Just a Dream…หรือแค่ฝันไป

9.4

เขียนโดย koala

วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.

  13 chapter
  116 วิจารณ์
  30.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

8) อาการมันฟ้อง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1...

2...

3...

 

 

ดอกไม้จากมือเจ้าสาวกระเด็นกระดอนผ่านมือผู้คนมากมายสุดท้ายดันไปตกในมือของหนุ่มจอมทะเล้นหน้าใส

 

สาบานได้ว่าผมไม่ได้จะกระโดดแย่งดอกไม้จากมือสาวคนไหนเลยเหอะ  มันมาตกตรงหน้าผมเองนะ

 

ผู้โชคดีเกิดอาการงงเล็กน้อย  ก่อนมองไปยังผู้คนรอบกายที่ส่งสายตามาหลายแบบทั้งยินดี  แปลกใจ  ตกใจ  หรืออะไรก็แล้วแต่  แต่สายตาของเขาก็กลับไปหยุดอยู่ที่สาวร่างโปร่ง

 

เธอส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขาเพื่อเป็นการแสดงความยินดี  หัวใจของหนุ่มผู้โชคดีเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง

 

ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะเดินเข้าไปยื่นช่อดอกไม้นี้ให้เธอ  แต่ร่างกายดันไม่กล้าทำตามเสียนี่  ทำได้แต่ยิ้มอย่างอายๆ

 

ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนขี้อายนะ  แล้วเราจะเขินทำไมเนี่ย...

 

 

“สงสัยงานนี้คาสโนว่าอย่างไอ้เขื่อนจะหมดลายซะแล้วมั้ง”  เสียงเพื่อนผู้มาร่วมงานคนหนึ่งกล่าวแซวขึ้นอย่างขำๆ

 

“อย่างเสือเขื่อนเพื่อนผมเนี่ยนะจะหมดลาย  ผมไม่เชื่อครับพี่”  เพื่อนอีกคนแย้งขึ้นพร้อมเดินมาโอบไหล่ผู้โชคดี

 

หนุ่มจอมทะเล้นส่ายหน้าน้อยๆอย่างระอาคำครหาของเพื่อนที่ตั้งให้เขาเป็นคาสโนว่า

 

“คนอย่างเขื่อนเนี่ยเวลารักใครรักจริงนะครับ  ถึงผมจะประวัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่  แต่มันก็แค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว  คนเราต้องการโอกาสเพื่อแก้ไขตัวเอง  เพราะฉะนั้นปัจจุบันสำคัญที่สุดจริงไหมครับ”

เขาพูดพร้อมมองจ้องไปยังสาวน้อยคนเดิมและอดคิดไม่ได้ว่าเธอก็น่าจะมีใจให้เขาบ้าง

 

แม้แต่ก่อนเราจะไม่ถูกกันสักเท่าไหร่ก็เถอะนะ  แต่มันเป็นเรื่องของอดีต  ปัจจุบันสำคัญกว่า...

 

“เดี๋ยวนี้แกคมนะไอ้เขื่อน  งั้นแสดงว่าคนปัจจุบันก็จะเป็นตัวจริงใช่ไหมครับเพื่อน  ชื่ออะไรนะ...”  คนที่กอดคอเพื่อนเอามือลงพลางทำท่าคิด

 

“จินนี่  ไงครับ”  เสียงหนุ่มลูกครึ่งผู้หวังดีอีกคนตอบกลับ

 

หนุ่มจอมทะเล้นผู้โชคดีหันกลับไปตามเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง

 

“พี่กวินรู้จักจินนี่ด้วยเหรอครับ”  เขาถามอย่างสงสัย

 

“อ้อ  เพื่อนสนิทพี่เคยแอบชอบน้องเขาน่ะ  เราเลยรู้จักกัน  แต่ตอนนี้มันคงเลิกชอบไปแล้วมั้ง  นายไม่ต้องเครียดไปหรอก”

หนุ่มลูกครึ่งคนเดิมบอกให้คนที่ถือดอกไม้คลายกังวลลงแต่กลับทำให้เขาต้องคิดหนักมากกว่าเดิม

 

นี่ผมกำลังทำผิดต่อคุณอยู่ใช่ไหม  จินนี่...

 

 

บทสนทนาเมื่อครู่ที่ได้ยินทำให้หัวใจดวงน้อยๆของสาวร่างโปร่งรู้สึกแปลกๆคล้ายหลุดออกมาจากฝันในชั่วข้ามคืน

 

จริงสินะ  พี่เขื่อนมีแฟนอยู่แล้วทั้งคน  ไม่น่าคิดเข้าข้างตัวเองเลย  ยัยเฟย์เอ๋ย

อย่างมากเขาก็มองเราเป็นแค่น้องสาวจอมซนคนหนึ่งเท่านั้นแหละ...

 

เธอค่อยๆหมุนตัวเดินหลบผู้คนหนีความวุ่นวายออกไปภายนอกสถานที่จัดงาน  แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของหนุ่มหน้ายาวผู้โชคดีไปได้

 

เขาวางดอกไม้ที่ได้รับลงกับโต๊ะ  ก่อนรีบเดินออกจากห้องเพื่อตามหัวใจ  เอ้ย...ไม่ใช่น้องสาวจอมขี้แยของผมต่างหาก

 

 

ไปไหนของเขานะ  นี่หาจนทั่วแล้วยังไม่เจอเลย

คนที่เดินตามมาพยายามมองหาเป้าหมายร่างโปร่งทั่วบริเวณงานแต่เธอก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

 

 

“ตาเขื่อนกลับยังลูก”  มารดาของเขาเดินเข้ามาชวนให้กลับที่พัก  เพราะเลยเวลาสังสรรค์มาพอควรแล้ว

 

“พรุ่งนี้ต้องกลับแล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ  ของก็ยังไม่ได้เก็บใช่ไหม”  คนสูงวัยกล่าวเตือนต่อ

 

“อ้อ  ครับคุณแม่  กลับเลยก็ได้ครับ”  บุตรชายเอ่ยอย่างว่าง่ายตามมารดาทั้งที่ในใจว้าวุ่นเหลือเกิน

 

“นี่เราหาใครอยู่หรือเปล่าเนี่ย”  มารดาเริ่มจับสังเกตได้ว่าลูกชายดูพะว้าพะวังเสียเหลือเกิน

 

“เปล่าฮะคุณแม่”  หนุ่มจอมกวนปฏิเสธเป็นพัลวันก่อนจะเฉไฉไปต่อ

 

“ผมแค่สงสัยว่าพวกสาวๆในงานเขาจะกลับกันยังไงมันดึกแล้ว”

 

“ก็เห็นส่วนใหญ่เขาก็พักที่นี่กันนะ  ส่วนที่ไม่ได้พักอย่างหนูเฟย์ก็เห็นพ่อกวินเขาไปส่งแล้วนี่”

แล้วคำตอบที่เขาอยากรู้ก็มาอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

 

นี่ใจคอไม่คิดจะเจอกันอีกแล้วใช่ไหม...ยัยขี้แย

 

 

 ......................................................

 

 

 

“คุณแก้วพักทานข้าวหน่อยไหมครับนี่ก็เย็นมากแล้ว  เดี๋ยวลุงไปซื้อข้าวให้”

เสียงคุณลุงคนงานคนหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง

 

“ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง  หนูไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

สาวร่างสูงตอบปฏิเสธอย่างเกรงใจแล้วเธอก็ยังคงมุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตากับการตกแต่งบ้านของหนุ่มหน้าหวานต่อไป

 

เรื่องหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าคนว่าจ้างออกจะเร่งเธอเหลือเกินว่าต้องทำให้เสร็จภายในเดือนนี้

 

นี่ก็เหลืออีก10วัน  เหลืองานที่ต้องเก็บอีกตั้งเยอะแล้วฉันจะทำทันได้ไงเนี่ย  ร่างสูงกำลังปวดขมับอย่างหนัก

 

และอีกเรื่องเป็นเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ  เพราะเธอตกหลุมรักบ้านหลังนี้อย่างจริงจัง  มันเป็นบ้านในฝันที่เธออยากจะมี  จึงอยากทำมันให้ออกมาเป็นอย่างที่เธอวาดฝันไว้  แม้เธอจะไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ก็อยากให้คนที่ได้อยู่รู้สึกดีกับมันไปด้วย

 

 

 

ท้องฟ้าภายนอกบ้านไม้หลังเล็กดูมืดสลัวลง  ลมเริ่มพัดแรงขึ้นจนทำให้กระดาษร่างแบบหลายแผ่นปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว  สถาปนิกสาวจำต้องวิ่งตามเก็บแบบบ้านซึ่งถือเป็นเอกสารชิ้นสำคัญในการทำงานใหญ่ครั้งนี้ของเธอ

 

“โอย  ลมบ้านี้จะพัดอะไรกันนักกันหนานะ”  เธอบ่นอย่างอารมณ์เสียและแทบจะร้องไห้เมื่อเห็นสภาพกระดาษของเธอเปียกชุ่มจนแทบจะมองไม่เห็นชิ้นงานที่เธอได้สรรค์สร้างไว้

 

ตายๆๆๆ  ตายแน่แก้วใจ  นายขี้เก๊กนั่นต้องเอาฉันตายแน่เลย  ให้ฉันทำใหม่มันไม่ทันแล้วนะ  แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้

ณ  ตอนนี้สาวร่างสูงอยากจะกรีดร้องเป็นภาษาสเปน  เยอรมัน  โปรตุเกส...

 

แต่ก่อนที่จะได้ทันคิดถึงวิธีแก้ไขงาน  เธอก็ได้ยินเสียงผิดปกติมาจากบริเวณใกล้เคียง

 

แกร๊ก  แกร๊ก...เสียงอะไรเนี่ย  สถาปนิกสาวเท่ยังไม่วายหาแหล่งต้นตอของเสียงต่อ

 

“คุณแก้วระวังครับ”  เสียงเตือนจากลุงคนงานดังขึ้นแต่ก็ไม่ทันการณ์

กิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะของคนขี้สงสัยหลุดร่วงหล่นออกตามแรงลมทับร่างของเธอไปเสียก่อน

 

“คุณแก้ว  เฮ้ย  ไอ้ชัยเรียกรถพยาบาลเร็วคุณแก้วโดนไม้ตกใส่หัว”

 

สาวร่างสูงพยายามเปิดเปลือกตาของตนขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล

เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินก่อนหมดสติคือเสียงลุงคนเดิมที่ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือให้เธอ

 

 

.......................................................

 

 

 

กริ๊ง  กริ๊ง...เสียงโทรศัพท์ติดตามตัวของแพทย์สาวดังขึ้น  ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเงาตามตัวของเธอว่าใครกันนะที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้

 

“อะไรนะ  ยัยแก้วเกิดอุบัติเหตุ  ตอนนี้อยู่ที่ไหนนะคะคุณน้า”

ข้อมูลจากต้นสายผู้เป็นมารดาของเพื่อนสนิทร่างสูงทำให้เธอตกใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้รับ

ร่างเล็กรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนรีบออกจากห้องพักไปยังโรงพยาบาล

สร้างความแปลกใจให้หนุ่มหน้าเข้มที่อยู่อีกห้องว่าคนตัวเล็กกำลังจะไปไหนในยามวิกาลเช่นนี้

 

“ฟางจะไปไหน”  เขาตะโกนเรียกเธอแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

 

 

 

“โธ่ฟาง  เพื่อนฟางไม่เป็นไรหรอกน่า  อย่างมากก็แค่ไม่ฟื้นแบบป๊อปนี่ไง”

หลังจากที่รู้สาเหตุว่าทำไมคนตัวเล็กถึงได้รีบร้อนออกจากห้องมา

ร่างที่อยู่ข้างคนขับกล่าวขึ้นเพื่อให้คุณหมอหน้าหวานคลายความกังวลลงบ้างแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล

 

“นั่นปากหรอ  ฉันรู้น่าว่าเพื่อนฉันไม่เป็นอะไรมาก  แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่นา  ไปดูให้แน่ใจด้วย

จะได้บอกคุณน้าให้สบายใจหน่อย  พอดีท่านอยู่ต่างจังหวัดน่ะเลยฝากฉันดูแลไปก่อน”  แพทย์สาวให้เหตุผลต่อ

 

“ครับ  ว่าแต่เพื่อนคนนี้ของฟางคงต้องสำคัญมากสินะ”  ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยปนหึงนิดๆ

 

“แน่นอนสิ  เพื่อนคนนี้น่ะ  รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเลยนะ  เรียกว่าโตมาด้วยกันเลยแหละ”

ร่างเล็กยังอธิบายถึงความสนิทขั้นซี้ปึ๊กกับคนป่วยต่ออย่างไม่รู้ตัว

 

“คงรักกันมากสินะ”  อารมณ์ของชายหนุ่มเริ่มคุกรุ่นขึ้นจนคนตัวเล็กเริ่มจับสังเกตได้

 

“นี่นายเป็นอะไรป๊อปปี้”

 

“เปล่า  ป๊อปก็แค่ถามเฉยๆ  เผื่อจะได้รู้ข้อมูลเพื่อนฟางบ้างไง”  คนตอบเริ่มเฉไฉบ้าง

 

“อยากจีบหรือไง  บอกได้นะ  เพื่อนฉันโสดอยู่  สวย  ขาว  สูง  สเป็คนายหรือเปล่าล่ะ”

ร่างเล็กนำเสนอเพื่อนตัวเองแต่สร้างความงุนงงให้หนุ่มจอมกวนเล็กน้อย

 

“อ้าว  เพื่อนฟางเป็นผู้หญิงหรอ”

 

“แน่นอนสิคะ  ฉันเรียนโรงเรียนหญิงล้วนจะให้มีเพื่อนเป็นผู้ชายไหมล่ะ”  ร่างเล็กตอบกลับอย่างกวนๆ

 

“เพื่อนฟางไม่เป็นทอมใช่ป่ะ”  หนุ่มจอมกวนยังไม่วายระแวงต่อ

 

“จะบ้าหรอ  ถึงยัยแก้วจะดูแมนเป็นนักเทควันโดสายดำ  มีคนกรี๊ดตรึมแค่ไหน  แต่ก็หญิงแท้แน่นอนนะคะ”

คนตัวเล็กบรรยายสรรพคุณเพื่อนตัวเองต่อ

 

“ค่อยยังชั่วหน่อย”  คนถามเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแต่กลับสร้างความแปลกใจให้สาวหน้าหวานกับอาการขึ้นๆลงๆของเพื่อนร่วมทางที่นั่งมาด้วย

 

 

และแล้วรถก็เคลื่อนมาถึงโรงพยาบาล

โชคดีที่มันเป็นที่เดียวกับที่ทำงานของเธอทำให้สะดวกสบายมากขึ้นเวลาจอดรถหรือเข้าเยี่ยม

 

 

“คุณจริญญาอยู่ห้องไหนคะ”  แพทย์สาวถามเจ้าหน้าที่

หลังจากทราบเลขที่ห้องของคนป่วยเรียบร้อย  เธอกล่าวขอบคุณพร้อมรีบเดินบึ่งไปยังที่หมายทันที

 

 

“เห็นไหมล่ะ  บอกแล้วว่าเพื่อนฟางไม่เป็นไรมากหรอก”  ร่างที่ไม่มีใครมองเห็นพูดขึ้นอีกครั้ง

 

“รู้แล้วน่า  นี่นายจะไปไหนก็ไปเถอะป๊อปปี้  เดี๋ยววันนี้ฉันคงนอนเฝ้าไข้ยัยแก้วก่อน”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยต่อว่า  “งั้นเดี๋ยวป๊อปกลับไปห้องป๊อปละกัน”

 

 

เสียงของเพื่อนสาวร่างเล็กลอยมากระทบโสตประสาทของคนป่วยที่เริ่มได้สติมาสักพัก

 

เดี๋ยวนี้ยัยฟางมีกิ๊กหรอ  ต้องแซวหน่อยแล้ว  ว่าแต่ทำไมเหมือนพูดอยู่คนเดียว  หรือคุยโทรศัพท์อยู่

หาทางแกล้งตื่นดีกว่า  ฉลาดจริงๆแก้วใจ

 

 

“โอย...”  เสียงคนป่วยดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของสองหนุ่มสาว

 

ร่างสูงค่อยๆลืมตา  ปรับสายตาให้มองเห็นชัดขึ้น

 

“ยัยแก้วฟื้นแล้วหรอ”  เพื่อนตัวเล็กเอ่ยอย่างดีใจ

 

คนตัวสูงกว่าเมื่อมองเห็นเพื่อนสาวร่างเล็กก็ค่อยๆชันกายขึ้นไปกอดแสดงความคิดถึงเนื่องจากไม่ได้เจอกันมาเป็นเดือน

แพทย์สาวพยายามห้ามไม่ให้คนป่วยลุกแต่ก็ไม่สำเร็จ  เธอกอดตอบเพื่อนสนิทของเธอด้วยความคิดถึงด้วยเช่นกัน

 

หนุ่มผู้ไม่มีใครมองเห็นได้แต่อมยิ้มกับมิตรภาพตรงหน้า

ตอนแรกเขาตัดสินใจจะกลับไปที่ห้องแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว  แอบฟังสาวๆคุยกันดีกว่า  เผื่อได้อะไรดีๆด้วย

 

“ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก  ฉันเป็นหญิงเหล็กแกก็น่าจะรู้”  ร่างสูงตอบกลับอย่างติดตลกพร้อมมองไปรอบๆห้องรวมถึงเพื่อนของตนเอง  แต่กลับไม่มีวี่แววของคนอื่นหรือแม้แต่การใช้โทรศัพท์มือถือเลย

 

แล้วยัยฟางคุยกับใครนะ  หรือว่า...บรึ๋ย...ไม่เอานะ  ไม่อยากจะคิด  ไม่อยากเจอ  ฮือ...หนูกลัวแล้ว

 

คนตัวสูงรู้สึกขนลุกวาบขึ้นมาทันใดแต่ความอยากรู้กลับมีอิทธิพลมากกว่าความกลัวของเธอ  คนป่วยจึงตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อนหน้าหวานออกไปว่า

 

“เมื่อกี้แกคุยกับใครอยู่เหรอ”

 

“เปล่านะ  แกเพิ่งฟื้นหรือเปล่าแก้ว  แกอาจจะเบลอๆก็ได้น่ะ”  ร่างเล็กพยายามกลบเกลื่อน

 

“ฉันว่าแกนอนพักต่อเถอะ  เดี๋ยวฉันนอนเป็นเพื่อนให้  แม่แกฝากฉันดูแลแกด้วย”  คนตัวเล็กกล่าวต่อ

 

ยิ่งอาการของเพื่อนตัวเล็กของเธอพยายามปกปิดเท่าไหร่ยิ่งทำให้เธอสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

 

“แกคิดว่าจะโกหกฉันได้หรอฟาง  ฉันได้ยินแกพูดถึงคนชื่อป๊อปปี้”

ร่างสูงเริ่มพูดจริงจังมากขึ้นจนคนตัวเล็กเริ่มกังวลไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

 

แล้วฉันจะบอกยัยแก้วยังไงดีล่ะ  ยัยแก้วต้องหาว่าฉันบ้าแน่ๆ  ร่างเล็กคิดไม่ตกกับปัญหาที่จำเป็นต้องปกปิดตรงหน้า

 

“ป๊อปว่าฟางบอกเพื่อนฟางเรื่องของป๊อปไปก็ได้นะ  ผมคิดว่าเขาไว้ใจได้”  ร่างที่มองไม่เห็นกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ

คนตัวเล็กหันกลับไปมองต้นเสียงเพื่อถามให้มั่นใจ  “นายแน่ใจแล้วนะว่าจะให้ฉันบอก”

 

สาวร่างสูงที่เห็นเหตุการณ์สดว่าเพื่อนหน้าหวานของเธอหันไปพูดกับกำแพงแล้วถึงกับช็อค

 

“น..นี..นี่แกคุยกับใครอยู่ยัยฟาง”  คนป่วยร่างสูงได้แต่ขนหัวลุกไม่หายอยากจะไปคว้าสร้อยพระมาห้อยคอเสียเหลือเกิน

กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...ร่างเล็กคิดในใจไว้ล่วงหน้าแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

 

“คือฉันจะอธิบายยังไงดีล่ะ  เอาเป็นว่าเขาไม่ใช่ผีละกัน  เขาเป็นคนไข้ของฉันที่ต้องการความช่วยเหลือนิดหน่อย  เราเลยติดต่อกันได้น่ะ”  สาวหน้าหวานพยายามอธิบายต่อ

 

มันเหนือธรรมชาติไปไหม  ติดต่อกับวิญญาณ  แน่ใจนะยัยฟางว่าแกไม่ได้ทำงานหนักจนบ้าไปแล้ว

 

คนป่วยคิดพลางเอามือไปแตะหน้าผากเพื่อนสาวร่างเล็ก

 

“แกคงคิดว่าฉันบ้าสินะ  ฉันขอยืนยัน  นั่งยัน  นอนยันเลยว่าฉันสติดีครบ32นะเว่ย  และยืนยันด้วยว่าหมอนี่ไม่น่ากลัวจริงๆนะ  เขาเป็นคนดีและเขาไม่มาหลอกแกหรอก”  คนตัวเล็กพยายามปลอบขวัญเพื่อน

 

“งั้นฉันขอพิสูจน์หน่อยได้ไหม”  คนป่วยพยายามทำใจดีสู้เสือ

 

“ได้สิ”  ร่างเล็กตอบกลับอย่างมั่นใจ

 

“แกหันไปทางนู้นก่อน”  สาวร่างสูงบอกร่างเล็กให้ปฏิบัติตาม  จากนั้นเธอก็เขียนข้อความลงในเศษกระดาษหนึ่งคำ

 

“แกหันมาได้แล้วฟาง”  คนตัวเล็กปฏิบัติตามอย่างโดยดี  “เมื่อกี้ฉันเขียนคำว่าอะไรแค่นี้แหละ”

 

ร่างที่มองไม่เห็นบอกคำตอบแก่คนตัวเล็กซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้คนป่วยไปไม่น้อย  และคงต้องยอมรับว่าตอนนี้มีวิญญาณอยู่ในห้องของเธอจริง

 

ฉันคงต้องพยายามปรับตัวให้เคยชินใช่ไหม  มันหลอนยังไงไม่รู้

 

“ไหนเพื่อนฟางบอกว่าเป็นหญิงเหล็ก  หญิงแกร่งอะไรไง  เรื่องแค่นี้ทำป๊อดไปได้”  หนุ่มคนเดียวในห้องเอ่ยอย่างขำๆ

 

“แก้ว  ป๊อปบอกว่าแกเป็นหญิงเหล็กไม่ใช่หรอ  ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงกลัวจนหัวหดไปได้”  คนตัวเล็กส่งสารต่อทำให้คนป่วยเริ่มของขึ้นกับร่างที่มองไม่เห็นเล็กน้อย

 

“นี่ถ้านายเจอแบบฉันนายจะกลัวไหมล่ะ”

 

“ผมไม่กลัวเพราะผมไม่เจอ”  เขายังไม่วายแกล้งคนป่วยต่อ  จนทำให้สาวหน้าหวานได้แต่หลุดขำ

 

“อะไรยัยฟาง  นายนั่นนินทาอะไรฉันอีก  บอกมานะ”  สาวร่างสูงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

 

“ไม่มีอะไร”  คนตัวเล็กปฏิเสธไปขำไป  ความจริงแกล้งยัยแก้วก็สนุกดีเหมือนกันนะ...

 

“แหม  ปกป้องกันจังเลยนะคะเพื่อน”  สาวร่างสูงเริ่มแซวเพื่อนสนิทบ้างจนทำให้คนตัวเล็กเริ่มหน้าแดง

 

ก่อนที่เธอจะดึงตัวเพื่อนหน้าหวานร่างเล็กมากระซิบถามว่า  “นี่แกชอบหมอนี่หรือเปล่ายัยฟาง”

 

“ไอ้บ้า  ไม่ใช่”  คนตัวเล็กปฏิเสธอย่างพัลวันอีกครั้ง

 

“หรอ”  คนป่วยเอ่ยอย่างประชดบ้าง

 

 

ฉันเป็นเพื่อนกับแกมาเป็น10ปี  ทำไมฉันจะดูไม่ออกว่าแกมีใจให้อีตากวนประสาทนี่

 

 

ถึงจะอยู่ไกลจากสาวในห้องทั้งสองคนพอควรแต่เขาก็ได้ยินคำถามจากคนป่วยที่ถามคุณหมอสุดสวยของเขา

แม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธแต่อาการมันฟ้องจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอก็รู้สึกแบบเดียวกันกับเขา

ตอนนี้หัวใจของชายหนุ่มแทบจะกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข

 

 

แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างของเขารู้สึกเลือนลางไป  มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ

เขาจึงตัดสินใจรีบกลับไปยังห้องที่เขานอนไม่ได้สติอยู่

 

แต่แล้วภาพตรงหน้าที่ได้เห็นก็ทำให้หนุ่มหน้าเข้มอารมณ์พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

ภาพของชายหนุ่มร่างโปร่งหน้าหวานที่เขาเพิ่งได้พบเมื่อเช้ากำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขา

 

ทันใดนั้นเสียงสัญญาณการตรวจวัดสัญญาณชีพที่ผิดปกติภายในห้องที่ไร้ญาติมานับเดือนก็ดังขึ้น  สร้างความตกใจให้กับหนุ่มหน้าหวานเล็กน้อย

 

ไม่นานเขาได้ยินเสียงพยาบาลกำลังเดินมาทางห้องนี้  จึงจำต้องรีบเดินเข้าไปหลบในซอกมุมหนึ่ง

แต่มันก็ไม่พ้นสายตาของร่างที่ไม่มีใครมองเห็นอีกตามเคย...

 

 

 

แกรู้มาตลอดสินะว่าฉันอยู่ที่นี่  แต่แกไม่เคยคิดแม้แต่จะมาเยี่ยมฉันเลย  แถมยังปิดไม่ให้ใครรู้อีก

ในที่สุดฉันก็รู้ความจริงสักทีว่าฉันเป็นแบบนี้เพราะใคร  ไอ้เพื่อนทรยศ...

 

 

 

=======================================================

มาช้ามากมายหวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะคะ  งานยุ่งต้องค่อยๆอัพเนอะ  จะพยายามอัพให้ไวที่สุด  มันอาจจะสับสนมึนงงไปบ้างต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา