ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  21.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
บทที่ 10
 
 
เมื่อนกน้อยเริ่มเห็นสงครามเล็กๆ กำลังจะก่อตัวขึ้น ก็รีบเอ่ยขัดจังหวะขึ้นอีกครั้งเพื่อเป็นการยุติสงครามที่มีเพียงคำพูดที่ใช้เถียงกันไปมาแบบเด็กๆ เพื่อเอาชนะกันของคนทั้งสอง “เอ่อ...ขอโทษนะคะ...แล้วทำไมเราต้องหาสร้อยจันทร์เสี้ยวคะ”
 
อินทุหันไปให้ความสนใจกับหญิงสาวอีกคนที่ดูเหมือนจะสนใจฟังในสิ่งที่เขาพูดมากกว่า “ในหนังสือเล่มนี้...บอกว่าสร้อยจันทร์เสี้ยวสามารถทำให้ผู้ครอบครองข้ามกาลเวลาได้”
 
“จริงหรือคะ” นกน้อยย้ำถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับสิ่งที่อินทุบอก
 
“งั้นเอาเลยซิ เปิดประตูเวลาเลย” เมื่อศศิธรได้ยินในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที จึงขยับเข้าไปยืนใกล้ๆ เขาเพื่อดูหนังสือหน้าที่อินทุชี้ให้พยาบาลสาวน้อยดู
 
“แต่มันต้องมีสองเส้น” ชายหนุ่มชี้ไปที่รูปอีกรูป ที่มีสร้อยจันทร์เสี้ยวสองเส้นวางประกบกันเป็นวงกลมในหน้าหนังสือให้หญิงสาวทั้งสองคนได้ดู “ตอนข้าอ่านเจอครั้งแรก ข้าก็คิดว่าแล้วข้าจะไปหาสร้อยจันทร์เสี้ยวอีกเส้นได้ที่ไหน...ไม่คิดว่าจะเจอง่ายขนาดนี้”
 
นกน้อยพอจะประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้บ้างแล้ว จึงเอ่ยออกมาด้วยความยินดี “เส้นหนึ่งเป็นของคุณศศิ...อีกเส้นเป็นของคุณอินทุ ถ้าเราหาสร้อยจันทร์เสี้ยวครบทั้งสองเส้น เราก็จะเปิดประตูเวลาได้...ใช่ไหมคะ”
 
“ข้าคิดว่าน่าจะใช่นะ...” อินทุเอ่ยออกมาด้วยความไม่แน่ใจ
 
“เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานทั้งหมด...เราต้องช่วยกันหาสร้อยจันทร์เสี้ยวของท่าน”
 
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยในสิ่งที่หญิงสาวเจ้าของบ้านสรุป แต่พยาบาลสาวน้อยก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกคำถามด้วยความสงสัย
 
“แล้วถ้าได้สร้อยจันทร์เสี้ยวมาแล้ว...เราจะข้ามเวลาไปได้อย่างไรคะ”
 
“นำมาต่อประกบกันเป็นวงกลม แล้วท่องคาถา”
 
“ท่องคาถา” นกน้อยครางออกมาเบาๆ
 
ส่วนศศิธรก็ถามรัวเร็วออกมาเช่นกัน “คาถาอะไร”
 
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจ...” ชายหนุ่มอ่านคาถาในหน้าหนังสือให้หญิงสาวฟัง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ่านต่อจนจบประโยค หญิงสาวเจ้าของบ้านก็เอ่ยต่อประโยคของเขาขึ้นมาแทบจะทันที
 
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า
 
ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...มีใครสักคนมาช่วยแม่ศมนของศศิทีเถอะ”
 
“คุณศศิ” พยาบาลสาวน้อยรู้สึกตกใจ ที่ได้ยินหญิงสาวเจ้าของบ้านสามารถท่องคาถาได้ตรงตามที่ชายหนุ่มอ่านตามหนังสือ...เป๊ะ...จะมีก็แค่ประโยคอธิษฐานตอนท้ายเท่านั้น ที่ในหนังสือไม่ได้ระบุไว้
 
“ศศิธร...เจ้า...” ส่วนอินทุรู้สึกตกใจ ที่ได้ยินประโยค และน้ำเสียงแบบที่เขาเคยได้ยินมาก่อน ประโยคที่เขาได้ยินครั้งสุดท้าย ก่อนที่ตัวเขาเองจะมาโผล่อยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคย...ที่นี่
 
“ใช่แล้ว...วันนั้น วันที่ข้าเจอท่านครั้งแรก ข้าเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง มันเขียนแบบนี้เลย แล้วข้าก็อ่านมันออกมาดังๆ พร้อมกับอธิษฐานขอพรไปด้วย” เธอจำได้ว่า เธอเจอกระดาษแผ่นหนึ่งสอดอยู่ภายในหนังสือสักเล่มที่เธออ่าน มันเป็นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือโย้ไปเย้มา “แล้วท่านก็โผล่มา”
 
“ใช่...แล้วข้าก็มาที่นี่” อินทุจำได้เช่นกันว่าคืนนั้น เขาท่องคาถาตามที่เขาได้ยินแว่วๆ แล้วก็เอ่ยขอพรให้ตัวเองได้พบกับนางอันเป็นที่รักอีกครั้ง
 
‘ฟ้าดลบันดาลให้เรามาพบ เวทมนตร์ฉันใดถึงได้มาเจอ หรือโชคชะตาได้ขีดเอาไว้ ให้มอบหัวใจรักมั่นเพียงเธอ...’
 
พลันเสียงเพลงที่ศศิธรมักร้องจนติดปากตั้งแต่วันที่เธอเผลอจูบอินทุไปแบบไม่ได้ตั้งใจก็ดังขึ้นในใจซ้ำไปซ้ำมาราวกับใครมาเปิดทิ้งไว้ในหัวใจของเธอ แล้วใจยังจะไพล่คิดไปถึงเรื่องความวิเศษของสร้อยจันทร์เสี้ยวของเธอตามที่เจ้าของร้านบอกอีกด้วย ทำให้ตอนนี้ศศิธรใจเต้นแรงและไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าชายหนุ่มตรงๆ เพราะความเก้อเขิน จนต้องเสเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว “ชะ...ช่วย...เราต้องช่วยกันหาสร้อยจันทร์เสี้ยวของท่านโดยเร็วที่สุด”
 
ศศิธรเอ่ยจบก็รีบวิ่งลงบันไดระเบียงไปเขี่ยๆ หาสร้อยจันทร์เสี้ยวของชายหนุ่มที่ริมบ่อน้ำทันทีด้วยความกระตือรือร้น เมื่อรู้แล้วว่าเธอจะเปิดประตูเวลาเพื่อข้ามไปยังกลาพิมพ์ได้อย่างไร และยังเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกวูบไหวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจอีกด้วย
 
////////////////////////////////////////                          
 
หญิงสาวตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังจดๆ จ้องๆ อยู่ริมบ่อน้ำหลังบ้าน และขณะที่เธอเดินกำลังจะถึงตัว เขาก็กำลังยกแขนขึ้นเพื่อจะดึงเสื้อยืดสีขาวออกจากศรีษะได้รูปของเขา ซึ่งเผยให้เห็นซิกแพคของชายหนุ่มรูปงามหุ่นทรมานใจสาวในระยะประชิดอีกครั้ง “ทะ...ท่านจะทำอะไร”
 
“ถอดเสื้อ” อินทุตอบ พร้อมกับลดแขนทั้งสองข้างที่กำลังยกขึ้นลงด้วยใบหน้าสงสัย ทั้งที่เขายังดึงเสื้อยืดสีขาวเนื้อนุ่มที่หญิงสาวเป็นคนเลือกให้เมื่อวันก่อน ออกยังไม่พ้นศรีษะด้วยซ้ำ
 
“ถอดทำไม” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ เธอรู้แล้วว่าเขากำลังถอดเสื้อ แต่ที่เธอสงสัยคือ เขาจะถอดเสื้อเพื่ออะไร
 
“ข้ากำลังจะค้นหาสร้อยจันทร์เสี้ยว”
 
“ในน้ำรึ”
 
อินทุพยักหน้า พร้อมกับปล่อยเสื้อยืดสีขาวที่เพิ่งถอดออกทิ้งลงข้างตัว ก่อนจะก้มลงถอดกางเกงขาสั้นที่ตัวเองสวมอยู่ออกต่อหน้าหญิงสาว ทว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง กลับเอื้อมมือมายุดแขนของเขาเอาไว้จนแน่นหนา
 
“แล้วจะถอดกางเกงออกทำไม” การถอดเสื้อลงน้ำของชายหนุ่ม เธอก็พอจะทำความเข้าใจได้ แต่การถอดกางเกง หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ การแก้ผ้าลงน้ำของเขาในช่วงกลางวันแสกๆ แบบนี้ แถมยังในที่โล่งแจ้งแบบนี้อีกด้วย...เธอรับไม่ได้จริงๆ
 
“แล้วถ้าไม่ถอด...จะลงน้ำได้อย่างไร”
 
“ท่านลงน้ำทั้งชุดนี้ก็ได้นิ” ศศิธรเอ่ยออกมาพร้อมกับเมินหน้าหนีซิกแพคตรงหน้าไปอีกทาง ก็เพราะสายตาเจ้ากรรมของเธอมันพานแต่จะมองสำรวจร่างกายได้รูปของชายหนุ่มร่างยักษ์อยู่นั่น
 
เธอไม่รู้ว่าจะโทษผู้ชายขี้อ่อยตรงหน้าดี หรือสายตาช่างสำรวจของเธอกันแน่ ที่ทำให้ตอนนี้ เธอกลายเป็นเหมือนผู้หญิงโรคจิตที่ชอบลอบแอบมองชายหนุ่มเป็นประจำ และเขาก็มักไม่ค่อยระวังตัวเวลาอาบน้ำ ซึ่งก็เป็นเธอทุกทีที่บังเอิญไปเห็น
 
แถมเขายังชอบถอดเสื้อโชว์มัดกล้ามแทบจะตลอดเวลาในช่วงบ่ายๆ พอเธอดุเขาเรื่องถอดเสื้อ เขาก็มักจะให้เหตุผลว่า...เขาร้อน
 
“มันเกะกะ”
 
“ถึงเกะกะ ก็ห้ามถอด”
 
และเขาก็มักจะมีเหตุผลมาเถียงกับเธอเสมอ...“แต่พอโดนน้ำแล้วมันก็หนัก...ดำน้ำไม่นาน ข้าก็หมดแรงแล้ว”
 
“งั้นถอดแต่เสื้อก็ได้”
 
“กางเกงนี่แหละ ตัวหนักเลย”
 
“ไม่ได้...ท่านจะแก้ผ้าลงน้ำไม่ได้นะ” ศศิธรกล่าวออกมาอย่างเหลืออด พร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ เมื่อชายหนุ่มไม่ยอมฟังในสิ่งที่เธอบอกเลยสักนิด เขาไม่รับรู้บ้างเลยหรือไง ว่าร่างกายของเขาบวกกับใบหน้างดงามราวเทพบุตรของเขานั้น มันน่ามองมากแค่ไหน และเขาอาจจะถูกเธอลวมลามทางสายตาก็ได้ ถ้าเขายังคงอ่อยเธอแบบนี้เรื่อยๆ
 
“ถ้าเจ้าอาย...ข้าจะเหลือกางเกงตัวเล็กข้างในเอาไว้” อินทุเอ่ยออกมายิ้มๆ เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาว เขารู้ว่าเธอชอบแอบมองเขายามที่เขาเผลอ และเธอก็มักจะเขินอายจนหน้าแดงเสมอ หลังจากสำรวจเขาจนพอใจแล้ว...ซึ่งเขาก็ชอบเห็นแก้มแดงๆ ของเธอซะด้วย เขาถึงได้ชอบถอดเสื้อต่อหน้าเธอเสมอ
 
แต่เขาก็ทำได้เฉพาะเวลาที่พี่ชายของหญิงสาวไม่อยู่บ้านเท่านั้น เพราะพอเห็นสายตาจ้องจับผิดเขา หรือสายตาที่รู้เท่าทันความคิดของเขาจากพี่ชายของเธอ เขาก็ไม่กล้าจะทำอะไรออกไปทุกที เพราะที่นี่มันไม่ใช่กลาพิมพ์ ถิ่นของเขา
 
“ข้า...ข้าไม่ได้อาย ท่านนั่นแหละที่ต้องอาย” นี่เธอพยายามจะช่วยเขาแล้วนะ ทำไมเขาไม่หัดเข้าใจอะไรง่ายๆ บ้าง
 
“ก็ข้าไม่อาย” พูดจบ ชายหนุ่มก็เตรียมที่จะดึงกางเกงออกจากตัว ถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามมาจากหญิงสาวซะก่อน
 
“หยุดๆๆ...เดี๋ยวข้าไปเอากางเกงบอลของพี่ภูมาให้ท่านใส่...ขอร้องล่ะ ใส่กางเกงสักหน่อยเถอะนะ” หญิงสาวร้องห้ามเสียงหลง พร้อมกับเอ่ยขอร้องไปด้วย เพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะคิดว่าเธอออกคำสั่งกับเขาอีก เมื่อได้ยินเขาบอกว่าจะเหลือกางเกงในไว้หนึ่งตัว แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบกางเกงบอลใส่นอนของพี่ชายมาให้ชายหนุ่มใส่ก่อนลงน้ำเพื่อกันอุจาดตา และเป็นการกันสายตาช่างสำรวจตรวจตราของตัวเธอเองอีกด้วย
 
/////////////////////////////////////////
 
หลังจากที่อินทุดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำนานร่วมสองชั่วโมง ชายหนุ่มก็เดินขึ้นมาจากน้ำด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน ก่อนจะมาทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนพื้นสนามหญ้าข้างศศิธร จนหญิงสาวอดที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใยไม่ได้ “เหนื่อยไหม”
 
อาการหลับตานิ่งพร้อมกับการส่ายหน้าน้อยๆ ของอินทุแทนคำตอบนับล้านคำของคำถามของศศิธรได้เป็นอย่างดี แต่เธอก็อดที่จะถามอีกคำถามไม่ได้ คำถามที่พอจะเดาคำตอบจากสีหน้าและท่าทางของอินทุได้ “แล้วเจอไหม”
 
ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คืออาการส่ายหน้าจากชายหนุ่มที่แลดูเหนื่อยล้า ท้อแท้ จนไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ นอกจากนอนหลับตานิ่งๆ ด้วยอาการเหนื่อยหอบ
 
“ดื่มน้ำก่อน” ศศิธรยื่นแก้วน้ำเย็นให้กับอินทุด้วยความเป็นห่วง แต่เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นมารับแก้วน้ำในทันที เขานอนนิ่งอยู่นานทีเดียวกว่าจะลุกขึ้นมานั่ง และรับแก้วน้ำไปจากมือของเธอ
 
อินทุดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนจะเอ่ยขอบคุณหญิงสาวในความมีน้ำใจและเป็นห่วงเป็นใยของเธอ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย “ขอบคุณ”
 
“ไม่เจอก็พอเถอะ ดูซิเนื้อตัว มือเมอซีดหมดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับจับมือเย็นชืดของชายหนุ่มมาพลิกดู เมื่อสังเกตเห็นว่าเนื้อตัวของชายหนุ่มนั้นซีดขาวจนแทบจะเป็นไก่ต้มสุกอยู่แล้ว
 
“ไม่เห็นซีดเลย...ขอข้าลองหาอีกสักรอบแล้วกัน” อินทุเอ่ยออกมาอย่างดื้อดึง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือบางที่แอบจับมือของเขาก่อนหน้านี้ไปง่ายๆ กลับพลิกมือหนาขึ้นเพื่อเป็นฝ่ายกอบกุมมือเล็กเอาไว้ในอุ้งมือใหญ่ของเขาแทน
 
“เหนื่อยก็พอเถอะ...ดิน หรือใบไม้อาจจะกลบบังอยู่ ทำให้ท่านมองไม่เห็นมันก็ได้” หญิงสาวพยายามจะบิดมือบางของตัวเองออกจากมือหนา เมื่อรู้สึกว่ามือเย็นชืดเมื่อสักครู่นี้...เริ่มจะอุ่นและร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว
 
“แต่...”
 
“อย่าดื้อน่า...คืนนี้ลองมาดูอีกรอบก็ได้ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง สร้อยจันทร์เสี้ยวอาจจะสะท้อนแสงจันทร์ทำให้เรามองเห็นสร้อยได้ง่ายขึ้นก็ได้นะ”
 
“ก็จริง” ชายหนุ่มเห็นด้วยกับคำอธิบายของหญิงสาว เขาจึงยอมล้มตัวลงนอนแผ่ลงไปอีกรอบ โดยที่มือหนาก็ยังคงกุมมือบางเอาไว้ข้างตัวไม่ยอมปล่อย และเมื่อเธอพยายามจะดึงมือออกเพื่อจะลุกหนี เขาก็ร้องท้วงขึ้นมาเบาๆ ทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ “เจ้าจะลุกไปไหน นั่งอยู่ตรงนี้ เป็นเพื่อนข้าเดี๋ยวซิ”
 
เมื่อรับรู้ได้ว่าหญิงสาวยอมนั่งลงนิ่งๆ ข้างเขาเช่นเดิมแล้ว อินทุก็เอ่ยถามต่อมาอีกประโยคด้วยความรู้สึกหนักใจ “ถ้าข้าหาสร้อยจันทร์เสี้ยวไม่เจอ...ข้ากลับไปกลาพิมพ์ไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำอย่างไร...ข้าหมายถึงเรื่องแม่ของเจ้า”
 
เขารู้สึกหนักใจมากขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อรับรู้ว่าตอนนี้หญิงสาวได้ฝากชีวิตแม่ของเธอไว้กับเขาแล้ว...ซึ่งดูเหมือนว่าหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเขา จะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหน้าที่ และหน้าที่อันยิ่งใหญ่ มันก็มักจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งเสียด้วย
 
“ข้า...ไม่รู้ซิ แต่ข้าไม่ยอมแพ้หรอกนะ ถ้าท่านกลับไปกลาพิมพ์ไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะค้นคว้าลองหาตัวยามารักษาแม่ข้าต่อไปเรื่อยๆ...เหมือนที่พยายามทำอยู่ทุกวันนี้” ศศิธรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แต่ในความเศร้านี้ เธอไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ หรือถอยเด็ดขาด เหมือนที่เธอมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าคนเรามันท้อแท้สิ้นหวังกันได้ แต่อย่างไรเสีย เธอจะไม่มีวันถอยเด็ดขาด
 
“แล้วข้าล่ะ...เจ้าจะทำอย่างไรกับข้า”
 
“ไม่เห็นยาก...ข้าก็จะรับเลี้ยงท่านเอง” หญิงสาวหลุดปากพูดออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่เหมือนคนที่ได้ฟังประโยคนี้จะคิด เพราะทันทีที่เธอพูดจบ เขาก็ลืมตาแล้วหันมาจ้องมองหน้าเธอนิ่งๆ ทันที มองด้วยสายตาที่เธอก็อ่านไม่ออก และยากจะคาดเดา จนเธอต้องรีบพูดอีกประโยคออกไป เพื่อแก้ความกระดากอายของตน “เอ่อ...ข้าหมายถึงพี่ภูก็คงจะอนุญาตให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วก็คงหางานให้ท่านทำมั้ง”
 
“ข้าคงไม่อยู่ที่นี่ให้เจ้ารับเลี้ยงหรอก...และข้าก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน เพราะข้ามีหน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบมากมายรออยู่ที่นั่น อย่างไรข้าก็ต้องหาทางกลับ...กลาพิมพ์...ให้จงได้”
               
////////////////////////////////////////
 
ภูผาเดินเข้ามาหาน้องสาวที่กำลังนั่งเล่าเรื่องราวต่างๆ ของวันนี้ที่เธอทำมาทั้งวันให้แม่ของเธอได้ฟัง ปกติเวลาประมาณสองทุ่มของทุกๆ วัน ศศิธรจะต้องเข้ามาคุย หรือไม่ก็อ่านหนังสือให้แม่ของเธอฟังก่อนนอน ซึ่งเธอและเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ได้ยินหรือรับรู้หรือไม่ แต่เขาก็เห็นน้องสาวทำเช่นนี้เป็นประจำทุกวันตลอดระยะเวลาที่แม่เธอนอนป่วยอยู่บนเตียง
 
ทว่าเมื่อไม่เห็นว่าน้องสาวกับหญิงสาวอีกคนที่ผลัดกันเล่านั่นเล่านี่ให้คนป่วยบนเตียงฟังจะหันมาให้ความสนใจคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องเช่นเขาเลยสักนิด ทั้งที่เข้ามายืนอยู่ตั้งนานแล้ว ภูผาก็เลยตัดสินใจเอ่ยขัดขึ้นเบาๆ “ศศิ...เรื่องหญ้าอาบจันทร์...”
 
“หญ้าอาบจันทร์...ทำไมคะ?” ตอนแรกเหมือนศศิธรจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูด แต่เมื่อนึกออกว่าพี่ชายหมายถึงเรื่องอะไร จึงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนความกระหายใคร่รู้ “เพื่อนพี่ภูว่าอย่างไรบ้างคะ เคยเห็นมันไหม”
 
“เพื่อนพี่โทร. มาบอกว่ามันเป็นต้นหญ้ายุคโบราณ ขึ้นตามแถบที่สูงที่มีอากาศหนาวย็นจัด ปัจจุบันต้นหญ้าแบบนี้ไม่มีแล้ว เพราะอากาศบ้านเรามันไม่หนาวจัดแล้ว”
 
ภูผารู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่เห็นสีหน้าสลดลงแทบจะทันควันของน้องสาวเมื่อเขากล่าวจบประโยค จนต้องเดินเข้าไปลูบหัวเพื่อปลอบใจ “ศศิ...ไม่เป็นอะไรนะ”
 
“ค่ะ...ศศิไม่เป็นอะไร” ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดวงตาของศศิธรที่จ้องมองไปยังแม่ของเธอบนเตียงนอนนั้นกลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาซึ่งอีกเพียงนิดเดียว มันก็พร้อมจะหยดไหลลงตามแก้มใสได้ทุกเมื่อ
 
“เมื่อวาน คุณอินทุบอกว่าถ้าเราหาสร้อยของเขาเจอ ประตูเวลาก็จะเปิด คุณศศิก็จะไปกลาพิมพ์ได้นี่คะ เราค่อยไปหาหญ้าอาบจันทร์ที่กลาพิมพ์ก็ได้” พยาบาลสาวน้อยพยายามจะช่วยปัดเป่าหยาดน้ำตาให้นายจ้างสาว ด้วยการพูดถึงอีกหนึ่งหนทาง ที่น่าจะทำให้พวกเธอสามารถหาหญ้าอาบจันทร์มารักษาคนป่วยบนเตียงได้
 
“นั่นนะซิ” ศศิธรยิ้มออกมาได้เล็กน้อย เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็ยังมีอีกหนึ่งความหวัง...ถึงแสงของความหวังนี้ จะริบหรี่เต็มทีก็ตาม
 
“สร้อยอะไรหรือ” ภูผาพยายามจะซักถามพยาบาลสาวที่พักนี้มักจะหลบหน้าหลบตาเขาเสมอ ไม่ยอมพูดไม่ยอมคุยกับเขา หลังจากคืนที่เขาเดินจูงมือเธอไปส่งจนถึงหน้าบ้าน
 
ทว่าพยาบาลสาวกลับก้มหน้าลง แล้วก็ยังคงไม่ยอมสบตาหรือตอบคำถามใดๆ ของภูผา ทำให้หญิงสาวอีกคนในห้องต้องเป็นฝ่ายตอบแทน “สร้อยจันทร์เสี้ยว...เหมือนสร้อยที่ศศิใส่อยู่”
 
“สร้อยแบบไหน...ขอพี่ดูหน่อย”
 
ศศิธรลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินตามพี่ชายไปนั่งที่ชุดเก้าอี้หวายริมห้อง พร้อมทั้งดึงสร้อยออกมาจากคอเสื้อให้พี่ชายได้ดู “ท่านอินทุอ่านเจอในหนังสือ บอกว่าผู้ครอบครองสร้อยจันทร์เสี้ยวสามารถเดินทางข้ามกาลเวลาได้”
 
“อืมมม...” ชายหนุ่มพลิกสร้อยที่คอของน้องสาวขึ้นมาดูโดยไม่ได้ถอดออกมา และเมื่อเขาได้เพ่งพินิจก็ไม่เห็นว่าสร้อยเส้นนี้ จะสามารถทำให้คนเป็นเจ้าของเดินทางข้ามเวลาไปได้อย่างไร
 
“แล้วนี่พี่ภูจะไปไหนคะ...ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วได้” ศศิธรชวนภูผาคุยเปลี่ยนเรื่อง เมื่อจู่ๆ ในห้องก็เงียบกริบ เมื่อพยาบาลสาวขยับตัวเก็บข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวกลับบ้าน
 
“พี่จะไปบ้านใหญ่” ภูผาตอบน้องสาวไปพลาง แต่ตาก็ชำเลืองมองหญิงสาวอีกคนไปพลาง ตั้งแต่เขาเข้ามาในห้องนี้ เธอยังไม่ยอมสบตาเขาเลยสักครั้ง
 
ศศิธรเงยหน้ามองนาฬิกาที่ผนังห้อง แล้วก็เอ่ยถามภูผาออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ตอนนี้หรือคะ...ไปทำไมคะ”
 
“อืม...จู่ๆ ก็โทร. มาตามให้พี่เข้าไปกินข้าวเย็นที่บ้าน บอกว่ามีธุระด่วน...ด่วนมาสามวันติดแล้ว” ภูผาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งจัด อย่างคนที่รู้ที่ไปที่มาของธุระของด่วนของบ้านใหญ่ได้เป็นอย่างดี
 
ศศิธรเดินเข้าไปเกาะแขนพี่ชาย พร้อมกับหรี่ตามองไปที่พยาบาลพิเศษของแม่ด้วยสายตามีความหมาย ก่อนจะหันมาเย้าแหย่ให้พี่ชายตอบคำถามต่อ “อย่าบอกนะคะว่า...”
 
 
 
 
++++++++++
 
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
 
รัก
พลอยลภัสร์ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา