[นิยายแปล] จ่านหลง พิชิตมังกรออนไลน์ ตอนที่ 30 (06/07/2563) โดย kawebook (มาใหม่!)

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
21 เมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.34 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 21 ราชินีแมงมุม

 

        เมื่อเดินมาถึงสถานที่ฝึกอาชีพแล้ว ผมก็เห็นอาจารย์ฮีลเลอร์ที่ยืนอยู่ พร้อมกับเส้นผมปลิวไสวไปตามลม ขณะที่เนินเขาสองลูกขยับไปมาภายใต้ชุดที่สวมใส่ ทันทีที่เธอเห็นผมก็ปรากฏรอยยิ้มหวานหยดย้อย “พ่อหนุ่มฮีลเลอร์ ตอนนี้เจ้าเติบโตขึ้นแล้วสินะ เจ้าอยากจะเป็นฮีลเลอร์เต็มตัวแล้วใช่หรือไม่?”

        ดูเหมือนว่า NPC นี่จะเข้าใจอะไรง่ายดีแฮะ

        ผมพยักหน้า “ใช่แล้ว ผมอยากเปลี่ยนคลาสครับ”

        “ดีมาก”

        อาจารย์ยิ้มก่อนยื่นมือไปด้านหน้า “ก่อนอื่นเจ้าต้องจ่ายค่าดำเนินการ 10 เหรียญเงิน ข้าจึงจะสามารถเปิดภารกิจเปลี่ยนคลาสให้กับเจ้าได้”

        “ครับ...” ผมจ่ายเงินไป 10 เหรียญเงิน เอาไปเล้ย เงินแค่นี้ จิ๊บๆ!

        อาจารย์เชิดหน้าขึ้นมองผมพร้อมกับหัวเราะ “เอาละ ก่อนที่เจ้าจะเปลี่ยนคลาสจากฮีลเลอร์ฝึกหัดสู่การเป็นฮีลเลอร์ เจ้าจะต้องผ่านการทดสอบก่อน รับนี่ไป นี่คือกระดาษหนังแกะ เจ้าจงนำมันไปที่ถ้ำแมงมุมซึ่งเป็นสุสานทางตอนใต้ของเมืองนี้ จงไปหาจารึกของแมงมุมในถ้ำลึกและขยายจารึกนั่นซะ นี่เป็นภารกิจที่เจ้าต้องจัดการ แต่จงระวังตัวให้ดี เพราะภายในถ้ำแมงมุมเต็มไปด้วยอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิต”

        ร่างของผมเกิดสั่นสะท้าน ไม่ว่าผมจะยอมรับภารกิจนี้หรือไม่ แต่มันก็ปรากฏขึ้นบนหัวของผมแล้ว

        ข้อความจากระบบ : ท่านได้รับภารกิจ [จารึกของถ้ำแมงมุม] (ระดับความยากของภารกิจ ระดับ C)

        เนื้อหาของภารกิจ เดินทางเข้าไปในถ้ำแมงมุมและขยายจารึกที่อยู่ภายในถ้ำลึก ภารกิจนี้ไม่สามารถสร้างปาร์ตี้หรือให้ผู้เล่นคนอื่นช่วยฟื้นฟู HP ให้กับท่านได้ ไม่เช่นนั้นภารกิจจะถือว่าล้มเหลวโดยอัตโนมัติ และท่านจะต้องรออีก 72 ชั่วโมงเพื่อรับภารกิจนี้อีกครั้ง


……

        โหดเกินไปหรือเปล่าเนี่ยสร้างปาร์ตี้ก็ไม่ได้ แถมยังห้ามช่วยฮีลอีก! ที่เยว่ชิงเฉี่ยนบอกว่าจะช่วยผม แสดงว่าคงจะไม่รู้สินะว่าภารกิจนี่มีกฎแบบนี้ด้วย

        หลังจากออกมาแล้วผมก็เปิดตารางขึ้นมา อาชีพฮีลเลอร์ภายในเมืองปาหวางมีเลเวลสูงสุดอยู่ที่ 23 แต่กลับยังเป็นฮีลเลอร์ฝึกหัดอยู่ ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้ผมมีความสุขชะมัด เปลี่ยนคลาสนี่ยากเหมือนกันแฮะ มิน่าล่ะ ถึงยังไม่มีใครผ่านภารกิจนี้สักคน ภารกิจระดับ นี่นอกจากฮีลเลอร์สายบู๊อย่างผมที่สามารถฮีลและตีมอนสเตอร์ได้ในเวลาเดียวกัน ยังจะมีใครที่มีความสามารถในการเปลี่ยนคลาสอีกเหรอ?

        เมืองปาหวางมีฮีลเลอร์ที่เลเวลสูงกว่า 20 ทั้งหมด 1,000 กว่าคน แต่กลับไม่มีใครสามารถเปลี่ยนคลาสได้สำเร็จสักคน ดูเหมือนว่าฮีลเลอร์ที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์นี้คงจะเริ่มถอดใจกันไปบ้างแล้วสินะ

        ผมถือดาบหนามไว้ก่อนจะฮัมเพลงพร้อมกับเดินออกจากเมืองไปยังฝั่งทิศใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสาน บนภารกิจของผมมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นบนถ้ำแมงมุมแล้ว ง่ายจะตาย! ทันใดนั้นเสียงจากระบบก็ดังขึ้น

        ติ๊ง!

        ประกาศจากระบบ ยินดีด้วย เงินจำนวน 100 เหรียญทองที่วางขายบนฉางป่าวเก๋อของท่านถูกผู้เล่นนามว่า xxxx ซื้อออกไปด้วยจำนวนเงิน 2,500 หยวนแล้ว หลังจากหักค่าธรรมเนียม 10% ท่านจะได้รับเงินทั้งหมด 2,250 หยวน ยอดเงินทั้งหมดที่ได้รับได้โอนเข้าสู่บัญชีหมายเลข 6227002008730084 ของท่านแล้ว!

……

        หลังจากตรวจสอบบัญชีธนาคาร ผมก็พบว่าตอนนี้ในบัตรของผมมีเงินมากกว่า หมื่นหยวนแล้ว รวยแล้วจ้า

        ตอนที่ผมเดินมาถึงสุสานก็เป็นช่วงกลางคืนแล้ว ข้างสุสานมีผู้พิทักษ์ซึ่งมาจากเมืองปาหวางยืนอยู่เพื่อทำการคุ้มกัน พวกเขากำลังมองอีกาสีดำที่เกาะอยู่บนต้นไม้และกำลังพูดคุยกัน มี NPC อยู่ด้วยแฮะ ลองเข้าไปดูหน่อยดีกว่าว่ามีเควสต์ให้ทำหรือเปล่า

        ระหว่างที่เดินเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงพูดของ NPC ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าทหาร

        “เฮ้อ ช่วงนี้เจ้าสัตว์มีพิษกลุ่มนั้นดูเหมือนจะอาละวาดหนักขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” เสียงถอนหายใจดังขึ้น “ไม่เพียงแต่พวกวัวบริเวณนี้จะถูกเจ้าแมงมุมนั่นโจมตีเท่านั้น แม้แต่ทหารม้าของพวกเราก็ยังถูกโจมตีด้วย ได้ยินมาว่ามีคนถูกพิษของแมงมุมนั่นจนถึงตายเลยนะ เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้ผู้นำโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยละ”

        ทหารอีกคนพูดขึ้น “ช่วยไม่ได้ สัตว์ร้ายนั่นมีพิษร้ายแรงเกินไป”

        หัวหน้าผู้พิทักษ์หันมามองผม “หึ เจ้าเด็กหนุ่ม เจ้าเป็นนักผจญภัยจากเมืองปาหวางสินะนี่เจ้ามาแอบฟังพวกข้าทำไม?”

        ผมรีบพูดขึ้น “พี่ชาย ผมเต็มใจจะช่วยเหลือพี่ชายนะ มีอะไรให้ผมช่วยไหม?”

        “เหอะๆ” หัวหน้าผู้พิทักษ์หัวเราะเย้ย “ฮีลเลอร์ตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะช่วยอะไรได้ หรือว่าเจ้าจะช่วยข้าฆ่าเจ้าแมงมุมในถ้ำนั่น แล้วนำฟันพิษของมันจำนวน 100 ชิ้นกลับมาให้ข้าล่ะ?”

        ผมพยักหน้า “ได้สิ ไม่มีปัญหา”

        NPC แสดงอาการตกใจ “เจ้าเด็กน้อย ถ้างั้นก็จงแสดงความสามารถของเจ้าให้ข้าดูหน่อย ถ้าเจ้าสามารถนำฟันพิษของแมงมุม 100 ชิ้นมาให้ข้าได้จริงๆ ข้ามีรางวัลมอบให้เจ้าอย่างงามเลยละ”

        กริ๊ง! ม้วนกระดาษสีแดงโลหิตปรากฏในกระเป๋าใส่ไอเท็มของผม ซึ่งมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับภารกิจนี้

        ประกาศจากระบบ ท่านได้รับภารกิจ [ไล่ล่าฆ่าแมงมุม] (ความยากของภารกิจ ระดับ B)

        เนื้อหาภารกิจ เดินทางเข้าไปในถ้ำแมงมุมเพื่อฆ่าแมงมุมและรวบรวมฟันพิษแมงมุมจำนวน 100 ชิ้นมอบให้หัวหน้าทหารม้า โดยแลกกับรางวัลขนาดใหญ่ หากท่านสามารถฆ่าราชินีแมงมุมได้ ท่านจะได้รับรางวัลมากขึ้น

        ……

        เยี่ยมเลย ภารกิจมาถึงมือแล้ว ลุยกันเลย!

        หลังจากเข้าไปในสุสานไม่นาน ผมก็พบกับปีศาจโครงกระดูกที่เดินไปมาอยู่ในถ้ำ พวกมันมีเลเวล 19 ทางที่ดีควรจะซ่อนตัวจากพวกมัน การฆ่ามอนสเตอร์พวกนี้ถือเป็นเรื่องเสียเวลา รอให้ผมเจอถ้ำแมงมุมก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่

        ระหว่างที่กำลังเดินลัดเลาะ ผมก็เปิดลำดับ TOP 10 ของผู้เล่นในเมืองปาหวางดู พวกที่มีฝีมือมีไม่น้อยเลยแฮะ หึ ดูเหมือนว่าฉันจะยังไม่ติดหนึ่งในนั้นสินะ...

        1. [เยี่ยนจ้าวอู๋ซวง] เลเวล 25 อาชีพ นักดาบ

        2. [นายพลหลี่มู่] เลเวล 25 อาชีพ นักดาบ

        3. [เยว่ชิงเฉี่ยน] เลเวล 24 อาชีพ แอสซาซิน

        4. [มังกรเหินเวหา] เลเวล 24 อาชีพ นักเวท

        5. [เยว่เวยเหลียง] เลเวล 24 อาชีพ แอสซาซิน

        6. [นายพลป๋ายฉี่] เลเวล 24 อาชีพ เบอร์เซิร์กเกอร์

        7. [พยัคฆ์เหี้ยมโหด] เลเวล 24 อาชีพ เบอร์เซิร์กเกอร์

        8. [นายพลหวางเจี่ยน] เลเวล 24 อาชีพ นักดาบ

        9. [โจรทุรกันดาร] เลเวล 23 อาชีพ นักธนู

        10. [ลูกศิษย์ของเห้อซื่อ] เลเวล 23 อาชีพ : ฮีลเลอร์ฝึกหัด

        ……

        ตอนนี้มีคนที่สามารถเปลี่ยนคลาสได้มากกว่า หมื่นคนแล้ว การแข่งขันในตอนนี้ถือว่าน่ากลัวจริงๆ อีกอย่างผมเองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนคลาสเลยด้วย ดูเหมือนว่าเส้นทางจะยังอีกยาวไกลเลย เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน ผู้เล่นที่อยู่อันดับต้นๆ เหล่านี้ หากมีเมืองฝานซูและจิ่วหลีเพิ่มเข้ามาด้วยละก็ ผมคงจะห้อยอยู่ที่อันดับ แสนกว่าแน่ๆ อีกอย่างความแข็งแกร่งของผู้เล่นในเมืองปาหวางยังถูกจัดว่าอ่อนแอที่สุดใน เมืองด้วย เฮ้อ น่าหดหู่ชะมัด

        ดูจากอันดับแล้ว ผู้เล่นที่ชื่อ เยี่ยนจ้าวอู๋ซวง ซึ่งถูกจัดให้อยู่อันดับที่หนึ่งนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือหัวหน้ากิลด์ปรากนั่นแหละ แถมยังเป็นลุงใหญ่ที่เยว่ชิงเฉี่ยนพูดถึงด้วย ส่วนคนอื่นๆ ที่ชื่อว่า นายพลหลี่มู่ นายพลป๋ายฉี่ นายพลหวางเจี่ยน นั่นก็เป็นคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันทั้งหมด เมืองปาหวางกำลังร้อนระอุทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกฮีโร่ต่างพากันปรากฏตัวออกมาแล้ว ท่าทางคงน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ สินะ

        ……

        “สวบๆ”

        เสียงหญ้าที่ถูกเหยียบลงไป ผมเดินเข้ามาในสุสานยังจุดซึ่งมีเครื่องหมายบนแผนที่ แต่ไหงกลับไม่เจอทางเข้าถ้ำแมงมุมหว่าด้านหน้ามีหลุมฝังศพขนาดใหญ่ แต่ดันไม่มีทางเข้าเนี่ยนะ?

        ผมมองหลุมฝังศพตรงหน้าก็เห็นคำจารึกบนหลุมฝังศพ

        “อู๋ซื่อเจอะ เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นนักวิชาการ หลังจากนั้นอีกสามปีต่อมาได้ฝึกวิทยายุทธ์ ขณะที่กำลังซ้อมยิงธนู เขาได้ค้นพบวิชาเร้นลับชนิดหนึ่ง จนทำให้กลายเป็นหมอที่โด่งดัง เขาผลิตตำรายามากมาย ทว่าขณะที่เขากำลังทดลองยาตัวใหม่ ก็ได้จบชีวิตลงด้วยตัวยาของตนเอง”

        “ให้ตายสิ...”

        ขณะที่กำลังอ่านจารึกอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงคล้ายหญ้าโดยรอบขยับไปมา ทันใดนั้นใบไม้ที่กองอยู่ด้านล่างหลุมฝังศพก็ถูกดันขึ้นมาพร้อมกับเงาสีแดง การปรากฏตัวของมันทำให้ผมตะลึงงัน เพราะที่เห็นมันคือแมงมุมที่มาพร้อมกับขนาดตัวเท่าโม่บดและถูกปกคลุมไปด้วยสีแดง

        [แมงมุมโลหิต] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:20

        พลังโจมตี :85-105

        พลังป้องกัน:40

        HP :700

        สกิล: [ดูดเลือด (LV-3) ]

        แนะนำมอนสเตอร์ ผู้พิทักษ์ของถ้ำแมงมุม แมงมุมโลหิตเหล่านี้สามารถดูดเลือดสดๆ ได้ และยังสามารถใช้เลือดเหล่านั้นเสริมกำลังร่างกายของตัวเองในการต่อสู้ ถือว่ามีความยากลำบากในการรับมือเป็นอย่างมาก

        ……

        ที่แท้ถ้ำแมงมุมก็อยู่ล่างหลุมฝังศพนี่เอง!

        ดาบหนามของผมพลันส่องแสง โดยที่ผมจะโจมตีแบบต่อเนื่องสามครั้งคือ แทง เฉือน และฟันติดต่อกันภายในเวลา วินาที ถึงแม้จะนานไปหน่อย แต่มันก็สามารถจัดการกับเจ้าแมงมุมโลหิตนี่ได้ ทันใดนั้นเจ้าแมงมุมก็เปล่งเสียงร้องก่อนที่ค่าดาเมจจะเด้งขึ้น

        “-112”

        “-91”

        “-123”

        เป็นไปอย่างที่คิด การโจมตีครั้งสุดท้ายถือว่ารุนแรงที่สุด หากนี่เป็นการโจมตีของนักดาบละก็ รับรองได้ว่าต้องรวดร้าวถึงทรวงแน่ๆ

        หลังจากที่การโจมตีถึง ครั้งถูกส่งออกไป เจ้าแมงมุมโลหิตก็โจมตีกลับมา ผมก็สามารถรับมือมันพร้อมกับฮีลตัวเองไว้ล่วงหน้า ก่อนจะโจมตีกลับไปอีก ครั้ง จนมันล้มลงไปนอนตายที่พื้นพร้อมกับ เหรียญทองแดงที่ดรอปลงมา

        ผมก้มตัวลงใช้ดาบเขี่ยพื้นเพื่อแหวกใบไม้บริเวณหลุมฝังศพออกดูก็พบกับถ้ำที่ซ่อนอยู่ ด้านล่างเป็นถ้ำแมงมุมจริงๆ ด้วย ที่แท้ในแผนที่มันก็ถูกซ่อนไว้

        ผมค่อยๆ เดินลงไปช้าๆ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในถ้ำ ฟึ่บ! ทันใดนั้นผมก็ลื่นตกลงไปด้านล่างเกือบ 10 เมตร หลังจากที่ร่างของผมนิ่งลง ผมก็กวาดตามองรอบๆ ซึ่งตอนนี้มีแต่ความมืดมิด ห่างออกไปไม่ไกลผมเห็นเงาสีแดงกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา เจ้าแมงมุมโลหิตอีกแล้ว น่าเสียดายชะมัดที่การมองเห็นของผมตอนนี้ถูกรบกวน ทำให้มองเห็นแค่ในระยะไม่กี่เมตรเท่านั้น ดูเหมือนว่าผมต้องระวังตัวให้มากกว่านี้

        หลังจากจัดการกับเจ้าแมงมุมโลหิตตัวนั้นได้แล้ว ผมก็ได้รับฟันพิษของแมงมุมมา ชิ้น ผมรีบก้มเก็บก่อนจะเดินหน้าต่อ

        ทางเดินในถ้ำแมงมุมค่อนข้างคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยแมงมุมโลหิต หลังจากที่ผมฆ่ามันไปได้ 10 กว่าตัว ผมก็เจอกับแมงมุมสีเขียวมรกต นี่มันแมงมุมพิษนี่นา!

        ชี่...

        เจ้านั่นส่งเสียงประหลาดขณะพุ่งตัวมาด้านหน้า ผมใช้ดาบฟันร่างของมันก่อนโจมตีครั้งที่สองอย่างต่อเนื่อง ทว่าเจ้าแมงมุมนั่นกลับพ่นพิษใส่หน้าผมเต็มๆ

        ติ๊ง!

        แจ้งเตือนการต่อสู้ ท่านถูกพิษของมอนสเตอร์ ในแต่ละวินาทีท่านจะสูญเสีย 10 HP โดยใช้เวลาในการฟื้นตัวจากพิษ 10 วินาที

        ผมรีบฮีลเลือดทันที ไม่ว่าการต่อสู้นี้จะโหดหินแค่ไหน แต่ฮีลเลอร์อย่างผมไม่กลัวพิษพวกนี้หรอก

        ……

        หลังจากอยู่ในถ้ำเป็นเวลากว่า ชั่วโมง กระเป๋าไอเท็มของผมก็ได้รับฟันพิษของแมงมุมมา 70 กว่าชิ้นแล้ว แต่ผมยังไม่ได้สำรวจด้านล่างถ้ำเลย ขณะที่กำลังโจมตีมอนสเตอร์อยู่ก็เกิดแสงสว่างบริเวณด้านหน้า ดูเหมือนว่าผมจะเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของมันแล้ว ไกลออกไปเป็นสุสานใหญ่และมีโลงศพตั้งอยู่ เหมือนจะเป็นสุสานของใครสักคนที่เป็นนายพลสมัยโบราณนี่แหละ ทว่าบนโลงศพนั่นกลับถูกครอบครองโดยแมงมุมสีเขียวตัวใหญ่ซึ่งดูคล้ายกับจานเจียรที่มีความยาวสองเมตร มันกำลังพ่นพิษสีเขียวรดโลงศพราวกับจะละลายกระดูกของศพที่อยู่ในนั้น

        “น่าขยะแขยงชะมัด”

        ผมขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมจ้องเจ้าแมงมุมนั่น ที่แท้มันก็คือราชินีแมงมุมซึ่งเป็นบอสระดับเงินเลเวล 21 นี่เอง

 

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
22 เมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.33 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 22 อุปกรณ์ระดับทองแดงชิ้นแรก 

 

        [ราชินีแมงมุม] (บอสระดับเงิน)

        เลเวล:21

        พลังโจมตี:0-0

        พลังป้องกัน:100

        HP:50,000

        สกิล : [การวางไข่]

        แนะนำมอนสเตอร์ ราชินีแมงมุมอาศัยอยู่ภายในถ้ำแมงมุม มีพลังกัดเซาะกระดูกของคนตายด้วยพลังที่ชั่วร้ายเพื่อดูดซึมพลังงาน นอกจากนี้มันยังสามารถสร้างลูกสมุนได้ไม่จำกัด ถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมความแข็งแกร่งด้านนี้ของมันได้ เราจำเป็นต้องจัดการกับราชินีแมงมุมเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดภายในสุสานทางทิศใต้แห่งนี้

        ……

        ระหว่างดูค่าสถานะของราชินีแมงมุมผมก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือพลังโจมตี พอยต์ บอสเลเวล 21 มีพลังโจมตี เนี่ยนะนี่มันอะไรกันหรือว่าพลังในการฆ่าศัตรูของมันจะอยู่ที่การวางไข่เพื่อสร้างลูกสมุนมาจัดการกับศัตรู?

        ภายในห้องโถงยังมีแมงมุมพิษเลเวล 21 อีก 12 ตัว ซึ่งสามารถล่อมันให้ออกมาสู้ทีละตัวได้ แล้วค่อยจัดการกับราชินีแมงมุมในตอนท้าย แต่จะฆ่ามันอย่างไรนั้นดูเหมือนต้องมาลุ้นกันอีกทีสินะ ผมจะเดิมพันด้วยพลังฮีลของผมนี่แหละ

        เอาละ ได้เวลาลงมือแล้ว!

        ผมล่อมันออกมาฆ่าทีละตัว ผ่านไป นาทีภายในนั้นก็เหลือราชินีแมงมุมเพียงตัวเดียว ร่างกายขนาดใหญ่ของมันขยับเขยื้อนช้าๆ ถ้ามันไม่ได้วางไข่ ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถโจมตีอะไรได้สินะ

        หลังจากตรวจสอบครู่หนึ่ง ผมก็ล็อกเป้าหมายทันที ตอนนี้เจ้าราชินีแมงมุมอยู่บนโลงศพขนาดใหญ่ ซึ่งโลงศพและกำแพงหินด้านข้างทำมุมประมาณ 60 องศา หากผมยืนอยู่ตรงมุมนั้นก็จะมีมอนสเตอร์ขนาดเล็กประมาณ 4-5 ตัวพุ่งมาโจมตีผม ในเมื่อราชินีแมงมุมไม่สามารถโจมตีเองได้ แสดงว่าผมก็ยังสามารถมีชีวิตรอดจากการต่อสู้ในครั้งนี้สินะ

        “ครืด...”

        เท้าของผมเหยียบผ่านฝุ่นที่กองอยู่บนพื้นเข้าไปในถ้ำ เมื่อเข้าไปแล้วระยะห่างของผมกับราชินีแมงมุมอยู่ที่ราวๆ 10 เมตรเท่านั้น ซึ่งเพียงพอจะสร้างความเกลียดชังให้ราชินีแมงมุมได้แล้ว ทันใดนั้นร่างมหึมาของมันก็เริ่มขยับ ฟึบ! พร้อมกับลูกกลมๆ สีเขียวที่หมุนรอบก่อนจะระเบิดเผยให้เห็นแมงมุมพิษที่มีขนาดเท่าปากถ้วยคลานหาผม

        ผมรีบเปิดดูค่าสถานะของมันทันที

        [แมงมุมพิษขนาดเล็ก] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:20

        พลังโจมตี:40-50

        พลังป้องกัน:20

        HP:100

        แนะนำมอนสเตอร์ หนึ่งในลูกสมุนของราชินีแมงมุม

        ……

        เป็นอย่างที่คิด การโจมตีของเจ้าแมงมุมพิษขนาดเล็กไม่ได้สูงนัก แถมพลังการป้องกันก็ไม่สูงเท่าผม นี่มันน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ ผมถือดาบในมือวิ่งไปยืนที่มุมสุสานก่อนฟาดดาบลงบนตัวราชินีแมงมุมจนมันกระตุกอย่างแรง อีกทั้งเลือดของมันก็ลดลงไป -57 พอยต์ จุ๊ๆ พลังโจมตีสูงเหมือนกันแฮะ ดูเหมือนจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

        ขณะนั้นร่างของราชินีแมงมุมก็กระตุกอีกครั้งพร้อมสร้างลูกสมุนอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง หันกลับไปอีกทีก็พบวกลุ่มแมงมุมตัวเล็กๆ เกิดขึ้นจำนวนมากซะแล้ว ทันใดนั้นกลุ่มแมงมุมพิษก็เข้าล้อมผมไว้ก่อนจะโจมตี แต่น่าเสียดายที่การโจมตีของมันทำให้เลือดของผมลดลงเพียง 7-8 พอยต์ และแน่นอนว่าดาเมจแค่นั้น ผมสามารถเรียกกลับมาได้ด้วยสกิลห้ามเลือดเพียงครั้งเดียว

        ฟึบ!

        มันโจมตีผมอีกรอบ โดยครั้งนี้ทำให้เลือดของผมลดลงไป -30 พอยต์ หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดก็พบว่ามันคือแมงมุมไฟที่มีลำตัวสีแดง และพลังโจมตีก็สูงถึง 100 พอยต์ ให้ตายเถอะ รุนแรงชะมัด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องจัดการมันให้ได้

        ปรากฏแสงขึ้นที่ดาบหนามก่อนจะฟาดไปที่ร่างแมงมุมไฟตัวนั้น เลือดของมันมีแค่ 100 พอยต์ ทำให้ผมสามารถฆ่ามันได้ในครั้งเดียว หลังจากจัดการมันได้แล้ว กลุ่มแมงมุมพิษก็เข้ามากัดผมอีกครั้ง ทว่าผมตัดสินใจพุ่งไปบนร่างของราชินีแมงมุมพร้อมฟาดไปที่ไหล่ของมัน

        การโจมตีของผมมีจำกัด แต่ละครั้งสามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้ -50 พอยต์ แต่มันก็สามารถฮีลเลือดให้กลับมาได้ ดังนั้นในแต่ละวินาทีผมจะจัดการได้ 2,000 พอยต์เท่านั้น ซึ่งถือเป็นการโจมตีที่สิ้นเปลืองเวลามาก

        ……

        หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เลือดของราชินีแมงมุมก็ลดลงเหลือเพียง 8% ขณะที่เสื้อคลุมสีเงินของผมเหลือพลังอีกเพียง 15% เท่านั้น หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานไอเท็มบนตัวผมต้องพังหมดแน่

        แต่โชคดีที่ราชินีแมงมุมไม่มีสกิลร้ายแรงในการโจมตีศัตรู จึงทำให้หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีเลือดของมันก็หมดลง

        “ดรอปอุปกรณ์ระดับเงินสักชิ้นทีเถอะ...” ผมภาวนาในใจ เพราะก่อนหน้านี้ผมได้รับแต่อุปกรณ์ระดับเขียวและระดับทองแดง แต่ยังไม่เคยมีอุปกรณ์ระดับเงินออกมาให้เห็นสักชิ้นเลย

        “ชิ้ง! ”

        ดาบของผมฟาดหัวของราชินีแมงมุมอีกครั้งจนของเหลวสีเขียวกระจายออกมาในที่สุด

        ผมเช็ดคราบสีเขียวที่กระเด็นใส่หน้าออกไปก่อนมองศพของราชินีแมงมุม ดูเหมือนจะมีไอเท็มดรอปลงมาด้วยแฮะ แถมมีแสงสีทองแผ่กระจายจากรอบตัวผมด้วย เลเวล 21 แล้วสินะ ถึงตอนนี้เจ้าแมงมุมไฟ แมงมุมพิษทั้งหลายต่างก็นอนตายเกลื่อนพื้น มีฟันพิษของเจ้าแมงมุมดรอปลงมาจำนวนมาก ดูเหมือนจะมีเพียงพอสำหรับส่งภารกิจนะเนี่ย

        ฟึบ

        ผมกระโดดข้ามพุ่มไม้ตรงไปที่ร่างของราชินีแมงมุม ทันใดนั้นก็เห็นไอเท็ม ชิ้นที่กำลังส่องแสงเบาบาง หนึ่งในนั้นคือรองเท้าบูตคู่หนึ่งที่งานประณีตมาก เป็นเกราะชนิดผ้า การปรากฏของไอเท็มชิ้นนี้ทำให้ผมตื่นเต้นไม่น้อย ส่วนไอเท็มอีกชิ้นที่ดรอปลงมาเป็นแหวนทองเหลืองผิวมันวาวรูปร่างแปลกๆ

        ผมยื่นมือไปหยิบก่อนจะเห็นคุณสมบัติของรองเท้าบูตที่แสดงในตารางสถานะด้านหน้า

        [รองเท้าบูตเปลวเพลิง] (อุปกรณ์ระดับเขียว)

        ประเภท เกราะผ้า

        พลังป้องกัน :12

        MP :+5

        เพิ่มเติมสามารถเพิ่มการฟื้นฟูให้ตัวเองได้ 10 พอยต์

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :20

        ……

        นี่มันของดีเลยนะเนี่ย เพิ่มพลังป้องกัน 12 พอยต์ เพิ่มค่า HP 5 พอยต์ แถมยังมีค่าฟื้นฟูให้ตัวเองอีกตั้ง 10 พอยต์ ถือเป็นไอเท็มที่จำเป็นสำหรับผมมากเลยละ

        ผมรีบสวมรองเท้าบูตนั่นทันที และทันใดนั้นเท้าของผมก็ปรากฏเปลวเพลิงลอยออกมา ในที่สุดผมก็มีรองเท้าดีๆ ใส่กับเขาสักที

        หลังจากนั้นผมก็หยิบแหวนขึ้นมาเช็ดคราบเมือกของราชินีแมงมุมออกเพื่อดูให้ละเอียดอีกที และผมก็เห็นแสงสีทองปรากฏขึ้นรอบๆ แหวน น่าดึงดูดใจอย่างมาก ให้ตายเถอะ ของตรงหน้าทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ

        [แหวนลำแสง]

        ความแข็งแกร่ง :+12

        เพิ่มเติม ช่วยเพิ่มพลังโจมตีให้ผู้สวมใส่ พอยต์

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :20

        ……

        นี่มันอุปกรณ์ระดับทองแดงนี่! รวยแล้วโว้ย! แต่จะว่าไปของชิ้นนี้ก็เหมาะกับผมเหมือนกันนะ เพราะมันเพิ่มค่าความแข็งแกร่งได้ 12 พอยต์ แถมยังได้พลังโจมตีเพิ่มขึ้นอีกตั้ง พอยต์แน่ะ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

        ผมรีบสวมแหวนทันที ก่อนเปิดค่าสถานะของตัวเองขึ้นมาดู

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)

        เลเวล :21

        พลังโจมตี:131-149

        พลังป้องกัน:77

        HP :384

        MP :290

        ค่าเสน่ห์:7

        ……

        ความแข็งแกร่ง 12 พอยต์สำหรับฮีลเลอร์ถือว่ามีค่าความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งเอาไปรวมกับค่า HP อีก 84 พอยต์ นับว่าไม่เลวเลย ทั้งยังมีการฟื้นฟูให้ตัวเองอีก 10 พอยต์ด้วย คุ้มค่าจริงๆ เลยโว้ย!

        ผมก้าวเข้าไปในพุ่มไม้ ก่อนจะเริ่มเก็บฟันพิษของแมงมุมที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ของสำหรับส่งภารกิจเพียงพอแล้ว และมันก็ไม่สามารถเก็บมากไปกว่านี้ได้แล้วด้วย เอาละ กลับไปส่งภารกิจเลยดีกว่า หึๆ! ฮีลเลอร์ที่สามารถเปลี่ยนคลาสได้เป็นคนแรกมาแล้วจ้า!

        กึก

        เป็นเพราะน้ำหนักมากเกินไปจึงทำให้เท้าของผมจมลงไปด้านล่าง ทันใดนั้นแขนที่มีแต่กระดูกก็จับขาของผมทำเอาตกใจขวัญกระเจิง รีบดึงดาบฟาดลงไป “เจ้าบ้าเอ๊ย คิดจะจัดการฉันเหรอ! ”

        เศษพุ่มไม้กระจายไปทุกทิศ หลังจากสังเกตอีกครั้งก็พบว่า มันเป็นแค่โครงกระดูกเท่านั้น ส่วนเลือด จิตวิญญาณรวมถึงผิวหนังตามร่างกายของมันถูกราชินีแมงมุมดูดออกไปก่อนหน้านี้จนหมดแล้ว เฮ้อ ตกใจแทบแย่

        ผมรีบหมุนตัวเดินไปจากที่นี่ เมื่อปีนออกมาถึงนอกตัวถ้ำแล้วก็ปะทะกับสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านหน้าไป บรรยากาศแบบนี้สดชื่นชะมัดเลย

        ทันทีที่มาถึงจุดเฝ้าสุสานผมก็รีบส่งภารกิจ แล้ว NPC คนนั้นที่เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้น “เจ้าหนู เจ้าสามารถฆ่าราชินีแมงมุมที่น่าเกลียดน่ากลัวนั่นได้จริงๆ ด้วย เยี่ยมมาก เจ้าคือฮีโร่ของพวกเราโดยแท้ เอาละ พ่อหนุ่มนักผจญภัย เจ้ามารับรางวัลของเจ้าเถอะ”

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ ท่านได้ทำภารกิจ [ไล่ล่าฆ่าแมงมุม] สำเร็จ ท่านจะได้รับค่า EXP 7,000 พอยต์ และเนื่องจากท่านฆ่าราชินีแมงมุมสำเร็จ ท่านจะได้รับรางวัลเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น [การ์ดผึ้งสังหาร]

        ……

        เอ๋ได้การ์ดด้วยเหรอเนี่ย?

        ผมหยิบการ์ดในกระเป๋าไอเท็มออกมาใช้งานทันที ทันใดนั้นมันก็ถูกย้ายไปยังช่องตารางการ์ดของผมอย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดดูก็พบว่าการ์ดใบนี้มีระดับสูงกว่าตอนที่ได้การ์ดนกขนสีเงินมาเสียอีก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่จำเป็นสำหรับผู้เล่นในการอัปเลเวลและทำการฆ่าในระยะแรกเลยนะเนี่ย

        [ผึ้งสังหาร]

        พลังโจมตี :★★★★☆

        พลังป้องกัน:★★★

        HP:★★★☆

        ความว่องไว:★★★★☆

        MP :★★☆

        ……

        มีค่าการโจมตีและความว่องไวถึง ดาวแน่ะ ถือว่าใช้งานได้ดีสำหรับพาไปเก็บเลเวลด้วยนะเนี่ย แต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าผึ้งสังหารนี่อยู่ที่ไหน เปิดในกระทู้ก็ไม่มีคำตอบ

        แต่ก็ช่างมันเถอะ กลับไปเปลี่ยนคลาสที่เมืองก่อนดีกว่า!

        เมื่อกลับมาถึงเมืองปาหวาง ผมก็รีบตามหาอาจารย์ฮีลเลอร์ทันที และพบว่าอาจารย์ฮีลเลอร์คนสวยยังคงยืนโบกคทาอยู่ที่เดิม ทันทีที่เธอเห็นผมก็เผยรอยยิ้มกระชากใจอีกครั้ง “พ่อหนุ่มที่รักของข้า เจ้าทำภารกิจเรียบร้อยแล้วหรือ? ”

        ผมหยิบกระดาษหนังแกะออกมาซึ่งด้านบนมีตัวอักษรจารึกก่อนจะยื่นให้เธอ “เสร็จแล้วอาจารย์”

        อาจารย์คนสวยแสดงอาการตกตะลึงเมื่อเห็นของตรงหน้า “เยี่ยมมากพ่อหนุ่มฮีลเลอร์ เจ้าทำให้ข้าเริ่มมองเห็นความหวังของพวกเราแล้ว เอาละ เนื่องจากเจ้าทำภารกิจสำเร็จ ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นฮีลเลอร์อย่างเป็นทางการแล้ว”

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ ยินดีด้วย ท่านได้เปลี่ยนคลาสเป็นฮีลเลอร์สำเร็จแล้ว และเนื่องจากท่านเป็นผู้เล่นคนแรกที่เปลี่ยนคลาสฮีลเลอร์ได้สำเร็จ ท่านจะได้รับค่าเสน่ห์ +พอยต์

        ……

        ตอนนี้ผมมีค่าเสน่ห์ 12 พอยต์แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าประโยชน์ของมันคืออะไร

        หลังจากได้พูดคุยกับอาจารย์สาวแล้ว ผมก็พบว่ามีสกิลที่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด สกิล

        [สกิลรักษาชีวิต (LV-1) ] :ฟื้นฟูค่า MP 150 พอยต์ โดยจะใช้เวลาคูลดาวน์ วินาที สูญเสียค่า MP 10 พอยต์ และต้องมีเลเวล 20 ขึ้นไปเท่านั้น

        [สกิลการไหลเวียนของเลือด (LV-1) ] :รักษาอาการบาดเจ็บ โดยจะสูญเสียค่า MP 10 พอยต์ และต้องมีเลเวล 20 ขึ้นไปเท่านั้น

        ……

        สกิลรักษาชีวิตเป็นสกิลที่อัปเกรดมาจากสกิลห้ามเลือด โดยสามารถรักษาได้มากขึ้นถึง เท่า ซึ่งสกิลทั้งสองนี้ใช้เพื่อการรักษาทั้งคู่ และถือว่าเป็นสกิลที่ไม่เลวเลย ทว่าสำหรับสกิลการไหลเวียนของเลือด ตอนนี้ผมยังไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากที่ผู้เล่นถูกโจมตีใส่อย่างรุนแรงจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บหนัก ในช่วงที่ได้รับบาดเจ็บนั้นพลังต่อสู้จะลดลงมาก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากฮีลเลอร์ แต่สำหรับตอนนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่จะตายทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ใช้สกิลการไหลเวียนของเลือดจากฮีลเลอร์

        ตอนนี้ก็ได้เรียนไปทั้ง สกิลแล้ว และผมก็เป็นฮีลเลอร์คนแรกของทั้งเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถเปลี่ยนคลาสได้

        ……

        “ติ๊ดๆๆ! ”

        ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลินหว่านเอ๋อร์โทรมาแล้วสินะ “นี่หลี่เซียวเหยา ไปกินกันได้แล้ว รีบมานะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

        “คร้าบ! ”

 

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

 
 
 

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
23 เมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2563 19.59 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 23 คนของฉัน

 

        เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ภายในบาร์ของมหาวิทยาลัย

        ที่นี่ก็คือสถานที่สำหรับมานั่งฟังเพลงซึ่งถือว่ามีบรรยากาศเงียบสงบ อีกทั้งเป็นที่พักผ่อนยามค่ำคืนของเหล่านักศึกษา และแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ล้วนมากันเป็นคู่

        ทว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น เพราะตอนนี้หลินหว่านเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผมพร้อมกับดวงตาคู่งามที่จ้องมองมา

        หลังจากวางแก้วในมือผมก็พูดขึ้น “นี่คุณหนู ขืนยังจ้องผมแบบนี้ละก็ ผมไปจริงๆ นะ”

        หลินหว่านเอ๋อร์เม้มปากก่อนถามขึ้น “แหวนอุปกรณ์ระดับทองแดงจริงๆ เหรอ? ”

        “ครับ” ผมพยักหน้าตอบ

        หลินหว่านเอ๋อร์เม้มปากหันไปมองตงเฉิงเยว่ “นี่เยว่เอ๋อร์ เธอดูเจ้าหมอนี่สิ จู่ๆ ก็ได้รับแหวนอุปกรณ์ระดับทองแดงที่มีพลังโจมตี เฮ้อ ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้มน้อยๆ “เอาน่า เป็นเพราะเซียวเหยาคนหล่อโชคดีนั่นแหละถึงได้มันมา...”

        หลินหว่านเอ๋อร์มองผมอีกครั้ง “หล่อตรงไหน? หน้าตาอย่างกับปี้ฝูเจี้ยน”

        ตงเฉิงเยว่ “...”

        สักพักหลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดขึ้นว่า “วันมะรืนก็เปิดเทอมแล้ว คืนพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ ฉันกับเยว่เอ๋อร์ได้รับคำเชิญแล้ว หลี่เซียวเหยา พรุ่งนี้นายก็ไปด้วยกันสิ จะได้ไปทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ด้วย”

        “งานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่? ” ผมเบิกตากว้าง “แต่ผมเต้นรำไม่เป็น”

        “ไม่เป็นไร แค่นายไปร่วมงานก็โอเคแล้ว ที่นั่นมีของกินอร่อยๆ เยอะแยะเลยนะ”

        “งั้นก็ตกลง”

        ……

        หลังจากดื่มชาผมก็พูดขึ้น “นี่คุณหนู คุณหนูไปเอาม้วนกระดาษมนุษย์มาหรือยัง? ”

        หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า “อื้อ ค่าประสบการณ์เยอะมากเลย เข้าระบบ 1 ชั่วโมงก็ได้รับค่าประสบการณ์ถึง 5% แน่ะ”

        ผมพูด “ไม่รู้ว่าต่อไปถ้าเลเวลสูงกว่านี้ จะมีอะไรแบบนี้อีกหรือเปล่านะ”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “ไม่มีทาง หลังจากที่ผู้เล่นเวลสูงขึ้น ของพวกนี้ก็คงจะไม่มีแล้วละ ไม่งั้นผู้เล่นที่อยู่เมืองปาหวางกับจิ่วหลีก็คงมาออกันอยู่ที่เมืองฝานซูกันหมด ว่าแต่คนที่เลเวลสูงสุดในเมืองปาหวางตอนนี้เท่าไรแล้วล่ะ? ”

        “เลเวล 25 อาชีพนักดาบ ใช้ชื่อ ID ว่าเยี่ยนจ้าวอู๋ซวง เป็นหัวหน้ากิลด์ปรากน่ะ”

        “เขานี่เอง...” หลินหว่านเอ๋อร์พูดก่อนจะหัวเราะใส่ผม

        “หืม? ทำไมเหรอ? ”

        ตงเฉิงเยว่พูด “ในเกม Conquer Online ก็มีกิลด์นี้เหมือนกัน แถมเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงนี่ก็เป็นตาลุงอายุ 50 แล้วด้วย ระดับการเล่นเกมของเขามีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่คนแข็งแกร่งที่สุดจริงๆ ก็คือ ลาหล่งเหรินซิน เป็นเพราะคนคนนี้แหละที่ทำให้กิลด์ปรากซึ่งกำลังจะหายไปกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ว่าแต่นายอยู่ที่เมืองปาหวาง คงไม่ได้จะเข้าร่วมกับกิลด์นี้หรอกใช่ไหม? ”

        ผมส่ายหน้า “ไม่หรอก ตอนนี้ฉันยังไม่คิดจะเข้าร่วมกิลด์ใครทั้งนั้นแหละ”

        หลินหว่านเอ๋อร์มองผม “ทำไมล่ะ? ”

        ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็... หมวกเกมนี้คุณหนูให้มานี่นา หลังจากนี้ถ้าคุณหนูสร้างกิลด์ขึ้นมาหรือไปร่วมกับกิลด์อื่น ผมก็จะได้ตามคุณหนูไปด้วยไง”

        ตงเฉิงเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ “ดีจังเลยนะเซียวเหยา ที่จริงฉันเองก็อยากสร้างกิลด์เหมือนกัน ถึงตอนนั้นนายมาอยู่กิลด์เดียวกับฉันสิ”

        “ไม่ได้! ” หลินหว่านเอ๋อร์โพล่งขึ้น

        “อ้าว ทำไมล่ะ? ” ตงเฉิงเยว่ถาม

        หลินหว่านเอ๋อร์ “กะ... ก็เพราะเขาเป็นคนของฉัน! ”

        “เหรอ? คนของเธอเหรอ...” ตงเฉิงเยว่พูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

        หลินหว่านเอ๋อร์ที่ดูเหมือนจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่สมควรออกไปรีบก้มหน้าซ่อนความแดงก่ำ ทว่าเพียงชั่วอึดใจเธอก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่พร้อมกับสีหน้าที่เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ที่จริงทักษะการเล่นเกมและการจัดการของหมอนี่ถือว่าธรรมดามาก จากที่พ่อฉันบอก เรียกว่ากระจอกเลยแหละ เฮ้อ... หมอนี่เอาแต่ตั้งแผงลอยขายของไปวันๆ เสียดายหมวกชะมัดเลย”

        ผม “…”

        ……

        หลังจากนั่งอยู่ที่บาร์จนถึง 4 ทุ่มกว่า ผมก็เดินมาส่งสาวๆ กลับหอ ก่อนจะมานั่งรักษาความปลอดภัยต่อท่ามกลางความมืดเหมือนทุกครั้ง ผมนั่งอยู่บนกำแพงพร้อมกวาดตามองไปรอบๆ ทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้มีลุงยามกำลังนั่งสูบบุหรี่ ส่วนทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณเก้าอี้หินอ่อนก็มีชายหนุ่มสวมเสื้อสีดำนั่งอยู่ อันเป็นจุดลับตาคนที่แทบจะมองไม่เห็นเลยหากไม่ได้สังเกต

        นี่เป็นบอดี้การ์ดที่หลินเทียนหนานส่งมาคุ้มกันหลินหว่านเอ๋อร์แน่นอน ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงลูกสาวมากเลยนะเนี่ย ไม่รู้ว่านอกจากคนพวกนี้เขายังส่งคนมาคุ้มกันอีกกี่คน จากที่หลินเทียนหนานพูด ที่ผมมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อเป็นเพื่อนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับหว่านเอ๋อร์ แถมยังเป็นธงลับซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าถึงตัวหลินหว่านเอ๋อร์ด้วย ดังนั้นสถานะของผมในเวลานี้ถือว่ามีบทบาทสำคัญมาก

        ผมสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ห่างจากหน้ามหาวิทยาลัยประมาณ 1,000 เมตรก็เป็นสถานีตำรวจ จึงนับได้ว่ามีความปลอดภัยมากทีเดียว คิดว่าตอนกลางคืนคงจะไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่างยามสองคนนี้ก็ดูเหมือนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ตอนที่ผมมองพ่อหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังยิ้มให้ผมด้วย จากกลิ่นอายที่ผมสัมผัสได้ คนพวกนี้คงเป็นกองกำลังพิเศษที่ทำงานเกี่ยวกับการสังหาร ไม่เช่นนั้นคงไม่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้

        ……

        หลังจากที่เดินมาถึงหอพักแล้วผมก็เข้านอนทันที เช้าวันรุ่งขึ้นก็ตื่นมาทำหน้าที่เหมือนทุกวันนั่นคือซื้ออาหารเช้าให้หลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าหอพักหญิง ยายป้าที่คุมหอก็มองผมพร้อมพูดว่า “ถ้าแกก้าวเข้ามาด้านในแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะหักขาแก! ”

        ทันทีที่ยายป้าพูดแบบนั้น ผมก็ยืนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน

        ผ่านไปสักพัก เงาของสาวสวยก็เดินลงมาจากหอ ซึ่งก็คือแม่สาวตงเฉิงเยว่ที่มาพร้อมกับกระโปรงสั้นสีชมพู แม่สาวคนนี้สวยมากจริงๆ เรียวขาขาวผุดผ่องราวกับหิมะนั่นดึงดูดสายตาชะมัด

        “วันนี้ซื้ออะไรมาเหรอ? ” เธอถามขึ้น

        ผมยิ้ม “ขนมปังถั่วแดง นม ขนมปัง”

        “อื้อ”

        ตงเฉิงเยว่หยิบอาหารเช้าไป “นี่เซียวเหยา วันนี้ตอน 6 โมงเย็นนายมารอพวกเราที่นี่นะ พวกเราจะไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับด้วยกัน แล้วก็กินอาหารค่ำที่นั่นเลย”

        “อื้อ ได้สิ” ผมพยักหน้า “งั้นฉันไปนะ”

        “เดี๋ยวก่อน”

        “อื้อ? ”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “เมื่อกี้หว่านเอ๋อร์บอกกับฉันว่า รอให้พวกเราเลเวล 30 จะไปหานายที่เมืองปาหวาง จะไปดูว่าสภาพนายตอนอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

        ผมหน้าเจื่อนทันที “พูดอะไรเนี่ย ฉันอยู่ที่เมืองปาหวางก็ราบรื่นดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักหน่อย เอ้อ จริงสิ เธอกับคุณหนูใช้ชื่อ ID ว่าอะไรเหรอ? ฉันจะได้เพิ่มเพื่อนในเกมไว้เลย”

        “ไม่ต้องหรอก รอให้พวกเราไปถึงเมืองปาหวาง เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ”

        ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ ตงเฉิงเยว่ก็เดินขึ้นหอไปพร้อมกับกระโปรงสั้นจู๋ของเธอ

        ……

        เอาละ ภารกิจในวันนี้คืออัปเลเวลจนถึง 22 ให้ได้ หลังจากนั้นก็ออกตามหาขุมสมบัติชิ้นใหญ่ของผม... เจ้าผึ้งสังหาร! ในเมื่อตอนนี้ผมมีการ์ดผึ้งสังหารแล้ว ยังไงก็ต้องออกตามหามันและปิดผนึกเป็นสัตว์เลี้ยงให้ได้ แม้ว่าผมจะเป็นฮีลเลอร์สายบู๊ แต่พลังโจมตียังไม่เพียงพอ ยังไงซะ ผมต้องมีตัวช่วยอย่างสัตว์เลี้ยง เพื่อทำให้การโจมตีเป็นไปอย่างราบรื่น

        สวบ!

        หลังจากเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ ผมก็มาปรากฏตัวยังสถานที่ฝึกอาชีพฮีลเลอร์ ตอนนี้ในกระเป๋าไอเท็มของผมมีโอสถดวงดาราเจ็ดดวงเลเวล 3 หลายร้อยขวด MP 200 พอยต์ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

        ด้านนอกเมืองปาหวางทางฝั่งทิศตะวันออกมีค้างคาวดูดเลือดกำลังบินไปมา เจ้าค้างคาวตัวน้อยเหล่านี้มีเลเวลต่ำที่สุดในบรรดามอนสเตอร์ แถมพลังโจมตีก็ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นเลเวลต่ำกว่า 10 เท่านั้น

        เมื่อผมก้าวไปข้างหน้า ค้างคาวตัวเล็กก็บินตรงมาพร้อมส่งเสียงร้องก่อนจะโจมตีผมด้วยการดูดเลือด ทว่าค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีเพียง -12 พอยต์เท่านั้น

        ผมยื่นมือออกมาก่อนเริ่มใช้สกิลรักษาชีวิต

        สวบ!

        “+12”

        เลือดของผมกลับมาเต็มหลอดอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันค่าความเชี่ยวชาญก็เพิ่มขึ้น +1 พอยต์ การฟื้นฟูเลือดเช่นนี้ หากปล่อยให้เจ้าค้างคาวโจมตีแล้วผมใช้สกิลฟื้นฟูเลือดของตัวเอง ค่าความเชี่ยวชาญก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง สกิลรักษาชีวิตของผมก็จะถึงเลเวล 3 และสามารถฟื้นฟูเลือดได้ 450 พอยต์ ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าเลือดที่ผมมีในเวลานี้เสียอีก ส่วนสกิลห้ามเลือดจะช่วยเพิ่มให้ 150 พอยต์ และดูเหมือนว่าสกิลนี้จะเหมาะกับผมมากกว่า

        ระหว่างที่ผมจัดการกับมอนสเตอร์พวกนั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ ที่มองมาต่างก็พากันส่ายหน้า

        “ดูเจ้าฮีลเลอร์บ้านั่นดิ ถูกค้างคาวโจมตีก็ยังไม่รีบจัดการมันอีก”

        “ดูท่าจะต๊องแฮะ”

        “น่าเสียดาย หน้าตาดีซะเปล่า”

        ……

        เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจผมก็จัดการกับเจ้าค้างคาว จากนั้นนั่งลงใต้ต้นไม้ก่อนเริ่มอ่านกระทู้ หลังจากหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าผึ้งสังหาร แค่พริบตาตรงหน้าก็ปรากฏชื่อแผนที่ ‘ป่าไม้มีพิษ’ ขึ้นมา

        ป่าไม้มีพิษตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองปาหวาง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการเดินทาง ที่นั่นเป็นที่อยู่ของมอนสเตอร์เลเวล 22-25 โดยเมื่อวานมีกลุ่มผู้เล่นเดินทางไปที่นั่นและพบว่ามอนสเตอร์ส่วนใหญ่เป็นพวกตัวต่อ ดูเหมือนว่าเจ้าผึ้งสังหารคงจะอยู่ที่นั่นด้วย

        หลังจากเตรียมไอเท็มในการฟื้นฟูและซ่อมแซมอาวุธแล้ว ผมก็เริ่มออกเดินทางทันที หึๆ เส้นทางของผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

        เมื่อเดินไปได้ 10 กว่านาที ตรงหน้าผมก็ปรากฏป่าซึ่งดูเหมือนกับอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันสดใส พร้อมกับเสียง “หึ่งๆๆๆๆ ” ที่ดังอยู่รอบๆ บนแผนที่เวลานี้ระบุว่า มันคือป่าไม้มีพิษ

        “เหล่าซาน รีบหนีเหอะ เจ้านี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”

        ทันใดนั้นด้านหน้าก็มีเสียงคนคุยกัน ก่อนที่ร่างของเอลฟ์จันทราอาชีพนักธนูจะบินออกจากป่าพร้อมกับผึ้งตัวใหญ่ขนาดเท่าอ่างล้างหน้าบินตามออกมา ก่อนที่จะโจมตีเขาติดๆ กันถึงสองครั้ง จนทำให้ร่างของอีกฝ่ายเกิดตัวเลขค่าเสียหายลอยออกมา

        “-121! ”

        “-240! ”

        แน่นอนว่าการโจมตีครั้งที่สองทำให้อีกฝ่ายสิ้นชีพทันที หลังจากมันจัดการกับศัตรูเสร็จก็บินกลับไปที่พื้นเหมือนเดิม ทันใดนั้นเบอร์เซิร์กเกอร์คนหนึ่งก็วิ่งถือขวานออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เป็นสีแดงก่ำ “เวรเอ๊ย ใครบอกว่ามอนสเตอร์ที่นี่จัดการง่ายๆ วะเนี่ย แม้แต่ฮีลเลอร์ของพวกเราก็ยังฮีลเลือดให้ไม่ได้เลย จะทำยังไงดีวะเนี่ย! ”

        ระหว่างที่พูดเขาก็ยืนนิ่ง ขณะเดียวกันขวานก็เกิดเปลวไฟลุกโชนก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงดังลั่นด้วยความโมโห “ขวานเพลิง! ”

        ฟึบ!

        ตัวต่อที่อยู่ด้านหลังผงะถอยก่อนที่ค่าความเสียหาย -221 พอยต์จะปรากฏขึ้น เบอร์เซิร์กเกอร์ผู้นี้มีสกิลขวานเพลิงเลเวล 10 ซึ่งมีพลังโจมตีที่ใช้เปลวเพลิงได้ แต่ตอนนี้เลือดของตัวต่อนั่นยังเหลืออยู่อีกราวๆ 70% ทันใดนั้นส่วนหางของมันก็เกิดแสงสีทองกระจายออกมา นี่มันการโจมตีแบบคอมโบ แถมยังเป็นคอมโบเลเวล 3 ด้วย!

        “ฟึบๆๆ ”

        การโจมตีแบบคอมโบเลเวล 3 จะสามารถโจมตีได้ 2-3 ครั้ง หากโจมตีติดต่อกัน 3 ครั้งประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า 400 พอยต์ และแน่นอนว่าเจ้าเบอร์เซิร์กเกอร์ที่มีเลือด 300 พอยต์ก็ถูกจัดการจนลงไปกองอยู่ที่พื้นพร้อมเปล่งเสียงร้องก่อนตาย ดูเหมือนว่าเลเวลของเจ้าหมอนั่นจะลดจากเลเวล 22 เป็นเลเวล 21 เสียแล้ว น่าเสียดายชะมัด

        ……

        ฟึบๆ!

        ผมเหยียบต้นหญ้ามุ่งหน้าเข้าป่าขณะเดินผ่านศพพวกนั้น โดยพยายามอยู่ห่างจากบริเวณของผู้เล่นเหล่านั้นให้มากที่สุด ตอนนี้ผมสามารถฮีลเลือดได้ แถมยังมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม อีกทั้งสามารถโจมตีพวกมอนสเตอร์นั่นได้ ยังไงซะการออกมาตีเจ้าตัวต่อเพียงลำพังสำหรับผมแล้วจึงไม่มีปัญหา

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
24 เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2563 10.14 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 24 เจ้าจุกนมจุ๊บๆ

 

        หลังจากเดินเลาะเข้ามาในป่าลึก ด้านหลังของผมก็กลายเป็นพื้นที่ป่าเปิด และมีตัวต่อมากมายบินว่อน ใกล้กับจุดที่ผมยืนสามารถเห็นค่าสถานะของมอนสเตอร์เหล่านี้ได้

        [ผึ้งบัมเบิ้ลบี] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:22

        พลังโจมตี :79-114

        พลังป้องกัน:40

        HP:600

        สกิล : [การโจมตีแบบคอมโบ (LV-3) ]

        แนะนำมอนสเตอร์ เป็นแม่ทัพภายในป่าไม้มีพิษแห่งนี้ ผึ้งเหล่านี้จะอาศัยอยู่บริเวณป่าไม้แห่งนี้ แม้แต่เสือที่ดุร้ายก็ยังไม่กล้ายุ่งกับมัน

        ……

        “ผึ้งบัมเบิ้ลบี [1] เหรอ...” ผมหรี่ตามอง “ฉันเองก็ชอบทรานส์ฟอร์มเมอร์สพอดีเลย...”

        “ชิ้ง! ”

        ผมดึงดาบออกมาฟาดไปตรงหน้า หลังจากเพิ่มพลังการโจมตีไป 10% แล้ว พลังโจมตีของผมในเวลานี้ก็คงจะมีอยู่ 165 พอยต์ และน่าจะทำลายการป้องกัน 40 พอยต์ของผึ้งตัวนี้ได้ ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าใกล้มัน เจ้าผึ้งบัมเบิ้ลบีก็เห็นผมซะก่อน มันเลยใช้หางพุ่งมาที่ผมก่อนจะเริ่มโจมตีแบบธรรมดา

        เจ็บชะมัด! ตอนที่เจ้าผึ้งสะบัดหาง ผมก็ใช้ดาบหนามในมือฟาดออกไปด้วยคอมโบ แทง เฉือน และฟัน แต่ก็ถูกปัดออกไป หลังจากเจ้าผึ้งบัมเบิ้ลบีรับความเจ็บปวดจากการโจมตีของผม ก็เกิดแสงสีทองที่หางของมัน “สวบๆๆ ” การโจมตีแบบต่อเนื่องมาแล้ว!

        “-110! ”

        “-121! ”

        “-214! ”

        ให้ตายเถอะพระเจ้า โชคดีนะที่การโจมตีเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ผมสามารถใช้สกิลรักษาชีวิตไว้ได้ทันภายในวินาทีเดียว ทำให้เลือดของผมกลับมาที่ 450 พอยต์อีกครั้งจนเกือบจะเต็มหลอด บวกกับสกิลห้ามเลือด ตอนนี้หน้าของผมซีดราวกับกระดาษ! ก็ว่าทำไมเจ้ากลุ่มคนที่มาด้วยกัน คนก่อนหน้านี้ถึงถูกจัดการจนสะบักสะบอมขนาดนั้น ที่แท้การโจมตีของเจ้านี่ก็ร้ายกาจอย่างนี้นี่เอง

        ฟึบ!

        ดาบหนามของผมโจมตีเจ้าผึ้งบัมเบิ้ลบีถึง ครั้งก่อนที่มันจะร้องและลงไปนอนตายที่พื้นในที่สุด ในเวลาเดียวกันค่า EXP ของผมก็เพิ่มขึ้น แถมมันยังดรอปเงิน 11 เหรียญทองให้ผมอีกด้วย ยังไงซะเงินพวกนี้ก็ถือว่าเป็นของมีค่าสำหรับผมอยู่ดี

        หลังจากเปิดแผนที่ดูก็พบว่าพื้นที่ที่ลึกเข้าไปด้านในเป็นสีเลือดแล้ว อืม... ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์ระดับสูงๆ จะอยู่ในป่าลึกนั่นสินะ ผมเข้าไปฆ่าพวกมันด้านในก็คงจะได้แหละ ตราบใดที่ผมสามารถควบคุมการฮีลเลือดของตัวเองทันเวลา ยังไงซะเจ้าผึ้งบัมเบิ้ลบีก็ฆ่าผมไม่ได้หรอก

        ……

        ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ซากผึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลงไปนอนตายอยู่ที่พื้น น่าเสียดายชะมัดที่ผมยังไม่เจอการ์ดผึ้งบัมเบิ้ลบีสักชิ้น ไม่เช่นนั้นได้รวยไม่รู้เรื่องกันละ เจ้าผึ้งพวกนี้มีพลังโจมตี ดาวซึ่งสูงกว่านกขนสีเงินมาก ถ้าสามารถปิดผนึกมันได้คงทำเงินให้ผมได้ไม่น้อยเลยละ

        ทันใดนั้นด้านหน้าของผมก็ปรากฏป่าหนามขึ้น ผมจึงใช้อาวุธในมือแหวกหนามพวกนั้นเดินเข้าไปด้านใน ทว่าเมื่อเดินเข้าไปในป่าทึบผมก็ได้กลิ่นดอกไม้บางอย่าง ทันใดนั้นตรงพื้นหญ้าก็มีตัวต่อที่เต็มไปด้วยสีสันบินออกมาพร้อมส่งเสียง “หึ่งๆ ” รูปร่างของพวกมันดูไปก็คล้ายเข็มเหมือนกันแฮะ หึๆ เจ้าพวกนี้คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากผึ้งสังหารที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง!

        ผมค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้พวกมันด้วยความระมัดระวัง ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดในเวลานี้ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น จากนั้นผมก็เปิดดูค่าสถานะของมัน

        [ผึ้งสังหาร] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:24

        พลังโจมตี:94-154

        พลังป้องกัน :50

        HP:700

        สกิล: [การโจมตีแบบคอมโบ (LV-3) ]

        แนะนำมอนสเตอร์ เป็นมอนสเตอร์ภายในป่าไม้มีพิษ สัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ภายในป่า แม้แต่เสือที่ดุร้ายก็ยังไม่กล้าเข้ามายุ่งกับพวกมัน

        ……

        เมื่อเห็นค่าสถานะของพวกมัน ผมก็แทบจะหัวใจวาย ให้ตายเถอะ พลังโจมตีของเจ้านี่ 154 พอยต์เลยนะเนี่ย แถมยังมีสกิลเสริมอีก ดูเหมือนว่าผมจะรับมือกับมันได้ยากแล้วสิ

        ผมขยับเท้าอย่างระมัดระวังโดยให้เกิดเสียงน้อยที่สุดเพื่อชิงโจมตีก่อนที่มันจะเห็นผม

        สวบ!

        ผมฟาดดาบหนามก่อนจะใช้ทักษะเสริมเพื่อเพิ่มพลังโจมตีอีก 2% ถึงมันจะดูน้อยนิด แต่ก็สามารถทำให้ผมชนะเจ้านี่ได้

        ฟึบ!

        “-117! ”

        เจ้าผึ้งสังหารเกิดอาการกระตุกก่อนจะเริ่มกระพือปีกโจมตีโดยใช้สกิลคอมโบ “สวบๆๆ ” ทันทีที่มันใช้สกิล เลือดของผมก็ลดลงทันที เอาละ ถึงเวลาที่ผมจะใช้โอกาสนี้เปิดใช้สกิลรักษาชีวิตของตัวเองแล้ว

        “-174! ”

        “-180! ”

        “+354! ”

        “-172! ”

        สกิลของผมได้ช่วยชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเอาไว้ ให้ตายเถอะ อันตรายชะมัด ถึงแม้ค่าสถานะของผมในเวลานี้จะถือว่าดี แต่เป็นเพราะเกราะผ้าของผม จึงทำให้เมื่ออยู่ต่อหน้ามอนสเตอร์เลเวลสูงๆ ผมจึงกลายเป็นพวกอ่อนแอไปโดยปริยาย

        หลังจากฮีลตัวเองทันเวลา ผมก็รีบหลบไปอยู่ข้างๆ เพื่อเอาตัวรอด เมื่อฆ่าเจ้าผึ้งสังหารได้ด้วยความยากลำบาก เหงื่อของผมก็ไหลจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว การฆ่าเจ้าผึ้งตัวนี้แทบจะเอาชีวิตผมไปได้เลยนะเนี่ย

        เมื่อจัดการเจ้าผึ้งสังหารตัวแรกได้แล้ว ผมก็พบว่าไม่มีของดรอปมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ผมจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อ ระหว่างที่ฆ่าผึ้งเหล่านี้ผมต้องเปิดดูค่าสถานะอยู่ตลอด แต่หลังจากเดินเข้าไปในป่าได้พักใหญ่ ก็พบว่าไม่มีผึ้งสังหารเลเวล แม้แต่ตัวเดียว

        เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ถึงเวลาพักเที่ยง ผมจึงออกจากระบบไปซื้อข้าวก่อนกลับมาเล่นต่อ

        บ่าย โมงกว่าๆ ผมยังคงขลุกตัวอยู่ในป่าไม้มีพิษแห่งเดิมพร้อมกับฆ่าเจ้าผึ้งสังหารตัวแล้วตัวเล่าด้วยความอดทน เฮ้อ แต่ก็ยังไม่เจอเลเวล โผล่ออกมาแม้แต่ตัวเดียว

        ……

        ในที่สุด! ความพยายามก็ไม่เคยทำร้ายใคร จนเวลาเกือบ โมงเย็นผมก็พบกับเจ้าผึ้งสังหารเลเวล ตัวแรก!

        อาการดีใจของผมนั้นหนักหนาจนถึงกับต้องใช้มือยันต้นไม้ไว้ พร้อมกับควบคุมการหายใจของตัวเองให้สงบลง ระหว่างนั้นผมก็มองเจ้าผึ้งสังหารเลเวล ซึ่งยังคงบินไปมาด้วยท่าทางมีความสุข ผมเองก็โคตรจะมีความสุขเลยโว้ย! เวลานี้ใจผมเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หยิบการ์ดปิดผนึกออกมา และเนื่องจากว่าผมมีเงินมากพอก็เลยซื้อการ์ดมาสะสมไว้ถึง 100 ใบ เอาละ เจ้าผึ้งสังหาร! แกต้องเป็นของฉัน

        สวบ!

        การ์ดลอยออกจากมือผมก่อนที่มันจะคลุมไปบนหัวของเจ้าผึ้งเลเวล ตัวนั้นจนเกิดวงเวทขึ้นมาพร้อมกับเริ่มทำการปิดผนึก เจ้าผึ้งบินไปมาเพื่อสะบัดให้หลุดจากการปิดผนึกของผมอยู่นาน และในที่สุดก็ลอยออกไปด้านนอกได้สำเร็จ พร้อมกับวงเวทและการปิดผนึกที่ล้มเหลว

        ไม่เป็นไร เอาใหม่ โอกาสปิดผนึกยังมีอยู่ ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จจนได้

        หลังจากใช้การ์ดปิดผนึกถึง ใบ ในที่สุดเจ้าผึ้งตัวนั้นก็ไม่หลบหลีกการปิดผนึกของผมอีกต่อไป และค่อยๆ เข้าไปอยู่ในการ์ดของผมแต่โดยดีพร้อมกับแสงสีขาวที่เกิดขึ้นในช่องสัตว์เลี้ยงของผม เอาละเว้ย รวยแล้วเรา!

        ผมเปิดช่องสัตว์เลี้ยงด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับเปิดดูค่าสถานะตรงหน้า

        [ผึ้งสังหาร]

        เลเวล :1

        พลังโจมตี:★★★★☆

        พลังป้องกัน:★★★

        HP:★★★☆

        ความว่องไว:★★★★☆

        MP:★★☆

        ค่าความเป็นเลิศ :74%

        ……

        ค่าความเป็นเลิศ 74%! นี่เป็นสัตว์เลี้ยงระดับกลางเลยนะเนี่ย แถมยังมีค่าการโจมตี 4.5 ดาวอีก เยี่ยมไปเลย!

        ผมดีใจจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ในที่สุดผมก็มีสัตว์เลี้ยงตัวแรกสักที

        ขณะที่กำลังจะปล่อยเจ้าผึ้งสังหารออกมาเพื่อเก็บเลเวลให้ผม ทันใดนั้นภายในป่าก็เกิดแสงสีทองพร้อมกับมีเงาสีดำปรากฏขึ้นช้าๆ

        เอ๋การเกิดใหม่ของเจ้าผึ้งสังหารพวกนี้ผมเคยเห็นมาก่อน มันจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนี่นา

        ผมขยี้ตาก่อนเพ่งมองแสงสีทองตรงหน้า ทันใดนั้นผมก็เห็นตัวต่อที่มีลักษณะคล้ายเจ้าผึ้งสังหาร สิ่งที่แตกต่างกันคือปีกของมันมีแสงสีทองจางๆ ที่สาดส่องออกมา และหนามก็ยังเป็นสีทอง ร่างกายของมันดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย และที่เปลือกก็มีแสงสว่างออกมาด้วย ดูราวกับผึ้งบัมเบิ้ลบีติดอาวุธเลยแฮะ

        เมื่อดูเลเวลของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้แล้ว ก็พบว่ามันเป็นมอนสเตอร์เลเวล เฮ้ย! เลเวล จริงๆ ด้วย!

        [ผึ้งแม่ทัพ] (มอนสเตอร์ชั้นยอด)

        เลเวล :1

        แนะนำมอนสเตอร์ เป็นผึ้งที่มีวิวัฒนาการจากผึ้งสังหาร และเป็นอาวุธร้ายแรงในการสังหารมนุษย์ ผึ้งแม่ทัพมีพลังโจมตีและความว่องไวยอดเยี่ยมเกินกว่าจะรับมือได้ และเป็นฝันร้ายสำหรับนักล่าหลายคน อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่มีความกล้าหาญภายในป่าแห่งนี้

        ……

        ในตารางการ์ด เกิดแสงสว่างขึ้นที่รูปของผึ้งสังหาร หลังจากเปิดดูก็พบว่ามีการ์ดของผึ้งแม่ทัพด้วย ดูเหมือนว่าผมจะสามารถปิดผนึกเจ้าผึ้งแม่ทัพนี่ได้ด้วยสินะ

        ฟึบ!

        สมองของผมพลันว่างเปล่า อาการดีใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ไม่เพียงเป็นมอนสเตอร์ชั้นยอด แต่ยังเป็นมอนสเตอร์เลเวล ด้วย อีกอย่างมันก็ถือเป็นสิ่งที่หายากเหมือนกับการได้เจอสาวงามผู้มีระดับความสวยเต็ม 10 คะแนน ตอนนี้ผมมีการ์ดผึ้งสังหารแล้ว แถมยังสามารถปิดผนึกผึ้งแม่ทัพได้อีก ถ้าผมสามารถรวบรวมมันไว้ด้วยกัน ผมต้องรวยเละแน่ๆ!

        ทันใดนั้นผมก็สังเกตเห็นว่าบนหัวของเจ้าผึ้งแม่ทัพมีคะแนนการปิดผนึกปรากฏขึ้น “11%” เอาเถอะ ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน ยังไงซะก็ยังเหลือการ์ดอีกตั้ง 95 ใบ จะกลัวอะไร!

        สวบ!

        ผมเริ่มเปิดใช้การ์ดปิดผนึกใบแรก และก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ส่งออกไปมันก็ล้มเหลวทันที เจ้าผึ้งแม่ทัพส่ายก้นไปมาก่อนจะบินถอยหลังไปราวกับต้องการจะเย้ยผม

        สวบ!

        การ์ดใบที่ ลอยออกไป ก่อนจะล้มเหลวภายใน 1.5 วินาที มันยังคงเยาะเย้ยผมเช่นเดิม

        การ์ดใบที่ ก็ยังคงเยาะเย้ย!

        การ์ดใบที่ ยังไม่เลิกเยาะเย้ยอีก!

        การ์ดใบที่ เออ! เยาะเย้ยไปเลยโว้ย!

        ……

        โชคดีที่ผมดันเป็นคนมีความอดทนสูง หลังจากถูกเจ้าผึ้งนั่นเยาะเย้ยถึง 87 ครั้ง ในที่สุดผมก็เกือบจะทำสำเร็จแล้ว โอ๊ย ไหนบอกว่าโอกาสสำเร็จมี 11% ไงฟะ! นี่มัน 1% ชัดๆ!

        การ์ดใบที่ 91 ถูกส่งออกไป พร้อมกับที่ผมเริ่มภาวนาในใจ “ขอร้องละ ช่วยให้ผมจับมันได้ด้วยเถอะ! ”

        เจ้าผึ้งแม่ทัพส่งเสียงร้องหึ่งๆ ก่อนบินว่อนไปมา ขณะที่ภายในวงเวทก็ยังคงส่องแสงไม่หยุด ทันใดนั้นร่างของมันก็ถูกย่อขนาดลง ในที่สุด! สวบ! มันก็ถูกปิดผนึกเข้าไปอยู่ในช่องสัตว์เลี้ยงของผมจนได้

        ผมดีใจจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบดูค่าสถานะที่อยู่บนตาราง พระเจ้า! จุดอ่อนในการโจมตีของผมได้ถูกเติมเต็มแล้ว

        [ผึ้งแม่ทัพ]

        เลเวล:1

        พลังโจมตี:★★★★★

        พลังป้องกัน:★★★★

        HP:★★★☆

        ความว่องไว:★★★★☆

        MP :★★☆

        ค่าความเป็นเลิศ :97%

        ……

        เมื่อเทียบกับเจ้าผึ้งสังหารแล้ว ผึ้งแม่ทัพดูเหมือนจะโดดเด่นกว่าด้วยพลังโจมตีที่มีอยู่ถึง ดาว แถมยังมีการป้องกันเพิ่มขึ้นอีกตั้ง ดาว ในขณะที่คะแนนของส่วนอื่นๆ ยังอ่อนแออยู่ แต่ค่าความว่องไวก็ยังถือว่าสูงมาก ตอนนี้ค่าสถานะที่ผมต้องการมากที่สุดคือการป้องกันและการโจมตี ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับผมแล้ว ผมสามารถฮีลเลือดให้ตัวเองได้จึงทำให้ผมต้องการการสนับสนุนจากมันแค่เรื่องการโจมตีเท่านั้น

        และที่สำคัญไปกว่านั้นคือค่าความเป็นเลิศของมันมีถึง 97% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากจริงๆ

        ตอนนี้ผมดีใจจนแทบบ้า ผมรีบปรับสถานะของผึ้งแม่ทัพเพื่อต่อสู้ทันทีก่อนจะพามันไปเก็บเลเวล อีกอย่างผมต้องตั้งชื่อให้มันด้วย ถ้าเรียกมันว่าผึ้งแม่ทัพต่อไปเรื่อยๆ ก็ออกจะแปลกไปหน่อย นอกจากนี้เนื่องจากมันเป็นสัตว์ที่ถือไดว่าเป็นอาวุธอันร้ายกาจในการทำลายล้างศัตรู ยังไงซะผมก็ควรตั้งชื่อให้มันฟังดูน่ารักบ้องแบ๊วสักหน่อย แบบนี้สิถึงจะทำให้ศัตรูไม่สามารถจับพิรุธในความเก่งกาจของมันได้ หึๆ!

        หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งผมก็นึกชื่อให้เจ้าผึ้งแม่ทัพตัวนี้ได้สักที ต่อไปนี้ชื่อของแกคือ “เจ้าจุกนมจุ๊บๆ ” ก็แล้วกันนะ

        วู้ว! ช่างเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรงจริงๆ!

        เจ้าจุกนมจุ๊บๆ ฉันจะให้ชื่อของแกถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ของเกมนี้ หลังจากนี้ไปแกจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่มีใครมาแทนที่ได้ และแกจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนหวั่นเกรงไปอีกนานนับสหัสวรรษเลยคอยดู!!!

         

         

……………………………………………………………………………………………………….

        [1] บัมเบิ้ลบี เป็นชื่อตัวละครจากภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส ชื่อนี้มาจากสีของตัวละครที่เป็นสีเหลืองสลับดำ คล้ายกับสีของผึ้งบัมเบิ้ลบี

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
25 เมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.29 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 25 เยี่ยนจ้าวอู๋ซวง

 

        ผัวะ!

        ดาบในมือของผมฟาดปีกของเจ้าผึ้งสังหารจนตาย

        พร้อมกับแสงสีทองที่สาดส่อง เวลานี้ทั้งผมและเจ้าจุกนมจุ๊บๆ เลเวลอัปแล้ว เจ้าจุกนมจุ๊บๆ กระพือปีกบินเต้นระบำรอบตัวผมด้วยท่าทางมีความสุข

        ค่าสถานะทั้ง 10 พอยต์ของผมและเจ้าจุกนมจุ๊บๆ ถูกเติมเต็มไปยังพลังโจมตีทั้งหมด หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เจ้าจุกนมจุ๊บๆ ก็เลเวล 15 แล้ว และพลังโจมตีของมันก็สูงถึง 150 พอยต์ หลังจากเปิดตารางสัตว์เลี้ยงขึ้นมาผมถึงกับตะลึง ให้ตายเถอะ เลเวล 15 แท้ๆ แต่พลังโจมตีมากกว่าผมอีกนะเนี่ย!

        [เจ้าจุกนมจุ๊บๆ] (ผึ้งแม่ทัพ)

        เลเวล:15

        พลังโจมตี:192-291

        พลังป้องกัน:101

        HP:305

        MP:173

        สกิล: [การโจมตีแบบคอมโบ (LV-1) ]

        ……

        ช่างเป็นพลังโจมตีที่น่าดึงดูดเหลือเกิน พลังของมันในเวลานี้เทียบเท่ากับนักดาบเลเวล 15 การโจมตีและการป้องกันถือว่าไม่เลวเลย และมันก็พร้อมจะร่วมต่อสู้ไปกับผมแล้วด้วย!

        ผมเปลี่ยนคำสั่งจากโหมดสัตว์เลี้ยงเป็นโหมดต่อสู้ทันที

        ผมจ้องเจ้าผึ้งสังหารก่อนใช้ดาบชี้ไปข้างหน้า “จัดการซะ! ”

        สวบ!

        ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เจ้าจุกนมจุ๊บๆ ก็บินไปอย่างไม่รีรอ จุ๊ๆ ความว่องไวระดับ 4.5 ดาวนี่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย ค่าความเป็นเลิศ 97% ของมันถือว่ายอดเยี่ยมสุดๆ สัตว์เลี้ยงแบบนี้ถือเป็นฝันร้ายของผู้เล่นที่คิดจะเป็นศัตรูของผมเลยละ!

        เจ้าจุกนมจุ๊บๆ บินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะกระดกก้นน้อยๆ ที่มีพิษจนเกิดแสงสีทอง “สวบๆ ” ซึ่งทำให้เกิดตัวเลขค่าเสียหายขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้ง ทันใดนั้นมันก็ยืดตัวขึ้นเริ่มโจมตีครั้งที่ 3

        “-197! ”

        “-201! ”

        “-312! ”

        ……

        ในที่สุดเจ้าผึ้งสังหารก็ถูกฆ่าตายภายในหนึ่งวินาที!

        ผมถึงกับตาค้างเมื่อเห็นฉากตรงหน้า เจ้าจุกนมจุ๊บๆ นี่สุดยอดเกินไปแล้ว สามารถฆ่ามอนสเตอร์เลเวล 24 ได้ภายในหนึ่งวินาทีทั้งๆ ที่มันยังแค่เลเวล 15 เนี่ยนะ

        เจ้าจุกนมจุ๊บๆ บินกลับมาด้วยท่าทางร่าเริง ทันใดนั้นผมก็เริ่มดูถูกความสามารถในการโจมตีของตัวเองในฐานะฮีลเลอร์สายบู๊ขึ้นมา เฮ้อ ช่างเถอะ กลับเมืองก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงเศษกว่าจะถึง 6 โมงเย็น รีบกลับไปหาเงินก่อนไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับช่วงค่ำดีกว่า อันที่จริงเรื่องงานเลี้ยงเต้นรำพวกนี้ ผมเองก็เคยเข้าร่วมเหมือนกันเมื่อคราวอยู่ที่บาหลี โตเกียว กรุงโซล ดังนั้นนอกจากภาษาอังกฤษแสนห่วยแตกแล้ว อย่างอื่นผมค่อนข้างมั่นใจนะ

        เมื่อกลับมาถึงเมืองแล้ว ผมก็เอาเจ้าจุกนมจุ๊บๆ ไปเก็บทันที การเปิดเผยเจ้านี่ดูจะเป็นเรื่องประเจิดประเจ้อเกินไปหน่อย ตอนนี้ผมเป็นแค่ฮีลเลอร์เลเวล 22 คนหนึ่ง ยังไม่มีใครสนใจผมหรอก แต่ถ้าปล่อยให้เจ้าจุกนมจุ๊บๆ ออกมาเพ่นพ่าน ผมอาจกลายเป็นจุดเด่นทันที แถมยังตกเป็นเป้าสายตาได้ง่ายๆ อีกด้วย เพื่อให้การเพิ่มเลเวลของผมเป็นไปได้เร็วขึ้น ตอนนี้ผมจึงต้องห้ามทำตัวเด่นเกินไป

        พอกลับมาถึงเมืองปาหวางผมก็เริ่มเปิดแผงลอยทันที โดยนำอุปกรณ์ระดับขาวมาวาง และเอาเจ้าผึ้งสังหารที่มีค่าความเป็นเลิศ 74% ออกมาขาย ก่อนจะตะโกนเรียกลูกค้า “เร่เข้ามาๆ ผึ้งสังหารค่าความเป็นเลิศ 74% ตั้งขายที่เมืองปาหวางแล้วจ้า พลังโจมตี 4.5 ดาว ถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีระดับยอดเยี่ยมในเวลานี้เลย ใครมีเงินอยากได้เจ้านี่กลับไปก็เข้ามาดูได้นะจ๊ะ! ”

        หลังจากตะโกนออกไป คนจำนวนมากก็เริ่มสนใจและเดินเข้ามาสอบถาม

        “ขี้โม้หรือเปล่าเนี่ย? การโจมตี 4.5 ดาวเลยเหรอ? เวอร์ไปหรือเปล่า”

        “นั่นสิ แถมยังมีค่าความเป็นเลิศ 74% อีก โม้หรือเปล่าวะเนี่ย ทั้งเมืองปาหวางสัตว์เลี้ยงที่มีค่าความเป็นเลิศสูงที่สุดก็คือค้างคาวแวมไพร์ที่มีค่าความเป็นเลิศ 69% เท่านั้นแหละ”

        “ฮ่าๆ เจ้าบ้านี่ประสาทชะมัด”

        ……

        แต่หลังจากที่ผมเปิดค่าสถานะของเจ้าผึ้งสังหารให้ดู คนพวกนั้นก็เงียบเสียงทันที พร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมีข้อห้ามไม่ให้มีการฆ่ากันภายในเมือง ผมคงจะฆ่าชิงทรัพย์พวกบ้านี่ไปแล้ว!

        เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเลเวล 23 คนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับดาบและเสื้อคลุมที่ปกปิดใบหน้าของเขา แล้วเสียงที่แหบพร่าก็ดังขึ้น “เฮ้ เจ้าผึ้งสังหารนี่ขายเท่าไร? ”

        ผมชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “ราคานี้”

        “30 เหรียญทอง? ตกลง! ”

        “เปล่า 300 เหรียญทอง”

        “แพงไปหรือเปล่า ฉันซื้อไม่ไหวหรอก...”

        ……

        มีหลายคนที่เข้ามาถามราคาของเจ้านี่ แต่กลับไม่มีใครมีเงินเกิน 100 เหรียญทองเลยแม้แต่คนเดียว เงินจำนวน 100 เหรียญทองในเวลานี้เทียบเท่ากับเงินจริง 2,500 หยวน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีคนยอมควักเงิน 7,500 หยวนเพื่อซื้อสัตว์เลี้ยงตัวนี้ แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าต้องมีคนที่มีปัญญาซื้อในราคาที่ผมตั้งไว้ โดยเฉพาะคนที่อยู่ภายในเกมนี้ ขอเพียงของมีคุณภาพ ต่อให้ขาย 7.5 หมื่นหยวนก็ยังคุ้มค่าที่จะซื้อ ผึ้งตัวนี้มีค่าความเป็นเลิศ 74% ซึ่งยังไม่ถือว่าสูงที่สุด ถ้ามันมีค่าความเป็นเลิศ 100% ละก็ ราคาของมันคงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

        การโจมตีและค่าความเป็นเลิศของสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก สัตว์เลี้ยงที่มีค่าโจมตี 5 ดาวและมีค่าความเป็นเลิศ 50% หรือมีค่าการโจมตี 3 ดาว แต่มีค่าความเป็นเลิศ 100% ต่างก็มีราคาขายเหมือนกัน ซึ่งมันมีความสมเหตุสมผลในการคำนวณราคาของสัตว์เลี้ยงพวกนี้

        ติ๊ง!

        ทันใดนั้นก็มีข้อความส่งมาหาผม และมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเยว่ชิงเฉี่ยนที่เป็นเพื่อนในเกมเพียงคนเดียว “นี่เซียวเหยา นายกำลังขายผึ้งสังหารที่มีค่าความเป็นเลิศ 74% อยู่เหรอ? ”

        “ใช่ เธอสนใจเหรอ? ”

        “ใช่ นายอย่าเพิ่งขายนะ รอฉันแป๊บนึง อีก 2 นาทีถึง”

        “อื้อ”

        ผ่านไป 2 นาที เยว่ชิงเฉี่ยนก็ถือกริชแดงโลหิตแหวกกลุ่มคนมาหาผมก่อนส่งยิ้มหวาน หลังจากตรวจสอบค่าสถานะของผึ้งสังหารแล้วเธอก็แลบลิ้นออกมา “ว้าว เป็นสัตว์เลี้ยงที่ยอดเยี่ยมตัวหนึ่งเลยนะเนี่ย นี่เซียวเหยา นายตั้งราคาเจ้านี่ไว้เท่าไรน่ะ? ”

        ผมยิ้ม “กำลังรอราคาน่ะ ใครให้มากกว่าก็ขายให้คนนั้น แต่ถ้าเธออยากได้ ฉันจะลดราคาให้ก็แล้วกัน”

        เยว่ชิงเฉี่ยนยิ้มก่อนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ยังไงฉันก็ไม่มีปัญญาซื้อสัตว์เลี้ยงตัวนี้อยู่ดี แต่ลุงใหญ่ของพวกเราอยากได้น่ะ นายรอแป๊บนะ เดี๋ยวเขาจะมาคุยกับนายด้วยตัวเอง”

        “อื้อ”

        หลังจากรอไม่นาน นักดาบเลเวล 26 คนหนึ่งก็เดินแหวกกลุ่มคนเข้ามา เหนือศีรษะของเขามีตัวอักษรลอยสะดุดตา

        ID :เยี่ยนจ้าวอู๋ซวง เลเวล 26 อาชีพนักดาบ (ผู้เล่นอันดับหนึ่งของเมืองปาหวาง)

        ……

        ให้ตายเถอะ คนที่ถูกจัดอยู่อันดับต้นๆ มีสัญลักษณ์แสดงขนาดนี้เลยหรือนี่ แถมชื่อยังเป็นตัวอักษรสีทองอีก เท่ชะมัด แม้แต่บนไหล่ของเยว่ชิงเฉี่ยนซึ่งถูกจัดอยู่ลำดับที่ 4 ก็ยังมีฉายาสีทองลอยอยู่เหมือนกัน ถือเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนและแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าของเลยนะเนี่ย น่าอิจฉาชะมัด!

        เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงซึ่งดูมีอายุแล้วมองผมพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้า “นายคือเซียวเหยาจื้อจ้ายสินะ? ไม่เลวเลยนี่ อายุแค่นี้แต่มีความสามารถขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าหลังจากนกขนสีเงินแล้ว นายจะสามารถผนึกผึ้งสังหารด้วยตัวเองอีก ได้ยินว่านายไม่ต้องพึ่งพาใครสักคนเลยด้วย แถมยังสามารถเปลี่ยนคลาสเป็นฮีลเลอร์เต็มตัวได้อีก เยี่ยมจริงๆ ”

        ผมยิ้ม “เถ้าแก่จะซื้อผึ้งสังหารหรือครับ? ”

        เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงพยักหน้า “ใช่ นายขายเท่าไรล่ะ? ”

        ผมส่ายหน้า “ไหนๆ ของก็อยู่ตรงนี้แล้ว คุณเสนอราคามาเลยครับ ถ้าราคาสมเหตุสมผล ผมจะขายให้”

        “งั้นเหรอ...”

        เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงเงียบไปก่อนจะชูนิ้วขึ้นมา 5 นิ้ว “500 เหรียญทอง ขายหรือเปล่า? ถ้านายขาย ฉันจะเอาเงินมาให้ทันที”

        ผมพยักหน้า “ตกลงครับ 500 เหรียญทอง”

        “ได้ ช่างเป็นความเจ็บปวดที่มีความสุขจริงๆ ฮ่าๆ งั้นรอฉัน 10 นาทีนะ”

        “ได้ครับ”

        เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงที่ถือดาบเหล็กสีดำเดินออกไปพร้อมกับเยว่ชิงเฉี่ยนพลางพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ในขณะที่ผมยังคงขายอุปกรณ์ระดับขาวให้ลูกค้ารายอื่น ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงกับคนอีก 3 คนก็เดินมาหน้าแผงลอยของผมก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “น้องชาย เงินครบแล้ว มาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันเลย”

        “ได้ครับ”

        ผมเปิดตารางแลกเปลี่ยนซื้อขายก่อนนำเจ้าผึ้งสังหารวางลงในตาราง ในเวลาเดียวกันก็ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าจะไม่พลาดเอาเจ้าจุกนมจุ๊บๆ ที่รักใส่ลงไปในช่องแลกเปลี่ยนซื้อขาย เพราะค่าสถานะของเจ้าจุกนมจุ๊บๆ ของผมยอดเยี่ยมกว่าผึ้งสังหารเสียอีก และแน่นอนว่าหลังจากนี้ต่อให้มีคนเสนอเงินถึง 5,000 เหรียญทอง ผมก็ไม่ขายหรอก

        ……

        ติ๊ง! เสียงการแลกเปลี่ยนซื้อขายเสร็จสิ้นพร้อมกับเงิน 500 เหรียญทองที่มาอยู่ในมือผม เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงปรบมือก่อนจะนำผึ้งสังหารออกมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เซียวเหยาจื้อจ้าย นายไม่คิดจะเข้าร่วมกิลด์ปรากของพวกเราจริงเหรอ? ถึงแม้ว่ากิลด์ในเมืองปาหวางจะเยอะมาก แต่ฉันมั่นใจว่ากิลด์ปรากของพวกเรามีความแข็งแกร่งในการแข่งขันยอดเยี่ยมที่สุด ถ้านายเข้าร่วมกับพวกเรา ความสามารถของนายในเวลานี้สามารถขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ ได้เลยนะ”

        ผมยิ้ม “ขอบคุณมากครับ แต่ผมคงจะไม่เข้าร่วมกิลด์หรอกครับ เพราะผมมีเพื่อนแล้ว”

        “ก็ได้ๆ งั้นไว้เจอกันใหม่นะ”

        “ลาก่อนครับ”

        เยว่ชิงเฉี่ยนเอามือไพล่หลังก่อนจะหันมายิ้มให้แล้วเดินออกไปพร้อมกับลุงใหญ่ ให้ตายเถอะ หน้าตาของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงอัปลักษณ์อย่างกับอู๋เมิ่งต๋า ดันเอาคนสวยๆ แบบเยว่ชิงเฉี่ยนไปอยู่กับตาลุงเนี่ยนะ น่าเสียดายชะมัด

        ……

        หลังจากดูเวลาก็พบว่าใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้ว ท้องผมเริ่มร้องด้วยความหิว ผมจึงตัดสินใจออกจากระบบไปรอสาวๆ ใต้หอพักหญิง

        ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด ผมจึงเลือกไปยืนรออยู่ใต้แสงสว่างจากโคมไฟ หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง หลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ก็เดินลงมา นัยน์ตาของผมลุกวาวเมื่อเห็นสองสาว หลินหว่านเอ๋อร์ในชุดเดรสสีน้ำเงิน ใบหน้ารูปไข่ของเธอยามอยู่ภายใต้แสงสว่างช่างน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน แถมยังเนินเขาขนาด D34 ที่นูนออกมานั่นอีก ช่างเป็นเนินเขาที่อวบอิ่มขาวเนียนดีจัง ไม่เพียงแค่เนินเขาเท่านั้น ร่องลึกตรงกลางนั่นทำให้วิญญาณผมแทบจะหลุดออกจากร่างแล้วกระโดดลงไปแหวกว่ายในนั้นซะเดี๋ยวนี้เลย

        ผมกลืนน้ำลายทันที เฮ้อ เจ้านายผมนี่สวยจังแฮะ อดทนไว้ๆ

        ขณะเดียวกันตงเฉิงเยว่ในชุดเดรสสีขาวก็ควงแขนมาพร้อมหลินหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้ทั้งคู่ดูราวกับฝาแฝด จากนั้นหลินหว่านเอ๋อร์ก็เดินมาข้างหน้า เธอมองผมแล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”

        ส่วนผมนั้นมองเธอด้วยสายตาเหมือนวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว

        “นี่ จะมองอีกนานไหม? ” หลินหว่านเอ๋อร์หน้าแดง

        ตงเฉิงเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “นี่เซียวเหยา วันนี้หว่านเอ๋อร์ดูดีมากเลยใช่ไหมล่ะ? ”

        ผมพยักหน้า “อื้อ”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “นี่ เลิกมองด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว นายยังต้องอยู่กับหว่านเอ๋อร์อีกนาน ยังไงก็มีโอกาสได้เห็นอีก”

        “อื้อ”

        ผมรีบหมุนตัว “ไปกันเถอะ รีบไปงานเลี้ยงกั...”

        โป๊ก! เสียงศีรษะกระแทกกับเสาไฟ พร้อมด้วยหมู่ดาวที่ลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะ ให้ตายเถอะ! เสาไฟบ้านี่มาตั้งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรฟะ!

        สองสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนเดินไปยังห้องโถงจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องโถงที่หรูหราที่สุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เมื่อก่อนผมกินแต่ข้าวผัดราคาถูกมาตลอด แต่ครั้งนี้มีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ หึๆ ต้องมีอาหารอร่อยๆ รออยู่ตรงหน้าแน่ๆ หวานหมูละงานนี้!

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
26 เมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.40 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 26 ที่แท้ก็แกนี่เอง

 

        ภายในหอประชุมใหญ่ ณ มหาวิทยาลัยหลิวหัว

        หน้าประตูเต็มไปด้วยกลุ่มผู้ร่วมงานไม่น้อยที่กำลังรอเข้าไปในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ บริเวณปากทางเข้าหอประชุมมีกลุ่มชายสวมชุดทักซิโด้สีดำกำลังยืนตรวจตราคนเข้างาน ดูเหมือนจะต้องมีบัตรเข้างานสินะจึงจะเข้าไปได้ อันที่จริงถ้ามีบัตรนักศึกษาใหม่ก็สามารถเข้าได้เหมือนกัน

        “นี่เซียวเหยา... อย่าบอกนะว่านายไม่ได้เอาบัตรนักศึกษามาน่ะ...” ตงเฉิงเยว่หันมามองผมพร้อมยิ้ม

        ผมล้วงกระเป๋าก่อนจะดึงบัตรออกมา “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นสักหน่อย นี่ไง เอามาแล้ว”

        “โอเค งั้นเข้าไปในงานกันเถอะ”

        หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าก่อนลากตงเฉิงเยว่เข้าไปด้านใน สองสาวเดินเข้าไปในงานเลี้ยงด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับเอลฟ์สาวยามราตรี ขณะที่ผมเดินตามหลังไปติดๆ ตอนที่ยื่นบัตรให้ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่หน้าประตู คนพวกนั้นก็ชะงักก่อนจะพยักหน้าให้ผม “อื้อ เข้าไปได้”

        ……

        เมื่อเข้ามาด้านในแล้วผมก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะภายในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยแก้วไวน์มากมาย ให้ตายเถอะพระเจ้า! หรูหราชะมัด ใครกันนะที่ออกเงินจัดงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ คงจะเป็นพวกเศรษฐีที่ร่ำรวยแน่ๆ เลย

        ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าเพดานถูกตกแต่งด้วยโคมไฟนับหมื่นเสมือนดวงดาราที่ประดับอยู่บนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ใช้คำว่างดงามไม่ได้แล้วสิ ควรจะเรียกว่าเป็นงานเลี้ยงหรูหราระดับพรีเมียม

        “สาขาวิชาภาษาจีน คลาส 1! ”

        ไกลออกไปมีกลุ่มผู้ชายใส่ชุดทักซิโด้ยกมือขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ “เฮ้! หลินหว่านเอ๋อร์กับตงเฉิงเยว่ นักศึกษาใหม่ชั้นปีที่ 1 ใช่ไหม? โต๊ะของสาขาวิชาภาษาจีน คลาส 1 นั่งตรงนี้! ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะเดินนำผมและตงเฉิงเยว่ไปที่โต๊ะด้านหน้า ทันใดนั้นชายหนุ่มที่มีหนวดเคราก็เดินมาข้างหน้า เขายื่นมือออกมาพร้อมยิ้ม “สวัสดีหลินหว่านเอ๋อร์ ฉันเป็นประธานนักเรียนของคณะภาษาจีน ชั้นปีที่ 4 ชื่อแจ๊คนะ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ไม่ได้ยื่นมือไปรับคำทักทาย เธอแค่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ”

        เพราะถูกปฏิเสธการจับมือทักทาย ทำให้อีกฝ่ายหน้าเจื่อนทันที

        ผมก้าวไปด้านหน้าก่อนยื่นมือไปจับมือเขาพร้อมกับยิ้ม “สวัสดีครับ ผมหลี่เซียวเหยา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 แล้วก็เป็นเพื่อนของหลินหว่านเอ๋อร์ด้วย ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

        แจ๊คชะงักไปก่อนยิ้มออกมา “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ...”

        ตงเฉิงเยว่แอบยิ้มก่อนลากหลินหว่านเอ๋อร์ไป “นี่หว่านเอ๋อร์ พวกเรานั่งตรงนี้ก็แล้วกันเนอะ เซียวเหยา ทักทายรุ่นพี่เสร็จแล้วก็มานั่งกับพวกฉันนะ”

        “อื้อ”

        ……

        ผมมองเสื้อสูทราคาแพงของแจ๊ค ดูเหมือนจะเป็นยี่ห้อ Metersbonwe แฮะ ส่วนกางเกงน่าจะเป็นแบรนด์ G2000 รองเท้านั่นคงเป็น XEP สินะ คาดว่าจะเป็นการแต่งตัวผสมผสานระหว่างแบรนด์เนมกับโนเนม แต่ก็ช่างเถอะ คนจะสูงหรือต่ำอยู่ที่การกระทำและการวางตัวมากกว่าเสื้อผ้าหน้าผม หลังจากทักทายเขาเสร็จ ผมก็หมุนตัวเดินไปนั่งข้างหลินหว่านเอ๋อร์ วันนี้ผมมาในฐานะนักศึกษาใหม่และเพื่อนของหลินหว่านเอ๋อร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลินเทียนหนานเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว รวมถึงการช่วยผมเปลี่ยนโปรไฟล์ส่วนตัวด้วย แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นประวัติการทำงานก่อนหน้านี้ของผมไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งทหารรับจ้าง กองกำลังพิเศษ ตำรวจพิเศษ ตำรวจเกี่ยวกับคดีอาญา ตำรวจจราจร หรือแม้แต่ตำแหน่งยาม เรื่องพวกนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของหลินเทียนหนานอยู่แล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการเช่นกัน

        เพียงไม่นาน สถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่มีใบหน้าไร้เดียงสา นักศึกษาใหม่ชั้นปีที่ 1 ส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง ในขณะที่ประธานนักเรียนคนนั้นใส่เสื้อผ้าเกรดกลางๆ ดูแล้วเหมือนไม่ใช่งานเลี้ยงต้อนรับเท่าไร แต่เหมือนงานอวดร่ำอวดรวยกันเสียมากกว่า

        ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาจากด้านหลัง สายตาของนักศึกษาชายสาขาวิชาภาษาจีน คลาส 2 ที่ให้ความรู้สึกแบบนักล่าที่ได้กลิ่นอันหอมหวานของเหยื่อ ซึ่งเหยื่อที่พูดถึงก็คือหลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ ให้ตายเถอะ ตอนนี้ผมคงดูเหมือนกับพวกหล่อเลือกได้ แต่ก็นั่นแหละนะ แม้จะอยู่ห่างจากคนพวกนั้น แต่ผมก็ยังได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่ดี

        “พวกนายดูสาวสวยที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ สองคนนั้นสิ นั่นมันสาวงามสาขาวิชาภาษาจีนชั้นปีที่ 1 ที่เขาพูดถึงกันไม่ใช่เหรอ? เห็นว่าชื่อหลินหว่านเอ๋อร์กับตงเฉิงเยว่ สวยสมกับที่ได้ยินมาจริงๆ ”

        “หลินหว่านเอ๋อร์เหรอ?! ใช่หลินหว่านเอ๋อร์ที่ร้องเพลง Heart of time นั่นหรือเปล่า? ให้ตายเถอะ ฉันเคยเห็นเธอในโปสเตอร์ เป็นเธอจริงๆ ด้วย! หลินหว่านเอ๋อร์ปะ... เป็น... เป็นเทพธิดาในดวงใจของฉันเลยนะ... ทะ... ทำไมจู่ๆ ฉันถึงพูดตะกุกตะกักละเนี่ย...”

        “สายตานายนี่แย่ชะมัด! ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าหลินหว่านเอ๋อร์ชัดๆ! ”

        “จะว่าไป ไอ้หมอนั่นที่นั่งข้างๆ เป็นใครวะ? ดูเหมือนจะสนิทกับหลินหว่านเอ๋อร์มากเลยนะนั่น”

        “ไม่เห็นต้องไปสนใจ ใส่เสื้อผ้าเห่ยขนาดนั้น ดูก็รู้ว่ามาเพื่อกินเดี๋ยวหลังจากพิธีเปิดเริ่ม พวกเราก็แค่ไปชนแก้วกับเจ้าหมอนั่นสักหน่อย แล้วก็ลากมันออกไป แค่นี้ก็ทางสะดวกแล้วละ”

        ……

        ผมหันไปมองคนที่พูดก่อนพบว่าเป็นชายหนุ่มย้อมผมสีแดง อายุราว 25 ปี ก็ไม่ห่างกับผมมากเท่าไร แต่หน้าตาดูหยิ่งยโสชะมัด เจ้านั่นใส่ชุดสีแดงเข้มที่ดูแล้วน่าจะเป็นเสื้อผ้าแบรนด์ดัง แม้แต่นาฬิกาข้อมือก็ยังส่องแสงสีทองวิบวับ อืม คงจะเป็นยี่ห้อ Vacheron Constantin รุ่นลิมิเต็ด อิดิชัน ปี 2016 สินะ สินค้าเกรดบนที่มีราคาถึง 2 ล้านหยวน อันที่จริงผมก็เคยเห็นผ่านๆ แค่ในนิตยสารเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับของพวกนี้นักหรอก

        “เจ้าผมแดงนั่นใครเหรอ? ” ผมหันไปหาตงเฉิงเยว่ “ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าชะมัด เยว่เอ๋อร์ อย่าเพิ่งรีบหันไปนะ เดี๋ยวเจ้านั่นสงสัย”

        ตงเฉิงเยว่หมุนแก้วในมือก่อนจะแอบหันไปแล้วกระซิบ “หลิวอิง เป็นลูกชายของประธานกรรมการหางโจวเฟิงหลิงกรุ๊ป เห็นว่าเป็นนักศึกษาปี 3 แต่ไม่รู้ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่ชื่อเสียงของหมอนั่นไม่ค่อยดีเท่าไร อยู่ห่างๆ ไว้ก็ดีเหมือนกัน”

        ผมพยักหน้า “อื้อ เข้าใจแล้ว”

        ในเวลาเดียวกัน หลินหว่านเอ๋อร์ก็เม้มปากหันมามองผม “นายจะสนใจเจ้าหมอนั่นไปทำไม? ”

        ผม “เปล่า ก็แค่คิดว่าอีกสักพักเจ้าพวกนั้นก็คงจะมาขอเต้นรำหรือไม่ก็ขอชนแก้วแน่ๆ ก็เลยอยากเตรียมตัวไว้ก่อน”

        หลินหว่านเอ๋อร์ “...”

        ……

        ตอนนั้นเองก็มีคนเดินมานั่งข้างผม ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจ้าแว่นถางกู่นี่เอง

        “ฮ่าๆๆๆ ที่แท้นายก็อยู่ที่นี่เอง...” ถางกู่โอบไหล่ผม แต่สายตาจ้องไปที่สองสาว ฮึ่ย! ไอ้แว่น!

        ผมผลักมือเจ้าแว่นออกพร้อมพูด “เจ้าแว่น ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย? ”

        “ให้ตายเถอะ ฉันก็นักศึกษาชั้นปี 1 แถมยังอยู่สาขาภาษาจีนเหมือนกันนะเว้ย ไม่งั้นฉันจะเป็นรูมเมตอยู่ห้องเดียวกับนายได้ไงฟะ? ”

        ผม “…”

        ถางกู่มองไปที่หลินหว่านเอ๋อร์ ทันใดนั้นเสียงของเขาก็สั่นด้วยความประหม่าพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีแดงก่ำคล้ายจะเป็นลม “หลินหว่านเอ๋อร์... เอ่อ... สวัสดี... ผะ... ผมถางกู่ เป็นรูมเมตของหลี่เซียวเหยา... ยะ... ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...”

        หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มก่อนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชวนหลงใหล “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน...”

        ตอนนี้ถางกู่ดูเหมือนคนที่เจียนจะขาดใจตายเมื่ออีกฝ่ายตอบรับกลับ เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดหน้าจอรัวๆ พร้อมกระซิบกับผมว่า “เจ้าหลี่ นายนี่โชคดีชะมัดเลย”

        ผม “โชคดีบ้าอะไรของนาย? ”

        “ยังจะมาทำฟอร์มอีก! ” พูดจบถางกู่ก็ยื่นมือถือมาตรงหน้า “นายดูในกลุ่มของมหาวิทยาลัยช่วง 2 วันมานี้สิ! ธรรมเนียมของที่นี่คือเมื่อมีนักศึกษาใหม่เข้ามา เขาจะมีการจัดลำดับสาวงามสิบอันดับแรกด้วยนะเว้ย! ”

        “เอ๋? มีจัดอันดับด้วย...”

        “ก็ใช่น่ะสิ...” ถางกู่รีบเช็ดน้ำลาย “ตอนนี้ผลโหวตออกมาแล้วด้วยนะ หลินหว่านเอ๋อร์ถูกจัดให้เป็นสาวงามอันดับ 1 ส่วนตงเฉิงเยว่ถูกจัดอยู่อันดับ 2 ก่อนหน้านี้ซือถูเสว่นักศึกษาชั้นปี 2 ที่เคยถูกจัดให้อยู่อันดับ 1 ก็ร่วงลงไปอยู่อันดับ 3 ซะงั้น ส่วนหวางหรานกับหลิวลู่ที่อยู่อันดับ 4 อันดับ 5 ก็ร่วงลงไปเหมือนกัน”

        ผมกระตุกมุมปาก “ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย...”

        หลินหว่านเอ๋อร์กวาดตามองมาก่อนพูดขึ้น “นั่นน่ะสิ น่าเบื่อชะมัด”

        นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เธอเห็นด้วยกับผม

        ถางกู่หัวเราะหึๆ ก่อนกวาดตามองไปรอบๆ ตอนที่สายตาของเขาสบกับหลิวอิง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “นี่ เจ้าหลี่ หลินหว่านเอ๋อร์กับตงเฉิงเยว่เป็นเพื่อนนายจริงๆ เหรอ? ”

        ผมพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ ทำไมเหรอ? ”

        “งั้นนายก็ดูแลพวกเธอดีๆ หน่อยแล้วกัน...”

        “มีอะไรหรือเปล่า? ”

        “นายรู้จักเจ้าหลิวอิงไหม? ” ถางกู่กระซิบให้ได้ยินกันแค่เขากับผม “เจ้านั่นเป็นลูกชายของเฟิงหลิงกรุ๊ป เป็นนักศึกษาชั้นปี 3 เข้ามาที่นี่ได้ 2 ปีแล้ว ฉายาของมันคือ นักฆ่าสังหารดอกไม้มหา’ลัย สาวงาม 10 อันดับต้นๆ ของที่นี่นอกจากซือถูเสว่ หวางหราน และหลิวลู่ คนอื่นๆ ล้วนถูกเจ้านั่นลากขึ้นเตียงหมด”

        ผมตะลึงจนอ้าปากค้าง

        ทันใดนั้นหลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดขึ้น “พวกผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้น่ารังเกียจที่สุด”

        ผมหันไปมองเธอด้วยความตะลึง ทักษะการฟังของหลินหว่านเอ๋อร์นี่ดีชะมัดเลยแฮะ เธอหันมายิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มกระชากใจก่อนพูดต่อ “นายสบายใจเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ชนแก้วหรือออกไปเต้นรำกับคนแบบนั้นหรอก”

        ผมพยักหน้า “อื้อ”

        ……

        ผ่านไปไม่นาน ผู้ดำเนินรายการก็เดินขึ้นเวทีเพื่อเปิดงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมสามารถไปหาของอร่อยๆ กิน แม้ผมจะไม่รู้จักชื่ออาหารพวกนั้น แต่มันก็อร่อยสุดๆ ไปเลย ส่วนเจ้าแว่นนั่นไม่ต่างจากผมที่เหมือนกับพวกตายอดตายอยากมาเป็นปีๆ เดินตักนู่นตักนี่ไม่หยุดมือ เมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะก็พบกับเพื่อนนักศึกษาสาขาภาษาจีน คลาส 1 ทั้งหมด 20 คน หลังจากแนะนำตัวเองแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก บรรดาหนุ่มๆ ที่โต๊ะต่างพากันกรูเข้าไปทักทาย 2 สาวข้างๆ ผม ขณะที่ผมกับเจ้าแว่นได้แต่ตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป

        หลังจากกินไปได้ครึ่งทาง ด้านหลังผมก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามา ซึ่งล้วนแต่เป็นนักศึกษาใหม่จากสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และมาพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ไวน์ที่พวกเขาดื่มไปก่อนหน้านี้ โดยวัตถุประสงค์ที่มานี่ก็เพื่อจะชนแก้วกับสาวงามสาขาวิชาภาษาจีน ชายหนุ่มผู้มีร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่งโปรยยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “หนุ่มๆ จากสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์มาถึงนี่กันหมดแล้ว หลินหว่านเอ๋อร์คนสวยคงจะไม่ปฏิเสธพวกเราหรอกใช่ไหมครับ? ”

        “จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ...”

        หลินหว่านเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน ยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ก่อนจะหันมามองผมด้วยใบหน้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดง มันทำให้ผมเริ่มลำบากใจ

        มีคนเข้ามาขอชนแก้วหลินหว่านเอ๋อร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเธอเองก็ไม่ปฏิเสธเลย ขณะที่นั่งอยู่ก็หันมามองหน้าผมด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาจนผมไม่กล้าสบตาด้วย เป็นเพราะมันดูคล้ายว่าเธอกำลังโกรธ คงจะโมโหที่ว่าทำไมพ่อตัวเองถึงได้ส่งให้ผมมาจับตามองเธอที่นี่ ทำไมถึงไม่ให้เธอได้ใช้ชีวิตอิสระแบบคนอื่นๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเองก็รู้ดี แต่ผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เหมือนกัน

        “นี่คุณหนู คุณดื่มเยอะเกินไปแล้วนะ ผมว่าเรากลับกันเถอะ”

        ผมยื่นมือไปจับข้อมือของหลินหว่านเอ๋อร์ โอ้โฮ! นุ่มดีจังวุ้ย

        “อย่ามาถูกตัวฉัน! ”

        หลินหว่านเอ๋อร์สะบัดข้อมือออกราวกับถูกไฟดูดพร้อมทำท่าราวกับว่าได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นตงเฉิงเยว่ก็ถามด้วยความสงสัย “นี่หว่านเอ๋อร์ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ”

        หลินหว่านเอ๋อร์มองมาที่ผม “โทษที ฉัน...”

        ผมไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น ทำได้เพียงมองเธอเงียบๆ

        ……

        ในเวลานั้นเองก็มีคนจากโต๊ะอื่นเดินมาด้านหลังของผมก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงคุ้นหู “หลินหว่านเอ๋อร์ครับ ผมชื่อหลิวอิงนะ ถ้าจะขอชนแก้ว คุณจะรังเกียจหรือเปล่าครับ? ”

        ผมลุกขึ้นด้วยสายตาดุดันก่อนหันไปหาอีกฝ่าย “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ดื่มไปเยอะแล้ว เดี๋ยวฉันจะดื่มแทนเอง”

        “แกเป็นใครวะ? ”

        หลิวอิงขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับท่าทางก้าวร้าว ทว่าทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ที่แท้ก็แกนี่เอง ไอ้เซียวเหยาจื้อจ้าย! ”

         

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
27 เมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.26 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 27 สุภาพบุรุษต้องล้างแค้นในคืนที่เกิดเรื่องเท่านั้น!

 

        ผมชะงักไปทันที ชื่อ ID ในเกมของผมถูกเปิดเผยแล้ว เจ้าหมอนี่เป็นใครกันถึงได้รู้ชื่อ ID ผม? แต่เมื่อมองคนตรงหน้าดีๆ จึงนึกขึ้นได้ว่า ไอ้คนที่ใส่นาฬิกา Vacheron Constantin บ้านี่ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ ซีฉู่ป้าหวาง คู่อริของผมในเมืองปาหวางนั่นเอง!

        ฉับพลันนั้นผมก็ตั้งสติอีกครั้งก่อนตอบกลับเสียงเรียบๆ “ดูเหมือนว่าฉันจะไม่รู้จักนายมาก่อนนะ”

        ดวงตาของอีกฝ่ายแฝงด้วยความเย็นชาและดุดัน “แกไม่รู้จักฉัน? แต่ฉันรู้จักแก! หึ แกคงใช้ดาบหนามนั่นสบายใจเลยสินะ? แถมตอนที่อยู่ในหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวง แกยังฆ่าพวกฉันตายอยู่ในถ้ำด้วย ไม่เลวเลยนี่! ”

        ผมยิ้มออกมา “ก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่ที่จะทำโทษพวกคนทรยศ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว...”

        “ไสหัวออกไป! ”

        หลิวอิงมองหลินหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก่อนพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าแกจะรู้จักกับหลินหว่านเอ๋อร์คนสวยด้วยสินะ ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสุงสิงอะไรกับแก ไสหัวออกไปซะ หมาที่ดีไม่ควรขวางทางคนเดิน”

        ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ฉันบอกแล้วไงว่าหว่านเอ๋อร์ดื่มไปเยอะมากแล้ว เดี๋ยวฉันจะดื่มแทนเอง”

        “แกมีสิทธิ์อะไรวะ! ”

        หลิวอิงรู้สึกโมโหก็เลยสาดเหล้าในมือใส่หน้าผม กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่ว นี่มันเหล้า 53 ดีกรีที่หมักมาอย่างดีถึง 30 ปี ราคาตั้ง 2.5 หมื่นหยวนเลยนะเว้ย! สิ้นเปลืองชะมัดเจ้าบ้านี่!

        “เจ้าหลี่! ” เจ้าแว่นมองผมก่อนรีบลุกยืน

        ทว่าสายตาอาฆาตของหลิวอิงที่ส่งมาทำให้เจ้าแว่นชะงักจนต้องนั่งลง ไม่กล้าทำอะไร

        ……

        ส่วนผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ พร้อมสายตาที่จับจ้องหลิวอิง ตอนนี้ผมมีวิธีฆ่าเจ้าบ้านี่มากกว่า 20 วิธี แต่ผมต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้นิ่งที่สุด เพราะหลินเทียนหนานและหัวหน้าหวางพูดกับผมไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผมถือเป็นเงาข้างตัวของหลินหว่านเอ๋อร์ ไม่สามารถเปิดเผยตัวตน และห้ามลงมือให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด ผมต้องเก็บตัวเงียบ ไม่เป็นที่สะดุดตาให้มากที่สุด เพราะหากผมลงมือเพียงครั้งเดียว สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่าทันที

        “ทำไม? จะจัดการฉันสินะ? ”

        หลิวอิงยิ้มเยาะ “หรือว่านายเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว ก็เลยไม่กล้าทำอะไรฉัน? ”

        ผมมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเปี่ยมด้วยความอาฆาต

        “ฟึบๆ ”

        เท้าของหลิวอิงก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว ราวกับมันรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่ถูกส่งออกไป

        ทันใดนั้นหลินหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะยกแก้วไวน์แล้วพูดกับหลิวอิง “เอาเถอะๆ ฉันจะชนแก้วกับนายก็แล้วกัน”

        ว่าแล้วเธอก็กระดกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดพร้อมมองมาที่ผมก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเหล้าบนหน้า

        หลิวอิงยืนนิ่งที่เดิมพร้อมถลึงตาใส่ผม “ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะจัดการแก เอาให้เจ็บปวดจนลืมไม่ลงเลยคอยดู! คนอย่างหลิวอิง หากคิดจะจัดการใครแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันลอยหน้าลอยตาได้นานหรอกโว้ย จำไว้! ”

        ผมหันกลับไปมองเพื่อนนักเรียนคลาส 1 ก่อนจะเช็ดคราบที่เปื้อนบนหน้าเงียบๆ จากนั้นก็กระดกเหล้าในแก้วจนหมดเพื่อสะกดอารมณ์ และพยายามบอกกับตัวเองว่า ตอนนี้เขาไม่ใช่พวกเด็กหนุ่มเลือดร้อนเหมือนสมัยก่อน ตอนนี้ผมคือบอดี้การ์ดของหลินหว่านเอ๋อร์ และผมมีภารกิจที่สำคัญกว่าการระเบิดอารมณ์ตัวเองออกไป

        เพื่อนนักเรียนมองผมด้วยสีหน้าตกตะลึงโดยไม่มีใครเอ่ยปากพูดแม้แต่คนเดียว

        ตงเฉิงเยว่มองผมก่อนพูดขึ้น “เซียวเหยา ลำบากนายแล้วนะ...”

        ผมยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร...”

        หลินหว่านเอ๋อร์ลุกขึ้นก่อนจะหันไปหาทุกคน “ขอโทษทีนะทุกคน ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อน”

        พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินออกไป ผมรีบเดินตามไปทันที

        ……

        ด้านนอกงานเลี้ยง ลมเย็นพัดโชยมาอย่างต่อเนื่อง ห่างไปไม่กี่เมตร หลินหว่านเอ๋อร์ที่สวมชุดเดรสสีน้ำเงินกำลังยืนรับลม พร้อมกับขาเรียวยาวขาวประหนึ่งหิมะที่โดดเด่นภายใต้แสงไฟ ดึงดูดสายตาผู้ที่พบเห็น ถึงตอนนี้เป็นเพราะฤทธิ์ไวน์ที่ดื่มเข้าไปทำให้เธอเริ่มเดินเซ ผมรีบวิ่งเข้าไปประคองแขนเธอไว้ “คุณหนูไม่เป็นไรใช่ไหม? ”

        เธอส่ายหน้าก่อนดึงมือออก “อย่ามาถูกตัวฉัน”

        ผม “...”

        ผมเดินตามเธอไปช้าๆ สักพักเธอก็นั่งบนเก้าอี้หินแล้วกอดอก ร้องไห้ ท่าทางของเธอราวกับลูกแมวที่ได้รับบาดเจ็บ

        ผมยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร และไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

        ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมดวงตาที่ยังมีคราบน้ำตา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปนโมโห “หลี่เซียวเหยา นายรู้หรือเปล่าว่าฉันเกลียดนาย ฉันเกลียดนายที่สุดเลย”

        ผม “…”

        เธอยังคงส่งเสียงร้องพร้อมพูดต่อ “นายมันก็เหมือนเงาของเขาที่คอยตามติดฉันตลอดเวลา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย!!! ฉันกับแม่เป็นแค่เครื่องมือของเขางั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ? ทำไมฉันถึงต้องคอยถูกจับตามองเหมือนกับคนที่ทำความผิดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ด้วย? ฉันไม่อยากได้ชีวิตแบบนี้ ฉันเกลียด ฉันเกลียดเขาเหมือนกับที่เกลียดนาย! ”

        ผมยังคงเงียบ และเขาที่เธอพูดถึงคงไม่ใช่ใครที่ไหน เธอกำลังหมายถึงหลินเทียนหนาน พ่อของเธอนั่นแหละ

        “คุณหนู...”

        เวลาผ่านไปครู่หนึ่งผมจึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตอนกลางคืนอากาศเย็น ผมว่ารีบกลับกันเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

        หลินหว่านเอ๋อร์ยังคงนั่งนิ่งพร้อมกับร้องไห้ด้วยความอึดอัดใจ สักพักเธอก็เช็ดคราบน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ “ขอโทษนะ”

        ผมส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ “ไม่เห็นต้องขอโทษเลยครับ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

        “ฉันไม่ควรพูดกับนายแบบนั้น”

        “ไม่เป็นไรครับ ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้...”

        “ประสาท...”

        “หา...”

        “คิๆ ”

        อารมณ์ของผู้หญิงนี่อย่างกับสภาพอากาศเลยแฮะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เฮ้อ! แต่ผมก็รู้ดีว่าแม้ระยะห่างของเราสองคนจะดูเหมือนใกล้กัน แต่จริงๆ แล้วมันช่างห่างเหินเสียเหลือเกิน

        ระหว่างที่เดินอยู่ตรงทางเดิน

        ผมก็ถามขึ้นว่า “นี่คุณหนู… คุณหนูคงอยากฝืนกฎที่มีมากสินะครับ? ”

        เธอหยุดเดินก่อนหันมามองผมด้วยความประหลาดใจ “นะ... นายพูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง? ”

        ผมยิ้มออกมา “ก็ถ้าคุณอยากทำแบบนั้น ผมช่วยคุณได้นะ”

        หลินหว่านเอ๋อร์มองผมเงียบๆ ก่อนจะหัวเราะพร้อมกับตบบ่าผม “ช่างเถอะ ฉันไม่เชื่อนายหรอก เพราะยังไงนายก็เป็นสุนัขรับใช้ของพ่อฉันอยู่ดี”

        “สุนัขรับใช้...” ผมรู้สึกโมโหขึ้นมา

        หลินหว่านเอ๋อร์เดินไปด้านหน้าพร้อมกับหัวเราะ ใช้เวลาไม่นานพวกผมก็เดินมาถึงหอหญิง

        ……

        หลังจากที่เธอกลับขึ้นห้องไปแล้ว สักครู่หนึ่งก็มีสาวสวยหิ้วกระเป๋าสีแดงใบเล็กเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มให้ผม “สุดหล่อ ไปดื่มด้วยกันไหมจ๊ะ? ”

        ให้ตายเถอะ ในมหาวิทยาลัยมีสาวประเภทนี้ด้วยเหรอวะเนี่ย?

        ผมกัดฟันไม่พูดอะไร

        ทันใดนั้นห่างไปไม่ไกลก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาด้วยท่าทางโซซัดโซเซ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน พวกหลิวอิงนี่เอง เจ้านั่นมาพร้อมกับเหล้าขาวที่เหลืออยู่ครึ่งขวดและท่าทางน่าเวทนา “น่าเสียดายชะมัด วันนี้ยังไม่ได้แตะแม้แต่ปลายผมหลินหว่านเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ จุ๊ๆ หุ่นก็โคตรดี แถมใบหน้ารูปไข่ที่งดงามนั่นอีก หึๆ ถ้าลากขึ้นเตียงได้ละก็ จะไม่ให้ลุกจากเตียง 3 วัน 3 คืนเลยคอยดูเถอะ”

        พูดจบเสียงหัวเราะของคนพวกนั้นก็ดังขึ้น

        ได้ยินแล้วผมก็มีแผนในใจ ผมเดินไปด้านหน้าแล้วลากมือผู้หญิงที่เดินเข้ามาทักผม ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างๆ

        “นี่สุดหล่อ อย่ารีบสิ” ว่าแล้วแม่สาวข้างๆ ก็เอาตัวเข้ามาแนบชิดผมพร้อมหายใจแรงจนสัมผัสได้ถึงความร้อน “หรือว่านายอยากจะลองทำกิจกรรมบนพื้นแบบนี้เหรอ? ได้สิ แต่ครั้งละ 50 หยวนนะ นายอยากได้กี่ครั้งล่ะ? 2 ครั้งพอไหม? เอาเป็นว่าฉันคิดนายครั้งละ 100 หยวนก็แล้วกัน”

        ผมรีบหยิบเงิน 200 หยวนออกมาก่อนจะบอกว่า “เอาเงินนี่ไป แต่เธอต้องช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่ง”

        “ช่วยอะไร? ”

        “เธอเห็นเจ้าหนุ่มผมแดงนั่นไหม เขารวยมากเลยนะ เธอลากเขาแล้วจัดการเปิดห้องกับเขาซะ ทำได้ไหมล่ะ”

        “เป็นคนรวยเหรอ? ”

        “รวยมาก!!! ”

        “ตกลง...”

        ……

        แม่สาวลูบไล้หน้าอกผมต่อสักพักก่อนเดินไปหาเป้าหมายที่ผมสั่ง หลังจากยืนคุยอยู่ครู่หนึ่งก็ดูเหมือนว่าการตกลงจะเป็นไปอย่างราบรื่น ท่าทางเจ้าหลิวอิงสนใจแม่สาวคนนั้นไม่น้อย คงเพราะมันอยากจะขึ้นเตียงกับหลินหว่านเอ๋อร์เต็มแก่ แต่ดันถูกปฏิเสธจนหน้าหงาย ถึงตอนนี้ความต้องการในตัวก็คงจะยังเดือดพล่าน และต้องการระบายกับใครสักคนเพื่อให้ความกระหายทุเลาลง และแน่นอนว่าในเวลานี้แม่สาวตรงหน้าคือเหยื่อชั้นดีที่สุด

        ระหว่างที่ผมกำลังแอบมองจากมุมมืด ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหวางซิ่นทันที

        “ฮัลโหล มีอะไรหรือเปล่าเจ้าหนู? ” หวางซิ่นพูด

        “หัวหน้าหวาง! ผมมีเรื่องจะแจ้งหัวหน้า ช่วยเรียกพวกที่ต่อต้านเรื่องการค้าประเวณีมาแถวมหาวิทยาลัยหลิวหัวหน่อยได้ไหม? อ้อ แล้วช่วยเตรียมชุดตำรวจให้ผมด้วยนะ ถึงแล้วโทรหาผมด้วย พอดีวันนี้ผมมีคนที่ต้องจัดการน่ะ”

        “หา? ทำไมจู่ๆ นายถึงได้สนใจเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย? ”

        “ผมก็แค่ชอบน่ะ รีบส่งคนมาเร็วๆ นะหัวหน้า ไม่งั้นผมจะปล่อยคนพวกนี้ไป”

        “โอเคๆ เข้าใจแล้ว นายนี่จริงๆ เลยนะ ยังกล้ามาขู่ฉันอีก ฉันจะส่งคนไปเดี๋ยวนี้แหละ”

        “ครับ”

        ……

        ผมเดินตามหลิวอิงกับแม่สาวขายบริการที่เข้าไปในโรงแรมด้วยความรวดเร็ว ขณะนั้นเองตำรวจ 4 นายก็ปรากฏตัวขึ้น ผมรีบโบกมือเรียกพวกเขา “พี่เซียวเหยา! ”

        “ชุดเครื่องแบบของฉันล่ะ? ”

        “ผมเอามาแล้วครับ”

        ผมเปลี่ยนชุดทันที ภายในกระเป๋าเสื้อก็มีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้แล้ว ให้ตายสิ นี่มันชุดเครื่องแบบของท่านรองนี่หว่า

        เมื่อเข้ามาในโรงแรม ผมก็แสดงตัวกับพนักงานต้อนรับเพื่อขอตรวจห้องพักของหลิวอิง หลังจากได้ข้อมูลว่าหลิวอิงเปิดห้องเบอร์ 308 ผมก็ยิ้มให้กับพนักงานสาวตรงหน้า “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะคนสวย”

        พนักงานสาวหน้าแดงก่ำ “เอ่อ ด้วยความยินดีค่ะพี่ชายสุดหล่อ...”

        ……

        เมื่อเดินมาถึงชั้น 3 แล้วตรงไปหยุดที่หน้าห้อง 308 ผมก็รูดบัตรเข้าไป ทว่ากลับพบว่าด้านในมีการล็อกประตูไว้อีกหนึ่งชั้น ผมจึงถีบประตูเข้าไปอย่างแรง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงครางดังจากด้านใน

        ผมเดินเข้าไปก่อนจะแสดงบัตรค้นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “หยุด นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ! พวกผมมีเบาะแสว่าคุณมีส่วนร่วมในการซื้อขายบริการผิดกฎหมาย คุณสามารถเรียกทนายความเพื่อรับความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้คุณต้องไปที่สถานีตำรวจกับพวกผมก่อน”

        หลิวอิงที่ยังคงมึนงงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์มองผมก่อนพูดว่า “พูดบ้าอะไรของแกวะ ไสหัวออกไปให้หมด! พวกแกรู้ไหมว่าฉันลูกใคร หา?! ”

        ผมตรงไปข้างหน้าก่อนจะซัดหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายจนเลือดตกยางออก

        “ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะเป็นใคร... ลุกขึ้นมา! ”

        ผมยิ้มก่อนจะหมุนตัวออกไปพร้อมกับถอดเครื่องแบบและบัตรประจำตัวส่งคืนตำรวจที่ถูกส่งมา ก่อนจะกระซิบบอกตำรวจพวกนั้นว่าให้ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไป จับแค่หลิวอิงคนเดียวพอ หลังจากจัดการทุกอย่างแล้วผมก็รีบเดินออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็ว หึๆ สะใจชะมัด ความโกรธของผมได้หายไปแล้ว ที่ผมไม่ตอบโต้ในงานเลี้ยง ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ทำอะไรหรอกนะ ผมก็แค่ทำตามกฎเท่านั้นแหละ แต่ยังไงผมก็ต้องยึดมั่นในกฎข้อหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของผมเสมอมา... สุภาพบุรุษต้องล้างแค้นในคืนที่เกิดเรื่องเท่านั้นโว้ย!

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
28 เมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 17.04 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 28 ศิลปะทั้ง 4

 

        ในที่สุดความวุ่นวายยามค่ำคืนก็ผ่านไปได้ด้วยดี

         

        เช้าวันรุ่งขึ้นข่าวก็ลือกระฉ่อนไปทั้งมหาวิทยาลัย พูดกันถึงเรื่องของหลิวอิงที่ถูกตำรวจจับได้ขณะกำลังเล่นสวาทอยู่กับสาวขายบริการ ซึ่งการกระทำครั้งนี้ทำให้ตระกูลของเขาเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

         

        ผมไม่ได้เปิดปากพูดอะไร และไม่คิดจะให้เรื่องพวกนี้มามีส่วนทำให้ผมต้องเดือดร้อน สำหรับนักศึกษาที่นี่ ผมอาจเป็นแค่เจ้าเซียวเหยาขี้แพ้ที่ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือสู้คน ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกเหล้าสาดหน้าด้วยความเหยียดหยามขนาดนั้น แต่ไม่ว่าพวกนั้นจะมองผมอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่ผมสนใจก็คือวันนี้เป็นวันที่ 1 กันยายน ให้ตายเถอะ เปิดเทอมวันแรก!

         

        ……

         

        เมื่อเห็นตารางเรียนของวันนี้ ผมก็ขนหัวลุกไปทั้งตัว ทำไมต้องเลือกเรียนสาขาวิชาภาษาจีนด้วยวะเนี่ย?

         

        ในช่วงเช้ามีทั้งหมด 2 วิชา ซึ่งก็คือการศึกษาค้นคว้าหนังสือสมบัติทั้ง 4[1] และหนังสือของเม่งจื๊อ ระหว่างอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มอยู่นั้น ผมกลับรู้สึกว่าเนื้อหาพวกนี้ไม่ได้ซึมซับเข้าเซลล์สมองเลยแม้แต่นิดเดียว ผมจะเอาตัวรอดจากวิชาพวกนี้ได้ยังไงวะเนี่ย? ผมเริ่มจะเกลียดเม่งจื๊อแล้วสิ ฮึ่ย!

         

        ระหว่างเดินตามสองสาวอยู่ตรงทางเดินพร้อมกับหนังสือในมือ ผมก็กวาดตามองไปรอบๆ สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม ที่ลอยมา บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยนี่ไม่เลวเลยแฮะ อีกอย่างสาวงามก็มีเยอะแยะอย่างกับหมู่เมฆ ผู้หญิงที่มาเรียนที่นี่ส่วนใหญ่ต่างก็มาจากตระกูลร่ำรวยทั้งนั้น พวกเธอจึงมีเงินและเวลามากพอจะประโคมความงามให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา

         

        คลาสแรกของวันนี้คือวิชาสมบัติทั้ง 4 ภายในห้องเรียนขนาดใหญ่นี้มีนักศึกษานับร้อยรวมตัวกันอยู่ แน่นอนว่าหลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ต่างก็เป็นนักศึกษาที่รักการเรียนมาก เพราะพวกเธอเลือกที่จะนั่งอยู่แถวหน้าสุด ทำให้ผมต้องพลอยนั่งแถวหน้าไปด้วย ในขณะที่พวกผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังต่างมองมาด้วยสายตาอิจฉาริษยา ดูเหมือนว่าเจ้าคนพวกนั้นไม่ได้สนใจเรื่องเรียนหรอก แต่มาที่นี่เพื่อยลโฉมสาวงาม 2 อันดับแรกต่างหากล่ะ

         

        สายตาริษยาของคนพวกนั้นทำให้ผมอดขนหัวลุกไม่ได้ เสียงหัวเราะของอาจารย์เฒ่าก็เหมือนเสียงไม้แก่ๆ เขาคงคิดว่าการสอนของตัวเองเจ๋งมากสินะ ถึงได้มีเด็กเข้าเรียนจนเต็มคลาส แต่ขอโทษที ที่คนมาเยอะขนาดนี้นั่นเป็นเพราะความสวยของสองสาวนี่ต่างห่างล่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับบทเรียนแสนน่าเบื่อพวกนี้เลย

         

        ผมเอามือเท้าคางราวกับจะงีบหลับเสียให้ได้ พร้อมกับคิดในใจตลอดเวลาว่า เดี๋ยวช่วงบ่ายก็กลับไปเล่นเกมได้แล้ว เฮ้อ ไม่ได้เล่นเกมนานๆ ไม่รู้ว่าถูกคนอื่นอัปเลเวลแซงหน้าไปไหนต่อไหนแล้ว

         

        “เพียะ เพียะ!”

         

        หลินหว่านเอ๋อร์ตีผม 2 ครั้ง ทันใดนั้นเสียงของอาจารย์ก็ลอยขึ้นมา “นี่ นักศึกษาแถวแรกคนนั้นน่ะ ช่วยตอบหน่อยซิว่า สมบัติทั้ง 4 ที่พูดถึงไปมีอะไรบ้าง”

         

        ผมลุกขึ้นก่อนตอบด้วยความมั่นใจ “กู่ฉิน หมากรุก การคัดลายมือ และภาพวาด[2]ใช่ไหมครับอาจารย์?” 

         

        อาจารย์ถึงกับอึ้งไปเลย

         

        หลินหว่านเอ๋อร์กัดฟันก่อนกระซิบบอก “เจ้าบ้า การเมือง ประวัติศาสตร์ ปรัชญา และวรรณกรรมต่างหากเล่า!”

         

        ผมชะงักไปพร้อมกับนั่งลงด้วยสีหน้าเจื่อนๆ หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีผมก็ผล็อยหลับไป

         

        ……

         

        ไม่ง่ายเลยนะเนี่ยกับการเข้าเรียนช่วงเช้า หลังจากรีบกินข้าวเที่ยงเสร็จก็กลับมาที่ห้องเพื่อเข้าสู่ระบบเกม เส้นทางฮีลเลอร์สายบู๊ของผมจะต้องเดินหน้าต่อโดยเร็วที่สุด

         

        สวบ!

         

        ผมปรากฏตัวภายในเมืองปาหวาง หลังจากดูค่าสถานะก็พบว่าตอนนี้ผมยังอยู่เลเวล 22 เท่าเดิม ในขณะที่เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงซึ่งถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของเมืองปาหวางเข้าสู่เลเวล 27 แล้ว บ้าจริง อีกไม่นานก็คงเลเวล 40 สินะ เพื่อกลายเป็นคนแรกที่ได้เปลี่ยนคลาสที่ 2 จากเลเวล 40 ทุกๆ อาชีพจะสามารถเรียนรู้ทักษะการฆ่าแบบใหม่ ต่อให้ผู้เล่นมีเลเวล 39 ซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์เต็มตัว ก็ไม่สามารถเทียบได้กับผู้เล่นเลเวล 40 ที่เปลี่ยนคลาสได้เลย

         

        ผมดูช่องสัตว์เลี้ยงของตัวเองก็เห็นว่าเจ้าจุกนมจุ๊บๆ กำลังนอนหลับปุ๋ย เดี๋ยวค่อยปลุกก็แล้วกัน ออกไปนอกเมืองตอนนี้ก็คงไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร การมีสัตว์เลี้ยงที่มีค่าความเป็นเลิศ 97% เป็นตัวช่วย ทำให้ผมล้ำหน้ากว่านักดาบอีกนะเนี่ย

         

        ……

         

        หลังจากซ่อมอุปกรณ์เสร็จ ผมก็ตรวจสอบไอเท็มในกระเป๋า อืม... ตอนนี้ยามานาของผมยังเหลืออีกหลายสิบขวด น่าจะเพียงพอนะ เอาละ เตรียมตัวออกเดินทางได้! ตอนนี้ผมต้องตั้งเป้าหมายก่อน การมีเป้าหมายสิถึงจะน่าสนใจ เอาเป็นว่าออกไปตามหาสมุนไพรเลเวล 4 ก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ผมสามารถหลอมโอสถเลเวล 4 ได้แล้ว โอสถดวงดาราเจ็ดดวงเลเวล 3 ก็เพียงพอจะฟื้นฟูค่า MP 200 พอยต์ ส่วนเลเวล 4 สามารถฟื้นฟูได้ 300 พอยต์ ความแตกต่างของมันดูเหมือนจะเห็นได้ชัดอยู่นะเนี่ย

         

        ที่สำคัญคือตอนนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็มีเลเวล 20 ขึ้นไปแล้ว สำหรับอาชีพนักเวท พวกเขาจะสามารถโจมตีแบบหมู่ด้วยสกิล [เจาะทะลุผาหิน] โดยเลเวล 1 จะต้องแลกกับค่า MP 30 พอยต์ ส่วนเลเวล 3 จะต้องแลกกับค่า MP 90 พอยต์ นั่นหมายความว่าการใช้เพียงหนึ่งครั้งจะทำให้ค่า MP หายไป 90 พอยต์ทันที ด้วยความไวในการผลาญค่า MP เหล่านี้ การใช้สกิลนี้อย่างน้อยๆ จึงต้องมีโอสถลมหนาวที่สามารถฟื้นฟูค่า MP ให้กลับมาได้ 300 พอยต์ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดอันตรายระหว่างการต่อสู้ได้ นักเวทที่ไม่มีค่า MP ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะหรอก

         

        เมื่อเปิดตารางสกิลขึ้นมาก็พบสูตรการหลอมโอสถเลเวล 4

         

        [โอสถลมหนาว] :ช่วยฟื้นฟูค่า MP 300 พอยต์ (ใช้หญ้าลมหนาว 3 ชิ้น หญ้าดวงดาราเจ็ดดวง 1 ชิ้น หม้อหลอมโอสถ 2 ใบ)

         

        ……

         

        ตอนนี้ผมยังเหลือหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงอีกไม่น้อยเลย ที่สำคัญในเวลานี้จึงเป็นหญ้าลมหนาวที่ต้องออกตามหา หลังจากเปิดข้อมูลขึ้นมาก็พบสถานที่สำหรับออกตามหาหญ้าลมหนาว ผ่านไปเกือบนาทีในที่สุดผมก็พบข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังค้นหา ก่อนหน้านี้มีแอสซาซินเลเวล 22 คนหนึ่งซึ่งอยู่ในเมืองปาหวางเจอหญ้าลมหนาวแล้ว แต่เขาไม่มีสกิลเก็บสมุนไพรจึงทำให้ต้องกลับมามือเปล่า ป่าแห่งนั้นมีชื่อว่าป่าลมหนาว และเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้กับดินแดนที่ปกคลุมด้วยหิมะ

         

        จากที่ดูในแผนที่ ผมหาป่าลมหนาวนั่นไม่เจอ แต่มันเป็นสถานที่ที่อยู่ทางทิศเหนือซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 1 ชั่วโมง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงกัดฟันซื้อวาร์ปกลับเมืองปาหวาง โดยคิดไว้ว่าผมจะเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่ขากลับจะร่นเวลาโดยการใช้วาร์ปแทน เพราะตอนนี้ผมสามารถหลอมโอสถเลเวล 4 ได้แล้ว และภายใน 1 ชั่วโมงผมก็สามารถทำเงินได้ 1 เหรียญทองด้วย!

         

        เอาละ ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ลุยกันเลยดีกว่า

         

        ผมถือดาบหนามเดินออกจากประตูเมืองที่เปื้อนเลือด เมืองแห่งนี้ดูไปแล้วก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหารเหมือนกันนะเนี่ย ภายในเมืองมีผู้เล่นหลากหลายเผ่าพันธุ์ แต่ที่เยอะที่สุดก็คงจะเป็นบาร์บาเรียน เอลฟ์ และอันเดธ ดูเหมือนว่าแทบจะทุกวินาทีภายในเขตแดนของเมืองปาหวางจะมีผู้เล่นกำลังดวลกันอยู่ตลอด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการปะทะกันระหว่างกิลด์ แต่สำหรับผมเป้าหมายเดียวในตอนนี้คือการเก็บเลเวลเท่านั้นแหละ

         

        เมื่อออกจากเมืองมาแล้ว ผมก็เดินผ่านป่าไม้ที่นอกเมือง โดยไม่ได้จัดการกับมอนสเตอร์เลเวลต่ำกว่า 20 ให้เสียเวลา หลังจากเดินผ่านป่าเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเพียงลำพัง ในที่สุดผมก็มาถึงจุดสีแดงบนแผนที่ ต่อจากนี้สถานที่เบื้องหน้าคงจะมีมอนสเตอร์เลเวลสูงกว่าผมแล้วสินะ แผนที่ถึงได้กลายเป็นสีแดงขนาดนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการเตือนไม่ให้ผมเอาชีวิตไปเสี่ยงในนั้น

         

        ผมยื่นมือออกมา ทันใดนั้นวงเวทก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเจ้าจุกนมจุ๊บๆ ที่กระพือปีกออกมา ผึ้งแม่ทัพเลเวล 15 พลังโจมตี 291 พอยต์ ถือเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผมเลยนะเนี่ย

         

        เจ้าจุกนมจุ๊บๆ บินไปมาด้วยท่าทางสบายใจ แถมยังไม่แสดงอาการดุร้ายให้เห็นสักนิด

         

        ระหว่างที่เดินต่อไปด้านหน้า ไกลออกไปผมเห็นทหารอันเดธที่สวมเสื้อเกราะผุพังกำลังเดินไปมาอยู่ในป่า มอนสเตอร์อันเดธพวกนี้มีธนูเหล็กขึ้นสนิมเป็นอาวุธ แถมยังเปล่งเสียงหายใจออกมา ซึ่งอันที่จริงอาจเป็นเสียงครวญครางของมัน

         

        หลังจากค่อยๆ เข้าไปใกล้ ผมก็พบว่าเจ้ามอนสเตอร์เหล่านี้มีเลเวลสูงกว่าผมถึง 5 เลเวล

         

        [อันเดธนักล่า] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:27

        พลังโจมตี:???

        พลังป้องกัน:???

        HP:???

        สกิล :???

         

        แนะนำมอนสเตอร์ : อันเดธนักล่า เป็นนักล่าที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ มันเป็นกลุ่มมอนสเตอร์ที่ไร้ชีวิต เคลื่อนที่ด้วยพลังจากอมนุษย์ มันจะฆ่าผู้บุกรุกทั้งหมดที่เข้ามาในดินแดนแห่งนี้ พวกมันถือเป็นนักล่าที่แข็งแกร่งมาก เรามีการเสนอรางวัลให้เป็นจำนวนมากในการจัดการกับพวกมัน ทว่ากลับยังไม่มีใครกล้ามาที่นี่เพื่อกำจัดมัน

         

        ……

         

        เมื่อดูจากพลังโจมตีและพลังป้องกันแล้ว ผมก็เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น อีกอย่างการปราบปรามในระดับนั้นต้องแข็งแกร่งมาก ซึ่งทำให้ผมปวดหัวไม่น้อย แม้มอนสเตอร์ที่มีเลเวลมากกว่าถึง 5 เลเวลสามารถทำให้ค่า EXP ของผมเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่มันจะต้องเป็นการตีมอนสเตอร์พวกนี้เพียงลำพังเท่านั้น เพราะหากมากันเป็นกลุ่ม โอกาสที่ค่า EXP จะเพิ่มขึ้นก็ดูเหมือนจะน้อยลงมาก

         

        หลังจากมองเจ้าจุกนมจุ๊บๆ ที่บินวนไปมาข้างๆ ผมก็ยิ้มออกมา งั้นก็ให้เจ้าพวกนี้เริ่มโจมตีเลยก็แล้วกัน ถือว่าเป็นการอัปเลเวลให้ตัวเองและให้เจ้าจุกนมจุ๊บๆ นี่ด้วย จะได้ไม่เสียเวลา

         

        “จัดการได้!”

         

        พอผมชี้ดาบไปเบื้องหน้า เจ้าจุกนมก็บินโฉบไปประดุจสายฟ้า ให้ตายเถอะพระเจ้า ความว่องไว 4.5 ดาว ค่าความเป็นเลิศ 97% ยอดเยี่ยมจริงๆ เลยพับผ่าสิ

         

        ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

         

        ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเสียงกระพือปีกของมันช่างน่ารำคาญ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกชอบและหลงรักเสียงของมันซะแล้วสิ เจ้าจุกนมใช้หางฟาดศัตรูก่อนจะเจาะเข้าไปที่หน้าอกของอันเดธนักล่าตรงหน้า “แกรกๆ” ทันใดนั้นเสียงเกราะก็แยกออกจากกัน รวมไปถึงชิ้นเนื้อซึ่งอยู่ด้านในที่แตกกระจายออกมาพร้อมกัน เจ้าจุกนมโจมตีอีกครั้งโดยไม่รอช้า สร้างความเสียหายให้อันเดธนักล่าอย่างต่อเนื่อง

         

        “-138!”

         

        “-120!”

         

        “-141!”

         

        และแน่นอนว่าเลเวลของมันถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง มอนสเตอร์เลเวล 27 เมื่อเทียบกับเจ้าจุกนมเลเวล 15 แล้ว การโจมตีของเจ้าหนูจุกนมก็ถือว่าไม่เลวเลย

         

        “โอ...”

         

        อันเดธนักล่ายกธนูเล็งไปที่เจ้าจุกนม “ฟึ่บ!” เลือดสีแดงสาดออกมาทันที

         

        
        “-254!”

         

        ผมมองอย่างตกตะลึง ก่อนจะรีบยกมือขึ้นเพื่อฮีลเลือดให้เจ้าจุกนม ในเวลาเดียวกันก็ดึงดาบออกมาฟาดไปตรงหน้าอย่างต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง ครู่ต่อมาผมก็ห้ามเลือดให้กับเจ้าจุกนมอย่างเร่งด่วน

         

        หลังจากที่อันเดธอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย ในที่สุดมันก็ถูกพวกผมจัดการจนลงไปนอนกองที่พื้นได้สำเร็จ

         

        สวบ!

         

        แสงสีทองสาดลงมาพร้อมกับเจ้าจุกนมที่อัปเป็นเลเวล 16 ผมเพิ่มค่าสถานะให้กับค่าการโจมตีของมันทั้งหมดทันที ในเวลาเดียวกันค่า EXP ของผมก็เพิ่มขึ้นด้วย การฆ่าเจ้าอันเดธนี่ดูเหมือนว่าจะทำให้การอัปเลเวลของพวกผมเร็วขึ้นมากเลยนะเนี่ย

         

        ……

         

        หลังจากที่ยังเดินหน้าฆ่ามอนสเตอร์ต่อไปจนเกือบจะ 2 ชั่วโมง สุดท้ายผมก็ได้เงินมาถึง 47 เหรียญเงิน ถือเป็นตัวเลขที่สวยและเยอะมากจริงๆ

         

        ในเวลาเดียวกันเลเวลของผมก็อัปเป็น 23 แล้ว ส่วนเจ้าจุกนมเองก็มาถึงเลเวล 20 ถือว่าเป็นการอัปเวลที่รวดเร็วมาก

         

        [เจ้าจุกนมจุ๊บๆ] (ผึ้งแม่ทัพ)

        เลเวล:20

        พลังโจมตี:271-388

        พลังป้องกัน:194

        HP:485

        MP:194

        สกิล :[การโจมตีแบบคอมโบ (LV-2)]

        ค่าความเป็นเลิศ :97%

         

        ป.ล. หลังจากที่ผึ้งแม่ทัพมีเลเวลถึง 20 แล้ว จะมีสูตรคำนวณดังนี้ [การโจมตี = เลเวล x 10 x (0.97+1) x 0.75 – เลเวล x 10 x (0.97+1)  การป้องกัน = เลเวล x 5 x (0.97+1)  HP = เลเวล x 12.5 x (0.97+1)  MP = เลเวล x 5 x (0.97+1)]

         

        ……

         

        โดยปกติแล้วพลังการโจมตี 388 ถือเป็นค่าสถานะที่ดูเหมือนจะโกงเลยนะเนี่ย ส่วนพลังการป้องกัน 194 พอยต์ ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าอาชีพพระที่อ่อนแอเลย ขณะที่เลือด 485 พอยต์ เมื่อสู้กับมอนสเตอร์เลเวลเท่ากัน มันจะไม่ถูกโจมตีจนตายภายในคราวเดียว

         

        ครั้นแล้วผมก็เดินนำหน้าเจ้าจุกนมเข้าไปในป่าต่อ ทันใดนั้นตรงหน้าผมก็มีหิมะปรากฏให้เห็น ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะแล้ว

         

        แผนที่แจ้งเตือน :โปรดระมัดระวัง ท่านได้เดินทางเข้าสู่ [ป่าลมหนาว] แล้ว

         

        ในที่สุดก็เดินทางมาถึงป่าลมหนาวสักที!




………………………………………………………………………………………….

        [1] หนังสือสมบัติทั้ง 4 คือ หนังสือที่ครอบคลุมประวัติศาสตร์ของจีนในช่วง 5,000 ปี

        [2] สิ่งที่เซียวเหยาพูดถึงคือ ศิลปะทั้ง 4 อันประกอบด้วย กู่ฉิน หมากรุก การคัดลายมือ และภาพวาด

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
29 เมื่อ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 17.13 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 29 อู๋ซวงสไตรก์

 

        ภายในป่าลมหนาวที่ห่างไกลออกไป ผมเห็นพื้นที่อันเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมจนขาวโพลน แต่ก็ยังมีแสงสีขาวที่เปล่งประกายให้ได้เห็น ในที่สุดผมก็เจอหญ้าลมหนาวที่เป็นสมุนไพรเลเวล 4 สักที เส้นทางสู่ความร่ำรวยมาถึงมือผมแล้ว!

         

        ผมถือดาบหนามไว้ในมือพร้อมก้าวเท้าไปด้านหน้า ทันใดนั้นร่างของผมก็สั่น อุณหภูมิที่น่่หนาวชะมัด อย่างกับอยู่ในโรงน้ำแข็ง ตอนนี้บนตัวผมมีแค่เสื้อคลุมสีขาวบางๆ ตัวเดียว แบบนี้มันจะไปกันหนาวอะไรได้เนี่ย?

         

         ผมใช้เสื้อคลุมห่อตัวเองไว้เพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ก่อนจะเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ที่ใต้ต้นไม้มีหญ้าเล็กๆ พลิ้วไหวไปตามลม ดูราวกับกำลังโบกมือทักทาย นี่มันหญ้าสายลมหนาวที่ผมต้องการนี่

         

        ……

         

        เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ผมก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ทันใดนั้นทางขวามือผมก็มีมอนสเตอร์เลเวลสูงกว่าผมปรากฏตัวขึ้น ผมมองแล้วก็อดตะลึงไม่ได้ เท้าก้าวถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ มันคือทหารอันเดธที่มาพร้อมกับดาบเหล็กผุพังในมือ ร่างกายของมันเป็นโครงกระดูกสีเขียว บนหัวสวมหมวกเกราะสนิม พลางเปล่งเสียงโหยหวน ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ

         

        [โครงกระดูกหินเขียว](มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:29

        พลังโจมตี:???

        พลังป้องกัน:???

        HP:???

        สกิล :???

         

        แนะนำมอนสเตอร์ : โครงกระดูกหินเขียว เป็นผู้พิทักษ์ป่าลมหนาว มอนสเตอร์อมนุษย์เหล่านี้เคยเป็นผู้พิทักษ์ให้กับจักรวรรดิมาก่อน แต่เป็นเพราะวิญญาณชั่วร้ายจึงทำให้พวกมันกลายเป็นอันเดธกระหายเลือด โครงกระดูกหินเขียวเหล่านี้ก่อนตายคาดว่าคงจะอยู่บนเขา และเป็นเพราะอยู่ใกล้กับบริเวณที่เป็นหินซึ่งมีระยะเวลาหลายหมื่นปี ทำให้มันมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง จึงเป็นเรื่องยากในการจะฆ่ามันให้ตาย ภายในป่าลมหนาวแห่งนี้ตั้งอยู่มานับพันปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถจัดการกับพวกมันได้

         

        ……

         

        เจ้าพวกนี้คงจะมีพลังป้องกันสูงมากแน่ๆ แต่ผมคิดว่าพลังโจมตีของมันคงจะไม่ได้สูงมากเท่าไร ก็ดีเหมือนกัน เพราะดูจากค่าสถานะของมันแล้ว ถือว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ผมค่อนข้างปลาบปลื้มเลยทีเดียว ตอนนี้ผมมีเจ้าจุกนมที่มีพลังโจมตี 5 ดาว และค่าความเป็นเลิศ 97% แถมยังมีสกิลฟื้นฟูเลเวล 3 อย่างไรเสียก็สามารถควบคุมเจ้าโครงกระดูกหินเขียวนี่ได้แน่ๆ

         

        “ลุยกันเลย!”

         

        ผมดึงดาบออกมาพร้อมออกคำสั่งเจ้าจุกนม ทันทีที่ได้รับคำสั่งมันก็รีบบินไปหาศัตรูก่อนจะโจมตีแบบคอมโบ และการเจาะด้วยเหล็กในของมันจนเกิดเสียง “ปั้กๆ” ราวกับกำลังเจาะชั้นหินอย่างไรอย่างนั้น ให้ตายเถอะ พลังป้องกันของมันสูงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?

         

        “-110!”

         

        “-74!”

         

        “-69!”

         

        “-71!”

         

        ……

         

        เมื่อเห็นค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น 4 ครั้งอย่างต่อเนื่อง ผมก็แทบจะกรีดร้อง เลือดของโครงกระดูกหินเขียวมีอยู่ราวๆ 1,400 พอยต์ หลังจากโดนเจ้าจุกนมจัดการแบบไม่หยุดพัก มันก็ดึงดาบเหล็กออกมาฟาดใส่เจ้าจุกนมจนเกิดค่าเสียหายถึง -144 พอยต์ พลังโจมตีของมันถือว่ารุนแรงมาก แต่ยังไม่เท่ากับอันเดธนักล่าเลเวล 27 ก่อนหน้านี้ ผมฮีลเลือดให้เจ้าจุกนมก่อนใช้ดาบหนามในมือโจมตีศัตรูตรงหน้า

         

        ฟึ่บ!

         

        “-21!”

         

        ช่างเป็นค่าความเสียหายที่เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ตัวเลขตรงหน้าทำผมน้ำตาแทบไหล น่าขายหน้าชะมัดเลย ให้ตายสิ!

         

        หลังจากวุ่นวายอยู่กับการฟันโครงกระดูกหินเขียวสักพักใหญ่ ในที่สุดโครงกระดูกตรงหน้าก็เปล่งเสียงร้องก่อนที่ร่างจะล้มลงพร้อมกับเงิน 45 เหรียญเงินที่ตกลงมาบนพื้น ใจกว้างดีแฮะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ดรอปไอเท็มเลยสักชิ้น

         

        ผมหมุนตัวกลับก่อนเก็บหญ้าลมหนาว 3 ชิ้นใส่ลงในช่องเก็บของ ในที่สุดก็ทำสำเร็จ แต่น่าแปลกชะมัดที่ครั้งนี้ไม่ได้รับรางวัลอะไร แถมยังไม่ได้ค่าเสน่ห์เหมือนทุกที

         

        หลังจากได้หญ้าลมหนาวมาแล้ว ผมก็เริ่มออกตามหาในป่าต่อ พร้อมกับฆ่าโครงกระดูกหินเขียวไปเรื่อยๆ ให้ตายเถอะ โชคดีชะมัดที่มีเจ้าจุกนมคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถจัดการกับมันได้แน่ๆ ถ้าลำพังตัวผมคนเดียวคงจะต้องฟาดดาบราวๆ 71 ครั้งจึงจะฆ่ามันได้ และเป็นเพราะเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้สามารถฟื้นฟูเลือดเองได้ ก็อาจทำให้ต้องใช้เวลา 3-5 นาทีในการฆ่า ในขณะที่เจ้าจุกนมใช้เวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น เจ้าผึ้งแม่ทัพตัวนี้ถือเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ผมเลยนะเนี่ย!

         

        หลังจากเสียเวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมง ผมก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่ก็ช่างเถอะ ค่อยกินมื้อดึกทีเดียวก็แล้วกัน

         

        ไม่รู้ว่าผมฆ่าโครงกระดูกหินเขียวไปกี่ตัว แต่เจ้าจุกนมได้อัปเลเวลสกิลการโจมตีแบบคอมโบจนกลายเป็นเลเวล 3 ไปแล้ว หลังจากที่โครงกระดูกหินเขียวตัวล่าสุดล้มลง ผมก็พบกับไอเท็ม 2 ชิ้นที่ปรากฏขึ้น ชิ้นแรกเป็นการ์ดสีเขียว 1 ใบ ในขณะที่อีกชิ้นเป็นหอกที่มีแสงสว่างเรืองรอง โว้ว! ดูเหมือนจะได้เวลาเปลี่ยนอาวุธแล้ว!

         

        อาการดีใจของผมเกิดขึ้นอย่างฉับพลันขณะที่หยิบการ์ดขึ้นมา ที่แท้มันก็เป็นการ์ดของโครงกระดูกหินเขียวนี่เอง

         

        [โครงกระดูกหินเขียว]

         

        พลังโจมตี :★★☆

        พลังป้องกัน:★★★★★

        HP:★★★★☆

        ความว่องไว:☆

        MP:★☆

        สกิล :[การกะเทาะ] [โล่หิน]

         

        ……

         

        สัตว์เลี้ยงป้องกันสินะ การป้องกัน 5 ดาวนี่สุดยอดไปเลย แถมยังมีค่า HP 4.5 ดาวอีก ถ้าเลือดและการยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นละก็ เจ้าโครงกระดูกหินเขียวนี่คงจะเป็นทางเลือกอันดับแรกในการใช้ฆ่าบอสเลยละ หากค่าความเป็นเลิศสูงกว่านี้ ก็อาจกลายเป็นโล่เนื้อที่สามารถเทียบได้กับอาชีพพระระดับสูงๆ ได้เลยแฮะ

         

        หลังจากได้การ์ดมาผมก็ยังต้องจัดการกับมอนสเตอร์ที่นี่ต่อ เป็นเพราะเมื่อกี้พลั้งมือฆ่าโครงกระดูกหินเขียวไป ทำให้ตอนนี้ผมเกิดอาการเสียดายขึ้นมาซะงั้น

         

        ผมหยิบหอกยาวที่มีแสงสีฟ้าสาดส่องขึ้นมา ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นวาบก็ถูกส่งมาที่มือ ตอนนี้พลังของผมเพียงพอจะถือของพวกนี้ได้แล้ว อีกอย่างค่าสถานะของอาวุธชิ้นนี้ก็คงจะไม่เลวเลย หึๆ หลังจากที่ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกับการฆ่าโครงกระดูกหินเขียว ในที่สุดความพยายามของผมก็ไม่สูญเปล่า

         

        [หอกโลหะโบราณ] (อุปกรณ์ระดับทองแดง)

        พลังโจมตี:100-125

        ค่าโจมตีพื้นฐาน :+14

        เพิ่มเติม: ช่วยเพิ่มพลังการโจมตีให้กับผู้ใช้ 0.5%

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :24

         

        ……

         

        พลังโจมตีตั้ง 125 พอยต์เลยเหรอ! เท่ระเบิดไปเลย นี่สิถึงจะเรียกว่าอาวุธที่ผมกำลังตามหา ให้ตายเถอะ ถ้าขืนยังทนใช้ดาบหนามต่อ ก็คงจะสู้ศัตรูไม่ได้แน่ๆ อีกอย่างเจ้าหอกโลหะโบราณนี่ก็เป็นอาวุธระดับทองแดง หลังจากนี้ถ้าเปลี่ยนอาวุธแล้ว ผมก็ยังสามารถนำมันไปขายเพื่อทำกำไรได้ไม่น้อย

         

        ผมรีบเปลี่ยนอาวุธทันที ใช้หอกนี่ไปก่อนก็แล้วกัน... ถึงแม้จะชินกับการใช้ดาบ แต่เจ้าหอกยาวนี่ก็สามารถทำหน้าที่เฉือน ฟาด แทงได้เหมือนกันนั่นแหละ

         

        หลังจากเปลี่ยนเป็นหอกโลหะโบราณแล้ว ค่าสถานะของผมก็เพิ่มขึ้น ผมจึงรีบเปิดช่องสถานะฮีลเลอร์อีกครั้ง

         

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์)

        เลเวล:24

        พลังโจมตี:230-255

        พลังป้องกัน:80

        HP:424

        MP:320

        ค่าเสน่ห์ :12

         

        ……

         

        พลังโจมตีถึงแม้จะเทียบกับเจ้าจุกนมไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ มันก็สามารถทำลายการป้องกันของโครงกระดูกหินเขียว ซึ่งก็เพียงพอแล้ว และมันทำให้ผมพึงพอใจมากด้วย

         

        ผมถือหอกโลหะโบราณกวัดแกว่งจนเกิดม่านแสงขึ้นกลางอากาศ โห! ดูดีชะมัด

         

        เอาละ! ตามหาโครงกระดูกหินเขียวต่อดีกว่า

         

        ใช้เวลาเดินทางจนมาถึง 1 ทุ่มกว่า ในที่สุดผมก็พบกับโครงกระดูกหินเขียวเลเวล 1 ตัวที่สองสักที พอเห็นว่ามันเป็นเลเวล 1 ผมก็เกิดดีใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น รีบดึงการ์ดออกมาเพื่อปิดผนึก หลังจากใช้แผ่นปิดผนึกติดต่อกันถึง 9 ครั้ง ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ เจ้าโครงกระดูกหินเขียวได้เข้ามาอยู่ในช่องสัตว์เลี้ยงของผม

         

        [โครงกระดูกหินเขียว]

        เลเวล:1

        พลังโจมตี:★★☆

        พลังป้องกัน:★★★★★

        HP:★★★★☆

        ความว่องไว :☆

        MP :★☆

        สกิล :[การกะเทาะ] [โล่หิน]

        ค่าความเป็นเลิศ :75%

         

        ……

         

        เยี่ยมไปเลย ค่าความเป็นเลิศ 75% ถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงระดับกลางเลยนะเนี่ย รวยแล้วสิเรา หึๆ!

         

        เมื่อเก็บสัตว์เลี้ยงแล้ว ผมก็พาเจ้าจุกนมไปตีมอนสเตอร์ต่อ หลังจากอัปถึงเลเวล 25 แล้วค่อยว่ากัน ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่น แต่ด้วยความช่วยเหลือจากหอกโลหะโบราณและเจ้าจุกนม ทำให้ผมสามารถครองบัลลังก์ฮีลเลอร์ยอดเยี่ยมที่สุดภายในเมืองปาหวางได้สำเร็จ

         

        3 ทุ่มกว่า ผมก็พบกับโครงกระดูกหินเขียวตัวที่ 3 สักที!

         

        ผมได้ใช้การ์ดปิดผนึก 11 ใบเพื่อปิดผนึกมัน

         

        นี่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวที่ 3 ของผมแล้ว และตอนนี้ช่องสัตว์เลี้ยงของผมก็เต็มแล้วด้วย เจ้าโครงกระดูกหินเขียวตัวนี้มีค่าความเป็นเลิศ 49% ถือเป็นสัตว์เลี้ยงระดับกลาง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขายออกไปได้ในราคาเท่าไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าราคาของมันคงไม่ได้สูงเท่ากับผึ้งสังหารตัวก่อนหน้านี้

         

        หลังจากมองกระเป๋าใส่ไอเท็ม ก็พบว่าหญ้าลมหนาวที่ผมสะสมนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย และก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับเมืองเสียที

         

        ……

         

        ผมหยิบวาร์ปออกมา ขณะที่จะวาร์ปกลับเมือง ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากระยะไกล โดยเฉพาะเสียงโจมตีแบบคอมโบนั้นได้ยินอย่างชัดเจนทีเดียว รู้ตัวอีกทีผมก็เดินมายังจุดที่ลึกที่สุดของป่าลมหนาว ซึ่งภายในแผนที่ระบุไว้ว่า ป่าช้าที่ลาดชัน ที่นี่คงจะมีผู้เล่นมาฆ่ามอนสเตอร์ หรือไม่ก็เกิดการดวลกันขึ้น ไหนขอไปดูหน่อยซิว่าคนพวกนั้นกำลังทำอะไรกัน

         

        ผมถือหอกเดินเข้าไปในป่า ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องตกตะลึง ภายในป่าช้าที่ลาดชันมีกลุ่มคนมากกว่าร้อยกำลังต่อสู้กัน หนึ่งในนั้นมีบอสอยู่ด้วย บอสตัวนั้นมีเลือดเหลืออยู่เพียง 15% ซึ่งดูเหมือนว่าผู้เล่นสองกลุ่มกำลังแย่งบอสตัวนี้กันอยู่ และหนึ่งในผู้เล่นเหล่านั้นก็เป็นคนที่ผมรู้จัก... มาจากกิลด์ปราก!

         

        ……

         

        สวบๆๆ...

         

        เกิดการโจมตีต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง พร้อมกับที่เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงซึ่งต่อต้านการโจมตีของบอสก็เปล่งเสียง “อู๋ซวงสไตร์ก!”

         

        “ฟึ่บ!”

         

        ทันใดนั้นก็เกิดแสงขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวง ซึ่งมันน่าประทับใจมาก ดาบในมือของเขาเกิดม่านแสงก่อนจะโจมตีไปด้านหน้า ภายในเวลา 1.3 วินาทีเขาก็โจมตีติดต่อกันถึง 5 ครั้ง ทั้งแทง ฟาด เฉือน ถีบ และสับร่างของบอส ให้ตายเถอะพระเจ้า นี่มันการโจมตีแบบต่อเนื่องนี่ ดูเหมือนว่าเขาได้สร้างสกิลของตัวเองขึ้นมาแล้วสินะ!

         

        ผมตกตะลึงขึ้นมา จากภาพตรงหน้าดูเหมือนว่าเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!

         

        ระหว่างที่วาดดาบในมือพร้อมกับก้าวเท้าไปด้านหน้าและถอยหลังอย่างเป็นจังหวะ เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หยุดโจมตีพวกมัน มาฆ่าราชันอันเดธนี่ก่อน ถ้าได้ของจากราชันอันเดธก็ถือว่าเราชนะแล้ว ชิงเฉี่ยน เวยเหลียง พวกเธอไปฆ่ากำลังหลักของกลุ่มพวกนายพลนั่น อย่าให้คนพวกนั้นจัดการกับบอสได้”

         

        ทันใดนั้นร่างของผู้เล่นที่อยู่ภายในกิลด์ปรากสองคนก็หายไป ซึ่งพวกเขาคือแอสซาซิน แม้ว่าผมจะไม่เห็นพวกเขา แต่ก็มั่นใจว่าหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นเยว่ชิงเฉี่ยนที่ผมรู้จักแน่ๆ และเธอก็คือผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของผมด้วย!

         

        ……

         

         

        ในเวลาเดียวกัน อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยนักดาบเลเวล 27 ที่ใช้ชื่อ ID ว่า นายพลหลี่มู่ เป็นผู้เล่นที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ที่มีเลเวลสูงสุด ด้านหลังของนายพลหลี่หมู่เป็นเบอร์เซิร์กเกอร์เลเวล 26 ที่ใช้ชื่อ ID ว่า นายพลป๋ายฉี่ และนักธนูเลเวล 25 ที่ใช้ชื่อ ID ว่า นายพลเหลียนโป่ ให้ตายเถอะ นี่มันผู้เล่นของเมืองปาหวางที่อยู่อันดับต้นๆ ทั้งนั้นเลยนี่!

         

        สวบ สวบ!

         

        ท่ามกลางการโจมตีแบบต่อเนื่องทำให้นายพลหลี่มู่สามารถฆ่าฮีลเลอร์ของกิลด์ปรากไปได้อีก 1 คน ในเวลาเดียวกันก็จัดการกับการป้องกันของอัศวินอีก 2 คน เขายกดาบขึ้นแทงกลางอกของนักเวทตรงหน้าจนเกิดดาเมจถึง -442 พอยต์

         

        “ทุกคน! ราชันอันเดธเลเวล 30 เป็นของพวกเรา อย่าให้กิลด์ปรากแย่งไปได้!” นายพลหลี่มู่ตะโกนด้วยความโกรธ

         

        นายพลเหลียนโป่ดึงคันธนูในมือก่อนจะกระโดดหลบเข้าพุ่มไม้ข้างๆ พร้อมกับซุ่มสังหารฮีลเลอร์ของกิลด์ปราก ดูเหมือนว่ากลยุทธ์โจมตีของทั้งสองฝ่ายจะคล้ายคลึงกัน นั่นคือกำจัดผู้ที่สามารถฮีลเลือดได้เพื่อทำให้อีกฝ่ายขาดกำลังเสริม ก่อนจะจัดการกับศัตรูที่เหลือ

         

        ……

         

        “ฟู่...”

         

        ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะนั่งบนยอดเขาเพื่อดูการต่อสู้ ยังไงซะตอนนี้ผมก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไปสักเท่าไร นั่งดูและเรียนรู้การต่อสู้จากเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงและนายพลที่มีฝีมือพวกนี้ก่อนดีกว่า เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นความสามารถของพวกเขา…

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
30 เมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 19.53 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 30 ปราก VS นายพล

 

        ฟึบ!

         

        ท่ามกลางการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยลมหนาว กริชแดงโลหิตฝ่าความมืดก่อนเจาะคอของนายพลป๋ายฉี่ นักดาบเบอร์เซิร์กเกอร์เลเวล 26 สร้างความตกตะลึงให้แก่เจ้าตัวทันที กว่าจะรู้ว่าถูกศัตรูซุ่มโจมตีก็ติดอยู่ในสภาวะมึนงงแล้ว ขณะที่ตรงหน้าชายผู้นั้นคือแอสซาซินสาวผู้หนึ่งสวมเกราะหนังส่องแสงแวววาว ถือกริชแดงโลหิตในมือ และหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือเยว่ชิงเฉี่ยน สมาชิกของกิลด์ปรากนั่นเอง 

         

         หลังจากที่เท้าสัมผัสผืนหญ้าและโจมตีจนอีกฝ่ายมึนงง ชิงเฉี่ยนก็ก้าวเท้าพร้อมกวาดตาคู่งามมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นก็นั่งลงก่อนจะเริ่มดื่มยาเพิ่มเลือด เพียง 1 วินาทีพลังของเธอก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับสกิล สภาวะเลือดไหล เลเวล3 

         

        “ตูม!”

         

        “-321!”

         

         การถูกโจมตีทำให้นายพลป๋ายฉี่รู้ว่าจะต้องรีบหนี แต่ขณะที่หมุนตัวกลับ เยว่ชิงเฉี่ยนก็ใช้กริชแดงโลหิตโจมตีอีกฝ่ายซึ่งมีค่าดาเมจอย่างน้อย 30% ทำให้นายพลป๋ายฉี่ชะงักไปพร้อมกับค่าความเสียหายที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ -289 พอยต์ ทันทีที่ค่าความเสียหายปรากฏขึ้น เขาก็ล้มลงไปตาย

         

        ……

         

        “เวร! ป๋ายฉี่ม่องเท่งไปซะแล้ว”

         

         ห่างออกไปไม่ไกล นายพลหวางเจี่ยนก็ถือดาบมาดักหน้าแล้วโจมตีแบบสบายๆ ถึงกระนั้นเยว่ชิงเฉี่ยนก็ยังไม่อาจหลบพ้นการโจมตีที่เกิดขึ้นกะทันหันนั้นได้

         

        “พรวด!”

         

        “-272!”

         

         การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เกือบจะเอาชีวิตของเยว่ชิงเฉี่ยนไปทันที หญิงสาวส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนจะรีบถอยไปตั้งหลัก ทว่าการโจมตีของอีกฝ่ายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นสกิลการโจมตีแบบคอมโบเลเวล 3

         

        “แย่แล้ว รีบฮีลเลือดให้ฉันเร็วเข้า!”

         

        เยว่ชิงเฉี่ยนถือกริชในมือพร้อมกับวิ่งหนี ทันใดนั้นร่างของเธอก็มีแสงที่เกิดจากสกิลห้ามเลือดเลเวล 3 ขึ้นมาก่อนที่เลือดจะเพิ่มขึ้น 300 พอยต์

         

         นายพลหวางเจี่ยนที่เหมือนจะอายุราว 20 ปีกว่าๆ และมีใบหน้าเย็นชา ได้ดึงดาบออกมาก่อนจะวิ่งสุดฝีเท้าหมายฆ่าแม่สาวแอสซาซินให้จงได้ ขณะที่เยว่ชิงเฉี่ยนก็วิ่งหนีรวดเร็วราวกับสายลมพัด ภายใต้เกราะหนัง เห็นเรียวขาขาวผุดผ่องกำลังออกวิ่งอย่างรวดเร็วภายในป่า แม้ว่าตอนนี้เธอจะถูกไล่ล่า แต่กลับไม่มีอาการตื่นตระหนก และยังคอยหันไปสังเกตการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

         

        “หึ!”

         

         เสียงร้องดังออกจากลำคอ หวางเจี่ยนเห็นโอกาสของตัวเองแล้ว ก็รีบพุ่งตัวออกจากพุ่มไม้ไปดักหน้าเยว่ชิงเฉี่ยนพร้อมกับใช้ดาบและสกิลในการแทง ดูจากการโจมตีของเขาในเวลานี้แล้ว แอสซาซินตัวเล็กๆ อย่างเยว่ชิงเฉี่ยนก็แทบไม่อาจต้านทานไหว

         

        “พรวด!”

         

         ทันใดนั้นกริชเล่มหนึ่งก็พุ่งผ่านอากาศจัดการกับดาบของหวางเจี่ยนและโจมตีเขาจากด้านหลังจนเลือดลดลงไปมากกว่า 250 พอยต์ ตามด้วยร่างของแอสซาซินสาวอีกผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังนั้นพร้อมกับแทงกริชซ้ำจนทำให้เกิดค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอีก 180 พอยต์ติดต่อกันถึงสองครั้ง

         

        “หาที่ตาย!”

         

         หวางเจี่ยนก้าวเท้ามาด้านหน้า หลบการโจมตีของเยว่ชิงเฉี่ยน จากนั้นใช้ยาเพิ่มเลือดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเบี่ยงตัวหนีแอสซาซินสาวแล้ววิ่งลงเขาไป ในเวลานี้เขารู้ดีว่าการต่อสู้กับแอสซาซินถึงสองคน โอกาสได้รับชัยชนะมีน้อยเต็มที

         

         ด้านบนเนินเขา มีแอสซาซินยืนอยู่ถึงสองคนพร้อมกับเส้นผมที่ปลิวไสว นอกจากไอเท็มที่ต่างกันแล้ว พวกเธอดูคล้ายคลึงกันมาก รูปร่างหน้าตาภายในเกมนี้แม้จะสามารถปรับเปลี่ยนได้เล็กน้อยก็จริง แต่มันก็ไม่ควรจะเหมือนกันขนาดนี้ นี่ดูราวกับว่าแอสซาซินสองคนนี้เป็นฝาแฝดกันเลย

         

        เยว่ชิงเฉี่ยน เลเวล 26 อาชีพแอสซาซิน

         

        เยว่เวยเหลียง เลเวล 26 อาชีพแอสซาซิน

         

        ……

         

         ผมที่กำลังนั่งดูสถานการณ์อยู่ถึงกับตกตะลึง ให้ตายเถอะ นี่เยว่ชิงเฉี่ยนมีพี่น้องอีกคนด้วยหรือ จุ๊ๆ ดูไม่เลวนะเนี่ย ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นที่ต้องตาของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงหรอก

         

         ยามนี้สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ นายพลหลี่มู่นับว่าเป็นคนฉลาด เนื่องจากเขาใช้กลยุทธ์ฆ่าฮีลเลอร์ของอีกฝ่ายก่อน เพื่อเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ ถึงแม้เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงจะแข็งแกร่งมาก ทว่าก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือทุกคนได้ทันเวลา หลังจากเห็นคนของตัวเองถูกฆ่าตายด้วยลูกธนูของนายพลเหลียนโป่อย่างต่อเนื่อง เขาก็เปล่งเสียงด้วยความโกรธ “พวกนายตามฉันมา ไปจัดการกับนักธนูพวกนั้นก่อน”         

         ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเงาเพื่อจะทำตามคำสั่งผู้นำ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกหลี่มู่จัดการจนเหลือแค่ 2-3 คน และเมื่อเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงเข้าถึงตัวเหลียนโป่ก็พบว่าเหลือตนเองเพียงลำพังเท่านั้น

         

         นายพลเหลียนโป่ อาชีพนักธนูเลเวล 25 ดูเหมือนอายุราวๆ 50 ปี ถือได้ว่าเป็นนายพลอาวุโสคนหนึ่งของกิลด์ และคงจะเป็นลุงใหญ่คนหนึ่งในที่นี้ด้วย ทว่าเมื่อเทียบกับเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงแล้ว ก็ถือว่าเป็นลุงใหญ่ที่มีอายุอย่างน้อยๆ 40 ปีเหมือนกัน ผมดูภาพตรงหน้าก่อนสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด การต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และย่อมมีคนหนึ่งบาดเจ็บแน่นอน

         

        ……

         

        “ฉึก!”

         

         รองเท้าหนังสัมผัสกับพื้นหญ้าก่อนที่ร่างของเหลียนโป่จะถอยออกไปพร้อมกับลูกธนูที่ถูกยิงออกมา ทันใดนั้นลูกธนูก็เกิดการรวมตัวของเปลวเพลิงเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เลือดของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงลดลงจนเหลือไม่ถึง 50% ภายในพริบตา

         

        “หึ! เตรียมตัวตายซะเถอะ!”

         

         ในที่สุดเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงก็เปล่งเสียงก่อนจะปล่อยหมัดชกไปที่บ่าของอีกฝ่ายดัง ‘ปั้ก!’ ทำให้เหลียนโป่ถึงกับเสียหลัก ตอนนี้สิ่งที่เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงต้องการมากที่สุดคือการชะลอ เขาย่อมไม่ปล่อยให้เสียโอกาสนี้ไป ทันใดนั้นจึงเริ่มใช้สกิลอู๋ซวงสไตรก์

         

        การโจมตีแบบต่อเนื่องได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว!

         

         นายพลเหลียนโป่กระตุกยิ้มมุมปากกับภาพที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะทิ้งร่างตัวเองลงจากเขาอันลาดชัน กลิ้งตกไปจนถึงด้านล่าง เขาวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้วโดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ ทำให้การโจมตีของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งถ้าเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงไม่มีสกิลอู๋ซวงสไตรก์ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนักดาบธรรมดาๆ คนหนึ่ง

         

         พอเห็นการโจมตีของตัวเองขึ้นคำว่า “MISS” ติดต่อกันถึง 5 ครั้ง สีหน้าของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพร้อมกับมือที่กำแน่น         

         ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดวูบขึ้นด้านหลัง เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงรีบหมุนตัวกลับไปมอง ทว่าโดนการโจมตีของหลี่มู่ผู้แข็งแกร่งที่สุดภายในกิลด์ และอยู่ในอันดับที่ 2 ของเมืองปาหวาง แน่นอนว่าคนผู้นี้คือคนที่สามารถจัดการกับเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงได้

         

        “ชิ้ง!”

         

         เสียงของดาบดังขึ้นพร้อมกับเกิดม่านแสงสีทอง การโจมตีอย่างต่อเนื่องเลเวล 3 ของหลี่มู่ถูกเรียกใช้งานขึ้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงแล้ว

         

        “-199!”

         

        “-201!”

         

        ……

         

         ร่างของเยี่ยนจ้าวอู๋ซวงชะงักไป ทว่ายังสามารถยกเข่ากระแทกอกของหลี่มู่อย่างแรง พร้อมกับโจมตีด้วยดาบอีกครั้งจังๆ ให้ตายสิ ชายผู้นี้จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!

         

        “-448!”

         

        เลือดของหลี่มู่เดิมนั้นมีอยู่ไม่เต็มหลอด ทันทีที่ถูกอีกฝ่ายโจมตี จึงลงไปคุกเข่าก่อนร่างจะล้มลงกับพื้นและกลายสภาพเป็นศพ

         

         เยี่ยนจ้าวอู๋ซวงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะดึงขวดยาเพิ่มเลือดออกมาทำการเพิ่มเลือดให้ตัวเอง ทว่าทันใดนั้นมีลูกธนูพุ่งติดต่อกันถึง 2 ดอก ‘ปั้ก ปั้ก’ ร่างของชายผู้ติดอันดับ 1 ของเมืองปาหวางสั่นกระตุกก่อนจะลงไปนอนตายอยู่ที่พื้น ดาบหนักสีดำตกอยู่ข้างกาย พลันนั้นร่างของนายพลเหลียนโป่ก็ปีนขึ้นมาจากทางลาดชัน ก่อนจะเก็บดาบยาวนั่นไป “หึๆ ดาบยาวระดับทองแดงเลเวล 22 สินะ... ไม่เลวแฮะ”

         

         หลังจากสงครามอันวุ่นวาย ในที่สุดก็สรุปได้ว่ากิลด์ของนายพลได้เปรียบในเรื่องของจำนวนคนที่เหลืออยู่ พวกเขา 5 คนล้อมบอสราชันอันเดธไว้และจัดการมันอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าบอสตัวนี้จะต้องตกเป็นของพวกตนอย่างแน่นอน เพราะกิลด์ปรากมีจำนวนคนไม่มาก และตอนนี้ก็เหลือเพียงเยว่ชิงเฉี่ยนกับเยว่เวยเหลียงที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดเพื่อรอโอกาสโจมตีบอส

         

        ……

         

        ผมยังคงนั่งซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ รอดูบทสรุปเงียบๆ

         

        “ระวังตัวให้ดี บอสกำลังจะตายแล้ว ระวังอย่าให้ใครมาแย่งได้เป็นอันขาด!” นายพลเหลียนโป่บอกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ พร้อมกับง้างสายธนูในมือยิงไปที่คอของบอส

         

        ราชันอันเดธเปล่งเสียงร้องด้วยความโกรธแค้นพร้อมกับฟาดแขนใส่หวังเจี่ยน แต่โชคดีที่พวกนี้ยังเหลือฮีลเลอร์อยู่ในกลุ่มอีกหนึ่งคน และการป้องกันของหวางเจี่ยนก็ไม่ได้แย่ จึงทำให้เขาต้านการโจมตีเมื่อครู่ได้

         

        3%!

         

        2%!

         

        1%!

         

        เมื่อเห็นเลือดของราชันอันเดธที่ต่ำลง ผมก็ตาร้อนผ่าว เยว่ชิงเฉี่ยนจะลงมือหรือไม่?

         

        ช่วงที่ผมกำลังขบคิด ในตอนนั้นเองพวกเธอก็โจมตี โดยร่างของฮีลเลอร์ที่เหลืออยู่ในกลุ่มของอีกฝ่ายเกิดกระตุกขึ้นมา พร้อมกับค่าความเสียหาย -552 พอยต์ที่ลอยเหนือศีรษะก่อนจะล้มลงไป จากนั้นที่ด้านหลังจึงเผยให้เห็นเยว่ชิงเฉี่ยนถือกริชแดงโลหิตกำลังพุ่งไปด้านหน้าเพื่อโจมตี ทำให้ลูกธนูของนายพลเหลียนโป่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะถูกยิงออกไป         

        เป็นเวลาเดียวกับที่กริชของเยว่เวยเหลียงปักกลางหัวใจของราชันอันเดธอย่างแรงต่อเนื่องถึง 2 ครั้ง โดยไม่สนใจกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยคลุ้ง ตอนนั้นเองร่างของราชันอันเดธก็ล้มลงพร้อมกับไอเท็มที่ถูกดรอปลงมา

         

        “แย่งของจากพวกมัน!” หวางเจี่ยนแสดงท่าทีกระวนกระวายใจ

         

         แต่น่าเสียดายที่ความเร็วของนักดาบไม่อาจเทียบได้กับแอสซาซิน เพราะทันทีที่ไอเท็มถูกดรอปลงมา ร่างของเยว่ชิงเฉี่ยนก็ไปอยู่ ณ จุดนั้นแล้ว เธอรีบหยิบของซึ่งมีไอเท็ม 3 ชุดใส่ลงในกระเป๋าเก็บของทันที แล้วพุ่งตัวขึ้นไปบนเนินเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนว่า “เม่ยเหม่ย[1]ถอยเร็ว สองต่อห้า เราสู้คนพวกนั้นไม่ได้หรอก”

         

        เยว่เวยเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า “เจี่ยเจีย[2]ไปก่อนเลย ฉันจะถ่วงเวลาให้เอง”

         

         เหลียนโป่รู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากชะงักไป เยว่เวยเหลียงที่หลบการโจมตีของหวางเจี่ยนก็ใช้กริชแทงหลังของเหลียนโป่จนล้มลงทันที และเนื่องจากในยามนี้พวกเขาไม่เหลือฮีลเลอร์แล้ว นั่นย่อมเข้าใกล้ความตายในอีกไม่นาน

         

        “แม่ง!”

         

        หวางเจี่ยนพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฉันจะไปตามล่าเยว่ชิงเฉี่ยนเอง ไอเท็มอยู่ที่ยายนั่น!”

         

        ทันใดนั้นเยว่เวยเหลียงก็จัดการฆ่าเบอร์เซิร์กเกอร์อีกคนตาย แต่ก่อนที่เธอจะตั้งหลักได้ จู่ๆ หินที่อยู่ใต้เท้าก็ระเบิดออกจนสร้างการดาเมจในทันที ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการโจมตีโดยใช้สกิลเจาะทะลุผาหินของนักเวทเลเวล 20 ห่างไปไม่ไกลยังมีนักเวทเลเวล 24 อีกหนึ่งคน ทันทีที่ถูกโจมตี เยว่เวยเหลียงก็ชะงักไปก่อนจะล้มตัวลงกับพื้น

         

        ……

         

         บนเขาอันลาดชัน ระหว่างที่เยว่ชิงเฉี่ยนกำลังหลบหนี ขาขาวๆ ของเธอก็ถูกหนามข้างทางเกี่ยวจนกลายเป็นแผลยาว ทว่าเธอไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ยังคงวิ่งหนีเอาตัวรอด และรักษาไอเท็มที่ได้มาเมื่อกี้ ทันใดนั้นหวางเจี่ยนที่อยู่ด้านหลังก็เรียกใช้สกิลเพิ่มความเร็วเลเวล 3 เนื่องจากเขาเล่นสายอาชีพนักดาบ จึงสามารถเพิ่มความเร็วในการโจมตีได้ 6% และเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวได้ 3% ทำให้เขาเข้าใกล้เยว่ชิงเฉี่ยนได้ไวขึ้น ในขณะเดียวกันนักเวทอีกคนก็วิ่งตามมาติดๆ          

         “แย่แล้ว...” เยว่ชิงเฉี่ยนขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในช่วงคับขัน แม้ว่าเธอจะมีวาร์ปเพื่อกลับเมือง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเปิดวาร์ปถึง 5 วินาที ซึ่งนั่นเพียงพอแล้วที่หวางเจี่ยนจะจัดการเธอได้ถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้บนบ่าของหวางเจี่ยนยังมีผึ้งบัมเบิ้ลบีที่อยู่ในโหมดต่อสู้ลอยตามมาติดๆ สำหรับนักดาบที่มีสัตว์เลี้ยงแล้ว ย่อมจัดการกับเยว่ชิงเฉี่ยนได้ไม่ยาก

         

        “ตายซะเถอะ!”

         

        ทันใดนั้นหวางเจี่ยนที่ตามหลังหญิงสาวมาติดๆ ก็ยกดาบขึ้นโจมตีใส่อย่างแรง

         

        “-258!”

         

         เยว่ชิงเฉี่ยนผงะและเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ ด้วยคาถาหยาดน้ำแข็งที่ลอยอยู่บนบ่าของเธอส่งผลให้การเคลื่อนไหวช้าลง ตอนนี้นักเวทตามเธอมาทันแล้ว

         

        “-226!”

         

        ไอเท็มที่เยว่ชิงเฉี่ยนมีอยู่ถือว่าไม่เลวเลย ทว่าเลือดของเธอในเวลานี้มีมากสุดแค่ 500 พอยต์เท่านั้น

         

        ……

         

        ผมถือหอกโลหะโบราณไว้ในมือพร้อมกับความรู้สึกสับสนว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ระหว่างเข้าไปช่วยเพื่อน หรือไม่ควรเข้าไปสาระแนเรื่องชาวบ้าน... ก่อนหน้านี้เยว่ชิงเฉี่ยนก็เคยบอกผมว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน และจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง

         

        ผมกัดฟันแน่นก่อนตัดสินใจช่วยฮีลเลือดให้เธอโดยไม่ทำการโจมตี

         

        ผมยื่นมือออกไปแล้วเรียกใช้สกิลรักษาชีวิต

         

        “+450!”

         

        เพียงชั่วพริบตาเลือดของเยว่ชิงเฉี่ยนก็กลับมาเต็มหลอดอีกครั้งจน เธอตกใจ “เอ๋? เป็นไปได้ยังไงเนี่ย?”

         

        หวางเจี่ยนหันขวับมาที่ผมก่อนจะตะโกนด้วยความเดือดดาล “เวรเอ๊ย มีฮีลเลอร์แอบอยู่ตรงนั้น!”

         

         เยว่ชิงเฉี่ยนไม่พูดอะไร เธอรีบใช้กริชแดงโลหิตแทงนักเวทตรงหน้า และเนื่องจากนักเวทผู้นี้เลเวลยังไม่ถึง 40 ทำให้ยังไม่สามารถเรียนรู้สกิลการรวบรวมโล่วิญญาณได้ และจะมีเพียงผิวหนังที่ดึงดูดการโจมตีจากศัตรูเท่านั้น

         

        “สวบ!”

         

        หลังจากฆ่านักเวทแล้ว เยว่ชิงเฉี่ยนก็ถูกคาถาหยาดน้ำแข็งเลเวล 3 โจมตีอีกครั้ง ผมจึงใช้สกิลห้ามเลือดเลเวล 3 ช่วยเธอทันที จนทำให้เลือดของเยว่ชิงเฉี่ยนกลับมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังที่ข้างพุ่มไม้ ร่างของหวางเจี่ยนปรากฏขึ้นตรงหน้าผมพร้อมกับดาบที่มีแสงสีทองลอยออกมา “เซียวเหยาจื้อจ้าย! แกมันรนหาที่ตายชัดๆ!” 




………………………………………………………………………………………….

        [1] เม่ยเหม่ย แปลว่า น้องสาว

        [2] เจี่ยเจีย แปลว่า พี่สาว

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

หน้า จาก 2 ( 30 ข้อมูล )
แสดงจำนวน ข้อมูลต่อแถว

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา