหลังกระแทกลงที่ชานพักขั้นบันไดอย่างแรงจนภาพต่างๆดูเบลอจวนเจียนจะหมดสติ

 

กรวบ!!! ซ่า!!!

 

เสียงเหมือนมีใครเอาถังน้ำใบใหญ่ๆสาดลงพื้น ของเหลวสีแดงสดพร้อมกลิ่นคาวเฉพาะตัวกระจายเต็มพื้นไม้กระดาน และไหลลงมาตามขั้นบันได นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เห็นท่ามกลางความมืดสลัว ขาเล็กๆที่ถูกย้อมด้วยเลือดสดๆสีแดงเข้ม เงานั้นงับเอาร่างเล็กๆของเธอเข้าไปจบเกือบหมดร่างในคำเดียว

 

“มัลลิกา มัลลิกา ไม่อร่อยเลย ข้าจะกินคนอื่นบ้าง ข้าจะกินคนอื่นบ้างงงง...” มันคร่ำครวญขณะที่เคี้ยวร่างนั้นช้าๆ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปโดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย

 

ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ผมต้องเผชิญหน้าในวันนั้นมันคืออะไรกันแน่

 

ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยท่ามกลางความหวาดกลัว

 

ผมโง่เขลาและอวดเก่งเหลือเกิน ผมสมเพชตัวเองที่เป็นแบบนั้น

 

และ...

 

ถ้าผมไม่ขึ้นไปบนนั้น เธอจะถูกกินมั้ย ทุกอย่างเป็นเพราะผมหรือเปล่านะ

 

 

สองสัปดาห์เต็มที่นอนพักอยู่ที่บ้านเนื่องจากแขนขวาที่หัก เป็นการลาป่วยที่มาพร้อมกับการถูกทัณฑ์บนให้พักการเรื่องเพราะละเมิดประกาศบังคับของโรงเรียน เข้าไปในเขตหวงห้ามจนเกิดอุบัติเหตุ

 

ใช่ครับ มันคืออุบัติเหตุ เพราะในที่เกิดเหตุ ไม่มีใครหรืออะไรเลย ไม่มีเงาดำ ไม่มีเลือด ไม่มีขาเล็กๆคู่นั้น ไม่มีคนชื่อ มัลลิกา มีแค่ผม ที่เป็นถึงกรรมการนักเรียนแต่ดันทะลึ่งงัดหน้าต่างเข้าไปเดินเล่นในอาคารเรียนหลังเก่าแล้วก็พลัดตกบันไดลงมาแขนหัก

 

“คิม มีเพื่อนมาหาน่ะลูก แต่ลูกจะไม่คุยกับเค้าก็ได้นะ” แม่ทำหน้าแหยๆ

 

“ทำไมล่ะฮะ?” ผมคว่ำหนังสือที่อ่านค้างลงกับหน้าอก

 

“ก็เธอบอกว่ามาจากชมรมหนังสือพิมพ์โรงเรียนลูกน่ะ เผื่อลูกจะไม่...”

 

“คุยได้ฮะ เดี๋ยวผมลงไป” เหมือนที่พี่เต๋อโทรมาคุยเลย มีคนอยากรู้เรื่องของผมเยอะเหลือเกิน นี่อาจเป็นโอกาศอันดีที่ผมจะตอบคำถามที่หลายๆคนสงสัย ถ้าผมได้กลับไปเรียนแล้วจะได้ไม่ต้องมามั่วตอบทีละคนๆไงละ

 

ผมเดินลงไปที่ห้องรับแขก เด็กสาวใส่ชุด ม.ต้นหน้าตาจิ้มลิ้มคนนึงนั่งเกร็งๆอยู่ที่โซฟาด้วยท่าทางประหม่าๆ คุณแม่เอาน้ำหวานมาเสิร์ฟให้เธอ หล่อนยกมือไหว้อย่ารู้มารยาท

 

“หวัดดีค่ะรุ่นพี่”

 

“เธอไม่ใช่คนของชมรมหนังสือพิมพ์นี่นา” เธอจุ๊ปากเบาๆเหมือนจะกลัวคุณแม่รู้ที่เธอแอบอ้าง ชมรมหนังสือพิมพ์มีเฉพาะแผนก ม.ปลายเท่านั้น และโรงเรียนผม ม.ต้นและปลายแบ่งเขตตึกเรียนกันชัดเจน

 

“หนูมาจากชมรมเรื่องลึกลับค่ะ” เธอทำตาวาวใส่ผม

 

“อ่า...กะไว้แล้วเชียว” ถ้าให้สัมภาษณ์กับพวกที่งมงายไปแบบนี้ผมไม่แย่ไปกว่าเดิมเหรอ “พี่ขอปฎิเสธครับ ขอโทษด้วย”

 

“ขอร้องล่ะค่ะพี่ หนูอุตส่าห์บากหน้ามาหาพี่เชียวนะคะ พี่ช่วยตอบคำถามหนูสักสองสามข้อก็ยังดี” คุณแม่ชะโงกหน้าออกมาจากในครัวเพราะเสียวแปดหลอดของเธอ

 

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวพวกเธอก็ไปตีข่าวเหลวไหลไร้สาระกันอีก”

 

“พี่รู้มั้ยคะว่าอาคารหลังนั้นรื้อถอนเสร็จแล้ว” เธอตัดบทผมด้วยการตั้งคำถาม ผมพยักหน้าหงึกๆตอบแบบตัดรำคาญ

 

“อื้ม กลับไปได้แล้ว กลับบ้านค่ำๆมันอันตรายนะ”

 

“แล้วพี่รู้มั้ยว่า ใต้ซากอาคารนั้น คนงานเจอซากกระดูกของเด็กผู้หญิงด้วย” ผมรู้สึกวูบไปทั้งตัว มือสั่นเล็กน้อย ผมพยายามกำมือไว้ใต้หมอนอิงบนตัก ภาวนาว่าเธอคงจะไม่สังเกตเห็น

 

“แล้ว?”

 

“แล้ววันนั้น พี่ขึ้นไปข้างบนทำไมคะ”

 

“พี่...” ผมควรจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ต่างอะไรจากวันนั้น

 

“พี่ได้เจอกับมัลลิกาหรือเปล่าคะ”

 

“เปล่า เธอกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำ” เธอถอนหายใจ

 

“พี่นี่สมกับที่เป็นกรรมการนักเรียนเลย”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“ก็ชอบทำตัวเป็นศัตรูกับนักเรียนไงล่ะ ถามอะไรก็ไม่ตอบ หนูก็ไม่ได้อยากมาสักหน่อย แต่งานของชมรมก็ต้องทำนี่ค่ะ นึกว่าอยากมาหรือไง หนูอยากดูละครตอนหกโมงเย็นมากกว่ามาที่นี่ซะอีก” เธอบ่นยาว

 

“น่าๆ ใจเย็นๆ พี่ก็แค่อยากดูข้างบนก็เท่านั้น พอดีบันไดมันชันก็เลยเหยียบพลาดแล้วตกลงมานี่แหล่ะ”

 

“ทำไมต้องอยากดูล่ะคะ”

 

“ก็พี่เรียนชมรมวรรณกรรมไงล่ะ”

 

“ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด”

 

“อุบัติเหตุธรรมดาครับ” ผมยิ้มเสริม ทำให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเธอก็หลงเชื่อ ไม่ก็อาจจะเพราะอยากรีบกลับไปดูละครตอนหกโมงเย็นก็ได้ สุดท้ายเธอก็กลับไปอย่างง่ายดาย

 

“เด็กคนนั้นกลับไปแล้ว อ้าว คิม อย่าวิ่งสิลูก!” ทันทีที่เด็กคนนั้นออกจากเขตชายคาบ้านผมไป ผมก็รีบวิ่งกลับขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบนด้วยความเร็ว

เราปลดล็อคหน้าจอมือถือ เข้าหน้าเวบไซต์ของโรงเรียน แล้วค้นหา ชมรมเรื่องลึกลับระดับมัธยมต้น เข้าไปที่หน้าเพจแล้วไล่อ่านกระทู้ของเพจนั้นทีละอันๆ

 

“ตำนานอาคารไม้หลังเก่าของโรงเรียน” ผมพึมพ่ำเบาๆกับตัวเอง และกดเข้าไปอ่านอย่างตั้งใจ

 

เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ต่างไปจากที่ได้ฟังมาจากมิ้ว นอกนั้นก็จะเป็นเรื่องเล่าจากที่สิ่งที่คบได้พบเห็น เป็นเหตุการณ์เล็กๆที่มีคนเล่าต่อๆกันมาเช่น เสียงคนเดินหรือวิ่ง เสียงดนตรีไทยบรรเลงกลางดึก ดวงไฟประหลาด แม้กระทั้งข่าวที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน เช่น เคยมีคนฆ่าตัวตายบนอาคาร มีคนตกบันไดลงมาตาย หรืออื่นๆ จนกระทั้งผมมาสะดุดอยู่ที่หัวข้อกระทู้หัวข้อหนึ่ง

 

มัลลิกา เด็กสาวเครื่องสังเวย ใช้เด็กสาวพรหมจรรย์เป็นเครื่องสังเวยแก่วิญญาณเจ้าที่ วิญญาณเจ้าที่ๆป้องร้ายเด็กนักเรียนจะไม่ไปทำร้ายใครอีก แต่จะต้องไล่จับวิญญาณมัลลิกากินชั่วกัปชั่วกัลป์ วิญญาณของเด็กสาวผู้เสียสละจะถูกสังเวยครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บปวดกับการถูกกินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีคนเข้าไปในอาคาร เด็กสาวจะปรากฏตัวออกมาแล้วเตือนไม่ให้คนๆนั้นหลงเข้าไปในอาณาเขตของวิญญาณร้าย...

เธอถูกจองจำเพื่อแบกรับการทรมานที่ไร้จุดสิ้นสุด เพื่อคนอื่น เธอถูกกักขังให้ได้รับการลงทัณฑ์ทั้งๆที่ไม่มีความผิด และวันนี้ก็มีคนพบเธอแล้ว เธอจะถูกปลดปล่อย วิญญาณของเธอจะถูกชำระและทำพิธีทางศาสนาอย่างถูกต้อง วิญญาณของเธอจะไปสู่สุคติ ไม่มีอาคารไม้หลังเก่านั่นอีกแล้ว ไม่มีวิญญาณร้าย และมิลลิกาก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป...

 

จบย่อหน้าสุดท้ายของกระทู้นั้น ภาพทุกอย่างก็เบลอไปหมด ผมไม่อาจห้ามน้ำตาได้ มันไหลออกมาทั้งๆที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะมีความรู้สึกแบบไหนในขณะที่กำลังอ่านเรื่องราวพวกนี้ เรื่องที่ผมคิดว่ามันเหลวไหลไร้แก่นสาร แต่ในใจตอนนี้กลับเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา