Just a Dream…หรือแค่ฝันไป

9.4

เขียนโดย koala

วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.

  13 chapter
  116 วิจารณ์
  30.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

9) ความลับ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

กริ๊ง  กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ติดตามตัวของแพทย์สาวดังขึ้น  ขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างเธอและเพื่อนร่างสูงที่กำลังออกรส

 

“คุณหมอธนันต์ธรญ์หรือเปล่าคะ  พอดีคุณหมอเวรวันนี้มีคนไข้หนักฉุกเฉินอยู่ค่ะ  รบกวนเวลาคุณหมอสักครู่นะคะ...”  เสียงปลายสายแจ้งรายงานอาการของคนไข้หนักที่คนตัวเล็กกำลังดูแลอยู่เป็นพิเศษในขณะนี้

จะเป็นใครเสียอีกเล่า  ก็ชายหนุ่มที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเธอเพียงคนเดียวนั่นไง

 

ร่างเล็กแทบจะวิ่งปรี่ออกจากห้องหลังจากทราบการรายงานว่า

อยู่ๆร่างของชายหนุ่มก็เกิดอาการเกร็งกระตุกขึ้นมาเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

แต่ก็ยังมีสติหันกลับไปบอกคนป่วยในห้องว่าให้นอนพักไปก่อน  เดี๋ยวเธอจะกลับมานอนเฝ้าไข้ด้วย

 

“เดี่ยวสิยัยฟางเกิดอะไรขึ้น”  คนป่วยร่างสูงตะโกนเรียกเพื่อนสาวแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเมื่อคนตัวเล็กรีบออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

 

ให้มันได้อย่างงี้สิ  คนเราจะมาก็มา  จะไปก็ไป  คนตัวสูงได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียว

 

แต่เอ...ยัยฟางไม่อยู่ออกไปยืดเส้นยืดสายหน่อยดีกว่า  นอนอย่างนี้น่าเบื่อจะตายไป

 

คนป่วยเริ่มมีความคิดแผลงๆขึ้นก่อนจะลุกจากเตียงเดินออกไปที่บริเวณริมระเบียงห้อง

ชมบรรยากาศทิวทัศน์ของเมืองกรุงจากมุมสูงในยามค่ำคืนที่เธอไม่ค่อยจะได้เห็นเท่าไหร่นัก

เพราะบ้านของเธอเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาทั่วไป

 

บรรยากาศอย่างนี้ก็ดีไปอีกแบบเนอะ  น่าเอากล้องมาถ่ายรูปจริงๆ

สาวร่างสูงคิดได้ดังนั้นจึงจะเดินกลับเข้าไปเอาโทรศัพท์มือถือในห้องเพื่อมาเก็บภาพยามค่ำคืนแบบนี้

 

แต่พลันได้ยินเสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’

สาวร่างสูงคิดในใจว่าเพื่อนตัวเล็กของเธอคงกลับมาแล้วแต่ลองแกล้งเล่นๆสักหน่อยดีกว่าโทษฐานทิ้งเพื่อน

คนป่วยจึงแอบซ่อนตัวอยู่บริเวณระเบียงของห้องต่อไปแต่ก็ดูไม่มีวี่แววที่คนในห้องจะเปิดออกมาหาสักนิด

 

มันแปลกๆแล้วนะ  หรือว่าคนที่เข้ามาในห้องไม่ใช่ยัยฟาง  แล้วใครล่ะ 

สาวร่างสูงเริ่มเกิดอาการกลัวขึ้นมานิดๆจึงได้แต่แอบยืนอยู่ที่ระเบียงต่อไป

 

โอย  ไม่ไหวแล้วขืนอยู่ตรงนี้ต่อได้เลือดหมดตัวไปกับเจ้ายุงพวกนี้หมดแน่

คนป่วยได้แต่บ่นกับตัวเองหลังจากตบยุงตัวที่สิบที่บินมากัดเธอ

 

เธอค่อยๆเปิดประตูเลื่อนเพื่อที่จะเข้าไปในห้อง

แต่ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน

แรงที่มากระทำโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างของคนที่กำลังจะเข้าห้องเสียหลักล้มลงทับร่างคนที่กำลังเปิดประตูจากด้านในเช่นกัน

 

ความบังเอิญแรกคือร่างที่เธอล้มทับนั้นคือหนุ่มหน้าหวานจอมขี้เก๊กเจ้าของบ้านไม้ในฝัน

และความบังเอิญอีกอย่างคือริมฝีปากของทั้งคู่ดันประกบชนกันพอดีเป๊ะ!!

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาหนุ่มสาวทั้งสองเกิดอาการช็อคไปไม่น้อย

สาวร่างสูงรีบผละออกจากร่างของหนุ่มหน้าหวานอย่างรวดเร็วพร้อมกับปล่อยหมัดอัพเปอร์คัทไปยังใบหน้าหล่อของคนตรงหน้าแต่คราวนี้ชายหนุ่มตั้งตัวได้ทัน

เขาก้มหลบหมัดของสาวเท่ร่างสูงก่อนจะคว้าข้อมือและล็อคตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขาได้สำเร็จ

 

“ผมลืมบอกคุณไปว่าผมเป็นนักยูโดเหรียญทองน่ะ”  หนุ่มหน้าหวานเอ่ยอย่างผู้เหนือกว่า

 

ผลั่ก~~

เสียงศอกของคนที่อยู่ในพันธนาการของชายหนุ่มกระแทกเข้าที่ท้องคนฉวยโอกาสทำให้เธอหลุดพ้นจากอ้อมกอดออกมาได้สำเร็จ

 

“ฉันก็ลืมบอกว่าฉันก็เป็นนักเทควันโดสายดำเหมือนกัน”  สาวร่างสูงกล่าวอย่างมีชัยก่อนจะยิ้มเยาะให้อาการของชายหนุ่มตรงหน้าที่ได้แต่กุมท้องตัวเองและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม

 

“แล้วคุณเข้ามาในห้องฉันได้ไงเนี่ย”  สาวเท่ถามหนุ่มหน้าหวานคนคุ้นเคยต่อด้วยหวาดระแวงเล็กน้อยเมื่อมองสภาพของผู้บุกรุกที่สวมใส่ชุดผู้ป่วยแบบเดียวกับเธอ

 

อย่าบอกนะว่าหมอนี่เป็นโรคจิต  แย่แล้วจริญญา...

อาการของหญิงสาวยังคงดูหวาดกลัวผู้บุกรุกอย่างเขาอยู่ไม่น้อย  ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งหายจากอาการจุกเมื่อครู่ตอบกลับด้วยเสียงขำๆว่า

 

“คุณไม่ต้องกลัวผมขนาดนั้นหรอกน่า  ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”

 

แกล้งยัยนี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะ  ผู้บุกรุกคิดในใจก่อนจะยั่วสาวร่างสูงต่อ

 

“เพราะถ้าผมจะทำคงทำไปนานแล้ว”

หนุ่มหน้าหวานค่อยๆชะโงกหน้าไปหาสาวร่างสูงตรงหน้าพร้อมกระซิบประโยคถัดมาทำเอาคนฟังแทบจะขนลุกเกรียว

สาวร่างสูงกระชับเสื้อคนไข้ที่ดูหลวมโคร่งกับร่างของเธอให้มิดชิดมากขึ้น

 

“ถึงเปิดก็มองไม่เห็นอะไรหรอกนะ  อย่างคุณน่ะไม่ใช่สเป๊กผมหรอก”

สายตาของคนพูดมองไปตามส่วนโค้งเว้าตามร่างกายคนฟังแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ

แต่กลับสร้างรอยแผลเจ็บจี๊ดๆให้กับคนตรงหน้า

 

ใช่สิ  ฉันไม่สวยเซ็กซี่หวานเยิ้มอย่างสเป๊กนายนี่...

พลันนึกถึงหน้าสาวสวยในรูปที่เธอบังเอิญเจอที่บ้านของชายหนุ่มขณะปฏิบัติงาน

 

“แล้วสรุปคุณเข้ามาห้องฉันทำไมไม่ทราบ”  คำถามของเจ้าของห้องเรียกสติผู้บุกรุกอีกครั้ง

 

“เออ...เออ...คือ...พอดีผมจะมาเยี่ยมเพื่อนแล้วผมจำห้องผิดน่ะ  ขอโทษนะครับ”

คนบุกรุกยิ้มแห้งๆกลบเกลื่อนพร้อมโค้งศีรษะแทนการขอโทษ

 

จะให้บอกความจริงว่าเราจำห้องตัวเองผิดก็เสียฟอร์มสุดหล่อแย่สิครับ

 

 

“แล้วคุณมาเยี่ยมอะไรดึกดื่น  เวลานี้มันใช่เวลาเยี่ยมมั้ยเนี่ย”  สาวร่างสูงกล่าวตำหนิ

 

“ก็ผมเพิ่งรู้นี่นาว่าเขารักษาตัวอยู่ที่นี่ก็เลยกะจะมาเยี่ยมซะหน่อย”  หนุ่มหน้าหวานยังคงแก้ตัวต่อไป

 

“เอาเป็นว่าผมขอโทษที่มารบกวนคุณนะ  ว่าแต่คุณเป็นอะไรเนี่ยถึงได้มานอนป่วยอย่างนี้น่ะ”

ผู้บุกรุกเริ่มเป็นห่วงอาการของเจ้าของห้องบ้าง

 

“ไม่มีอะไรแค่กิ่งไม้บ้านคุณตกใส่หัวฉันแค่นั้นเอง”  หญิงสาวตอบอย่างขำๆแต่ทำให้คนฟังไม่ขำสักเท่าไหร่

 

“เฮ้ย...ทำไมไม่มีคนบอกผมเลยล่ะ”

หนุ่มหน้าหวานหัวเสียเล็กน้อยกับเรื่องอาการบาดเจ็บของสาวร่างสูงที่สาเหตุมาจากการปฏิบัติงานให้เขาอยู่

 

“โธ่  คุณจะคิดมากทำไมเนี่ย  มันแค่อุบัติเหตุ  แค่นี้ฉันไม่ตายหรอกน่า  แถมคุณก็ไม่สบายเหมือนกันนี่  พวกคนงานเขาจะติดต่ออาจจะติดต่อคุณไม่ได้เหมือนกัน”

สถาปนิกสาวกล่าวให้หนุ่มหน้าหวานคลายกังวลลงแต่ก็ไม่วายถามข้อสงสัยของเธอต่อ

 

“เออ...ว่าแต่คุณเป็นอะไร  ฉันยังไม่ได้ถามเลย”

 

“อ้อ  ผมเป็นไข้นิดหน่อย  คงจะพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะ”  เขาตอบอาการให้เธอฟังแบบสั้นกระชับก่อนจะวกเข้าเรื่องเดิมต่อ

 

“แต่คุณไม่ต้องมาออกนอกเรื่องเลย  คุณไม่เป็นไรมากใช่ไหมครับ”

หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ

 

“เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบผมขอออกค่ารักษาพยาบาลคุณทั้งหมดเอง”

 

“ไม่เป็นไร  คุณไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้นะ  ฉันจ่ายเองได้”  สาวร่างสูงพยายามบอกปฏิเสธการรับผิดชอบของผู้ว่าจ้าง

 

“ไม่  คุณบาดเจ็บเพราะผม  ผมต้องรับผิดชอบ”  ชายหนุ่มยังยืนยันคำเดิม

 

“งั้นฉันขอเปลี่ยนค่ารักษาพยาบาลเป็นเวลาทำงานเพิ่มได้ไหมล่ะ”  สาวร่างสูงเริ่มเห็นแววในการต่อรองมากขึ้น

 

“ได้สิ  คุณไม่สบายผมขยายเวลาให้อีกเดือนเลย”  ผู้ว่าจ้างของเธอแสดงความใจกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

ในใจของสถาปนิกสาวแทบจะจุดพลุฉลองให้กับคำอนุมัติของชายหนุ่มแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ทำได้เพียงกล่าวขอบคุณพร้อมกับฉีกยิ้มหวานให้กับผู้อนุมัติคำขอร้องของเธอ

 

บทจะแมนก็แมนสุดๆไปเลยนะเนี่ย  ไม่น่าเชื่อจริงๆ  สาวร่างสูงได้แต่ชื่นชมผู้ว่าจ้างในใจ

 

 

ขณะที่ชายหนุ่มเมื่อเห็นรอยยิ้มที่คนตรงหน้าส่งมาให้กลับทำให้หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ

นี่เราเป็นอะไรกัน...  ชายหนุ่มได้แต่ถามตัวเองกับอาการที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับที่เขาได้พบกับเธอคนนั้นครั้งแรก

 

 

 

ติ๊ด..ติ๊ด..เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือของหนุ่มหน้าหวานดังขึ้นเรียกสติที่กำลังหลุดลอยให้กลับสู่ความจริง

เขาตั้งเตือนไว้เพื่อให้ทราบถึงเวลาที่พยาบาลจะเข้ามาฉีดยาแก้อักเสบ  ดังนั้นถ้าเขายังอยู่ในห้องนี้ต้องไม่เป็นการดีแน่ๆ

 

“เอองั้นผมขอตัวก่อนนะ  ขอโทษด้วยที่มารบกวนนะครับ”  ชายหนุ่มกล่าวลาคนในห้องพร้อมรีบบึ่งไปยังห้องตัวเอง

 

 

ก๊อก  ก๊อก...ประตูห้องถูกเปิด  พยาบาลสาวร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องเพื่อฉีดยาให้กับคนป่วย

 

“ถึงเวลาฉีดยาแล้วนะคะ”  เธอส่งยิ้มหวานมาให้ชายหนุ่มที่นอนหอบอยู่เล็กน้อย

 

“ทำไมคุณดูเหนื่อยๆนะคะ  เป็นอะไรหรือเปล่า”  พยาบาลถามอาการด้วยความเป็นห่วง

 

“ไม่เป็นไรครับ  พอดีผมลองออกกำลังกายนิดหน่อยน่ะฮะ”  คนป่วยตอบกลบเกลื่อนไป

 

“ไม่เป็นไรแน่นะคะ”  เธอยังคงถามด้วยความเป็นห่วงต่อหลังจากฉีดยาให้เขาเสร็จ

 

“ไม่เป็นไรครับ”  คนป่วยพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มพิฆาตใจออกไป  ทำเอาพยาบาลสาวหน้าแดงก่ำด้วยอาการเขิน

ก่อนรีบเดินออกจากห้องไป

 

 

เฮ้อ...รอดไปนะเราเรื่องวันนี้  แต่ต่อไปเนี่ยสิจะทำยังไงดีเนี่ย

ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอ่อนๆกับเหตุการณ์อันน่าหนักใจที่ยังไม่รู้จะจัดการได้อย่างไร

 

หนุ่มหน้าหวานค่อยๆเอามือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ซึมออกบริเวณใบหน้าและเผลอแตะริมฝีปากตัวเองทำให้หวนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครู่อีกครั้ง  เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

จูบที่เขาและเธอไม่ได้ตั้งใจ  แต่ทำไมมันยังย้อนกลับมาให้คิดถึงและหวั่นไหวได้ขนาดนี้นะ

 

 

แต่แล้วสติของชายหนุ่มก็ค่อยๆหลุดไปยังห้วงนิทราพร้อมกับร่างกายที่อ่อนเพลีย

 

 

 

.............................................................

 

 

 

หลังจากที่แพทย์สาวร่างเล็กรีบปรี่ออกจากห้องเพื่อนสาวคนสนิทของเธอมายังห้องผู้ป่วยหนักที่ได้รับรายงานและจัดการให้ยาเพื่อระงับอาการชักรวมถึงสั่งทำการเจาะเลือดหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น

 

ยังไงฉันก็ขอเชื่อเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์ก่อนละกันนะ

 

หลังจากที่ได้รับยาระงับอาการชัก  อาการของชายหนุ่มก็ดูทุเลาลง

สาวร่างเล็กมองหาร่างที่ใครๆต่างมองไม่เห็น  แล้วก็พบว่าชายหนุ่มกำลังนั่งนิ่งกุมขมับอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

เธอรอให้คนออกไปจากห้องจนหมด  แล้วจึงเดินมาหย่อนกายนั่งข้างๆคนที่เธอมองหาเมื่อครู่

 

“นี่นายเป็นอะไร”  แพทย์สาวถามขึ้นทำลายความเงียบแต่ดูเหมือนว่าคนข้างๆเธอจะยังไม่พร้อมให้คำตอบใดๆ

 

“ไหนป๊อปบอกให้ฟางช่วยป๊อปไง  ถ้าไม่บอกแล้วจะช่วยกันได้ยังไงล่ะ”

คนอยากช่วยเริ่มเกิดอาการขุ่นมัวในอารมณ์หลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบจากชายหนุ่ม

 

“มันรู้มาตลอดว่าป๊อปอยู่ที่นี่  มันมาที่ห้องนี้  ก่อนที่ป๊อปจะมีอาการ  ป๊อปไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ในที่สุดชายหนุ่มก็ระเบิดความอัดอั้นให้คนที่อยากรู้ฟัง

 

“ใคร  นายโทโมะอะไรนั่นเหรอ”  คนตัวเล็กเดาถูกอย่างแม่นยำ

หนุ่มร่างหนาพยักหน้าช้าๆเป็นคำตอบ  เขาอดที่จะชื่นชมความฉลาดของคนตรงหน้าไม่ได้

แต่เธอก็ทำให้เขาต้องอารมณ์ขึ้นอีกครั้งกับประโยคต่อมา

 

“อืม...แต่ฟางว่าบางเรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ป๊อปคิดก็ได้นะ”  เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม

แต่บทสนทนาที่เธอแอบฟังเมื่อเช้านั้นกลับทำให้เธอเชื่อว่าหนุ่มหน้าหวานที่กำลังถูกกล่าวหาไม่น่าจะทำร้ายคนที่นอนอยู่ในห้องได้

 

“ทำไมจะคิดไม่ได้  หลักฐานก็มีอยู่ชัดๆว่าป๊อปเห็นมันอยู่หน้าห้องแล้วก็หนีไป  แล้วป๊อปก็มีอาการอย่างที่ฟางเห็นไง”

หนุ่มหน้าเข้มยังคงมั่นใจในความคิดของตัวเองต่อ

 

“แต่ป๊อปก็แค่เห็นเขาอยู่หน้าห้องนี่  ป๊อปไม่เห็นว่าเขาทำอะไรกับป๊อปไม่ใช่หรอ”  แพทย์สาวร่างเล็กพยายามแย้งต่อ

 

“นี่ยังไม่ทันไร  ฟางก็เข้าข้างไอ้โมะมันแล้ว  แล้วจะมาช่วยป๊อปทำไม  หรือว่าจริงๆแล้วไอ้โมะมันจ้างคุณมาใช่ไหม”

น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อของหนุ่มหน้าเข้มถูกส่งไปยังสาวตัวเล็ก  เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วสิว่าเธอจะช่วยเขาจริงๆ

ถ้าสิ่งที่เขาเผลอหลุดปากไปเป็นความจริง  ชีวิตของเขาก็คงจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...

 

“นายจะบ้าหรอป๊อปปี้  นายดูถูกน้ำใจของฉันมากไปแล้วนะ  ถ้านายโทโมะนั่นจ้างฉันมาจริงๆ  ป่านนี้นายคงไม่มีชีวิตอยู่หรอก”  แพทย์สาวพูดด้วยเสียงสั่นเครือด้วยความน้อยใจ

“นายช่วยคิดนิดนึงได้ไหมว่าทำไมฉันต้องตื่นเช้าเพื่อมาตักบาตรให้นาย  ทำไมฉันต้องรีบมาดูอาการของนายทั้งที่ๆเวลานี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน  นี่ฉันคงทำงานคุ้มค่าจ้างมากเลยสินะ”

 

 

ที่ฉันทำทั้งหมดนี่นายคงไม่เห็นค่ามันเลยใช่ไหม  อีตาหมีบ้าเอ้ย...

หยดน้ำตาใสๆค่อยๆไหลรินออกจากดวงตาคู่สวย  เรียกสติของชายหนุ่มที่เผลอหลุดปากเรื่องไม่เป็นเรื่องให้กลับมาอีกครั้ง

 

 

จริงสินะ...นี่เราเผลอพูดอะไรไป  แกนี่มันโง่จริงๆเลยป๊อปปี้

 

 

“ป๊อป  ข..ข..ขอโทษนะฟาง  ฟางอย่าร้องไห้นะ”

ชายหนุ่มพยายามยื่นมือเข้าไปเช็ดน้ำตาให้คนตัวเล็กแต่ก็ไม่เป็นผล  มือของเขาก็ทะลุผ่านร่างของเธอไปอยู่ดี

 

 

แม้แต่เช็ดน้ำตาปลอบใจเธอ  เรายังทำไม่ได้เลยเหรอ  ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจและรู้สึกผิดที่พูดอะไรไม่ทันคิดออกไป

 

 

“ป๊อปยอมให้ฟางทำโทษอะไรก็ได้  ป๊อปสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆให้ฟางเสียใจอีกแล้ว”

หนุ่มหน้าเข้มพยายามง้องอนขอคืนดีกับคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้  แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจคำขอโทษของเขาเลยสักนิด

"ใจคอฟางจะไม่พูดกับป๊อปจริงๆเหรอ”  ชายหนุ่มพยายามตื๊อต่อไปแต่ก็ไม่เป็นผล

“นี่แหนะไอ้คนปากพล่อยต้องโดนจัดการซะบ้าง”  มือหนาถูกฟาดลงบนปากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อเป็นการลงโทษของการพูดไม่คิด

 

“พอได้แล้วนายป๊อปปี้  นายไม่ต้องแสดงความซาดิสม์ของนายขนาดนั้นก็ได้  ชอบเจ็บตัวฟรีหรอ”

สาวหน้าหวานที่เพิ่งร้องไห้ออกปากปรามคนที่กำลังทำร้ายตัวเอง  แต่กลับสร้างรอยยิ้มน้อยให้กับคนตรงหน้าที่เธอพูดด้วย

 

“ฟางหายโกรธป๊อปแล้วใช่เปล่า”  คนที่เพิ่งทำร้ายตัวเองถามกลับปนอมยิ้ม

 

คนสวยยิ้มน้อยๆให้กับชายหนุ่มก่อนจะตอบคำถามด้วยเสียงเรียบที่ทำให้คนที่อมยิ้มเมื่อครู่หุบยิ้มแทบไม่ทัน  “ยัง”

“แต่ถ้าป๊อปอยากให้ฟางหายโกรธ  ป๊อปต้องมีเหตุผลมากกว่านี้  ไม่ใช่คิดเอง  เออเอง  ตั้งสันนิษฐานเองลอยๆ  ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อะไร  ฟางว่าป๊อปน่าจะฟังเหตุผลจากนายโทโมะนั่นบ้างนะ”  สาวหน้าหวานพูดต่อ

 

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ  ไอ้โมะคงไม่เปิดปากพูดเรื่องนี้ง่ายๆหรอกมั้ง  ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์คงไม่เป็นแบบนี้”

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างท้อใจ

 

“ฉันจะถามเขาเอง”  แพทย์สาวกล่าวเสียงนิ่งแต่เต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้คนฟังรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อย

 

“แล้วฟางจะถามยังไง”  คนฟังยังคงงงไม่หาย  เพราะถ้าคนตัวเล็กถามเรื่องของเขาไปตรงๆคนอย่างโทโมะที่เขารู้จักดีไม่มีวันจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาแน่ๆ  แต่ดูจากสีหน้าคนตัวเล็กแล้วดูมั่นใจเสียเหลือเกินว่าเธอจะได้รับคำตอบที่ต้องการ

 

“คอยดูละกัน”  สาวร่างเล็กเอ่ยพร้อมยักคิ้วให้ชายหนุ่มที่ยังคงทำหน้างงต่อไป

 

 

 

..........................................................

 

 

 

ณ  ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

 

หนุ่มนักธุรกิจทายาทเจ้าของโรงแรมดังเดินลากกระเป๋าอย่างเหม่อลอย  ในหัวสมองตอนนี้เขาเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของเมืองผู้ดีที่เพิ่งจากมา  มันมีบางเรื่องที่ยังค้างคาใจอย่างบอกไม่ถูก  ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

 

“พี่เขื่อน”  เสียงหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยลอยเข้ามากระทบโสตประสาท

ชายหนุ่มหันไปตามเสียงเรียกก็พบแฟนสาวของตัวเองที่เตรียมตัวมาต้อนรับเขาอย่างที่สัญญากันไว้  เขาเดินเข้าไปสวมกอดเธอด้วยความคิดถึง  ก่อนที่หญิงสาวจะถามสารทุกข์สุขดิบของแฟนหนุ่ม

 

“เป็นไงบ้างคะ  สนุกไหมคะงานแต่งงาน  อยู่ที่โน่นเจอฝรั่งตาน้ำข้าวสวยๆบ้างหรือเปล่า”  เธอแซวเขาเล็กน้อย

 

“ก็เจอบ้าง  แต่สู้คนที่นี่ไม่ได้หรอก”  คาสโนว่าหนุ่มยังไม่วายหยอดคำหวานให้แฟนสาว

 

“แล้วจินนี่เป็นไงบ้าง”

 

“ก็เหงาสิคะ  อยู่คนเดียว  กินข้าวคนเดียว  ไปเที่ยวคนเดียว”

หญิงสาวกล่าวประชดชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อยเพราะเขาผิดสัญญากับเธอเอาไว้

 

“โธ่  คนดีของเขื่อน  ก็บอกแล้วไงว่าจะให้ทำอะไรพี่ยอมจินนี่ทุกอย่างเลยเป็นการไถ่โทษไงคะ”

หนุ่มจอมทะเล้นอ้อนแฟนสาวต่อ

 

“งั้นพี่เขื่อนต้องเตรียมตัวดีๆแล้วล่ะ  คราวนี้โดนจัดหนักแน่”  สาวแก้มป่องกล่าวขู่คนผิดสัญญาอย่างติดตลก

 

“ได้เลยคร้าบบบ..”  ชายหนุ่มตอบกลับอย่างอารมณ์ดี

 

“อ้าวลุงมีมาพอดีเลย  เราไปกันเถอะจิน”

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็บอกให้คนขับรถที่เพิ่งมาถึงนำสัมภาระไปเก็บรวมถึงให้แวะไปส่งแฟนสาวของเขาที่บ้านด้วย

 

ระหว่างทางนั้นบทสนทนามีมากมายทั้งเรื่องของเขาและเธอระหว่างที่ไม่เจอกัน  รวมทั้งเรื่องที่ทำให้หนุ่มจอมทะเล้นตกใจเล็กน้อยนั่นคือ  เพื่อนสนิทของเขากำลังเข้าโรงพยาบาล

 

“แล้วจินไปรู้มาได้ไงคะว่าไอ้โมะมันป่วยน่ะ”  แฟนหนุ่มเกิดความสงสัยเล็กน้อยว่าสาวข้างกายของเขาจะรู้เรื่องราวของเพื่อนสนิทคนนี้ได้อย่างไร  เพราะปกติโทโมะแทบจะไม่ค่อยบอกเรื่องราวส่วนตัวอะไรกับใครมากนักถ้าไม่สนิทจริงๆ

 

“อ้อ  พอดีจินเจอคุณแม่พี่โทโมะโดยบังเอิญที่งานเลี้ยงน่ะค่ะ  ท่านเลยเล่าให้ฟัง”

หญิงสาวตอบข้อสงสัยให้แฟนหนุ่มคลายความกังวลใจ

 

“แล้วจินนี่รู้จักกับแม่โทโมะด้วยหรอ”  หนุ่มจอมทะเล้นยังไม่วายสงสัยต่อ

 

“รู้จักสิคะ  พอดีรุ่นพี่จินนี่เขาเป็นหมอที่ดูแลคุณป้าอยู่เลยแนะนำให้เรารู้จักกัน”

เธอขยายข้อมูลมากขึ้นเพื่อให้ความกระจ่างชัด

 

“โลกมันกลมดีจังเลยเนอะ”  แฟนหนุ่มกล่าวอย่างติดตลก

 

“งั้นเดี๋ยวเราไปเยี่ยมไอ้โมะกันหน่อยไหม”  เขากล่าวชวนแฟนสาว

 

“ก็ดีนะคะ  จินว่าว่างๆจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน”  เธอตอบตกลงอย่างว่าง่าย

 

“ลุงมีครับ  เดี๋ยวผมขอแวะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลหน่อยนะครับ”  ชายสูงวัยพยักหน้ารับคำสั่งจากเจ้านาย

 

“เออ  พี่เขื่อน  จินชอบโปสการ์ดที่พี่เขื่อนโพสท์ลงอินสตราแกรมมากเลย  ไปซื้อที่ไหนคะเนี่ย”

สาวสวยในรถเริ่มเปลี่ยนบทสนทนา  พลันทำให้หนุ่มจอมทะเล้นนึกถึงเจ้าของฝีมือบนโปสการ์ดใบนั้น

 

“อ้อ  ซื้อตามร้านทั่วไปแหละแต่มันเป็นแฮนด์เมดน่ะมีชิ้นเดียวในโลก”  เขาตอบอย่างภาคภูมิใจแทนเจ้าของผลงาน

 

“แหม  ตอบอย่างกับทำเองเลยนะคะ”  แฟนสาวคนสวยของเขากล่าวแซว

 

“เปล่านะ  ก็มันสวยใช่ไหมล่ะ  คนทำเขาดีใจมากเลยนะที่มีคนชอบผลงานของเขาน่ะ”  ชายหนุ่มแก้ตัวต่อ

 

“อ้าวแสดงว่าพี่เขื่อนรู้จักคนทำหรอ”  สาวคนเดิมสงสัยว่าแฟนหนุ่มของเธอจะบังเอิญไปรู้จักคนทำได้ยังไงกัน

 

“ก็เรื่องมันบังเอิญ  ตอนที่พี่ไปซื้อคนทำเขาไปติดตามผลงานตัวเองพอดีก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย”

ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวให้แฟนสาวฟัง

 

“บังเอิญจริง จริ๊ง...”  สาวตาโตกล่าวประชด  “แล้วบังเอิญเป็นผู้หญิงด้วยหรือเปล่าคะ”

 

“อย่ามารู้ทันกันแบบนี้สิ”  หนุ่มจอมทะเล้นได้แต่ยิ้มแก้ขัดไป

ทำไมก็ไม่รู้ทั้งที่เขาเล่าเรื่องแทบจะทุกเรื่องให้สาวข้างกายของเขาฟัง

แต่กับเรื่องราวของสาวน้อยแก้มบุ๋มที่ลอนดอนคนนั้นเขายังไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟังทั้งสิ้น

 

 

หรือว่าจริงๆแล้วเรากลัวความรู้สึกของตัวเองนะ...

 

 

 

.................................................................. 

 

 

 

“สวัสดีค่ะ  คุณวิศว”  เสียงแพทย์สาวร่างเล็กเอ่ยทักทายคนไข้ที่หน้าหวานไม่แพ้เธอ

 

“สวัสดีครับคุณหมอ”  คนไข้ส่งยิ้มหวานให้กับแพทย์สาว

 

 

แพทย์สาวยิ้มตอบกลับอย่างเจ้าเล่ห์  วันนี้ฉันจะเรียกความจริงจากปากนายนะ...นายหน้าหวาน

 

 

“อาการเป็นไงบ้างคะ”  แพทย์สาวถามอาการอย่างปกติ

 

“ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ”  คนป่วยตอบอาการของตัวเอง

 

สาวหน้าหวานพยักหน้าช้าๆก่อนจะเริ่มยิงคำถามใส่คนป่วยของเธอ  “ดีขึ้นจนออกไปเดินเล่นที่ชั้น6ได้เลยหรอคะ”

 

คำถามของแพทย์สาวทำเอาหนุ่มหน้าหวานตกใจไม่น้อย

 

“คุณรู้ได้ยังไง”  คนป่วยเอ่ยถามด้วยเสียงเครียด

 

“พอดีเมื่อคืนมีคนไข้ที่ห้องพิเศษโซน C ที่ชั้น6  มีของหายน่ะค่ะ  เราเลยเปิดภาพวงจรปิดดูแล้วเราก็เห็นคุณอยู่ในนั้น  คุณมีอะไรจะสารภาพไหมคะ”  สาวร่างเล็กพยายามเรียกความจริงจากปากหนุ่มหน้าหวานด้วยเรื่องที่ปั้นน้ำเป็นตัว

 

“ผมไม่ได้ทำ”  คนป่วยยังคงปฏิเสธปากแข็ง

 

“แต่เรามีหลักฐานภาพของคุณนะคะ  หรือคุณมีข้อแก้ตัวอื่น”  แพทย์สาวยังคงเค้นความจริงต่อไปราวกับเป็นตำรวจชุดสืบสวนซักประวัติผู้ต้องหา

 

“ผมไม่ได้ขโมยแต่ผมไปเยี่ยมญาติผม”  ผู้ต้องหาเริ่มให้การมากขึ้น

 

“ญาติชื่ออะไรเหรอคะ  เผื่อเราจะเอามาเป็นพยานให้คุณได้”  สาวหน้าหวานซักถามข้อมูลต่อ

 

“เขาคงจะเป็นพยานให้ผมไม่ได้หรอกครับ  เพราะทุกวันนี้เขายังนอนไม่ได้สติอยู่เลย”  คนป่วยกล่าวด้วยเสียงเศร้า

 

“งั้นทางเราขอชื่อญาติคุณไว้เป็นหลักฐานว่ามีคนไข้ชื่อนี้อยู่จริงได้ไหมคะ”  เธอยังคงไม่ละความพยายาม

 

 

หนุ่มหน้าหวานนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบปฏิเสธ

“ไม่ได้ครับ  ชื่อของญาติผมจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับเพราะถ้ามันหลุดออกไปมันจะมีผลกระทบกับหลายเรื่องมากๆ”

 

“คุณนี่มีความลับเยอะจังเลยนะคะ”  แพทย์สาวตั้งข้อสงสัยเขามากขึ้น

 

 

“ครับ  ผมเป็นคนมีความลับ  ขอโทษด้วยที่ผมบอกคุณไม่ได้”

 

 

 

 

=======================================================

มาต่อแล้ว...ขออภัยอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้มาอัพนานมาก

พอดีติดปัญหาหลายเรื่องบวกกับความอู้ด้วย 55+  ล้อเล่นๆ

ยังไงก็ติดตามต่อกันได้นะคะ  ดีไม่ดียังไงบอกกันได้  ขอบคุณทุกคนที่รอติดตาม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา