ซอมบี้ วันที่ 1

-

เขียนโดย Domewriter

วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 01.21 น.

  10 บทที่
  2 วิจารณ์
  4,238 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2566 15.15 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

5) ซอมบี้ วันที่ 1 ตอนที่ 5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            ผมบอกว่า  "หน่วยความมั่นคงของชาติประกาสใน TV ว่าตอนนี้เชื้อชีวภาพ CME ได้แพร่กระจายลุกลามไปทั่วทวีปแล้ว ดังนั้นให้อยู่แต่ในบ้านห้ามออกไปไหน เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากผู้ติดเชื้อชีวภาพ ส่วนแพทย์สาธารณะสุขก็บอกว่ายังไม่มียารักษาเชื้อชีวภาพ CME แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะมียารักษาเชื้อชีวภาพนี้แน่นอน"
            พี่ซันบอกว่า  "ท่าทางหน่วยความมั่นคงของชาติยังไม่รู้ว่าพวกซอมบี้ มันหูไวมากทีเดียว แสงไฟ และเลือดสดๆ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดพวกซอมบี้ไปหา เมื่อคืนทหารกับตำรวจตั้งด่านตรวจสกัดผู้ติดเชื้อ เปิดสัญญาณไซเรนเตือนภัยแวบๆ เสียงดัง ก็เลยทำให้ดึงพวกมันร่วมตัวกันไปหาที่ด่านตรวจ พวกทหารตำรวจมีอาวุธก็ยิงใส่พวกผู้ติดเชื้อที่คลุ้มคลั่งอย่างเดียว ส่วนชาวบ้านอย่างเราที่ไม่มีอาวุธก็ได้แต่สังเกตหาทางหลบหนีถึงได้รู้เรื่องพวกนี้  แต่ทหารกับตำรวจเปิดเสียงไซเรนเตือนภัยดังไปทั่วดึงพวกซอมบี้ไปร่วมตัวกันก็ทำให้พี่ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งอาหารได้สะดวกทีเดียว"
           "แฮววว แฮววว แฮววว อารวว"  ทันใดก็มีเสียงซอมบี้ดังขึ้นที่บริเวณหน้าบ้าน ผมกับพี่ซันหันหน้าไปทางหน้าต่างที่ปิดม่านในห้อง ซึ่งเป็นทิศทางของเสียงซอมบี้ที่มาจากหน้าบ้าน พี่ซันหยิบชแลงเหล็กที่วางข้างตัว พลางยกนิ้วชี้มาป้องปากบอกให้เงียบ เขาลุกจากเก้าอี้ไปที่หน้าต่างห้อง ผมหยิบมีดหันผักลุกขึ้นตามไป 
           พี่ซันแง้มม่านหน้าต่างเป็นช่องมองลงไปดูที่หน้าบ้าน ผมแง้มม่านหน้าต่างอีกมองลงไป หลังคาหน้าบ้านบังทำให้ไม่สามารถมองเห็นบริเวณหน้าบ้าน
           บ้านของผมติดกล้องวงจรปิดไว้หนึ่งตัวที่เหนือประตูหน้าบ้าน แต่ internet ปิดบริการ ทำให้ไม่สามารถใช้ WIFI ดูภาพใน internet  ผ่านในมือถือ  ส่วนประตูหน้าบ้านที่ติดตั้งสวิทซ์สัญญาณกันขโมยนั้น กระจกบานประตูหน้าบ้านถูกสุนัขซอมบี้ชนแตก ดังนั้นถึงมีระบบสัญญาณกันขโมยตอนนี้มันก็เหมือนไม่มีประโยชน์อะไร           
           แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง ๆ ๆ  เสียงซอมบี้เดินชนประตูเหล็กรั้วกำแพงบ้าน ผสมกับเสียงร้อง แฮววว แฮววว แฮววว อารวว  ของซอมบี้ที่เดินชนประตูเหล็กรั้วกำแพงบ้านพยายามเข้ามาในบ้าน  
            ผมนึกคิดในใจว่า สุนัขซอมบี้มันกระโดดข้ามรั้วกำแพงบ้านได้ มนุษย์ที่ติดเชื้อชีวภาพกลายเป็นซอมบี้ ทำไมมันไม่ปีนข้ามรั้วกำแพงบ้านเข้ามา ซึ่งมันก็น่าจะทำได้
            ผมสังเกตเห็นม่านหน้าต่างชั้นสองของบ้านฝั่งตรงข้ามทีแอบเปิดแง้มนิดๆ คนที่อยู่ในบ้านฝั่งตรงข้ามสองสามหลังแอบมองลงมาสังเกตการณ์ดูซอมบี้ที่อยู่ที่หน้าบ้านผม
           สักพักซอมบี้ที่หน้าบ้านของผม มันคงเห็นว่าเข้ามาในบ้านไม่ได้ก็เลยเดินไปทางอื่น ผมมองผ่านช่องม่านหน้าต่างที่แง้มเห็นซอมบี้ตัวนั้นเป็นผู้หญิงใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์สั้นเสมอหู ไม่ใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่ากระย่องกระแย่งอย่างซอมบี้ที่เคยเห็นในหนัง TV  เดินออกไปตามทางถนนในซอย 
            จากที่เห็นซอมบี้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ปีนรั้วกำแพงเข้ามาในบ้าน ผมก็เลยสรุปว่าพวกมันปีนรั้วบ้านหรือกระโดดข้ามกำแพงแบบสุนัขซอมบี้ไม่ได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจมากนักว่าถ้าซอมบี้ผู้หญิงคนนั้นเห็นผม  อาจจะทั้งวิ่งทั้งกระโดดและปีนข้ามกำแพงได้ไม่ต่างจากสุนัขซอมบี้ที่ไล่กินเนื้อพี่ซัน
            พอผมเห็นซอมบี้ผู้หญิงเดินห่างไปไกลแล้ว ผมถามพี่ซันว่า  ซอมบี้ผู้หญิงคนนั้น ไช่ ซอมบี้ผู้หญิงที่กัดพี่ซันไหม
            พี่ซันบอกว่า "ไช่ สงสัยมาตามสุนัขที่เลี้ยง"
            พี่ซันพูดจบก็ขอน้ำดื่ม ผมจึงชวนเขาลงไปที่ห้องครัวชั้นล่าง
            18.19 น.  ผมหยิบขนมปังยัดใส่กับน้ำดื่มที่ในตู้เย็นมานั่งกินกับพี่ซันที่โต๊ะในห้องครัว เสียงไซเรนเตือนภัยกับเสียงปืนและระเบิดเสียงดังมาถึงหมู่บ้านให้ได้ยินระยะถี่ๆ ติดต่อกันไม่หยุด  ผมลองเอามือถือในกระเป้ากางเกงขึ้นมาลองกดเล่น เพื่อว่ามันจะใช้ได้ทั้งที่แทบไม่มีโอกาสเลย

           พี่ซันเอามือถือออกมาจากกระเป้าลองกดดูบ้าง บอกว่า "มือถือพี่ก็ใช้ไม่ได้ โก้ลองใช้บลูทูธดู"

            ผมกดใช้บลูทูธพบสัญญาณมือถือของพี่ซัน บอกว่า "บลูทูธยังใช้ได้ครับพี่ แต่ใช้ระยะทางใกล้ๆ ติดต่อไกลๆไม่ได้ "

            พี่ซันบอกว่า "ก็ยังดี"

            ผมถามเขาว่า "บ้านพี่ซันอยู่ไหนครับ"
            พี่ซันบอกว่า เช่าห้องอยู่แถวเกาะแก้ว (ตำบลหนึ่งของจังหวัด) แกมาจากจังหวัดยะลามาหางานทำที่จังหวัดภูเก็ต ก็ได้งานเป็นพนักงานส่งอาหาร ทำมาได้หลายปีแล้ว ตอนนี้แกยังเป็นโสด

             ผมเล่าเรื่องครอบครัวของผมให้แกฟังคร่าวๆ  แล้วบอกว่า "พ่อแม่ผมไม่รู้เป็นยังไงบ้าง ไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน"
             พี่ซันบอกว่า "พี่ก็ไม่รู้นะ แต่ก็หวังว่าพ่อแม่ของโก้ปลอดภัย"

             เราคุยกันสักครู่ จู่ๆ พี่ซันก็อาเจียนและตัวสั่นเทา แสดงอาการป่วยจากการติดเชื้อชีวภาพ  ผมรู้สึกตื่นตกใจพอสมควรเมื่อเห็นพี่ซันเริ่มมีอาการเป็นไข้ตัวสั่น
             พี่ซันมองหน้าผม บอกว่า "สงสัย พี่จะติดเชื้อซะแล้ว"
             เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมก็ลุกขึ้น แต่แล้วพี่ซันก็นั่งลง เพราะเหมือนอาการไข้จะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว

             ผมบอกว่า "พี่ซัน ลองใช้ยาแก้ไข้บนห้องชั้นบนไหม เพื่อจะช่วยต้านทานเชื้อไวรัสในร่างกายไม่ให้กระจายเชื้อได้เร็วขึ้นได้"
           พี่ซันบอกว่า "ก็ดี...แต่สงสัยพี่จะเดินขึ้นไปกินยาแก้ไข้ที่ชั้นบนไม่ไหวแล้วละ" พูดจบ เขาก็ค่อยๆ เคลื่อนร่างตัวเองลงจากเก้าอี้ลงไปนอนหมดแรงตัวสั่นเพราะพิษไข้ขึ้นสูงกะทันหัน
            "โก้ โก้เอายาแก้ไข้ให้พี่ด้วย...ดูท่าอาการพี่ไม่ไหวแล้ว"  พี่ซันบอกด้วยซุ่มเสียงอย่างคนป่วยไม่สบายหนัก
           ผมหยิบมีดหันผักบนโต๊ะอาหารรีบไปที่ห้องว่างชั้นบน พอผมหยิบแผงยาแก้ไข้แล้วก็นึกกลัวว่าพี่ซันที่อยู่ชั้นล่างจะกลายเป็นซอมบี้แล้วเลยค่อยๆ เดินช้าๆ ลงบันไดทีละก้าว
            ผมนึกคิดในใจว่า พี่ซันพิษไข้ขึ้นสูง ถ้าทดลองส่งเรียกให้ส่งเสียงตอบกลับมาเพื่อทดสอบว่าแกกลายเป็นซอมบี้แล้วหรือยัง แต่พี่ซันที่ติดเชื้อป่วยหนักก็อาจไม่มีเรี่ยวแรงส่งเสียงตอบกลับมา แต่ถ้าเขากลายเป็นซอมบี้แล้ว พอได้ยินเสียงผมเรียกก็คงได้ส่งเสียงตอบกลับมาแบบซอมบี้  "แฮรว แฮรว แฮรว อารว' พร้อมเดินเข้ามากินเนื้อผม ผมยังส่งเสียงเรียกชื่อของพี่ซัน มือขวาก็ถือมีดหันผักเตรียมพร้อม แล้วก้าวช้าๆ ลงบันไดชั้นล่าง 

             "พี่ซัน พี่ซัน ได้ยินผมไหม" ผมหยุดอยู่กับที่ พลางเรียกชื่อแกเบาๆ เป็นระยะๆ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา ผมลงบันไดมาถึงชั้นล่างแล้วหยุดยืนที่ข้างช่องประตูทางเข้าห้องครัว ซึ่งไม่มีบานประตูปิดเปิดเพียงแต่เป็นช่องประตูทะลุเข้าออกระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขกหน้าบ้าน
            "พี่ซัน พี่ซัน " ผมเรียกชื่อเขา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากในห้องครัว ผมชะเง้อหน้าดูในห้องครัว ตอนนี้เวลาประมาณ 19.00 น. ในห้องครัวเริ่มมืด  ผมมองเห็นพี่ซันนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นครัว แต่ยังไม่กลายเป็นซอมบี้

              ห้องครัวไม่มีหน้าต่างหรือรูที่แสงสว่างจะเล็ดลอดออกจากในหัองครัวให้ผู้ติดเชื้อชีวภาพด้านนอกสังเกตเห็นได้แน่นอน ดังนั้นผมจึงเปิดสวิทย์ไฟในห้องครัวแล้วก็เข้าไปด้านในห้องครัว  ผมหยิบแก้วน้ำใส่น้ำแล้วนำยาแก้ไข้สองเม็ดให้พี่ซัน ผมพยุงช้อนศรีษะพี่ซันขึ้นมาป้อนยาแก้ไข้กับน้ำในแก้วให้เขา ตัวของเขาร้อนยังกับไฟลวก
             ผมเอายาแก้ไข้ให้พี่ซันกินแล้ววางแก้วน้ำบนโต๊ะ ผมถอยออกมายืนถือมีดหันผักมองดูพี่ซันที่นอนป่วยแบู่บนพื้นครัวอยู่ห่างๆ ในใจนึกคิดว่า ถ้าเขากลายเป็นซอมบี้ลุกขึ้นมาและจะกินเนื้อผม ผมจะทำยังไงหรือว่าผมจะทำแบบในเกมฆ่าซอมบี้ที่เล่นในคอมพิวเตอร์ ฉวยโอกาสนี้เอามีดแทงศรีษะให้เขาตายไปก่อนกลายเป็นซอมบี้ แต่ถ้าผมฆ่าเขาตอนนี้ในตอนที่ยังไม่เป็นซอมบี้ก่อนที่เขาจะคลุ้มคลั่งเข้ามาทำร้ายผม มันก็เท่ากับว่าผมฆ่าคนปกติที่กำลังป่วย
            ขณะที่ผมยืนคิดอย่างลังเลใจ เสียงปืนและระเบิดที่ดังให้ได้ยินเป็นระยะๆ ก็เงียบหายไปนานจนผิดปกติให้สังเกตได้ชัดเจน  ผมกังวลใจกับพี่ซันที่จะกลายเป็นซอมบี้ตรงหน้าผมมากกว่าจะสนใจเสียงปืนกับระเบิดที่เงียบหายไป

             ผมยืนลังเลใจอยู่อีกครู่หนึ่ง ในใจนึกถึงหนังและเกมซอมบี้ที่เล่น ปกติก่อนที่คนจะกลายร่างเป็นซอมบี้ เขาจะเป็นคนตัดสินใจขอให้เราเป็นฝ่ายฆ่าเขาก่อนกลายร่างด้วยตนเอง แต่พี่ซันไม่ได้ขอให้ผมฆ่าเขาก่อนที่จะเป็นซอมบี้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจไปเปิดโทรทัศน์ที่ห้องรับแขกดูข่าวใน TV แบบไม่เปิดเสียง เพื่อดูภาพเหตุการณ์เชื้อชีวภาพว่าในตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว  
            ผมหยิบชแลงเหล็กของเขามาถือในมือขวา ส่วนมือซ้ายถือมีดหันผัก ออกจากห้องครัว ผมเลื่อนตู้วางหนังสือขนาดไม่ใหญ่นักกับนำสิ่งของมาวางเพิ่มน้ำหนักและกีดขวางช่องทางเข้าออกห้องครัว เมื่อถึงเวลาที่พี่ซันต้องกลายเป็นซอมบี้แล้วจะได้ออกมาได้ลำบากและทำใหัผมมีโอกาสเตรียมตัว
            ภายในบ้านตอนนี้มืดทึบไปหมดเพราะตกค่ำแล้วมีเพียงแสงไฟในห้องครัวที่ผมเปิดทิ้งไว้ทำให้พอมองเห็นของที่อยู่ชั้นล่างของบ้านได้ ส่วนไฟดวงอื่นๆ ในบ้านผมไม่กล้าเปิดเพราะกลัวผู้ติดเชื้อชีวภาพที่เป็นซอมบี้ด้านนอกบ้านสังเกตเห็น
            ผมวางสิ่งของกีดขวางช่องประตูห้องครัวเสร็จแล้วก็ไปเปิดโทรทัศน์ ผมมองดูศพสุนัขขนปุยสีขาวครึ่งท่อนที่ร่างจมกองเลือดบนพื้นติดกับม่านประตูใกล้กับชุดโซฟารับแขกที่มีวางหมวกกันน๊อคและเสื้อแจ๊กเก็ตของพี่ซันวางอยู่ ผมนั่งลงดูภาพข่าวในโทรทัศน์ที่ปิดเสียงได้สักครู่เดียว ผมก็ได้ยินเสียงเครื่องบินเจ็ทบนท้องฟ้า ตามด้วยเสียงระเบิด ตูมมมม ดังสนั่นกึกก้อง

            ภาพจอโทรทัศน์ดับวูบพร้อมกับไฟในห้องครัวก็ดับลงหมด เสียงสัญญาณเตือนภัยจากไซเรนหายไป ภายในบ้านมืดมิดไปหมด แต่ปรากฏเสียงคนที่พักอาศัยอยู่บ้านติดกันพูดจาส่งเสียงดังให้ผมได้ยิน

            "หน่วยความมั่นคงส่งเครื่องบินรบปล่อยระเบิดแล้ว รีบเอาลูกหลบใต้เตียง"

            "ไฟดับหมดแล้ว ระเบิดถูกเสาส่งไฟฟ้าพังไปด้วย" 
            "มันจะทิ้งระเบิดอีกลูกหรือเปล่า"
            "รีบหาที่หลบก่อน เพื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดอีก ถ้าลูกระเบิดลงผิดมาลงแถวนี้ บรรลัยแน่"

             ผมตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะหลบซ่อนที่ไหน ได้แต่รีบเอามือปิดศรีษะปิดหูก้มลงไปก้มตัวอยู่บนพื้นห้องตรงหน้าโซฟา  ครู่เดียว ผมก็ได้ยินเสียงเครื่องบินรบอีกลำบนท้องฟ้า และปล่อยมิสไซด์ระเบิดใส่ผู้ติดเชื้อที่คงอยู่ไม่ไกลมากนักจากหมู่บ้านผมไม่มากนัก ตูมมมม เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้อง 

            หลังเสียงระเบิดมิสไซด์ลูกที่สอง ทุกอย่างเงียบไปนานพักใหญ่ ไม่มีเสียงเคริ่องบินรบบินบนฟ้ามาทิ้งลูกระเบิดอีก สักพักผมก็ได้ยินเสียงคนข้างบ้านพูดกันเสียงดังให้ผมได้ยิน ผมจึงลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ผ่านไปพักใหญ่ไม่มีเสียงเคริ่องบินรบบินบนฟ้าอีก ทุกอย่างเงียบสงัด 
            "เครื่องบินรบคงไม่มาทิ้งระเบิดแล้วระเบิด"
            "เปิดไฟฉาย ระวังแสงส่องออกไปนอกบ้านด้วย ลูกอย่าพึงออกมา หลบไปใต้เตียงก่อน"
            แง แง แง แง แง เสียงเด็กผู้ชายอายุไม่กี่ขวบ ดังผ่านกำแพงห้องครัวจากบ้านที่ติดกับหลังบ้านของผม
            "น้องร้องเสียงดังแล้วค่ะ แม่ เสียงระเบิดก็ทำให้พ่อที่ขังไว้ในห้องนอนข้างบนคลุ้มคลั่งใหญ่แล้วค่ะ แม่" เสียงเด็กผู้หญิง
           "ไม่ต้องกลัวจะลูก พ่อเขาถูกเชือกมัดไว้ ประตูห้องนอนชั้นบนก็แข็งแรงมีตู้เสื้อผ้ากั้นประตูไว้อีกชั้น พ่อพังออกมาได้หรอก หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวพวกผู้ติดเชื้อด้านนอกได้ยินจะมากินเนื้อพวกเราหรอกลูก" เสียงแม่บอกกับลูกสาวและลูกชาย
            พอผมได้ยินเสียงคนข้างบ้านที่อยู่ในบ้านพูดคุยกันแล้ว ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ามือถือใช้ไฟหน้าจอเป็นไฟฉายส่องแสงได้ และผมสามารถใช้เชือกมัดตัวพี่ซันไว้ไม่ให้ขยับตัวเคลื่อนไหวไว้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นซอมบี้ได้โดยไม้ต้องเสี่ยงต่อสู้กับพี่ซันที่กลายร่างเป็นซอมบี้
            สักพักเสียงคนที่พักอาศัยอยู่ในบ้านติดกันก็เงียบหายไป เพราะไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังให้ผู้ติดเชื้อที่อาจอยู่บริเวณนอกบ้านได้ยินเสียงแล้วมาหาที่บ้าน
             ผมเอามือถือออกจากกระเป้ากางเกงยืนส์มาเปิดไฟหน้าจอให้สว่างพอเห็นทางแล้วไปเอาเชือกเพื่อไปมัดตัวพี่ซันที่อยู่ในห้องครัว  ผมไม่รู้ว่าพี่ซันกลายเป็นซอมบี้แล้วหรือไม่ ผมไปยืนที่หน้าประตูเข้าห้องครัวที่ผมขนตู้หนังสือและสิ่งของขวางไว้หน้าประตู ผมเรียกพี่ซันเสียงดังพอประมาณ

             "พี่ซัน พี่ซัน ได้ยินผมไหม"
             "เมื่อกี้ เครื่องบิน...ทิ้ง....ทิ้งระเบิดเหรอ"
             เสียงพี่ซันตะกุกตะกึกตอบกลับมาแบบคนป่วยจับไข้หนัก แต่ก็แสดงว่าแกยังมีสติอยู่
             "ไช่ พี่ เมื่อกี้เคริ่องบินทิ้งระเบิดสองลูก ไฟดับหมดทั้งหมู่บ้านเลย "  
            ผมวางมือถือส่องแสงสว่างไว้บนตู้หนังสือที่ผมเอามาขวางหน้าประตูห้องครัว แล้วค่อยๆ เอาสิ่งของและตู้เล็กเลื่อนออกเล็กน้อย พลางส่งเสียงชวนพี่ซันคุยไปด้วย เพื่อทดสอบว่าแกยังมีสติไม่ได้กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว            
            "ผมเปิดทีวีแบบปิดเสียงไว้ ดูภาพในทีวีว่าสถานะการณ์เชื้อชีวภาพไปถึงไหน แต่เครื่องบินรบปล่อยระเบิด ไฟดับหมดทังหมู่บ้าน แต่ดูแล้วผมว่าไฟน่าจะดับทั้งเมือง"  ผมพูดไปเรื่อยๆ พลางเลื่อนตู้หนังสือออกจากหน้าช่องประตู ซึ่งพี่ซันเงียบไม่พูดอะไรตอบกลับมาสักคำ ทำเอาผมใจเสีย หยุดเลื่อนตู้หนังสือทันที 
           "พี่ซัน พี่ซัน ผมขอเอาเชือกมัดตัวพี่ซันไว้ก่อนนะ เพื่อพี้ซันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาทำร้ายผม"  ผมพูดเสียงดัง
           "ได้... ได้ มัดพี่ไว้..เลย"" เสียงพี่ซันตะกุกตะกักตอบกลับมา แล้วผมก็เลื่อนตู้หนังสือและเอาสิ่งของที่ขวางทางเข้าช่องประตูเข้าห้องครัว ผมเอาเชือกมัดแขนพี่ซันไว้กับลำตัวและมัดเชือกพันสองขาและสองเท้าไว้แน่น แกจะได้ไม่สามารถลุกขึ้นมาวิ่งไล่กินเนื้อผมได้ ขณะที่ผมกำลังใช้เชือกมัดตัวเขา พี่ซันก็พูดกับผมแบบคล้ายคนจับไข้จนเพ้อด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า
            "โก้ พี่...ขอโทษ.....พี่ไม่ใช่คนส่งอาหารตามบ้าน ...พี่.....พี่....ไม่ได้ชื่อซัน....พี่....พี่...ชื่อทิน อนุทิน พอเกิดเหตุการณ์..เชื้อชีวภาพ...พี่..พี่แกล้งเป็นคน..ส่งอาหาร...เอาเครื่องมือขโมย..ใส่ในกล่องท้ายรถ...เพื่อมาขโมยของตามหมู่บ้าน.."
            ผมฟังพี่ซันหรือพี่ทินพูดแล้วก็เข้าใจว่าแกเป็นขโมยฉวยโอกาสที่เกิดวิกฤตเชื้อ CME หรือซอมบี้แพร่ระบาดจนเกิดความโกราหล ปลอมตัวเป็นคนส่งอาหารมาขโมยของตามหมู่บ้าน แต่สถานะการณ์แบบนี้ทำให้ผมไม่รู้สึกโกรธแกเลย

            ผมบอกว่า "ไม่เป็นไรครับพี่ ตอนนี้สิ่งของในบ้านมันไม่มีค่าเท่ากับชีวิตเพื่อนมนุษย์สักคนหรอกครับ"
            "โก้..พี่...คงไม่รอดแน่แล้ว...ขอ..ให้โก้ กับพ่อแม่ปลอดภัยนะ.."  
            "ครับ พี่ทิน"
             ผมใช้เชือกมัดพี่ทินเสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้นบนไปที่ห้องว่างที่มีตู้ยาเพื่อเอาไฟฉายมาติดตัวไว้ ผมปิดไฟหน้าจอมือถือใช้ไฟฉายกลับเข้าห้องนอนของผม เปิดแอร์ในห้องนอน และตรวจดูว่าปิดประตูล็อคไว้หรือยังแล้วเลื่อนตู้ลิ้นชักในห้องมาขวางประตูเพิ่มความปลอดภัย

            ผมเปิดหลอดไฟฉายหลอดเล็กแทนแล้วปิดไฟ ห้องนอนมืดสนิท ผมนอนอยู่บนเตียงนอนที่มีเพียงไฟเล็กจากไฟฉายที่เปิดส่องสว่างทิ้งไว้ข้างตัวกับชแลงเหล็กและมีดหันผักที่วางไว้เหนือหมอน เสียงผู้ติดเชื้อซอมบี้ในห้องชั้นบนบ้านตรงข้ามที่หลังบ้านติดกันกับบ้านผม ทำเสียงดังให้ผมได้ยินสักพักก็เงียบไป

             ผมนอนคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่นานเท่าไรไม่รู้แล้วผมก็เคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนล้าและเหนื่อยจิตเหนื่อยใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันอย่างไม่คาดฝันในวันนี้  นี้โลกของเราจะกลายเป็นแบบในหนังซอมบี้ที่ดูจริงๆ แล้วหรือ  ผมชอบเล่นเกมฆ่าซอมบี้ เล่นมันทุกวัน แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีซอมบี้จริงๆ บนโลก แต่วันหนึ่ง มันก็เกิดขึ้น ผมไม่ได้ฝัน พระเจ้า ซอมบี้

To be continue  ซอมบี้วันที่ 1 ตอนที่ 6

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านเรื่องสั้นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา