บัลลังก์เลือด สงครามสี่เผ่าพันธุ์

8.5

เขียนโดย นางแกงพเนจร

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.00 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,715 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 15.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตลอดกาลและนิรันดร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “จากประสบการณ์ที่ยาวนานตลอดชีวิตของผม มันทำให้ผมต้องเชื่อว่าเราต่างผูกพันกับพี่น้อง หรือเครือญาติสายเลือดเดียวกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุผลที่ตายตัวว่า ‘เราไม่สามารถเลือกเกิดได้’ สายสัมพันธ์ที่ว่ามานี้คือความแข็งแกร่ง ยากที่จะต่อกรกับพวกเรา หรือมันอาจจะเป็นความโศกเศร้า เสียใจ ที่ลึกซึ้งอยู่ก้นบึ้งภายในจิตใจของพวกเราเช่นกัน ความจริงที่ไม่น่าอภิรมย์ ซึ่งก็ตามหลอกหลอนผมมาตั้งแต่ผมจำความได้” คำพูดของอาคิน...

     .. ณ กลางอ่าวไทย 400 ปีก่อน กลางดึกในเรือสำเภาข้นส่งสินค้า เหล่ากัปตันและกะลาสีเรือจำนวนหนึ่งรวมตัวกันกลางลำเรือ มีเพียงแค่ตะเกียงที่ให้แสงสว่างกับพวกเขา ..
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับมันมาบ้าง?” กัปตันถามผู้ช่วยกัปตัน
“ไม่มีตรา ไม่มีสัญชาติ โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ โลงศพพวกนั้น ลอยมากับเรือลำเล็ก” ผู้ช่วยกัปตันตอบ
“ทำไมมันถึงลอยอยู่อย่างนั้น?” กัปตันสงสัย
“ผมคิดว่าเราต้องลงไปหาคำตอบด้วยตัวเองครับ” ผู้ช่วยกัปตันยื่นข้อเสนอ

     พวกเขาลงไปที่ใต้ท้องเรือ ที่ๆพวกเขานำโลงศพเหล่านั้นขึ้นมาเก็บไว้บนเรือ เสียงบันไดไม้ที่ดังออดแอดชวนให้ขนลุก
“หายไปไหนกันหมดวะ?” ผู้ช่วยกัปตันเริ่มแปลกใจเมื่อกะลาสีที่เฝ้าอยู่ใต้ท้องเรือหายตัวไปกันหมด
“ไม่มีใครอยู่สักคน หวังว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายนะ กะลาสีหยิบอะไรติดไม้ติดมือไว้” กัปตันพูดเสริม เขาเริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ
“ทำอะไรน่ะ?” กัปตันถาม บุคคลตรงหน้ากำลังเดินเข้าไปใกล้โลงทั้ง 5 ใบ
“เปิดมันออก” ผู้ช่วยกัปตันสั่งให้กะลาสีไปเปิดโลงศพหนึ่งในห้า
“อะไรกันวะเนี้ย!” กะลาสีร้องอุทานตกใจ เมื่อเขาเห็นศพผู้ชายนอนแห้งอยู่ในโลง ตัวซีดเส้นเลือดขึ้นตามตัวเป็นสีดำ ถูกกริชสีดำปักไว้ตรงกลางอก

     พวกเขามองดูศพนั้นสักพัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงการเคลื่อนไวบางอย่าง ที่ว่องไว กาละสีหายไปคนหนึ่ง และก็เริ่มหายไปทีละคน... ทีละคน... จนเหลือกันแค่ 3 คน คือ กัปตัน ผู้กัปตัน และกาละสีอีกหนึ่งคน จนกระทั้งกาละสีอีกคนถูกดึงตัวเข้าไปในมุมมืด ...ไม่มีเสียงร้องโวยวาย มีแต่กลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งขึ้น ความหวาดกลัวและอาการเสียสติก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดกัปตันก็ตัดสินหนีขึ้นไป เขาหันกลับมามองผู้ช่วยกัปตันก่อนตัวเองนั้นจะถูกดึงขึ้นไปบนเรือแล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ ทิ้งให้ผู้ช่วยกัปตันยืนอยู่คนเดียว เวลานี้เขาระแวงและหวาดกลัวไปหมด
“สวัสดีค่ะ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืด ผู้ช่วยกัปตันหันไปมอง เธอคือ ..รวิภา.. ดวงตาสีดำกลืนทั้งลูกตา มีเส้นเลือดสีดำขึ้นรอบๆ ค่อยๆกลับมาเป็นดวงตาปกติ ไม่มีเส้นเลือดขึ้น เธอใช้ผ้าเช็ดปาก
“รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นสุภาพบุรุษหน้าตาหล่อเหลา หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนาน ข้ากินบุรุษผู้นี้ได้หรือไม่ ท่านพี่?” รวิภาพูดแซวผู้ช่วยกัปตัน
“พี่ว่าคงไม่ดีกระมัง” เสียงผู้ชายพูดขึ้นมาจากอีกฝั่ง ผู้ช่วยกัปตันหันไปมอง เขาคือ ..อาคิน..
“ไม่มีเหตุใดที่เจ้าต้องกลัว เจ้าจะทำตามที่ข้าบอกทุกอย่าง ~ เจ้าจะจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ~” อาคินสะกดจิตเขา
 “~ ข้าจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ~” ผู้ช่วยกัปตันถูกสะกดจิตไปเรียบร้อยแล้ว
“~ พวกเราเดินทางมายาวนาน ซึ่งก็โชคร้ายเหลือเกิน ที่เราต้องเสียลูกเรือของเราไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องขอให้เจ้าช่วยขนข้าวของ ...ลือทรัพย์สมบัติขึ้นไปไว้บนฝั่งได้หรือไม่ ~” อาคินใช้งานผู้ช่วยกัปตัน
“พวกเจ้าเป็นภูตผีชนิดไหนกัน?” ในขณะที่ถูกสะกดจิต เขายังคงมีสติ แต่จะทำตามคำสั่งของผู้สะกด
“เราเป็นผีดิบค่ะ... บุรุษผู้เลอโฉม ...ผีดิบตนแรกของสายพันธุ์ ฉัน... รวิภา นั้น... อาคิน พี่น้องของเรา ไพศาล และ คัมภีร์ กำลังพักผ่อนอย่างสงบสุข” รวิภาแนะนำตัวเธอและพี่ชาย รวมถึงบุคคลที่อยู่ในโลงด้วย พวกเขาคือทายาทลำดับที่ 2 และ 5 ของตระกูลวิรุฬห์กร ปัจจุบันถูกแทงด้วยกริชเหล็กนิลไว้
“เรามักจะเก็บสิ่งล้ำค่าไว้ตอนท้ายเสมอ” เสียงของผู้ชายอีกคนดังลงมาจากบนเรือ
“และนั้นคือพี่ชายต่างบิดาของเรา นคเรศ ...อย่าไปสนใจเขาเลย เขามันเดรัจฉาน” รวิภาดูไม่ค่อยพอใจที่จะเอ่ยถึงพี่ชายต่างบิดาเท่าไหร่ เธอหันไปมองนคเรศ เขาหิ้วศพของกัปตันไว้ ริมฝีปากเปื้อนเลือดเต็มไปหมด นคเรศเห็นการจิกกัดของน้องสาวก็อดขำไม่ได้ เขาโยนศพของกัปตันทิ้งลงมาที่ด้านล่าง
“เราหนีมาจากทางเหนือ เอาชีวิตรอดกลางทะเล กล่าวให้ถูกคือ พวกเรานั้นกระหายอย่างถึงที่สุด และชายฝั่งของที่นี่คือเรือนหลังใหม่ของพวกเรา” นคเรศพูด
“นคเรศ มารยาทของเจ้านี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่ตลอดเพลานักเชียว...รบกวนเจ้าช่วยบอกพวกเราหน่อยเถอะว่า ที่นี่คือที่ใด?” อาคินกลับเข้าเรื่อง เขาหันไปถามผู้ช่วยกัปตัน
“เมืองท่า ..จตุราชิต.. ขึ้นตรงกับนครศรีวัชรบุรี อาณาจักรพริบพรี” ผู้ช่วยกัปตันเรือตอบ
“ขอบใจเจ้ามาก ข้าขอให้เจ้าช่วยจัดการตามที่สั่งให้ทีนะ ขออภัยจากใจข้า” อาคินพูดจบ ทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปบนเรือ ผู้ช่วยกัปตันสาดแสงตะเกียงไปรอบๆ พบศพกะลาสีที่หายตัวไป พวกเขามีรอยกัดและตัวซีดราวกับว่าไม่มีเลือดอยู่ในร่างกาย

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 4 การสะกดจิต ผีดิบมีอำนาจสะกดจิตให้ผู้อื่นทำตามในสิ่งที่ตนต้องการได้ มนุษย์มักจะตกเป็นเหยื่อจากการสะกดจิตของผีดิบเสมอ ผีดิบที่มีอายุน้อยกว่าจะไม่สามรถสะกดจิตผีดิบที่อาวุโสกว่าตนได้  ในขณะที่ถูกสะกดจิตจะยังมีสติ รู้ผิดชอบชั่วดี แต่จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งของผู้สะกด)

...............................................................................................

     .. ณ เมือง จตุราชิต ในยามราตรี เมืองที่สุดแสนคึกครึน และไม่มีวันหลับใหล อาคินนั่งอยู่ในร้านเหล้าแห่งหนึ่งของเมือง ..
“แล้วอะไรทำให้คุณมาที่นี่ล่ะ?” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งถามเขา คือ ..กรองขวัญ.. เธอเสิร์ฟวอดก้ามาร์ตินี่ให้กับเขา
“ผมเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน” อาคินตอบ
“เหรอ? ...นานหรือยัง?” กรองขวัญถามต่อ
“รู้สึกเหมือนผ่านมา 100 ปีแล้วมั่ง” อาคินพูดความจริงไปอย่างแนบเนียน
“ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่คนเดียว อะไรทำให้คุณคิดจะกลับมาล่ะ?” กรองขวัญถามต่อ
“คือน้องชายผมเข้ามาในเมืองนี้ ที่ไหนสักแห่ง ผมกลัวว่าเขาจะทำตัววุ่นวายน่ะ” อาคินพูดต่อ
“คุณพูดเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกเลยนะ” กรองขวัญคุยกับอาคินไป จัดบาร์ไป
“เขาเป็นคนเข้าใจยาก ไม่ฟังใคร ไม่สุภาพและเจ้าอารมณ์นิดหน่อย เราไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน ผมไม่เคยทุกข์ใจกับเรื่องนั้น แต่น้องชายผม เขาขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แล้วเขาก็มีประวัติยาวเหยียดเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนบ่อยๆ” อาคินพูดถึงนคเรศ
“งั้นฉันขอเดาว่าคุณก็มีประวัติไม่แพ้น้องชาย ถึงได้ตามมาคอยช่วยเขาอยู่ตลอด ...เขาทำตัววุ่นวายยังไงเหรอ?” กรองขวัญวิเคราะห์แบบจิตแพทย์ เธอถามต่อ
“เขาเชื่อว่ามีคนในเมืองนี้กำลังวางแผนที่จะกำจัดเขา” อาคินตอบ
“หลงตัวเองแล้วยังหวาดระแวงอีก ...โทษที บาร์เทนเดอร์ที่จบปริญญาโทในด้านจิตวิทยา สำนวนซ้ำๆซากๆ น่าเบื่อทั้งนั้น” กรองขวัญพูด
“ฟังนะ คุณ...กรองขวัญ ผมกำลังตามหาใครบางคนที่อาจจะกำลังร้องไห้ในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอตอนนี้ เธอทำงานที่นี่ ..จรุงจิต เดชาภัทรจินดา.. พอจะรู้ไหมว่าผมจะพบเธอได้ที่ไหน?” อาคินสังเกตเห็นป้ายชื่อพนักงานของกรองขวัญ เขาพูดเข้าประเด็นสำคัญ
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ฉันรู้จักบางคนที่พอจะบอกได้” กรองขวัญแนะนำอาคิน

.. ณ ริมถนน บัวบุญ ยามค่ำคืน ..

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมือง จตุราชิต ค่ะ มงกุฎเพชรแห่งเมืองท่าพระจันทร์เสี้ยว ย่าน เมียงออก หมู่บ้าน เมียงออก ดนตรีบรรเลงและเพลงตะวันออก เพลงรักและบทกวี ยังไม่รวมถึงสิ่งลี้ลับยามราตรี ผีที่ดูดเลือดมนุษย์ วิญญาณแค้นพยาบาท และที่ฉันชอบมากที่สุดคือ ...ไสยศาสตร์ ที่นี่เรามีร้านขายเครื่องรางของขลัง เชิญเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ เพื่อสิริมลคลและเมตตามหานิยม” ไกด์สาวพานักท่องเที่ยวเดินชมย่านเมียงออก เธอให้พวกเขาแวะซื้อของกันที่ร้านขายเครื่องรางของขลังของหมู่บ้านเมียงออก เธอเป็นคนสวย หน้าคม ตาโต ปากบาง จมูกแหลม ผมหยิกยักศกสีดำฟู ผิวสีเข้ม รูปร่างดี เธอคือ ..ศรีบุญ.. หมอผีสาวจากหมู่บ้านเมียงออก เพื่อนสนิทสมิตา มีอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยวในเมือง
“นี่คุณยังไม่เลิกตามฉันอีกเหรอ คุณอาคิน มีอะไรว่ามา” ศรีบุญรู้ว่าถูกสะกดรอยตามมาตลอดทาง และเธอก็รู้ว่าคนที่ตามคือใคร
“คุณรู้ว่าผมคือใคร” อาคินประหลาดเล็กน้อย
“พวกผีดิบตนแรก ใส่สูทผูกไท คุณและครอบครัวของคุณเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พวกหมอผี โดยเฉพาะน้องชายของคุณที่กลับเข้ามาในเมือง” ศรีบุญพูด
“นคเรศมาที่นี่ เพราะเขาได้ยินมาว่ามีหมอผีกำลังวางแผนต่อต้านเขา ผู้หญิงที่ชื่อ ..จรุงจิต เดชาภัทรจินดา..” อาคินพูดเข้าเรื่อง
“หากเขามาหาจรุงจิต ...เขามาช้าไปหน่อยแล้วล่ะ” ศรีบุญดูไม่สบอารมณ์นิดๆ
“คุณกำลังจะบอกผมว่าเธอตายแล้วงั้นเหรอ?” อาคินถาม
“...ตามฉันมาสิ น้องสาวของเธอ สมิตาอยากคุยกับคุณ” ศรีบุญกระอักกระอ่วนก่อนที่จะบอกให้อาคินเดินตามเธอไป

...............................................................................................

     .. ณ แยกจัตุรัสชัยชินี ศพของจรุงจิตยังคงนอนนิ่งอยู่กลางถนน เธอถูกจัดวางศพให้นอนตรงๆ สมิตานั่งร้องไห้เสียใจเศร้าโศกอยู่ข้างๆศพของเธอ เหล่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกยืนล้อมรอบศพของเธอ กำลังจะทำพิธีบังสุกุลให้กับเธอ พวกเขาจุดเทียน จุดธูป 1 ดอก มีสายสิญจน์ และดอกบัวอีก 1 ดอก ทุกคนอยู่ในอารมณ์ที่เศร้าสลดเป็นอย่างมาก อรนาทเดินไปข้างๆสมิตาให้กำลังใจเธอ ศรีบุญพาอาคินมาดูให้เห็นกับตา ..
“นั้น...จรุงจิตเหรอ?” อาคินหันมาถามศรีบุญ เธอพยักหน้า
 “ฆ่าในที่สาธารณะเพื่อที่จะให้คนเห็น” อาคินพูดต่อ
“พวกคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นหมอผีจากหมู่บ้านฉันเอง ตอนนี้น้องสาวเธอจะนำร่างของเธอกลับไป วิญญาณของเธอไม่ไปสู่สุขคติจนกว่าจะได้ฌาปณกิจอย่างถูกต้องตามแบบไสยเวทย์บรรพชน” ศรีบุญพูด
“ได้โปรดบอกผมทีว่า น้องชายผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?” อาคินสงสัย
“เปล่าหรอก จรุงจิตตายเพราะถูกจับได้ว่าเธอใช้อาคม” ศรีบุญพูด
“คุณหมายความว่ายังไง เธอถูกฆ่าตายเพราะใช้อาคม?” ในขณะที่อาคินกำลังหาคำตอบจากศรีบุญ เสียงนกหวีดที่เกิดจากการผิวปากก็ดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจึงหันไปมองตามเสียง มีเสียงดังโวยวายมาแต่ไกลๆ
“คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าใครเป็นคนฆ่าจรุงจิต จับตาดูผู้ชายที่ชื่อมนชิตไว้” ศรีบุญรีบบอก เธอดูตื่นกลัวและร้อนรน
“ผีดิบที่ชื่อ..มนชิต..อะเหรอ?” อาคินหันไปถามต่อ
“ทุกอย่างที่นี่ไม่เหมือนเดิมหลังจากที่ครอบครัวของคุณจากไป และมนชิตก็เปลี่ยนไป” ศรีบุญพูดต่อ ตอนนั้นเอง เหล่าผีมากมายปรากฏตัวออกมา นำโดยมนชิต พวกเขามีจำนวนเยอะกว่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกเป็นเท่าตัว พวกผีดิบล้อมรอบหมอผีไว้
“ฉันขอให้คุณไปซ่อนตัวก่อน ถ้ามนชิตรู้ว่าพวกหมอผีปล่อยให้ตระกูล วิรุฬห์กร เข้ามาในเมือง คนของฉันจะถูกฆ่าอย่างทารุณ” ศรีบุญขอร้องอาคิน เขาไม่พูดอะไร และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขึ้นไปอยู่บนระเบียงตึกระแวกนั้น มองดูอยู่ไกลๆ ศรีบุญรีบเข้าไปสมทบกับคนในหมู่บ้านทันที
“แหมๆ มารวมตัวอะไรกันที่นี่ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถนนเส้นนี้ ตรงนี้ ไม่ได้พิสูจน์ความโชคดีสำหรับครอบครัวเธอเลย อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง เราจะสอนบทเรียนเล็กๆให้กับร่างพี่สาวของเธอ” มนชิต เดินเข้ามาเขาพูดกับเหล่าหมอผี โดยเฉพาะกับสมิตา ทยุตกับดนัยเดินตามประกบเขามาติดๆ ดนัยทำท่าทีข่มขู่พวกหมอผี
“เราจะให้เธอได้พักผ่อน มนชิต ปล่อยพวกเราไปเถอะ” สมิตาขอร้องทั้งน้ำตาให้พวกเขาหยุด
“ฉันไม่เคยอนุญาตให้ใครมาย้ายศพหล่อน ...จริงๆแล้ว ฉันทิ้งศพหล่อนไว้เพราะว่ามีเหตุผล เพื่อส่งข้อความเตือน สำหรับใครก็ตามที่คิดจะเข้าร่วมฝ่ายต่อต้านกฎของฉัน เรื่องที่หมอผีไม่สามารถเล่นคุณไสยได้ในเมืองนี้ และยังมีนกตัวน้อยๆมาบอกฉันว่าจรุงจิตใช้คาถาที่ทรงพลังมาก อ๋อใช่ และในขณะที่ฉันกำลังเล่น ถาม-ตอบ กับเธอ เพื่อนเก่าของฉัน ลูกผสม นคเรศ อยู่ดีๆก็โผล่เข้ามาในเมือง ถามหาแต่จรุงจิต รู้ไหมว่าทำไม?” มนชิตซัดทอดสมิตา
“ฉันไม่รู้ พวกหมอผีไม่ชอบเข้าไปยุ่งเรื่องของผีดิบอยู่แล้ว” สมิตาปฏิเสธไป
“อื้ม ...นั้นคงโง่มากๆ มั่นใจได้เลย จะบอกอะไรให้นะ กลับไปที่ร้านของเธอทำน้ำกระเจี๊ยบที่ขึ้นชื่อ และทำให้พวกนักท่องเที่ยวมีความสุข ...เอาร่างของหล่อนไป” มนชิตกำลังจะชิงร่างของจรุงจิต
“ไม่! หยุด หยุดนะ มนชิต!” สมิตาเข้าไปขวางแต่ถูกทยุตล็อคตัวไว้ พวกหมอผีคนอื่นๆไม่กล้าทำอะไร
“ฉันจะยึดร่างพี่สาวของเธอไว้ก่อน เผื่อเธอจะคิดออกว่าทำไมนคเรศถึงมาที่นี่” มนชิตพูดจบก็หันหลังเดินไป ดนัยแบกศพของจรุงจิต
“มนชิต ได้โปรด วิญญาณของเธอจะไม่สงบสุข” สมิตาขอร้องเขาอีกครั้ง
“ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” มนชิตไม่สนใจใยดี อาคินเฝ้าสังเกตการณ์ทั้งแต่ต้นจนจบ

...............................................................................................

อาคินโทรศัพท์ไปรายงานให้รวิภาฟัง

“พี่ตั้งใจจะบอกฉันว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ มนชิตอยู่ดีมีความสุข” รวิภาพูด เธอแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำและจิบแชมเปญ
“ค่อนข้างจะ... นคเรศดูเหมือนจะหลงเข้าไปในเขตสงคราม และฉันยังไปพบเขาตอนนี้ไม่ได้ มนชิตเป็นเชื้อสายของนคเรศ ภายใต้โลกของหมอนั่น ตอนนี้มันมีกฎสำหรับพวกผีดิบป่าเถื่อน การฆ่าในที่สาธารณะเพื่อให้พวกมนุษย์เห็น พวกหมอผีถูกกดขี่ ฉันสงสัยว่านคเรศจะรู้ไหม ว่าเขาเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องอะไร”อาคินเดินไปคุยโทรศัพท์ไป
“ขอโทษนะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ฉันเลิกสนใจไปแล้ว พี่ชาย” รวิภาเบื่อที่ต้องฟังเรื่องของนคเรศ
“รวิภา…” อาคินกำลังจะพูด
“ความเกลียดชังของพวกเรา การทรยศของพี่ชายนอกคอก มันลบล้างความเห็นใจที่ฉันเคยมีให้กับเขา หลังจากที่เขาพยายามทำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งพี่และฉันจะไม่มีทางพบกับความสงบสุข ภายใต้จักรวาลแห่งความเห็นแก่ตัวของเขา” รวิภาพูดแทรกเข้ามา
“ตลอดกาลและนิรันดร รวิภา ครั้งหนึ่งเราเคยสาบานร่วมกันไว้” อาคินพูดย้ำเรื่องคำสาบานระหว่างพี่น้อง
“นั่นทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเอาคืน” รวิภาใส่ต่อ
“โอ้ ...น้องพูดว่าจะเอาคืนมาเป็นล้านรอบแล้ว ทุกๆเมือง และเมื่อพ่อของเราหาเราพบ ไล่ล่าเราจากทุกๆเมือง” อาคินพูดประชด
“ฉันอาจจะเก่า อาคิน แต่ฉันไม่ได้แก่นะ ฉันรู้ดี ฉันอยู่กับนคเรศมาตลอดสามปี และจากนั้นเขาก็ปักกริชที่อกฉัน ส่งฉันลงโลงกว่า 90 ปี เพราะฉันพยายามใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยไม่มีเขา” รวิภาฝังใจในเรื่องอดีต
“ไม่ ฉันคิดว่านคเรศกำลังมีปัญหา ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ทั้งมนชิต และพวกหมอผี มันร้ายแรงพอที่จะเสี่ยงพาผีดิบตนแรกกลับเข้ามาในเมือง หมอผีล่อเขามาที่นี่ ฉันอยากรู้ว่าทำไม?” อาคินพูดจบก็ตัดสายทิ้ง ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าร้าน ..รสนิยม.. ชื่อร้านเหล้าที่ทำงานของสมิตาและกรองขวัญ

     สมิตาเปิดประตูหลังร้านออกมาสูบอากาศ เธอทำหิ้งชั่วคราวให้กับพี่สาวของเธอ มีกรอบรูป กระถางธูป เทียนจำนวนหนึ่ง และดอกไม้แห้ง เธอมองรูปถ่ายของจรุงจิตก่อนที่จะร้องไห้ออกมา เธอจุดธูปหนึ่งดอกปักไว้ที่กระถาง จู่ๆประตูหลังร้านก็ปิดเอง เธอสะดุ้งจึงหันไปมองไม่พบใคร เธอรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังแต่พอหันกลับไปก็ไม่เจอใครอีก เธอจึงหันกลับมาพบผีดิบหนึ่งตนยืนอยู่ตรงบันไดหลังร้าน เธอดูไม่สบอารมณ์
“ประตูมันเปิดเองไม่ได้ รู้ใช่ไหม?” สมิตาต้องการความเป็นส่วนตัว
“เธอกำลังจะใช้คาถาใช่ไหม?” ผีดิบตนนั้นถาม ในขณะที่ผีดิบอีกตนเดินเข้ามาจากด้านหลังของสมิตา
“ฉันก็แค่จุดธูปบอกกล่าวพี่สาว ไปให้พ้น ช่วยให้เกียรติกันด้วย” สมิตารู้ว่ามีอีกคน เธอจึงหันไปพูดกับเขา
“อย่าทำแบบนี้ สมิตา ...ไอ้ลูกผสมนั่นตามหาจรุงจิต มนชิตอยากรู้ว่าทำไม?” ผีดิบตนแรกมาโผล่ตรงหน้าของสมิตาด้วยความเร็ว
“แหม ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องของหมอผีงั้นสิ ฉันก็อยากจะถามเธอด้วยตัวเองเหมือนกัน ...พวกนายคงไม่เห็นว่ามนชิตฆ่าพี่สาวฉันยังไง” สมิตาตอกกลับเธอไม่กลัว

     ผีดิบทั้งสองเริ่มจู่โจมเธอ คนแรกเข้ามาล็อคตัวเธอแต่แค่เสี้ยววินาทีเดียว เขาก็ถูกดึงตัวหายไป ทั้งสมิตาและผีดิบอีกตนต่างก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างอยู่ในความเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะมีบางสิ่งบางอย่างตกลงมาจากฟ้า ข้างหลังผีดิบอีกตน มันคือหัวใจสดๆที่ถูกควักออกมา ผีดิบอีกตนเริ่มตื่นกลัว สมิตาก็เช่นกัน พอรู้ว่าเพื่อนตายเขาจึงโมโหคิดที่จะเล่นงานสมิตา ถ้าไม่เจอเข้ากับอาคิน  ผีดิบตนนั้นถูกอาคินเขวี้ยงไปเสียบกับเหล็กที่กำแพงตึกทะลุหัวใจออกมาอย่างรวดเร็ว สมิตาตกใจเธอพูดอะไรไม่ออก
“ผม..อาคิน..คุณเคยได้ยินชื่อของผมมาก่อนไหม?” อาคินแนะนำตัวเอง สมิตากลัวจนตัวสั่น
“...เคยค่ะ” สมิตารีบตอบทันที
“แล้วทำไมเธอไม่บอกฉันล่ะ ว่ามีธุระอะไร ระหว่างตระกูลของเธอกับน้องชายฉัน” อาคินเข้าประเด็นทันที

(*การตายของผีดิบ 3 ผีดิบตายได้ถ้าถูกแทงทะลุหัวใจ หรือถูกควักหัวใจออกมา กรณีนี้เป็นข้อเว้นของผีดิบตนแรก)

...............................................................................................

.. ณ สุสานบรรพบุรุษ สมิตาพาอาคินมาที่นี่ แต่เขาเข้ามาไม่ได้ ..

“นี่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็หมายความว่าผีดิบจะต้องได้รับเชิญเท่านั้น แต่ฉันกำลังเข้าตาจน...เชิญ” สมิตาอนุญาตให้อาคินเข้ามา เขาจึงเข้ามาได้
 “ถ้าคุยกันที่นี่จะสะดวกกว่า” สมิตาเดินนำไป
“ถ้าอย่างนั้นผมแนะนำให้คุณเริ่มพูดตั้งแต่ตอนนี้เลย พี่สาวคุณต้องการอะไรจากนคเรศ?” อาคินเข้าเรื่องทันที
“นั่นยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ พวกเรามีปัญหากับผีดิบและเราต้องการความช่วยเหลือ มนชิตมีสมุนผีดิบหนุนหลังเป็นกองทัพ หมอผีต้องการจะสู้กลับบ้าง แต่โชคไม่ดีนัก จนกระทั่งพี่สาวของฉันได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง อสูรหลงทางจากเมืองเล็กๆในนครศรีธรรมราช เธอมีบางอย่างที่พิเศษๆกับน้องชายคุณ” สมิตาอธิบายจุดประสงค์
“พิเศษแบบไหน?” อาคินถาม
“ที่เห็นได้ชัดคือ ...พวกเขาเคยมีอดีตร่วมกันมา สิ่งหนึ่งก่อให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง และตอนนี้อสูรสาวสุดพิเศษคนนี้ ...เธอกำลังตั้งครรภ์ และส่วนพ่อของเด็กในท้องก็คือ..นคเรศ..น้องชายคุณ” ความจริงถูกเปิดเผย...
“เป็นไปไม่ได้” อาคินไม่ปักใจเชื่อเพราะผีดิบไม่สามารถสืบทอดทายาทได้
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันมาจากน้องชายคุณ ลองคิดดูสิ ผู้คนต่างเรียกเขาว่า ลูกผสมใช่ไหมล่ะ ...นำตัวเธอออกมา” สมิตายืนยันคำเดิม เธอหันหลังไปเรียกหมอผีคนอื่นๆที่ซ่อนตัวให้พาผู้หญิงคนหนึ่งออกมา เธอก็คือ..เหมือนจันทร์..อาคินมองเธอด้วยความตะลึง
“คุณเป็นใคร?” เหมือนจันทร์ไม่คุ้นกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า
“ขอเวลาเราสักครู่นะครับ” อาคินอยากคุยกับเหมือนจันทร์เป็นการส่วนตัว 

(*ผีดิบก้าวเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคลไม่ได้ ต้องได้รับคำขออนุญาตจากเจ้าของบ้านหรือเจ้าของที่ พวกเขาจึงสามารถเข้าไปในที่นั้นๆได้ ไม่เว้นแม้แต่ผีดิบตนแรก)

...............................................................................................

พวกเขานั่งคุยกันที่ห้องลับแห่งหนึ่งภายใน สุสานบรรพบุรุษ

“พวกเขาจับคุณไว้ที่นี่ โดยที่คุณไม่ยินยอมใช่หรือปล่า?” อาคินถาม
“พวกเขาหลอกฉันให้ไปที่เมือง ไพรราช จากนั้นก็จับตัวฉันไว้ ...แล้วก็ทำอะไรแปลกๆกับฉันตั้งหลายอย่าง ทดสอบต่างๆนาๆด้วยวิธีของพวกหมอผี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันเข้าใจเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ฉันหมายถึง... ผีดิบน่ะ ไม่มีชีวิตไม่ใช่เหรอ แล้วจะมีลูกได้ยังไง” เหมือนจันทร์สับสนไปหมด
“บางทีถ้าคุณได้รู้เรื่องราวที่แท้จริงของน้องชายผม ก็อาจจะอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้น...มันเป็นไปได้ จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะ...” อาคินเดินเข้าไปใกล้ๆเหมือนจันทร์ เขาจะเอามือแตะที่หัวของเธอ
“คุณจะทำอะไรน่ะ?” เหมือนจันทร์ส่ายหัวหลบมือของอาคิน
“ใจเย็น ผ่อนคลายไว้...ถ้าคุณเปิดใจให้ผม ผมก็จะให้คุณเห็นอะไรบางอย่างได้” อาคินนั่งลงข้างๆเหมือนจันทร์ เขาเอาสองมือกุมไว้ที่หัวของเธอเบาๆ เหมือนจันทร์หลับตาลง
“~ ตอนเริ่มแรกครอบครัวของเราต่างก็เป็นมนุษย์มาก่อน เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว ~” เธอเห็นภาพความทรงจำในอดีตของอาคิน ภาพอดีตของตระกูลวิรุฬห์กร
“~ ถึงแม้ว่าแม่ของพวกเรานั้นจะไม่จริงจังกับศาสตร์มืดเท่าไหร่นัก พวกเราก็เป็นแค่ครอบครัวหนึ่งที่กำลังพยายามจะเอาตัวรอด ในช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะลำบาก ดังนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายยังไง เราก็ยังมีความสุขกันอยู่ดี ~” เธอเห็นภาพครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุข ทั้ง ไพศาล อาคิน นคเรศ คัมภีร์ รวิภา และน้องคนสุดท้อง หาญชนะ เด็กผู้ชาย ตาโต หน้าหวาน ผมสีดำ
“~ มันเป็นอย่างนั้นเรื่อยๆมาจนกระทั่งคืนหนึ่ง น้องชายคนสุดท้องของพวกเราถูกฆ่าตาย ด้วยภัยคุกคามที่ร้ายกาจที่สุดของหมู่บ้านเรา อมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนเรือนร่างของพวกมันให้กลายเป็นปีศาจอัปลักษณ์ ~” เหมือนจันทร์เห็นภาพนคเรศกำลังอุ้มศพน้องชายกลับมาที่เรือน ทุกคนต่างร้องไห้เสียใจ
“~ ครอบครัวของเราต่างก็รู้สึกเจ็บปวดและเสียใจ นคเรศเองก็ไม่ได้รู้สึกยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างมากที่จะปกป้องคนที่เหลือในครอบครัว พ่อของเราจึงบังคับให้แม่ใช้มนต์ดำของเธอ เพื่อทำให้พวกเราทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น ตอนนั้นเองผีดิบตนแรกก็ถือกำเนิด ~” เหมือนจันทร์เห็นภาพพ่อบังคับให้ลูกทุกคนดื่มเลือดของแม่
“~ แต่ด้วยความแข็งแกร่ง ความว่องไว และความเป็นอมตะนี้เอง ก็นำมาซึ่งความบ้าเลือด ความหิวกระหายอย่างร้ายแรงเช่นกัน และไม่มีใครรู้สึกถึงมันได้เท่ากับนคเรศอีกแล้ว ~” เหมือนจันทร์เห็นนคเรศกินคนในหมู่บ้านคนหนึ่งทั้งเป็น
“~ ตอนที่เขาฆ่าเป็นครั้งแรก เขาก็รู้ทันทีว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร ~” เหมือนจันทร์เห็นอาคินและพ่อมองดูนคเรศกลายร่าง แววตาของนคเรศเปลี่ยนเป็นสีทอง เขี้ยวและฟันเหมือนกับอสูรกาย พ่อของพวกเขาแสดงท่าทีรังเกียจนคเรศมาก
“~ เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผีดิบเท่านั้น... ~” อาคินถอดมือออกจากหัวของเหมือนจันทร์
 “ส่วนหนึ่งของเขายังคงเป็นอสูรด้วย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมนคเรศถึงวิวัฒนะร่างอสูรได้ …อสูรจะไม่กลายร่างอย่างเต็มตัวถ้าไม่เริ่มฆ่าใครสักคน” เหมือนจันทร์ลืมตาขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว
 “นคเรศเป็นผลจากความผิดพลาดของแม่ และแม่ปิดบังพวกเรามาโดยตลอด แม่มีอะไรกับอสูร พ่อโกรธจัด เมื่อรู้ว่าแม่ทรยศพ่อ พ่อจึงบังคับให้แม่ใช้คาถาอาคมสะกดด้านที่เป็นอสูรของนคเรศไว้  ไม่ให้เขาสัมผัสถึงมันได้...ร่างอสูรที่แท้จริง” อาคินพูดต่อ

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 5 ผีดิบสามารถอ่านความทรงจำของผู้อื่นได้ โดยการเอามือกุมไว้ที่หัวของเป้าหมายทั้งสองข้าง หรือสามารถให้ผู้อื่นอ่านความทรงจำของตนได้เช่นกัน)
(วิวัฒนะร่างอสูร เผ่าพันธุ์อสูรเมื่อเกิดขึ้นมาจะคงอยู่ในร่างมนุษย์ใช้ชีวิตได้แบบมนุษย์ ใช้พละกำลังและความพิเศษได้แบบอสูร แต่จะไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ จนกว่าจะวิวัฒนะร่างอสูร คือเป็นอสูรอย่างเต็มตัว ด้วยการเริ่มฆ่าคน เหยื่อคนแรกจะทำให้สัญชาตญาณอสูรตื่นขึ้น แต่จะสามารถกลับคืนร่างมนุษย์ได้ เมื่อเป็นอสูรเต็มตัวแล้ว จะเจ้าอารมณ์และกลายร่างได้ง่าย)

...............................................................................................

“พ่อของคุณร้ายกาจสิ้นดี …ฉันชื่อเหมือนจันทร์นะ เราควรจะรู้จักกันไว้ ไหนๆก็เล่าเรื่องครอบครัวของคุณมาซะยาวเหยียดขนาดนี้ หมายถึง... ฉันก็พอรู้มาบ้าง เรื่องครอบครัวของคุณมันคือตำนาน ส่วนน้องชายของคุณก็เป็นคนโรคจิตที่มีชื่อเสียง ที่เคย...กับฉัน” เหมือนจันทร์พูด
“ผมคงแก้ต่างแทนน้องชายไม่ได้ แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะว่าพ่อของพวกเราจ้องเล่นงานเขา ตามล่าเราเป็นเวลาหลายร้อยปี ทุกครั้งที่เราพบกับช่วงเวลาที่สงบสุข เราก็จะถูกบังคับให้ต้องหนี ไม่เว้นแม้แต่ที่นี่ จตุราชิต ที่ที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต ไม่นานมานี้หลังจากที่นคเรศสามารถทำลายมนต์สะกด ซึ้งกันไม่ให้เขาได้เป็นลูกผสมอย่างเต็มตัว เขาก็เอาชนะพ่อสำเร็จ ผมคิดว่านั่นคงทำให้เขาสงบสุข แต่ไหนได้ เขากลับเกรี้ยวกราดมากขึ้น ผมคิดว่าบางที...เด็กคนนี้อาจจะเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้น้องชายของผมพบกับความสงบสุขจริงๆซะที วิธีเดียวที่จะช่วยเขา จากตัวตนของเขาเอง” อาคินพูดให้เหมือนจันทร์เข้าใจ
“ฉันดีใจนะ ที่คุณก็รู้สึกแบบนั้น เพราะเราต้องการให้คุณช่วย” สมิตาเดินเข้ามา
“อันที่จริงแล้ว คุณต้องการแค่นั่นจริงเหรอ ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแม่สาวคนนี้ด้วย” อาคินสวนกลับ
“เราต้องการให้มนชิตกับผีดิบลูกสมุนของเขา ออกจากเมืองนี้ไปซะ นคเรศคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ทุกๆอย่างที่มนชิตรู้เกี่ยวกับการเป็นผีดิบ ก็เพราะว่านคเรศเป็นคนสอน มนชิตเชื่อใจเขา ยกย่องเขา เขาจะไม่มีทางรู้เรื่องแผนทรยศที่กำลังจะมาถึง” สมิตาวางอุบายให้อาคินฟัง
“ใช่ แต่ผมว่าพวกคุณคงรู้กันดีอยู่แล้ว...น้องชายของผม..นคเรศ..เป็นพวกที่ไม่ชอบถูกบ่งการเท่าไหร่นัก” อาคินพูด
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันนำคุณมาที่นี่ มนชิตขับไล่อสูรทุกตนออกจากเมืองนี้...เมื่อนานมาแล้ว แล้วคุณคิดเหรอว่าเขาจะยินดีต้อนรับ ทารกน้อยลูกผสมในฐานะเพื่อนบ้าน คุณโน้มน้าวนคเรศให้มาช่วยพวกเรา แล้วจะไม่มีใครรู้เรื่องสมาชิกคนใหม่ของตระกูลผีดิบตนแรกของคุณ” สมิตายื่นข้อต่อรอง เธอกล้ามัดมือชก
“ฟังดูเหมือนการแบล็คเมล์เลยนะ ผมว่า” อาคินพูด
“ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นล่ะ ฉันจนตรอกแล้ว” สมิตายืนกรานเสียงแข็ง
“ถ้างั้นก็ ผมคงมีงานที่ต้องสะสางแล้วใช่ไหม?” อาคินรู้ว่าต้องทำอะไร

     .. ณ ผับอโคจรของเหล่าผีดิบ นคเรศที่กำลงยืนอยู่บนดาดฟ้า มองดูมนชิตกับกรองขวัญยืนคุยกันอยู่ข้างล่าง
“สายัณห์สวัสดิ์ อาคิน” นคเรศรู้ถึงการมาของพี่ชาย
“นคเรศ” อาคินเดินมาที่ริมระเบียงดาดฟ้า
“ช่างเป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่น่าพอใจซะจริง” นคเรศแขวะอาคิน
“และเป็นการต้อนรับที่ไม่น่าประหลาดใจเอาซะเลย มากับฉัน” อาคินแขวะกลับ
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ...ไม่จนกว่าจะหาคนที่รวมหัวกันต่อต้านฉัน” นคเรศยืนกราน
“ฉันเชื่อว่าฉันพบคำตอบนั่นสำหรับนายแล้ว” อาคินพูด

...............................................................................................

.. ณ สุสานบรรพบุรุษ อาคินมากับนคเรศ

“เรามาทำอะไรกันที่นี่?” นคเรศถามขณะที่เดินตามหลังอาคิน
“แล้วอยากรู้ไหมว่าพวกหมอผีเก็บอะไรไว้ให้นาย ตามฉันมา” อาคินพูด เขาพานคเรศมาถึงห้องลับแห่งหนึ่ง สมิตายืนรอทั้งสองคนอยู่
“..สมิตา เดชาภัทรจินดา..นี่มันอะไร?” นคเรศทักทายหล่อน
“เขามาแล้ว ตาคุณ” อาคินทำตามแผน ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของสมิตา
“คุณรู้ไหม ในเมืองนี้คุณเป็นคนดังนะ หมอผีมีนิทานพื้นบ้านก่อนนอน เรื่องอำนาจของผีดิบนคเรศ ...เรารู้ว่ามนชิตไม่ได้มีอะไรเลย ก็แค่หนูกำพร้าตามท้องถนน จนกระทั่งคุณทำให้เขาเป็นแบบทุกวันนี้ และตอนนี้เขาอยู่เหนือการควบคุม เขาอยากทำอะไรก็ทำ เขาฆ่าใครก็ฆ่า ...ฉันจะหยุดเขาให้ได้และคุณต้องช่วยฉัน” สมิตาพูด เธอระบายทุกอย่างออกมา
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมนายพาฉันมาที่นี่?” นคเรศหันไปถามอาคิน เขาไม่ใส่ใจในสิ่งที่สมิตาพูดเท่าไหร่
“ฟังเธอพูดก่อน” อาคินอยากให้นคเรศฟังให้จบ
“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังเธอพูด ฉันรับประกันได้เลย ที่รัก มันไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะมาทำให้ฉันฟังเธอแม้เพียง 30 วินาทีสุดท้ายของชีวิต ...อาคิน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” นคเรศระเบิดอารมณ์ใส่สมิตา แล้วหันไปถามอาคิน
“เรย์” เสียงของผู้หญิงที่เรียกเขาอย่างสนิทสนม คือเสียงของ..เหมือนจันทร์..
“คุณต้องฟังพวกเขา” นคเรศเห็นเหมือนจันทร์ยืนอยู่ตรงหน้า เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว
“พวกนายมันบ้า คิดเหรอว่าอารมณ์ชั่ววูบแค่คืนเดียว ไม่มีความผิด ที่รัก ไม่มีความหมายสำหรับฉัน” นคเรศไม่ปักใจเชื่อ เขามองว่ามันเป็นกลลวง
“มนชิตกำจัดพวกเราเพราะเล่นคุณไสยในเมืองนี้ แต่เพื่อความสมดุล พวกเราย่อมรู้ดีเมื่อธรรมชาติสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ฉันมีของขวัญพิเศษมาให้ เมื่อพบว่าผู้หญิงคนนี้ท้อง” สมิตาพูดเสริม
“ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” เหมือนจันทร์พูด
“เธอหมายความว่าไง?” นคเรศหันไปมองค้อนใส่เหมือนจันทร์
“นคเรศ ...ผู้หญิงคนนี้กำลังอุ้มท้องลูกของนายอยู่” อาคินพูดย้ำ
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ผีดิบมีลูกไม่ได้...” นคเรศไม่เชื่อ
“ส่วนอสูรมีได้ ถึงมนต์ดำทำให้คุณเป็นผีดิบ แต่คุณเกิดมาเป็นอสูร คุณคือลูกผสมตนแรก ตนแรกของเผ่าพันธุ์และการตั้งครรภ์นี้ เป็นหนึ่งในช่องโหว่ของธรรมชาติ” สมิตาพูดเสริม
“เธอไปนอนกับคนอื่นมาใช่ไหม บอกมาสิ!” นคเรศหันไประเบิดอารมณ์ใส่เหมือนจันทร์ เขาพุ่งตรงเข้าไปหาเธอ อาคินขวางไว้ได้ทัน
“เฮ้! ฉันใช้เวลาหลายวันถูกจับอยู่ในหลุมฝังศพนี่ เพราะพวกเขาคิดว่าฉันกำลังตั้งครรภ์เด็กมหัศจรรย์ นายไม่คิดบ้างเหรอ ฉันจะยอมรับไหมถ้าเด็กไม่ใช่ลูกนาย?” เหมือนจันทร์สวนกลับ
“พี่สาวฉันสละชีวิตเพื่อร่ายคาถานี้ หล่อนต้องการความมั่นใจ ...การตั้งครรภ์ เพราะการสละชีวิตของจรุงจิต ความเป็นอยู่ของผู้หญิงคนนี้และทารกในครรภ์ เราจึงเป็นผู้ดูแล ถ้าคุณไม่ช่วยพวกเราจัดการมนชิต เชื่อเถอะ เหมือนจันทร์จะไม่ได้อยู่นานพอที่จะเห็นชุดคลุมท้องชุดแรก” สมิตาขู่พวกเขา นคเรศนิ่งไป เขากำลังโกรธ
“เดี๋ยว! ว่าไงนะ?”เหมือนจันทร์ถาม
“พอได้แล้ว ถ้าเธอต้องการให้มนชิตตาย เขาจะตาย ฉันจะทำมันเอง” อาคินตัดสินใจเอง
“ไม่ เราไม่สามารถ...ไม่ใช่ตอนนี้ เรามีแผนการที่ชัดเจนและเราจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตาม มันมีกฎระเบียบ” สมิตาได้คืบจะเอาศอก
“เธอกล้าดียังไงมาออกคำสั่งฉัน ข่มขู่ฉัน! ด้วยความผิดของเธอ มาเป็นจุดอ่อนของฉันได้ยังไง ฉันจะไม่ทนฟังเรื่องโกหกนี่อีก” นคเรศเดือดจัด เขาระเบิดอารมณ์ใส่ทุกคน
“นคเรศ ...ฟังสิ” อาคินเรียกชื่อเขา ทำให้นคเรศใจเย็นลง เขาหันไปมองเหมือนจันทร์ฟังเสียงที่อยู่ในท้องของเธอ มันเป็นเสียงการเต้นของหัวใจอีกดวงที่อยู่ภายในเนื้อหนังของเธอ ‘ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ’ เขาทั้งตกใจ ทั้งประหลาดใจ และไม่กล้าพอที่จะยอมรับมันตอนนี้
 “ฆ่าหล่อนและเด็กนี่ซะ ทำไมฉันต้องสนใจด้วยล่ะ” นคเรศพูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้ทุกคนยืนอึ้ง
“ฉันก็ไม่สนแล้ว ฉันจะออกไปจากที่นี่” เหมือนจันทร์อารมณ์เสียมาก และเธอจะไม่ทนอีกต่อไป เหมือนจันทร์กำลังจะเดินออกแต่พวกหมอผีขวางเธอไว้
“ห้ามใครแตะต้องผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น ผมจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตัวเอง” อาคินออกตัวรับผิดชอบ สมิตาเลยสั่งให้พวกหมอผีถอยออกมา

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 6 ผีดิบได้ยินเสียงระยะไกลเกิน 500 เมตร หรือเสียงที่มีความถี่ต่ำ พวกเขาก็สามารถฟังมันได้อย่างชัดเจน และจำแนกแยกเสียงต่างๆภายในหัวได้อย่างละเอียด)

...............................................................................................

นคเรศเดินออกมาจากสุสานและกลับเข้ามาในเมือง

“นคเรศ” เสียงของอาคินที่เดินตามหลังเรียกเขา
“มันเป็นอุบาย อาคิน” นคเรศไม่หยุดเดิน
“ไม่ น้องชาย มันคือของขวัญ มันคือโอกาสของนาย...ของพวกเรา” ส่วนอาคินหยุดเดินตาม
“เพื่ออะไร?” นคเรศหยุดเดินแล้วหันหลังมาคุยกับเขา
“เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ เอาทุกอย่างที่เราสูญเสียไปกลับมา ทุกๆอย่างที่พวกเราถูกพรากไป นคเรศ...พ่อแม่ของเราเองตอนนี้เหยียดหยามเรา ครอบครัวถูกทำลาย เราถูกทำร้าย ...ตั้งแต่นั้นมา ทุกๆอย่างที่นายเคยได้ ทั้งหมดที่พวกเราอยากได้ คือ...ครอบครัว” อาคินค่อยๆเกลี้ยกล่อมเขา
“ฉันจะไม่ยอมถูกบงการ” นคเรศทั้งอึดอัด ทั้งหงุดหงิด เขาหันหลังกลับแต่อาคินใช้ความเร็วดักหน้าเขาไว้
“คิดว่าพวกนั้นจะทำอะไรได้ สิ่งที่พวกนั้นทำกับหล่อนและลูกของหล่อน ลูกของนายจะต้องได้เกิดออกมา” อาคินพูดต่อ
“ฉันจะฆ่าจนกระทั่งคนสุดท้าย” นคเรศผลักตัวอาคินออกแล้วหันหลังกลับ แต่อาคินก็ใช้ความเร็วดักอีกทาง
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ...กลับไปที่..สนธยะนคร..งั้นเหรอ กลับไปใช้ชีวิตแบบคนที่ถูกเกลียดต่อไป เป็นปีศาจลูกผสมต่อไป มันคงสำคัญกับนายมาก เสียงของผู้คนที่กลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินชื่อของนาย”  อาคินเริ่มขึ้นเสียง
“ผู้คนกลัวฉัน เพราะว่าฉันมีอำนาจ...ความเกรงกลัว เด็กนี้ให้อะไรกับฉันงั้นเหรอ มันจะช่วยยืนยันในอำนาจของฉันไหม?” นคเรศขึ้นเสียงกลับ
“ครอบครัวคือพลัง นคเรศ ความรัก ความภักดี มันคือพลัง นี่คือสิ่งที่เราสาบานร่วมกันไว้เป็นพันปีแล้ว ก่อนที่ชีวิตจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ความเป็นมนุษย์เพียงเล็กน้อยที่นายยังคงหลงเหลืออยู่ ก่อนจิตใต้สำนึก ก่อนความโกรธแค้น ก่อนความวิปริต ถูกสร้างขึ้นภายในตัวนายก่อนหน้านี้...แล้วตอนนี้นายเป็นอะไร ฉันแทบจะจำไม่ได้ว่านายเป็นน้องชายฉันเอง นี่คือพวกเรา ตระกูลวิรุฬห์กร เราอยู่ด้วยกันตลอดกาลและนิรันดร ...ฉันขอให้นายอยู่ที่นี่ ฉันจะอยู่ช่วยนาย ฉันจะเคียงข้างนาย เพราะฉันเป็นพี่ชายของนาย เราจะสร้างบ้านด้วยกันที่นี่ เพราะฉะนั้นไว้ชีวิตผู้หญิงคนนี้ ไว้ชีวิตลูกของนาย” อาคินพูดจนนคเรศนิ่งไป เขาจับไหล่น้องชาย
“ไม่!” นคเรศยืนยันคำเดิม เขาเดินจากไป

อาคินกำลังเดินกลับไปที่สุสาน เขาโทรศัพท์หารวิภา

“เขาทำสิ่งที่เขาอยากทำ ได้รับโอกาสที่มีความสุข นคเรศทำทุกอย่างตรงข้ามหมด” อาคินเดินไปคุยไปในเมืองยามราตรี
“งั้นปล่อยให้เขาทำไปสิ เด็กนั่น ถ้าเป็นลูกเขา ไม่มีพ่อยังจะดีซะกว่า” รวิภายังคงไม่สบอารมณ์เหมือนเดิม
“เขาจะไม่มีทางดีขึ้น ถ้าไม่มีเด็กคนนั้น รวิภา” อาคินพูดต่อ
“เราทั้งคู่ก็ด้วย ที่รัก แนวอาคินอีกแล้วสินะ ...หมอนั้นแทบจะไม่เคยหาอะไรมาให้เลยนอกจากความเจ็บปวด แล้วอะไรล่ะ คือจุดยืนของความเป็นอมตะ พี่จะเลิกช่วยนำชื่อเสียงของเขากลับมาไหม?” รวิภาถาม
“พี่จะไม่ช่วยเขากู้เมืองคืน... ก็ต่อเมื่อพี่เชื่อว่าไม่เหลือใครอีกแล้ว” อาคินพูดจบก็วางสายไป

.. ณ สุสานบรรพบุรุษเหล่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกมารวมตัวกัน ..

“มนชิตและพวกผีดิบของเขาเกินต้านทานแล้ว ถึงเวลายุติมัน” สมิตายืนพูดกับอรนาท แม่เฒ่าคนสุดท้ายของหมู่บ้านเมียงออก
“แล้ววิธีแก้ปัญหาคือการทำให้ผีดิบเพิ่มขึ้นงั้นเหรอ?” อรนาทไม่เห็นด้วยกับวิธีของสมิตา
“นั้นไม่ใช่ผีดิบทั่วไป ป้าอร พวกเขาเป็นผีดิบตนแรก” สมิตาพยายามพูดให้อรนาทเข้าใจ
“อะไรทำให้เธอคิดว่าจะสามารถควบคุมเจ้าลูกผสมนั่นได้” อรนาทแย้งต่อ
“เธอเปล่า...ผมก็ไม่อย่างแน่นอน ตอนนี้แค่พวกคุณรวมตัวกันก็ทำให้เขาโกรธมากพอแล้ว ผมมีคำถาม...อะไรที่จะปกป้องคุณจากน้องชายผมที่จะตามฆ่าคุณ แทนการร่วมมือกัน” อาคินปรากฏตัวขึ้น สมิตาเดินไปที่ผนังหยิบเข็มออกมาหนึ่งเล่ม เธอให้เขาดูแล้วจิ้มไปที่มือตัวเอง
“โอ๊ยยย...อะไรกันเนี่ย!” เหมือนจันทร์รู้สึกเหมือนโดนเข็มจิ้ม มือเธอเลือดออก
“คุณไสยที่พี่สาวฉันทำไว้ก่อนตาย นั้นคือถ้าเธอถูกฆ่า มนต์นั้นไม่ได้แค่ยืนยันว่าหล่อนท้อง มันเชื่อมโยงฉันกับเหมือนจันทร์ด้วย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันจะเกิดขึ้นกับหล่อน ซึ่งก็หมายความว่า ชีวิตของหล่อนอยู่ในกำมือฉัน นคเรศอาจจะไม่แคร์เรื่องเด็ก แต่คุณแคร์แน่นอน ถ้าฉันต้องทำร้ายเหมือนจันทร์หรืออาจจะแย่กว่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะสนใจ ฉันจะทำ” สมิตามัดมือชก เธอไม่มีทางปล่อยให้แผนการนี้ล้มเหลวเด็ดขาด
“คุณกล้าท้าทายพวกเรา?” อาคินโมโหนิดๆ
“ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว...คุณมีเวลาจนถึงเที่ยงคืนเพื่อทำให้นคเรศเปลี่ยนใจ” สมิตากำหนดเส้นตาย

...............................................................................................

     .. ณ ผับอโคจรของเหล่าผีดิบ ท่ามกลางแสงสีนคเรศเดินเข้ามาด้วยอารมณ์หงุดหงิด ..

“เฮ้ เพื่อน...วิ่งหนีอะไรมา?” มนชิตเห็นนคเรศหน้าไม่รับแขก เขาจึงเข้าไปพูดแซวเล่น
“แกหมายถึงพวกลูกน้องแกไม่ได้กำลังตามเก็บข้อมูลของฉันใช่ไหม?” นคเรศพาลใส่ ดนัยเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ใครทำอะไรให้นายอารมณ์ไม่ดี ใช้ฉันช่วยอะไรไหม?” มนชิตไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น
“สิ่งที่แกทำได้ก็คือบอกฉันมาว่า อะไรที่ทำให้แกถือไพ่เหนือกว่าพวกหมอผีนั่น” นคเรศกำลังพาล
“เรากลับมาเรื่องเดิมอีกแล้วเหรอ?” มนชิตเซ็งนิดๆ
“เออใช่ เรากลับมาเรื่องเดิม” นคเรศย้ำ
“นายก็รู้ฉันติดหนี้นาย ทุกอย่างที่ฉันได้รับมาจากนาย แต่เกรงว่าฉันคงต้องขีดเส้นใหม่...นี่มันเรื่องของฉัน ฉันควบคุมพวกหมอผีในเมืองของฉันได้ รู้แค่นี้ก็พอแล้ว” มนชิตใส่อารมณ์ เขารำคาญคำถามน่าเบื่อของนคเรศ
“เมืองของแก” นคเรศกวนประสาท
“บ้าบอสิ้นดี!” มนชิตเริ่มหงุดหงิด
“ตลกว่ะ เพราะว่าฉันจากไปร้อยกว่าปี...แกมันน่าสมเพช เป็นเศษขยะน้อยๆ ตัวสั่นเพราะว่าเส้นขนของแส้จากคนที่ทำให้แกตกต่ำ และดูตัวแกเองตอนนี้...ตัวพ่อ...ทำตัวเป็นเจ้าชาย ฉันอยากจะรู้ว่าทำได้ไงและทำไม?” นคเรศด่าไม่ไว้หน้ามนชิต จนผีดิบทุกตนต้องหยุดหันมามอง เพลงในผับปิดลง ทยุตและดนัยเดินเข้ามาประกบหน้าหลัง
“อิจฉางั้นสิ...เฮ้ เพื่อน ฉันเข้าใจแล้ว 300 ปีที่ผ่านมานายช่วยสร้างกฎหมายและบทลงโทษของเผ่าผีดิบประชานิคมทะเลแดนใต้ นายเริ่มมันไว้ และนายทิ้งมันไป ที่จริง...นายวิ่งหนีจากมันต่างหาก ฉันมองออกทั้งหมด มองไปรอบๆสิ ผีดิบครองเมืองนี้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่ในเงาเหมือนหนู พวกคนท้องถิ่นก็รู้ดีในที่ที่เขาควรอยู่ พวกเขาก็ไม่เข้ามายุ่ง...ฉันกำจัดพวกอสูร ฉันค้นพบวิธีควบคุมหมอผี เลือดและเนื้อไม่อั้น ปาร์ตี้ก็ไม่เคยสิ้นสุด นายต้องการสัมผัสทั้งหมดนี้ นายต้องการอยู่ที่นี่สักพักงั้นเหรอ เยี่ยม! ของของฉัน คือของของนาย แต่มันเป็นของฉัน บ้านฉัน ครอบครัวฉัน กฎของฉัน” มนชิตระเบิดอารมณ์ทันที
“และถ้ามีใครฝ่าฝืนกฎนั้นล่ะ?” นคเรศถาม
“มันต้องตาย ความเมตตาคือจุดอ่อน นายสอนฉันเอง ...และฉันไม่ใช่เจ้าชาย ไม่แม้แต่เศษเสี้ยว เพื่อน...ฉันคือราชา! ให้ความเคารพกันบ้าง” มนชิตใส่ต่อไม่ยั้ง ทุกคนเงียบกันหมด นคเรศเดือดจนถึงที่สุด เขาดึงตัวทยุตไปติดกับเสาด้วยความเร็ว แล้วฝังเขี้ยวอสูรที่มีพิษถึงตายใส่ทยุต ทุกคนอึ้งและตกใจ นคเรศทิ้งตัวทยุตลงกับพื้น
“เพื่อนนายจะตายภายในสัปดาห์นี้ นั่นหมายความว่าฉันผิดกฎข้อหนึ่งของนายแล้ว และนายฆ่าฉันไม่ได้ ฉันเป็นอมตะอย่างแท้จริง...ใครกันที่มีอำนาจตอนนี้ เพื่อน” นคเรศสะใจมาก เขาทำสีหน้าเยาะเย้ยก่อนที่จะเดินจากไป มนชิตได้แต่โมโหในใจแต่แสดงออกมาไม่ได้ ขณะที่ข้างล่างกำลังอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียด ชั้นบนของผับ อาคินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

...............................................................................................

อาคินออกมาจากผับก็โทรศัพท์รายงานน้องสาวทันที

“กลับมาเถอะ อาคิน นี่ยังเซอร์ไพรส์ไม่พอเหรอ?” รวิภาไม่แปลกใจเลย เธอกำลังอาบน้ำ
“ฉันเห็นด้วยอยู่แล้ว เขามันห่วย...เขาแสดงความโกรธออกมาเหมือนคนบ้า เธอก็รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาเป็นแบบนี้ มันเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว” อาคินคุยไปเดินไป
“หลังจากนั้นพี่ก็ทิ้งเขาด้วยความโกรธและไม่กลับมา...ไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่ด้วยความโชคร้ายนี้จะช่วยเราจากความวิกลจริตของเขา” รวินภาพูดต่อ
“มันใกล้มากตอนที่เขาได้ยินเสียงหัวใจของเด็กคนนั้น ฉันเห็นมันในสายตาเขา เขาต้องการมัน เขาจะได้สัมผัสถึงความสุข แต่ตอนนี้ความโกรธของเขาจะทำลายมัน...ยกเว้นถ้าฉันพยายามทำให้เขาดีขึ้น เขาเพิ่งสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากมนชิต ส่วนฉันก็เกือบจะหมดเวลาไปกับการตามหาเด็ก” อาคินพูด
“หาเด็ก...พี่เสียสติไปแล้วเหรอ ที่พอทำได้คือเราจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากัน” รวิภามองหาหนทางอื่น
“เธอจะทำอะไรนคเรศก็ได้ แต่ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับเด็กคนนี้” อาคินยื่นคำขาด

     .. ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง จตุราชิต ยามราตรีที่ไม่เคยเงียบสงบ มนชิตและลูกสมุนนั่งอยู่ในร้านเต็มไปหมด ..
“เธอตามหาเขา แล้วแล้วโทรหาฉัน ไม่ต้องห่วงนะ ฉันรู้ว่าจะตกลงกับนคเรศยังไง” มนชิตโทรศัพท์สั่งงานใครบางคน
“งั้นเหรอ...อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” อาคินปรากฏตัวขึ้นในร้าน โดยที่ไม่มีใครสังเกตว่าเขาเข้ามาตอนไหน
“อาคิน วิรุฬห์กร” มนชิตหันไปมองใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เหล่าผีดิบเตรียมตัวรับมือ
“หยุด...ไม่ต้อง เขามาดี” มนชิตสั่งห้ามพวกสมุน อาคินเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ
“ตอนนี้เรามีเวลาคุยไม่มาก” อาคินเริ่ม
“เอาล่ะ ถ้าคุณอยากจะพูดอะไรก็พูด ฉันมีเรื่องต้องทำ” มนชิตตัดบท
“โอ้...นายโตขึ้นและมั่นใจมากขึ้น ร้อยปีกว่าแล้วสินะ...ใช่ไหม?” อาคินพูดแขวะตามฉบับเขา
“คุณกับน้องชายคุณมันอวดดีไม่เคยเปลี่ยน พวกคุณเข้ามาในเมืองฉันและทำเหมือนเป็นเจ้าของ” มนชิตเริ่มใส่
“ใช่...ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเจ้าของที่นี่ เรามีความสุขกันดี เท่าที่ฉันจำได้อะนะ... แต่เราไม่สามารถควบคุมเหล่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกที่แสนจะน่ารำคาญได้เลย นายทำได้ไง?” อาคินถาม
“น้องชายคุณก็ถามคำถามเดียวกัน และฉันก็จะตอบเหมือนเดิม นี่มันเรื่องของฉัน ทุกอย่างในหมู่บ้านนี้ ย่านนี้ อยู่ในการครอบครองของฉัน...นคเรศเข้ามาในเมืองทำตัวดีและเป็นมิตร จากนั้นเขาก็มองสิ่งที่ฉันทำเหมือนกับของราคาถูกๆ เป็นเหมือนหนึ่งในภาพวาดห่วยๆของเขา แล้วเขาก็โกรธเหมือนคนบ้า เขากัดคนของฉัน” มนชิตระบายอารมณ์
“งั้นฉันขอโทษในการกระทำแย่ๆของนคเรศด้วยละกัน ฉันรู้ว่านายรู้ พิษจากเขี้ยวอสูรมันจะฆ่าเพื่อนนายภายในอีกไม่กี่วัน เลือดของนคเรศเป็นสิ่งที่เดียวที่รักษาได้” อาคินรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง
“เลือดของลูกผสม?” มนชิตไม่เคยรู้มาก่อน
“มันจะรักษาแผลและพิษจากเขี้ยวอสูร มันมีประโยชน์มากนะ สิ่งเล็กๆน้อยๆเพื่อผลประโยชน์ทางการเจรจา” อาคินยื่นข้อเสนอ
 “เรากำลังพูดถึงการเจรจาแบบไหน?” มนชิตสงสัย
“ส่งศพหมอผีจรุงจิตมาและอนุญาตให้ฌาปนกิจศพได้” อาคินอธิบาย
“ทำไมคุณถึงสนใจพวกหมอผี?” มนชิตถามต่อ
“นั่นมันเรื่องของผม...ว่าไง จะรับหรือไม่รับข้อเสนอ?” อาคินย้อนคำกลับ
 

(*วิธีรักษาพิษเขี้ยวอสูร มีเพียงวิธีเดียวที่จะรักษาพิษของเขี้ยวอสูรได้ คือเลือดของนคเรศ ลูกผสมตนแรก และมีวิธีเดียวเท่านั้น)

...............................................................................................

     .. ณ สุสานบรรพบุรุษ หมอผีส่วนใหญ่ยังคงรอฟังผล และเมื่อเสียงระฆังจากหอนาฬิกาของเมืองดังขึ้น สิ้นสุดเวลารอคอยและเส้นตายของชีวิตอสูรสาวกับลูกในท้องของเธอ ศรีบุญ อรนาท และหมอผีอีกสองสามคนเดินเข้าไปคุยกับสมิตา ..
“หมดเวลาแล้วนะ ตอนนี้เธอจะทำยังไงต่อ สมิตา?”อรนาทถาม
“ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ” สมิตาตัดสินใจ
“ฆ่าผู้หญิง...ฆ่าตัวเองงั้นเหรอ?” ศรีบุญไม่โอเค
“นคเรศไม่เคยสนใจเรื่องเด็ก” อรนาทเตือนสติเธอ
“แต่ผมสน...และผมมีข้อพิสูจน์ว่าผมตั้งใจจะช่วยเธอจริงๆ ร่างพี่สาวของเธอซึ่งฉันได้ไปเอามาจากมนชิต ด้วยตัวเอง” อาคินเดินเข้ามา เขาอุ้มศพของจรุงจริงมาด้วย เธอถูกคลุมผ้าขาวอย่างดี อาคินค่อยๆวางร่างของเธอเธอลง
“จรุงจิต” สมิตารีบเข้าไปดูร่างที่ไร้วิญญาณของพี่สาว เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
“หวังว่าเธอจะไปสู่สุขคติ...นคเรศจะเลือกข้างคุณ ผมแค่ต้องการเวลาอีกหน่อย” อาคินขอโอกาส
“คุณได้โอกาสนั้นแล้วและมันจบไปแล้ว” อรนาทพูด
“พอเถอะค่ะ ป้าอร” ศรีบุญใส่อารมณ์ เธอรำคาญแม่เฒ่าของเธอนิดหน่อย
“ตอนนี้มาตกลงกันใหม่ ผู้หญิงและเด็กจะปลอดภัย หรือนคเรศจะฆ่าพวกคุณทุกคน...ผมก็ด้วย” พูดจบ อาคินก็หันหลังเดินออกไปทันที

     .. ณ ถนนบัวบุญ นคเรศเมา เขาถือขวดเหล้าเดินไปมา เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างและกลิ่นที่คุ้นเคย ..
“ฉันยังพูดไม่เคลียร์อีกเหรอว่าอยากอยู่คนเดียว” นคเรศพูดกับสิ่งนั้น
“โอ้ นายต้องการจะอยู่คนเดียวมาเป็นสิบๆปีแล้ว คำพูดของนายมันไม่มีความหมาย” คืออาคิน เขายืนอยู่ข้างหลังนคเรศ
“ทำไมนายเอาแต่พูดเรื่องเด็กนั่น! มันจะไม่มีวันได้ลืมตาดูโลก ในความเป็นจริง เหมือนจันทร์ต้องตาย” นคเรศปาขวดเหล้าแตกกระจาย เขาพูดยั่วโมโหอาคินเพราะความเมา อาคินตอบรับอารมณ์นั้น เขากระชากนคเรศไปติดกับกล่องใส่ของข้างทางด้วยความเร็ว
“นายจะไม่มีทางหนีพ้น” นคเรศพยายามขัดขืน แต่อาคินจับเขาไว้แน่น
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” นคเรศพูด เขาโมโหแล้ว
“ไม่!” นคเรศใช้กำลังผลักอาคินออกแต่ดันถูกเขาจับทุ้มลงกับพื้น ข้าวของเสียหายกระจุยกระจาย อาคินจับนคเรศขึ้นมาล็อคคอไว้
“อย่าพูดถึงมันอีก” นคเรศพยายามดิ้นให้หลุด
“ฉันจะไม่มีวันปล่อยนายไป ไม่มีวัน” สิ้นคำพูดของอาคิน เขาถูกนคเรศจับโยนไปติดกับรั้วเหล็กข้างทาง ด้วยพละกำลังมหาศาลอาคินดึงท่อนรั้วเหล็กออกมาอย่างง่ายดาย
“แม้ฉันจะต้องใช้ทั้งชีวิต ฉันก็จะช่วยนายจากความดื้อรั้นและต่ำช้าของนาย” อาคินใช้ความเร็วเข้าใกล้ ตีท่อนเหล็กเสยไปที่หน้าของนคเรศ ลูกผสมเจ้าปัญหาถึงกับเสนิดๆ
 “ถ้าฉันจะทุบตีนายให้เหมือนกับที่พ่อเคยทำ เพื่อเตือนให้นายรู้ถึงความเป็นมนุษย์ของตัวเอง...” อาคินฟาดไปทีหน้าของนคเรศอีกที
“เพื่อให้นายแคร์อย่างอื่นบ้าง” คราวนี้นคเรศจับเหล็กไว้ได้ทัน เขาดึงเหล็กไปกระแทกหน้าอาคิน แล้วตีเสยกลับไป อาคินล้มลงไปนอนหงาย หมดสภาพทันที นคเรศทิ้งท่อนเหล็กลงกับพื้น
“นายมันน่าสมเพช อาคิน” นคเรศไม่วายเยาะเย้ยตามเคย
“ใครน่าสมเพชมากกกว่ากัน ระหว่างคนที่มองเห็นความหวังที่จะทำให้ครอบครัวของเขาสมบูรณ์ หรืออีกคนที่ขี้ขลาดมองเห็นโลกผ่านความกลัวของตัวเอง” อ่าคินตอกกลับ
“ฉันไม่สนใจเรื่องพันนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ทำไมนายถึงสนใจโลกนักล่ะ?” นคเรศพูด ทั้งสองคนเริ่มใจเย็นลงและตั้งสติบ้างแล้ว
“เพราะฉันทำให้นายล้มเหลว ตอนนั้นที่พ่อสั่งให้จับนาย ฉันควรจะแทงเขาให้ตาย ฉันขอสัญญากับนาย ตลอดกาล นิรันดร และครอบครัวสำคัญที่สุด” อาคินพูด นคเรศเงียบและนิ่งไป เขารู้ความหมายของมันดี เขาแกล้งทำเป็นหัวเราะว่าไม่สนใจ เขาจับมืออาคินไว้แล้วดึงตัวขึ้นมา
“นายเป็นคนโง่ที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายเหลือเกิน” นคเรศยังคงเหยียดหยามตามเคย
“บางที...ฉันน่าจะทำเป็นสิ่งสุดท้ายว่าไหม?” อาคินพูดจบก็เดินจากไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเสียความรู้สึก พอหันหลังนคเรศก็ไม่ได้มีสีหน้าภูมิใจอะไร เขาก็ไม่สบายใจเช่นกัน

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 7 พวกเขาเยียวยารักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แม้บาดแผลจะสาหัสแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าสาหัสมากก็ต้องเพิ่มพลังด้วยการดื่มเลือดสดๆเติมเข้าไปทันที เลือดของผีดิบไม่ใช่แค่รักษาตัวเอง แต่ผู้คนธรรมดาที่ดื่มเข้าไปแม้บาดเจ็บแค่ไหนก็รักษาหายได้เช่นกัน)

...............................................................................................

     .. ณ ย่าน ..ราตรีรมย์.. คือถนนคนเดินยามค่ำคืน สำหรับเมืองที่ไม่มีวันหลับใหลนี้  มีทั้งตลาด สินค้า เสื้อผ้า ของกิน การแสดงดนตรีโฟล์คซอง งานศิลปะ เต็มถนนเส้นนี้ไปหมด นคเรศเดินหงุดหงิดมาถึงที่นี่ เขาหยุดดูดนตรีและเหลือบไปเห็นกรองขวัญ เธอกำลังยืนดูผู้ชายคนหนึ่งวาดภาพด้วยสีน้ำมัน เขาจึงเดินเข้าไปยืนข้างๆเธอ ..
“ไงสุภาพบุรุษสามพันบาท” กรองขวัญจำเขาได้จากที่ร้านเหล้าของเธอ
“บาร์เทนเดอร์ผู้กล้าหาญ...กรองขวัญเหรอ ชื่อเพราะดีนะ” นคเรศเพิ่งสังเกตป้ายชื่อของเธอที่ติดอยู่บนอกเสื้อ
“ยายฉันตั้งให้น่ะ เรียกว่า..ขวัญ..เฉยๆก็ได้ เขาเก่งดีเนอะ” กรองขวัญกำลังชวนนคเรศดูการสร้างงานศิลปะที่อยู่ตรงหน้า
“คุณชอบวาดรูปไหม?” นคเรศถาม
“ไม่ล่ะ ฉันชอบดูมากกว่า...ศิลปินทุกคนมีเรื่องเล่าผ่านผลงานของพวกเขา คุณรู้หรือเปล่า?” กรองขวัญชวนคุยต่อ
“แล้วคุณคิดว่าเรื่องราวของเขาคืออะไร?” นคเรศถามกรองขวัญเกี่ยวกับรูปที่อยู่ตรงหน้า
“เขาโมโห มันมืดมน รู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมัน เขาหวังว่าเขาจะสามารถควบคุมปีศาจในตัวเขาได้ แทนที่จะให้มันควบคุมเขา เขาหลงทาง โดดเดี่ยว...หรือไม่เขาก็อาจจะดื่มมากไป โทษที ฉันเพ้อเจ้อว่าไหม” กรองขวัญเผลอวิเคราะห์แบบจิตวิทยา เธอกลัวว่านคเรศจะมองว่าเธอแปลก
“ไม่หรอก ผมคิดว่าคุณพูดถูกนะ” นคเรศพูด
“แล้วไงต่อ...” กรองขวัญหันมาพูดกับชายข้างๆ แต่เขาหายไปแล้ว เธอไม่รู้ตัวเลยว่านคเรศเดินออกไปตอนไหน

     สุดทางของถนนย่านราตรีรมย์ นคเรศเดินมานั่งที่เก้าอี้สาธารณะคนเดียว เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้คืนนี้ ถึงมันจะเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้แต่มันเหมือนยาวนานมาหลายสิบวัน  อาคินเดินเข้ามานั่งข้างๆเขา
“นายจะตามมาเทศนาฉันอีกแล้วสินะ เรื่องอะไรอีกดี เรื่องสนุกของการเป็นพ่อคนหรือเปล่า?” นคเรศยังไม่วายแขวะพี่ชาย
“ฉันพูดสิ่งที่อยากจะพูดไปแล้ว” อาคินไม่โต้ตอบเหมือนเคย
“ฉันลืมไปเลยว่าฉันเคยชอบเมืองนี้มากแค่ไหน” นคเรศพูด
“ส่วนฉันไม่เคยลืม กว่าหลายร้อยปีที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน และฉันนับมันด้วยมือได้เลยว่ามีกี่ครั้ง ที่ครอบครัวเรามีความสุขกันจริงๆ ฉันเกลียดตอนเราหนีไปจากที่นี่” อาคินพูด
“ฉันก็เกลียด” นคเรศพูด เขายิ้มมุมปาก
“คิดอะไรอยู่เหรอ น้องชาย” อาคินรู้ทันเสมอ
“หนึ่งพันปีที่ฉันอยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน พ่อจะตามจนเจอ ไล่ล่าฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทำให้ฉันรู้สึกไร้อำนาจ และฉันเกลียดมัน...ครั้งหนึ่ง เมืองนี้เคยเป็นบ้านของฉัน และเมื่อฉันจากไป มนชิตเข้ามาควบคุมทุกอย่าง ทุกอย่างที่ฉันเคยได้ พลัง...อำนาจ...ครอบครัว ฉันสร้างมันขึ้นมาให้เป็นแบบฉันและมันได้รับสิ่งที่ดีกว่าฉัน ฉันต้องการสิ่งที่มันมี ฉันต้องการจะเป็นราชา” นคเรศอิจฉามนชิตจริงๆ
“แล้วเรื่องเหมือนจันทร์กับลูกล่ะ?” อาคินถาม
“กษัตริย์ทุกคนต้องการกองทัพ...เด็กคนนั้นมีความหมายอะไรกับนาย?” นคเรศถาม
“ฉันคิดว่าเด็กคนนี้สามารถให้นายได้อย่างหนึ่ง และฉันเชื่อว่านายไม่เคยได้รับจากใคร” อาคินพูด
“แล้วไอสิ่งที่ว่าคือ?” นคเรศถามต่อ
“ความรักโดยที่ไม่มีเงื่อนไขจากครอบครัว” อาคินพูดในสิ่งที่น้องชายเขาต้องการมากที่สุด เขารู้ดี
“ไปบอก..สมิตา เดชาภัทรจินดา..เรามีเรื่องต้องตกลงกัน” ในที่สุดนคเรศก็ยอมรับข้อเสนอของอาคิน

     .. ณ คฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง สาวสวยที่กำลังนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำอย่างสบายใจ จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายของอาคิน รวิภากดตัดสายทิ้ง ..

          ที่สุสานบรรพบุรุษตอนนี้ เหล่าพ่อผีหมู่บ้านเมียงออกออกมารวมตัวกันทำพิธีฌาปนกิจศพของจรุงจิต ตามแบบไสยเวทย์บรรพชน ก่อนที่จะนำไปทำพิธีสวดตามความเชื่อทางศาสนาและฝัง พวกเขาจะไม่เผาเพื่อให้ร่างของหมอผีที่ตายกลายเป็นจิตวิญญาณบรรพชน พลังของเหล่าบรรพบุรุษ สมิตาและหมอผีคนอื่นๆช่วยกันอาบน้ำให้กับร่างของจรุงจิตด้วยน้ำมนต์ปลุกเสก ก่อนที่จะแต่งตัวให้เธอด้วยชุดสีขาวดูสวยงาม แต่งหน้าศพอย่างดี พิธีกรรมดำเนินไปด้วยความโศกเศร้า จรุงจิตโรยกลีบดอกไม้สีขาวหลายชนิดลงบนร่างของพี่สาว ปิดท้ายด้วยการนำน้ำมันบวงสรวงเจิมไปที่หน้าผากของจรุงจิต ตอนนี้วิญญาณของจรุงจิตได้เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของเมืองนี้เรียบร้อยแล้ว พิธีเป็นอันเสร็จสิ้น พวกเขาห่อร่างของจรุงจิตกลับไปไว้ในโลงศพอย่างดี และก็แยกย้ายกันกลับ สมิตาจะอยู่เฝ้าศพพี่สาว
 

(*น้ำมันบวงสรวง เป็นน้ำมันสีใสไม่มีตำหนิเหมือนกับน้ำเปล่า ใช้สำหรับบวงสรวงร่างของหมอผีที่เสียชีวิต เพื่อที่วิญญาณของพวกเขาจะกลายเป็นจิตวิญญาณบรรพบุรุษ ไม่หนีหายไปไหน น้ำมันนี้ทำมาจากการแช่และหมักส่วนผสมที่มีความบริสุทธิ์ ความขาวสะอาด และความเป็นพุทธคุณทางไสยเวทย์ เป็นสูตรลับเฉพาะของหมอผีหมู่บ้านเมียงออก)

...............................................................................................

.. ณ สุสานบรรพบุรุษ อาคินเดินอยู่กับสมิตา ...

“แล้วคุณมั่นใจได้ไงว่ามันจะได้ผล?” อาคินถาม
“น้องชายของคุณจะต้องกลับไปเข้าร่วมกับมนชิตตามเดิม เราจะแทรกซึมเข้าไปภายในกลุ่ม สุดท้ายเราจะเปิดเผยตัวตนเขา ท่ามกลางผู้คนและแสงอาทิตย์ นั่นคือสิ่งที่เรากำลังจะทำ ผีดิบพวกนั้นคือเพื่อนของเขา ครอบครัวของเขา เราจะทำลายคนพวกนั้น นั้นล่ะสิ่งที่เจ็บที่สุด” สมิตาบอกถึงแผนการ

     .. ณ เซฟเฮาส์แห่งหนึ่งในเมือง มนชิตและผีดิบคนอื่นๆกำลังเฝ้าดูอาการของทยุต เขาทรุดลงเรื่อยๆ มนชิตไม่สบายใจอย่างมาก และนคเรศก็เดินเข้ามา ทุกคนพร้อมที่จะเปิดศึก ..
“ฉันกลับไปนั่งคิดทบทวนทั้งคืน ฉันไม่ใช่ศัตรูของนาย ครอบครัวฉันและฉันทิ้งเมืองนี้ไป มนชิต นายเข้ามาแทนที่พวกเรา” ดนัยกำลังจะเข้าไปหาเรื่องนคเรศแต่มนชิตห้ามไว้ พอพูดจบนคเรศก็เดินไปหยิบแก้วแล้วก็กัดมือตัวเองให้เลือดไหล เขารินเลือดใส่แก้ว
“เลือดของฉันรักษาเขาได้ มันจะหายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น” มนชิตพยักหน้าให้ดนัยนำเลือดของนคเรศไปให้ทยุตดื่ม ทยุตรีบดื่มมันเข้าไปทันที
“ย่านนี้เป็นบ้านของนาย แต่ฉันต้องการจะอยู่ต่ออีกหน่อย ถ้ายังต้อนรับกันอยู่” นคเรศพูดจบมนชิตก็ยิ้มออกทันที ดูเหมือนว่าจะลงเอ่ยได้ด้วยดี

...............................................................................................

     .. ณ ถนนบัวบุญอันสุดแสนจะครึกครื้น นคเรศเดินเล่นที่นี่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก ..
“..คณิสสร..ตอนนี้ฉันอยู่ที่...ที่โปรดของฉัน ที่นี่เต็มไปด้วยอาหาร...ศิลปะ...วัฒนธรรม และทั้งหมดนี้ คือฉันอยากให้เธอมาเห็นมากกว่าใคร...บางที สักวันหนึ่ง เธอคงปล่อยฉันไป” นคเรศฝากข้อความเสียงถึงอีกคนในโทรศัพท์

...............................................................................................

     .. ณ บ้างหลังใหญ่หลังหนึ่งห่างไกลจากตัวเมือง แสงสี และความวุ่นวาย บ้านหลังนี้เป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลวิรุฬห์กร ในช่วงเวลาที่พวกเขาครองอำนาจที่นี่ อาคินมาจัดบ้านและปัดฝุ่นใหม่ เขาพาเหมือนจันทร์มาซ่อนตัวที่นี่ เพื่อความปลอดภัยของเธอ ..
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” อาคินถามเหมือนจันทร์ เพราะเห็นว่าเธอไอ
“แค่ฝุ่นน่ะ บ้านหลังนี้มีแต่ของโบราณ” เหมือนจันทร์แพ้ฝุ่นนิดหน่อย
“ใช่ เพราะมันตอบสนองวัตถุประสงค์ของเรา มันเคยเป็นหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสี่เผ่า...ตอนนี้ คุณเป็นคนที่มีความสำคัญที่สุดในครอบครัว คุณก็ต้องอยู่ในที่ที่ดี ดังนั้น ผมจึงสงสัยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้  มีใครถามคุณบ้างหรือยัง ว่าคุณรู้สึกยังไง”  อาคินพูด
“เรื่องเด็กกับคนบ้าที่นอนกับฉัน เพียงแค่คืนเดียวน่ะเหรอ?” เหมือนจันทร์ติดตลก
“เรื่องการเป็นแม่คน” แต่อาคินจริงจัง
“ฉัน...ฉันถูกทิ้งตอนฉันเกิด พ่อแม่บุญธรรมไล่ฉันออกจากบ้าน นั้นคือครั้งที่สอง ตอนที่ฉันวิวัฒนะร่างอสูร...ดังนั้น ฉันไม่รู้จริงๆว่าจะรู้สึกยังไง กับการที่เป็นแม่คน เพราะฉันไม่เคยมีมัน” เหมือนจันทร์พูด
“ผมจะปกป้องคุณเอง ผมสัญญา” อาคินรู้สึกอยากที่จะดูแลเธอ
“และอาคินผู้มีเกียรติจะทำตามคำสัญญาของเขาเสมอ” เสียงของนคเรศที่ยืนพิงประตูห้อง
“เสร็จหรือยัง?” อาคินถามเรื่องภารกิจ
“อันที่จริงก็เสร็จแล้ว นายไปพูดอะไรไว้ซึ่งผลของมันออกมาดี มนชิตดีใจมากที่ได้เลือดฉันไป และมันก็ยังตอบรับคำขอโทษที่แสนจะจริงใจของฉันไปด้วย คนของมัน ทยุตยังมีชีวิต และฉันก็เป็นแขกที่ได้รับการต้อนรับในกลุ่มของมัน สิ่งที่ฉันกังวลตอนนี้ก็คือ การรวมตัวของหมอผีบ้าๆพวกนั้น” นคเรศยังคงสงสัยพวกหมอผี
“ฉันเชื่อว่าพวกเขาควรค่าพอ พวกเขาปล่อยเหมือนจันทร์แล้ว ฉันคิดว่าพวกเขาคงไม่เป็นภัยต่อเราเร็วๆนี้อย่างแน่นอน มนชิตมีบางสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาไม่อยากให้มนชิตตาย มันต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้” อาคินสงสัยในความต้องการของพวกหมอผีหมู่บ้านเมียงออก

...............................................................................................

     ..  ณ ห้องใต้หลังคาที่ใดที่หนึ่งในเมืองจตุราชิต ดารายากำลังนั่งเล่นเทียนด้วยการจุดเปลวไฟให้ติดๆดับๆ เพียงแค่ใช้ฝ่ามือเดียว ..
“ยอมรับเลยว่าที่นี่มันเงียบมาก” มนชิตเดินเข้ามาทักทายเธอ
“พวกหมอผีรู้ดีว่าไม่ควรเล่นคุณไสยใดๆ พวกนั้นรู้ว่าฉันจะสัมผัสได้...เวลาที่พวกนั้นใช้อาคม แล้วคนแก่พวกนั้นล่ะ พวกเขาอันตราย ฉันไม่อยากให้ใครทำร้ายคุณ” ดารายาหันมาพูดกับมนชิต
“พวกผีดิบตนแรกอะเหรอ...ดารายา พวกเขามีพลังมากมายเหมือนกับเธอ พวกเขาไม่คุ้มกับการเสี่ยงเท่าไหร่” มนชิตให้คำตอบกับเธอไป

ทายาทตระกูลวิรุฬห์กรทั้งสองคนยังคงเก็บกวาดข้าวของในบ้านอยู่

“ยิ่งไปกว่านั้นเขามีอาวุธลับที่ใช้ควบคุมพวกหมอผี มนชิตรวบรวมผีดิบเอาไว้ ถ้าเราร่วมมือกัน เราจะทำลายพวกเขาจากข้างใน” อาคินเสนอแผนการ
“แล้วรวิภาล่ะ เธอจะหายโกรธแค้นแล้วมาร่วมวงกับเราได้หรือยัง?” นคเรศถามถึงน้องสาว อาคินถอนหายใจ
“เธอบอกกับฉันว่าเธอไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป” อาคินพูด
“เธอถูกแทงไปหลายครั้ง และถูกยัดเข้าไปนอนในโลงหลายครั้งเช่นกัน ...หรือบางทีเธอคงไม่อยากรับรู้อะไรจากพี่ ว่าฉันปลอดภัยดี” นคเรศประชดประชัน
“รวิภาก็แบบนี้ล่ะ ...แต่ไม่ว่ายังไง พวกเราก็สาบานกันไว้แล้ว” อาคินเดินไปดูที่เปียโน เปียโนที่เขาเคยเล่นมันสมัยที่อาศัยอยู่ที่นี่
“ฉันหวังว่าเธอจะอยู่จะไปอยู่ในที่ไกลๆ...เพราะสิ่งที่ฉันต้องการคือครอบครองเมืองนี้ ฉันจะขโมยเมืองนี้มาจากมนชิต แต่เพราะมันยังครองที่นี่อยู่ ฉันก็เพิ่งนึกได้ ว่ามีความอ่อนแออยู่เรื่องหนึ่ง จุดอ่อนอย่างหนึ่งที่มนชิตอาจใช้ประโยชน์ได้” นคเรศพูดไปรินเหล้าใส่แก้วแล้วดื่ม จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาหาอาคิน
“แล้วมันคืออะไรล่ะ?” อาคินถามเขาในขณะที่กำลังมองดูสภาพของเปียโน
“พี่ไง” สิ้นคำของนคเรศ เขาแทงกริชเหล็กนิลไปที่อกของอาคินทันที อาคินร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน เขาค่อยๆทรุดตัวลง
“อภัยให้ข้าด้วย พี่เอ๋ย แต่รักมันไม่ใช่พลัง...ความเมตตาทำให้นายอ่อนแอ ครอบครัวทำให้นายอ่อนแอ หากฉันจะชนะสงครามครั้งนี้ ฉันต้องสู้คนเดียว” อาคินหลับไปในอ้อมแขนของน้องชาย

     “สายสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นเกาะคุ้มกันให้กับเรา มันมีอำนาจ แต่เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่มากับมัน มันทำให้เรารู้จักรับผิดชอบต่อความรักโดยที่ไม่มีเงื่อนไข ปราศจากคำขอโทษ เราไม่สามารถหลุดออกจากอำนาจของสายสัมพันธ์นี้ไปได้ แม้จะมีการทดสอบใดๆก็ตาม สายสัมพันธ์นี้จะช่วยหล่อเลี้ยงพวกเราให้แข็งแกร่งขึ้น เมื่อปราศจากมันพวกเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นเด็กคนนี้จึงมีความหมายมาก สำหรับอำนาจของสายสัมพันธ์” คำพูดของอาคิน...

_ จบตอน _

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา