Love You My Bad Guy ll❤

9.8

เขียนโดย ยัยหมูปิ้ง

วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.27 น.

  19 Bad Guy
  262 วิจารณ์
  42.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2564 17.14 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

10) ราวกับเศษกระดาษ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ฉันกลับมาจากที่นั่นโดยไม่แวะไปที่โรงพยาบาล หรือพูดง่ายๆ ว่าตอนนี้ฉันหนีออก

จากที่นั่นโดยเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วล่ะ พิทมาส่งฉันตามเคยและเงียบกว่าทุกครั้งที่เราได้เจอกัน

ฉันถอดเสื้อโค้ทคืนให้เขาเมื่อเขาขับรถพาฉันมาถึงที่คอนโดฉันแล้ว

“เธอนี่ใจกล้าไม่เบาเลยแฮะ…” เขาพึมพำเบาๆ เมื่อปลดล็อกรถให้ฉัน

“ฉันน่ะเหรอ”

“อือ… มีไม่กี่คนหรอกนะที่กล้าสบตากับกร๊าฟน่ะ” เขาพูดมาแบบนั้น แต่ฉันยักไหล่ไม่ใส่ใจ

 “เมื่อก่อนกร๊าฟเป็นตัวเก็งที่จะชนะเกม Rabbit Doubt ครั้งก่อน เวลาที่หมอนั่นฉอวเฉียดจะ

ตายมักจะมีคนอื่นออกมาเป็นตัวแทนจะเสมอๆ แต่โยกลับกลายเป็นคนรอดชีวิตไปได้แถมยัง

เป็นกระต่ายอีกต่างหาก”

“ว่าจะถามนายอยู่เลย เกมนี้คนแพ้ต้องเสียอะไร แล้วคนชนะจะได้อะไร” ฉันถามพิทจากที่

อยากจะถามมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้ลืมไปทุกที

“ไม่มีอะไรมากมายหรอก” ว่าแล้ว… ว่าคำตอบที่ได้จากพิทน่ะต้องเป็นอะไรประมาณนี้แล้ว

ก็จริงซะด้วยแต่ไม่เป็นไร เพราะว่าฉันมีแผนสำรองเตียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ

“บอกอีกสักนิดไม่ได้หรือไง” ฉันถามย้ำพร้อมกับทำสีหน้าอ่อนลง

          คนที่ใกล้ชิดกับฉันจะรู้ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ฉันทำหน้าอย่างนี้แล้วล่ะก็ จะเป็นตอนที่ฉัน

กำลังอ้อนถึงที่สุด และถ้าผลยังไม่เป็นที่พอใจ ฉันจะไม่ยอมรามือเป็นเด็ดขาด

“นี่มันเป็นกฏที่จะรู้กันในหมู่คนที่มาร่วมเล่นเท่านั้น” พิทถอนหายใจ ก่อนจะผลักไหล่ให้ฉัน

ลงจากรถ

          แต่ว่าฉันก็ทำปากบู้และไม่ยอมลงจากรถท่าเดียว พิททำท่าเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่

คงไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ฉันลงจากรถแน่ๆ

“เอาล่ะๆ ฉันจะบอกเธอก็แล้วกัน ตอนที่สมัคลงแข่งน่ะ ค่าสมัครเยอะมากและจะเอามาเป็น

รางวัลสำหรับคนที่อยู่ได้นานน่ะสิ”

“รางวัลคือเงินอย่างเดียวเหรอ มีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” ฉันถาม และมองหน้าเขาไปด้วย

“มีอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน แต่เธอไม่สมควรรู้” พิมยิ้มแล้วก็จัดการสตาร์ทรถ

“ฉันจะไปแล้ว ถ้าเธออยากจะไปต่อที่อื่นกับฉันก็ไม่ต้องลงหรอก ไปกับฉันโต้รุ่งกันเลยแล้วกัน”

พิทพูดและทำท่าจะเหยียบคันเร่งออกไป จนฉันต้องยกมือยอมแพ้ในที่สุด

          ฉันจิ๊ปากเสียงหงุดหงิดก่อนจะปิดประตูตามหลังเขาดังปังใหญ่ แล้วก็เดินขึ้นห้อง

ของตัวเองด้วยความหงุดหงิด

“ฉันจะต้องรู้ให้ได้ ว่าเกมนี้มันยังไงกันแน่” ฉันพูดพึมพำกับตัวเองตอนที่มองไฟท้ายรถของพิท

ขับหายออกไปทางถนนใหญ่

           มันต้องมีมากกว่านี้ที่ฉันยังไม่รู้… หลังจากนั้นฉันก็เดินขึ้นห้องเงียบๆ และเมื่อ

กำลังจะสับสวิทซ์ไฟในห้อง ฉันก็ต้องปล่อยกระเป๋าในมือร่วงลงกับพื้นอย่างหมดแรง เพราะ

ห้องของฉันมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอีกแล้วคงจะเป็นคนเดิมอีกนั่นแหละ

           ฉันยกมือขึ้นเสยผมแล้วก็เจ็บแสบเพราะว่าเส้นผมของฉันบาดนิ้วที่ยังเป็นแผล ฉัน

มองหน้าเขาในความมืดก็เห็นว่าป็อบปี้เอาผ้าพันคอมาปิดหน้า และนอกจากนั้นสิ่งที่เขาทำให้ฉัน

ขวัญผวาที่สุดเห็นจะเป็นหุ่นโชว์เสื้อผ้าผู้ชายผู้หญิงคู่กัน และพวกมันใส่ชุดแต่งงานที่เขาเป็น

คนตัดครั้งก่อนอยู่ด้วย

           ใช่… ชุดแต่งงาน… ที่ไหมไฟไปแล้ว

 

           หุ่นโชว์ขนาดเท่าคนจริงนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเขม่าควันไฟ เหมือนว่าทั้งคู่นั้น

เพิ่งวิ่งหนีจากเพลิงไหม้มาไม่นาน ชุดเจ้าสาวสีขาวนั้นมองเห็นสีเดิมแทบไม่เห็น มันเต็มไปด้วย

รอยไหม้ ขาดวิ่นและยับเยิน ส่วนชุดเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ฉันกระพิบตาแม้มปาก

มองหน้าป็อบปี้ที่กำลังจุดไฟแช็กและดับไฟแช็กอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับตัวจากที่นั่งอยู่ขอบหน้า

ต่างเลยแม้แต่นิด

“เห็นเธอวิ่งเข้าไปกอดมันไว้เหมือนคนบ้า… ฉันเลยเอากลับมาปัดฝุ่นแล้วก็เอามาใส่หุ่นโชว์

ให้เธอน่ะ เป็นของขวัญ” เสียงของป็อบปี้ฟังดูเย็นเยียบน่าขนลุก ราวกับว่าเขากำลังแช่แข็งฉันไว้

ด้วยคำพูดของเขา

             ฉันมองหน้าหุ่นผู้โชว์ผู้หญิงแล้วก็อยากจะร้องไห้ เพราะว่ามันพันหน้าชีกหนึ่งไว้

เหมือนฉันก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันดึงผ้าพันแผลออกไปหมดแล้วก็เท่านั้น

“เหมือนเธอดีย่ะว่ามั้ย” เขาพูดพึมพำก่อนจะจุดไฟจากไฟแช็กทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้นมา

เว็บหนึ่ง

              จากนั้นเขาก็เอาไฟแช็กไปจ่อที่ปลายเส้นผมของหุ่นผู้หญิง เมื่อไฟไหม้ลาม

ไปได้นิดหน่อยเขาก็ใช้มือดับมันแล้วหันมายิ้มให้ฉัน

“นายต้องการอะไร” บ้าที่สุด… เสียงของฉันสั่น

“อะไรดีล่ะ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เอาของขวัญมาให้” เขาบอกก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืนข้างๆ

หุ่นโชว์นั้น ก่อนจะกวักมือให้ฉันเข้าไปใกล้เขา

“มานี่หน่อยสิ” เขากระตุกยิ้มที่มุมปากจนดูน่ากลัว และฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินเข้า

ไปหาเขาอย่างว่าง่าย

“…” ฉันครางออกมาเบาๆ เมื่อเขาผลักไหล่ของฉันให้กระแทกกับผนังด้วยแรงที่ไม่น้อยเลย

            เราสบตากันในความมืดที่มีแสงไฟลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาได้เพียงน้อยนิด

แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้ว่าเขากำลังโมโหมากเลยล่ะ

“เธออยากให้ใครฆ่าฉันงั้นเหรอ” เขาถามแล้วก็ขยับใบหน้าเข้ามาจนชิดหน้าของฉัน

            กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยออกมาจากปากเขานั้นทำให้ฉันขมวดคิ้วทันที แอบชินธ์…ที่

กร๊าฟใช้สาดฉันไม่ใช่เหรอ ตอนที่ฉันกำลังขยับปากถามเขานั้น ริมฝีปากที่กระด้างนั้นก็จูบฉันไว้

เสียก่อน ครั้งก่อน ฉันขัดขืนเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันกำลังดิ้นสุดชีวิตสุดกำลังที่ฉันมี

            เพราะว่าฉันออกแรงดิ้น ป็อบปี้เลยออกแรงตามด้วยปริยาย ฉันดิ้นจนสุดท้ายหัว

ก็โขกเข้ากับอะไรสักอย่างในความมืด ฉันทรุดฮวบลงกับพื้นและกุมหัวตรงที่เจ็บไว้ทันทีก่อนจะร้อง

ครางออกมาเบาๆ และป็อบปี้ก็ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดอะไรต่อ เขาเข้ามาจูบฉันไว้ต่อและ

ตรึงร่างของฉันไว้ที่พื้นที่มีแสงไฟสาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย

             หน้าผากเขาแตกและมีเลือดไหลซิบ… ฉันเรี่มกลัวเพราะว่าตอนนี้ป็อบปี้ดูไม่ใช่

ป็อบปี้ที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เขากลายเป็นใครไม่รู้ที่ฉันไม่รู้จัก และไม่อยากจะรู้จักเลยแม้แต่น้อย

“ป็อบปี้…” ฉันพูดชื่อของเขาเสียงแผ่ว

              และเห็นว่าป็อบปี้ยิ้มกว้างมากขึ้น เขาบีบข้อมือฉันแน่นและก้มหน้าลงมาจนชิด

หน้าของฉัน

“ถ้าธอคิดจะฆ่าฉันแล้วล่ะก็ ฉันขอฆ่าเธอก่อนแล้วกัน” เขาพึมพำและฉันก็เห็นว่าที่มุมปาก

ของเขาก็แตกเช่นเดียวกับที่หน้าผาก

               เกิดอะไรขึ้น… ฉันอยากรู้แต่ดูเหมือนว่าป็อบปี้จะไม่อยากได้ยินคำถามใดๆ ทั้งนั้น

“ไหนลองดูสิ ว่าเธอจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้ยังไงดี ฟาง”

“ป็อบปี้” ฉันพูดได้แค่นี้ก่อนจะเบี่ยงหน้าหนีออกจากเขา

            ป็อบปี้ก้มหน้าลงมาจนชิดหน้าของฉัน ลมหายใจร้อนๆ นั่นพานจะทำให้ฉันร้อนรุ่ม

ไปทั้งตัว อะไรบางอย่างบอกกับฉันว่านี่ม่ใช่เรื่องปกติของป็อบปี้แล้ว ฉันไม่เคยเจอ ริมฝีปากของ

เขาก้มแตะที่ต้นคอของฉัน เขี้ยวสองข้างของป็อบปี้ก็ฝังอยู่ที่ต้นคอของฉันเช่นกัน

            เขี้ยวคู่นี้เขาเคยบอกฉันว่าเป็นมรดกที่ได้รับมาจากพ่อของเขา ชึ่งก็มีเขี้ยวสองข้าง

เหมือนแวมไฟร์แบบนี้ ผิวขาวจนแทบจะมองไม่เห็นเส้นเลือดของเขาเผยออกมาให้เห็นเมื่อเขาทึ่ง

เสื้อเชิ้ตของเขาออกจากตัว และนอกจากเสื้อผ้าของเขาแล้ว เขาก็ยังดึงทึงเสื้อผ้าของฉันให้หลุด

พ้นออกจากตัวเช่นกัน

            ฉันครางอืออาฟังไม่ได้ศัพท์เพราะป็อบปี้ปิดปากของฉันไว้ด้วยริมฝีปากของเขา ทำ

ให้ฉันพูดอะไรไม่ได้นอกจากครางและทุบอกเขาแรงๆ เท่านั้น แวบหนึ่งฉันคิดถึงหน้าของจินนี่ขึ้น

มาได้

            เท่านั้นฉันก็ดิ้นสู้ยิบตาทันที แต่ฝ่ามือของป็อบปี้ก็ยึดหน้าฉันเอาไว้แน่น ฝ่ามือของ

เขาเพียงข้างเดียวก็สามารถยึดหน้าของฉันเอาไว้จนกระดิกไปไหนไม่ได้

            เมื่อทำอะไรไม่ได้ฉันก็พยายามกัดปากเขาเหมือนครั้งก่อน แต่ดูท่าเขาจะรู้ทัรเลย

ถอนปากออกและส่งยิ้มที่มุมปาก ยื่นมือมาจีบคางฉันบิดไปมาหยอเย้าที่ฉันทำพลาดไป

“อย่าเล่นมุกเดิมๆ สิ มันไม่ได้ผลหรอกนะ” ป็อบปี้พูดแล้วก็กระแทกริมฝีปากเบียดริมฝีปาก

ฉันติดๆ กันอีกหลายที

             จนถึงตอนนี้ริมฝีปากของฉันเจ็บและบวมไปหมดแล้ว ฉันพยายามจะเม้มปาก

เอาไว้แน่นไม่ยอมให้เขาได้รุกรานมากไปกว่านี้ แต่ว่าป็อบปี้ก็เปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่นจนฉันต้อง

ยกนิ้วขึ้นมากัดริมฝีปากเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองเป่งเสียงน่าอายออกไป

               ฝ่ามือของป็อบปี้เรี่มเลื้อยไปทางอื่นจากนั้นก็แตะนั้นทึ่งนี้เดี๋ยวเดียว ฉันก็แทบจะ

เปล่าเปลื่อยอยู่ตรงหน้าเขา ป็อบปี้โยนฉันขึ้นไปบนเตียงและจูบฉันโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัว

เรียวลิ้นที่ร้อนชื้นนั้นเรี่มรุกรานฉันได้ และทำให้ฉันหัวหมุนไปหมด

                แม้ว่าจะผ้าพันแผลพันรอบมือของเขาไว้แน่น แต่ว่าไอร้อนจากฝ่ามือของเขาก็

กระตุ้นฉันให้ฉันค่อยๆ มอดไหม้เหมือนเศษกระดาษเก่าๆ ที่กำลังติดไฟจากถ่านร้อนๆ ลุกลามไป

อย่างเชื่องช้า

              หน้าผากของเราแนบชิดติดกันและฉันก็สัมผัสได้ถึงหยดเลือดของเขาที่กระทบ

กับใบหน้า เขาไปถูกใครทำอะไรมากันแน่ และตอนนี้ขนอ่อนทั่วร่างกายของฉันลุกชัน เมื่อปลาย

นิ้วป็อบปี้ลากไล้ผ่านผิวเนื้อของฉันในแต่ละจุด เมื่อจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ริมฝีปากของป็อบ

ปี้ก็ยิ่งรุกเข้ามาได้ง่ายมากกว่าเดิม

               ริมฝีปากกระด้างของป็อบนั้นแตกและระผิวหนังของฉันจนรู้สึกได้ ฉันได้แต่นอน

หอบอยู่ใต้ร่างของเขา ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือตัวเองออกจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ยังไงดี ก่อนที่

ป็อบปี้จะไปไกลมากกว่านี้เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ฉันรีบผลักเขาออกเพราะป็อบปี้ก็ชะ

งักไปเหมือนกัน

              ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่าป็อบปี้จะเกร็งไปทั้งตัวแล้วขยับเข้ามากด

ไหล่ฉันเอาไว้แน่น ไม่นานเขาก็ฉวยโอกาสรับโทรศัพท์ของฉันพร้อมทั้งแสระยิ้มที่ไม่ค่อยจะน่า

ดูออกมา

(ฟาง…) เสียงของกวินลอดผ่านมาให้ได้ยิน

“ว่าไง!” ฉันรีบตอบแล้วก็ยืนมือปิดปากป็อบปี้เอาไว้ทัน ก่อนที่เขาจะทันได้สร้างหายะนะอะไร

กับฉัน

(เธอโอเคนะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องแล้วใช่มั้ย)

         แล้วฉันก็สดุ้งเมื่อป็อบปี้จูบใจกลางฝ่ามือของฉันช้าๆ และปลุกเร้าอารมณ์แปลกๆ ที่ฉัน

ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนขึ้นด้วย หูของฉันอื้อและชายิบเพราะอารมณ์นั้น

          ฉันถลึงตาใส่เขาแต่คิดว่าเขาคงมองไม่เห็นเพราะว่าตอนนี้มันมืดมาก และไม่นานฉัน

ก็ต้องตาโตเมื่อป็อบปี้ผลักให้ฉันนอนหงายกับเตียงจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ โทรศัพท์ของ

ฉันก็ร่วงตกอยู่ข้างๆ ตัว ฉันพยายามเก็บแต่ว่าป็อบปี้ประสานมือของเขาไว้กับมือของฉัน จนฉัน

ขยับไปไหนไม่ได้

“นี่…” ฉันหลุดปากว่าป็อบปี้ไป แต่ว่าเขาไม่ตอบอะไรและส่งยิ้มมาให้

(อะไรนะ)

           และคนที่ตอบก็กลายเป็นอีกคนที่โทรมาหาแทน ฉันเรี่มดิ้นขลุกขลักเพราะว่าป็อบปี้

กำลังกัดชอกคอฉันเบาๆ พอให้เห็นรอยเขี้ยวที่เป็นจุดเด่นและเสน่ห์ของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร

(ฟาง)

“อื้อ…” และสร้างครางนี่ฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่าฉันตอบรับเยงของกวิน หรือว่ากำลังสะดุ้งกับ

สัมผัสของป็อบปี้กันแน่

(เธอไม่สบายเหรอ) คำถามที่ลอดมาให้ได้ยินทำให้ป็อบปี้หลุดยิ้มและเกือบจะหัวเราะออกมา

            ฉันตึงหน้าของป็อบปี้มาจูบเพื่อปิดเสียงของเขาไว้ แต่เป็นการกระทำที่ผิดเพราะ

ว่าป็อบปี้ยิ่งกอดฉันไว้แน่นขึ้น พริบตาเดียวเขาก็มุดเข้ามาใต้เสื้อยืดที่ฉันสวม และดึงเอาบราเชีย

ของฉันออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตามด้วยเสื้อยิดออกไปในที่สุด ฉันสั่นไปทั้งตัวเมื่อฝ่ามือของเขา

ไล้เรื่อยไปทั่วตัวของฉัน

“อื้อ…” ฉันแทบจะไม่รู้ว่ากวินถามอะไรออกมา ได้แต่ครางอืออาเพราะว่าช่วยเหลือตัวเองไม่

ได้จริงๆ

(ไงก็พักแล้วกันนะ แค่นี้นะ)

              ป็อบปี้หัวเราะในคออย่างพอใจเมื่อสุดท้ายเขาก็ลอกคาบฉันออกจนหมดได้

(บาย ฟาง)

“ท่าทางน่าสนุกนะ มีอะไรกับชู้ทั้งที่แฟนโทรมาถามด้วยความเป็นห่วง” ป็อบปี้เย้ยฉันก่อนจะกดจูบ

ไม่ให้ฉันได้พูดอะรนอกจากนั้นอีก

“หมดเวลาแล้ว ฟาง” ป็อบปี้พูดแล้วก็ถอดเสื้อกล้ามของเขาออก

               ไม่นานเขาก็เข้ามากอดจูบฉันไว้จนสุดท้ายฉันก็ห้ามปรามอะไรเขาไม่ได้อีกเลย

จวบจนกระทั่งตอนเช้าฉันถึงได้นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เมื่อไม่เห็นร่างของป็อบปี้อยู่ในห้องแล้ว มี

หลักฐานอีกอย่างนอกจากตามร่างกายของฉันว่าเขาอยู่ที่นี่จริงๆ คงจะเป็นเสื้อกล้ามของเขาที่

ทิ้งเอาไว้ตรงนี้

               ฉันยกมือขึ้นเสยผมรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความสับสนและ

ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันถึงได้ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้แบบนั้น มันไม่ใช่ความ

ฝันสินะ

           นี่ฉัน… มีอะไรกับป็อบปี้แล้วอย่างนั้นเหรอ

          แล้วทำไม ฉันถึงไม่ขัดขืนผู้ชายคนนั้นเลย ฉันขัดขืนเขาไม่ได้ หรือว่าแท้จริง

แล้ว ฉันไม่ได้ขัดขืนเขากันแน่ฟาง เธอทำอะไรลงไปกันแน่น่ะ

 

           ฉันจัดการทำแผลของตัวเองแล้วก็หลับตาลงร้อนผ่าวไปทั้งตัว เมื่อเห็นรอยจูบของ

ป็อบปี้ที่ทิ้งเอาไว้ มันไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย และฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี

แผลที่มือและหน้าก็ยังไม่หายดี ตอนนี้ตัวเองก็ยังจะหาแผลที่หัวใจช้ำทับถมเข้าไปอีก

           ฟาง… เธอต้องการแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ

          ฉันถามตัวเองแต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมา เมื่อทำแผลเสร็จแล้วฉันก็ออกจากห้อง

และชำเลืองมองดูหุนที่ป็อบปี้ลากเข้ามาไว้ในห้องตัวเองอีกครั้ง

           ใบหน้าของหุ่นโชว์ดูมอมแมมเพราะเขม่าควันไฟ แถมป็อบปปี้ยังเก็บรายละเอียด

แผลใบหน้าของมันให้เหมือนกับฉันอีกต่างหาก ฉันหลับตาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเดิน

เข้าห้องน้ำหาผ้ามาชุบน้ำและเดินกลับมาเช็ดตาหุ่นโชว์มห้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

“ฉันจะพยายามทำให้เธอทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ” ฉันพึมพำก่อนจะยื่นมือไปลูบเส้น

ผมของหุ่นผู้หญิงอีกครั้งอย่างสงสาร

            ตอนนี้เธอคงจะเจ็บปวดขาดวิ่นเหมือนฉันเลยสินะ… ไม่ต่างกันหรอก ฉันคิดใน

ใจก่อนจะมองเลยไปหุ่นผู้ชาย

            ป็อบปี้ต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ

            ฉันเดินเข้ามาที่มหาวิทยาลัยโดยมีสายตาของใครหลายคนจ้องมา ปกติฉันไม่

ค่อยได้เจอสายตาแบบนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อฉันได้รู้จักกับเกม Rabbit Doubt นั่นแล้วตอนนี้ฉัน

เรี่มรู้ว่ามีใครหลายคนรู้จักฉันเพราะเกมนั้น และไม่แน่ใจว่าสายตาพวกนั้นมันเป็นยังไงกันแน่

             วันนี้ฉันต้องเดินไปที่มหาวิทยาลัยเก่าเพราะอาจารย์คณะเดินส่งแมสเชจบอกให้

ฉันไปหาแลไม่แน่ใจนักว่าอาจารย์เขาจะเรียกฉันไปทำไมเพราะฉันก็ออกจากมหาวิทยาลัยนั้นแล้ว

แต่ก็ไม่มีอะไรหรอกมั้ง เพราะฉันก็สนิทกับอาจารย์คนนี้ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน อาจารย์อาจจะ

เรียกไปหาด้วยความคิดถึงละมั้ง

              แต่พอเดินมาถึงหน้าคลาสเรียนเดิมก็เห็นจินนี่กอดอกยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว ฉัน

กระพิบตาข้างที่ไม่ถูกปิดไว้ก่อนจะเชิดขึ้น

“ทำไมเธอไม่ตายไปซะ” จินนี่กระชิบข้างหูฉันเมื่อฉันเดินผ่านร่างเธอ

              นั่นสิ… ทำไมฉันไม่ถามคำถามนี้กับจินนี่ ก่อนที่จะโดนย้อนกลับมาแบบนี้น่ะ

              เพราะความอยากเอาชนะทำให้ฉันวางกระเป๋าสะพายของตัวเองไว้ที่โตะ เลื่อนตัว

นั่งลงบนโต๊ะและส่งยิ้มให้จินนี่ที่กำลังทำหน้าแค้นเคืองไม่ปิดบัง

“แล้วทำไมฉันต้องตายล่ะ” ฉันถามแล้วก็แกล้งรวนจินนี่ด้วยการยิ้มที่มุมปาก แบบที่นางมาร

ร้ายชอบทำเวลายั่วนางเอก

               ใช่… ฉันไม่ใช่นางเอก และก็ไม่ใช่นางร้ายด้วย แต่ฉันน่ะเป็นแม่มดกับปีศาจยังไงล่ะ

“ถ้าเธอหายไปสักคน ผู้หญิงหลายคนคงจะดีใจมากเลยล่ะ” จินนี่พูดและหันหลังไปชำเลืองมอง

ผู้หญิงอีกหลายคน ที่ลุกยืนขึ้นบ้างก็ขยับตัวอยู่ด้านหลัง

                ประเมินดูแล้วก็คิดว่าผู้หญิงพวกนั้นคงเป็นหนูน้อยหมวกแดงในเกมเมื่อคืน

                พวกเธอคงจะทั้งโกรธและทั้งเกลียดฉันที่ต้องพัวพันกับผู้ชายอย่างโย พิท กวิน อ้อ

เกือบลืมหมอนั่นไปเลย เรนน่ะ… ต้องนับผู้ชายคนนี้บวกไปด้วยอีกคน

“ทำไมฉันต้องหาย ต้องตายด้วย ในเมื่อฉันไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจอะไรกับเธอนี่จินนี่” ฉันเชิดหน้า

ขึ้นและมองหน้าจินนี่อย่างท้าทาย

            ฉันน่าจะรู้แต่แรกแล้วน่ะว่าผู้หญิงคนนี้น่ะ เป็นยังไงกันแน่

“ถ้าเธอไม่หายไป ฉันจะทำให้เธอหายไปเอง” ว่าแล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดิไปปิดประตูห้องเรียน

ขังให้ฉันอยู่ในวงล้อมของผู้หญิงพวกนี้ โดยที่ทำได้เพียงแค่ปากดีและจ้องมองพวกเธอเท่านั้นเอง

“ฉันอยากจะเห็นน้ำตาของเธอจริงๆ ฟาง…”

“หน้าเธอหนาดีแฮะ ร้องไห้สักหน่อยไม่ได้เหรอ” จินนี่จิกผมฉันขึ้นมา หลังจากที่เธอกระหน่ำตบ

หน้าฉันจนฉันชายิบแทบจะไร้ความรู้สึก

           ยังดีที่ยัยคนอื่นไม่เข้ามาร่วมวงด้วย นอกจากหิ้วปีกของฉันให้ลุกขึ้นมาให้จินนี่

กระทืบช้ำเท่านั้น ฉันถุยน้ำลายที่มีแต่เลือดใส่หน้าจินนี่ก่อนจะยิ้มที่มุมปากให้ด้วย

“ฉันจะทำยังไงดีกับผู้หญิงที่หยิ่งจองหองอย่างเธอน่ะ ปกติเธอขี้กลัวไม่ใช่เหรอ เป็นยัยแว่นผม

ฟูที่หน้าโง่น่ะ” จินนี่ปาดน้ำลายของฉันออกจากหน้าสวยๆ ของเธอช้าๆ ก่อนจะจิกผมฉันจนฉันนิ่ว

หน้าเพเราะความเจ็บ

“แล้วถ้าถูกโทรม… เธอยังจะเชิดหน้าที่แหกยับเยิน ขึ้นมามองหน้าฉันแบบนี้ได้อีกมั้ย เฮอะ!!”

จินนี่กระตุกผมฉันเป็นบังเหียนม้า ฉันกัดฟันเอาไว้รอคอยว่าเมื่อไหร่คนอื่นๆจะมาสักที นี่เวลาก็ผ่าน

ไปสิบนาทีแล้วด้วย

“มองหาตัวช่วยเหรอ เสียใจด้วยนะฟาง… คาบนี้น่ะอาจารย์ยกเลิกคลาส แล้วก็…” จินนี่โชว์มือถือ

ที่ฉันจำได้ดีว่ายังไงก็คือมือถือของอาจารย์ที่ฉันสนิทด้วยแน่ๆ

“อาจารย์เขาทำหล่นน่ะ มือฉันก็เลยเผลอส่งแมสเชจไปให้เธอมา… ดั่งนั้นถ้าเธอยังไม่ร้องไห้

อ้อนวอนและก้มลงจูบรองเท้าฉัน ฉันจะตบเธอให้ตายอยู่ตรงนี้ ไม่ก็หาผู้ชายมาสงเคาะห์ให้เธอ”

เมื่อจินนี่พูดอีกฉันก็ถุยน้ำลายใส่หน้าให้เธออีกอีกครั้ง จนจินนี่หวีดเสียงออกมาด้วยความโมโห

เธอสั่งให้ผู้หญิงคนอื่นๆกดไหล่ฉันให้คุกเข่าและให้ฉันจูบรองเท้าของจินนี่

        ฝันไปเถอะ!ฉันจะไม่ร้องไห้และไม่ขอร้องอะไรจากผู้หญิงสาระเลวคนนี้แม้แต่คำเดียว

        เพี๊ยะ!!

        หน้าของฉันหันไปตามแรงตบของจินนี่… คอของฉันแทบจะหักเพราะแรงปะทะนั่น และ

ดูท่าทางจินนี่จะเจ็บไม่น้อยเพราะว่าเธอยกมือขึ้นมาสะบัดยกใหญ่

“เอาสิจินนี่… ฉันจะทำให้เธอจำจนตายเลยล่ะ ถ้าเธอให้ผู้ชายมาโทรมฉัน จำได้มั้ยว่าพ่อฉัน

เป็นใครแน่นอนว่าฉันไม่ให้เธอตายง่ายๆ จะทรมานเธอในขุมนรกบนดินไปนานแสนนาน” ฉัน

หัวเราะและไอเป็นเลือดออกมา

         จินนี่เรี่มหน้าตึงกับคำขู่ของฉัน… ฉันรู้ว่ายัยนี่กลัวอิทธิพลของครอบครัวฉันมากแค่ไหน

“สำหรับพวกเธอฉันจะจำหน้าไว้ในชีกสมองที่ยังใช้การได้อยู่… พวกเธอรู้มั้ยว่าลุงฉันน่ะรับราชการ

ที่อเมริกา เป็นนายพลน่ะ ฉันจะสงเคาะห์ให้เอามั้ย ทหารอเมริกันผิวดำน่ะ ท่าทางเร้าใจใช่มั้ย” ว่า

แล้วก็กวาดสายตาที่แทบมองอะรไม่เห็น จ้องมองผู้หญิงในห้องไปทีละคน

“ถึงฉันจะตายตรงนี้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าตอนนี้ฉันโทรไปหาพ่อฉันแล้ว ทุกคนได้ยินหมด

รู้เรื่องว่าอะไรเกิดขึ้น พ่อฉันไม่ปล่อยให้พวกเธอได้ยิ้มอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสงบสุขหรอก” ฉันขู่

และหัวเราะ

          พวกนั้นอาจจะคิดว่าฉันหัวเราะเยาะพวกเธอ แต่ความจริงฉันกำลังหัวเราะเยาะตัว

เองอยู่ต่างหาก

“อย่าไปกลัว ยัยนี่แค่ขู่เท่านั้นแหละ” จินนี่เรี่มมองหน้าฉันอย่างหวาดๆ และถอยห่างออกไป

ก้าวหนึ่ง

           พวกผู้หญิงที่จับฉันไว้นตอนแรกฉันปล่อยให้ฉันร่วงลงกับพื้น เข่าฉันกระแทกลงกับพื้น

และเจ็บไม่น้อยแต่ก็ไม่ยอมส่งเสียงออกไป ถ้าฉันไม่ได้เจ็บเพราะเรื่องเมื่อคืนสาบานเลยว่าฉันจะ

เข้าไปจิกหัวจินนี่ แล้วก็โขกแรงๆ กับกระจกหน้าต่างไปแล้ว แต่ดูสภาพฉันตอนนี้สิแทบจะพยุงตัว

เองไม่ไหวแล้ว

“หนึ่ง สอง สาม…” ฉันยันตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วก็ไล่นิ้วชี้ไปทีละคน จนผู้หญิงพวกนี้พากัน

ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว คงมีแต่จินนี่ที่ประจันหน้ากับฉันอยู่

“ส่วนเธอ จำไว้นะว่าวันนี้เธอทำกับฉันไว้ยังไง ฉันจะตอบแทนเธออย่างสมสามเลย จินนี่…”

          แล้วสุดท้าย พระเอกก็มักมาตอนจบ

 

         ป็อบปี้พรวดเข้ามาในห้องเรียนที่เหลือเพียงแต่ฉันกับจินนี่สองคน ฉันมองไม่เห็นว่า

ตอนนี้เขาทำหน้ายังไง แต่เห็นรางๆ ว่าเขาก็มีแผลเต็มตัว ฉันเชิดหน้าชึ้นมองหน้าป็อบปี้ก่อนจะ

หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ค่ะพ่อ… พ่อได้ยินหมดแล้วใช่มั้ยค่ะ”ฉันแกล้งพูดไปทั้งที่ไม่ได้โทรหาพ่ออย่างที่พูดเอาไว้เลย

สักนิด

 “แค่นี้นะค่ะ พ่อจัดการให้หนูด้วย” ฉันบอกแล้วก็แกล้งวางสาย

“เกิดอะไรขึ้น…” ป็อบปี้ถามเสียงสั่นๆ ไม่รู้ว่ากำลังเป็นห่วงฉัน…

          ไม่! เขาไม่เป็นห่วงฉันหรอก เขาห่วงผู้หญิงที่เขารักเท่านั้น ชึ่งใครคนนั้นไม่ใช่ฉัน!

“…” ฉันหายใจหอบติดตักทำอะไรไม่ถุก เมื่อมือไม้สั่นไปหมด

“ป็อบปี้… ไม่มีอะไรหรอก แค่ฟางล้มน่ะ เธอบอกว่าไม่ค่อยสบาย มึนหัว เลยมีสภาพแบบนั้น

อ้อที่เธอมาที่นี่เพราะมาหาอาจารย์โปรดของเธอน่ะ” จินนี่บอกเสียงหวานแล้วก็ตรงไปกอดแขน

ของป็อบปี้ ทำท่าจะลากเขาออกไปจาห้อง

        เหรอ… ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าสภาพฉันเหมือนคนเพิ่งล้มมา

        ฉันไม่มองหน้าป็อบปี้ที่พยายามจะมองหน้าฉัน ฉันหันหลังให้เขาก่อนจะยกมือขึ้นแนบหู

ตัวเองรอคอยว่าเมื่อไหร่กวินจะรับสายเสียที

(ไง) เขารับแล้ว และฉันก็แทบจะร้องโฮออกมา

          ฉันกลัว… จริงๆ นะ ฉันกลัวจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว

“กวิน มาที่คณะฉันหน่อยสิ อะ ที่มหาวิทยาลัยของนายนะ ห้อง402 เรื่องมันยาวนะเดี๋ยวจะ

เล่าให้ฟังนะ ตอนนี้ปวดหัวมากเลย” ฉันบอกแล้วทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ไม่มองหน้าใครทั้งนั้น

          ใครจะสมเพชเวทนาฉันยังไงฉันก็ไม่เจ็บ แต่ที่ฉันกำลังจะตายตอนนี้คงเป็นที่ป็อบปี้ไม่

เข้ามาดูฉันเลยสักแวบหนึ่ง และยังส่งสายตาเย็นชามาให้อีก

(เกิดอะไรขึ้นน่ะ…) กวินถามมาอย่างร้อนรน

            ฉันไม่อยากจะเอาใครมาเปียบเทียบกับใครเพราะรู้ดัว่าแต่ละคนก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน

แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังเปียบเทียบผู้ชายสองคนอยู่ในใจ

“ไปเถอะ เธออยากทานอะไรบ้างน่ะวันนี้” และที่ทำให้น้ำตาของฉันไหลได้จริงๆ เห็นจะเป็นคำพูด

ของป็อบปี้ที่บอกกับจินนี่อย่างอ่อนหวาน

“อะไรก็ได้ ไปนะฟาง ขอให้แฟนมารับเร็วๆ นะ”

           เมื่อเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนห่างออกไป ฉันก็ปล่อยโฮออกมาด้วยความกลัวและน้อยใจ

ทำให้กวินที่อยู่ปลายสายถึงกับร้อนรนทำอะไรไม่ถูก

(ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ รอแป๊บนะ!)

            ป็อบปี้… ฉันเป็นตัวอะไรในสายตานายกันแน่

 

            เมื่อกวินเห็นสภาพฉันเขาก็แทบช็อก เพราะตาข้างที่ปิดเอาไว้ด้วยผ้าพันแผล

นั้นแดงก่ำเหมือนจะกลั่นเลือดออกมาได้ แผลที่มุมปากฉีกลึกเข้าไปจนฉันพูดอะไรไม่ชัด แขน

ที่ช้ำจ้ำๆ กระพุ้งแก้มเป็นแผลเพราะถูกชัดไม่เลี้ยง และยังหน้าที่บวมเป่งของฉันด้วย

“พระเจ้าช่วย! เธอไปถูกใครฟัดมาเนี่ย” กวินถามแล้วก็เข้ามาพยุงฉันเอาไว้

“ตัวเธอร้อนจี๋เลย เลือดไหลไม่หยุดเลยด้วย” กวินพึมพำก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสะพายของ

ฉันไปสะพายให้

          แล้วเขาก็ดึงแขนข้างหนึ่งของฉันไปโอบคอของเขาไว้ และค่อยๆ ดึงให้ฉันลุกจากที่

นั่งอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาช้าๆฉันเจ็บจนร้องไห้ออกมา แขนขาชาไร้เรียวแรงสั่นระริกไปหมด

          เมื่อเราสองคนออกจากห้องได้สองก้าวฉันก็เห็นร่างสูงๆ ของป็อบปี้วิ่งมาทางนี้พอดี

ฉันมองหน้าเขาแวบหนึ่งจากนั้นก็หันไปซบกับอกของกวินแทน ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดย

ไม่ได้สนใจสีหน้าและแววตาของเขาอีก เขาใจร้ายเกินกว่าที่ฉันจะมองหน้าเขาได้

“นี่…” ป็อบปี้คงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็อึกอักจนน่าหัวเราะ

“ถ้านายไม่มีธุระด่วนหลีกทางด้วยป็อบปี้… ตอนนี้ฟางกำลังเจ็บหนักเลยล่ะ” กวินพูดเสียงเรียบ

แล้วชนไหล่ป็อบปี้ที่ยืนขวางทางเต็มแรง

          ฉันขยับเท้าก้าวขาไม่ได้ ปล่อยให้กวินลากไปกับพื้นและสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว

ช้อนตัวฉันขึ้นจากพื้นแล้วเดินออกไป

          แต่ที่หน้าแปลกที่สุด ก็คือเสียงอะไรบางอย่างที่กระทบกำแพงจากด้านหลัง

          มันคงจะไม่ได้มาจากป็อบปี้หรอกนะ ถ้าอย่างนั้นคงน่าตลกดีพิลึก

“ฟางบอกฉันที ตาเธอยังมองเห็นอยู่ใช่มั้ย!?” เขาถาม ขณะเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“…” ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเขา นอกจากร้องไห้กับอกของเขาเงียบๆ เท่านั้นเอง

“ใครทำเธอ”เขาถาม และก็เหมือนเช่นเคย คือฉันไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว

            ตอนนี้ฉันกำลังเจ็บ… เจ็บเข้าถึงขั้วหัวใจเลยล่ะ

           

            ฉันกลับเข้าโรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง ถูกต่อว่านิดหน่อยเพราะเรื่องที่หนีออกจากโรง

พยาบาลทั้งที่ยังไม่หายและตอนนี้ก็มีแผลเต็มตัวอีกแล้ว

            ฉันหายใจแผ่วๆ อย่างเบื่อหน่ายเพราะว่าการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้กินเวลาพักฟื้น

เกือบสองอาทิตย์…

            เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้ฉันขยับตัว มองเห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งเดิน

เข้ามาก็รู้ทันทีว่าเป็นกวินที่วิ่งวุ่นเป็นธุระให้ฉันตั้งแต่เช้า

“กวิน…” ฉันเรียกเขาเสียงแผ่วเบา เพราะแทบจะไม่มีเรี่ยววแรงทำอะไร

“ฉันมีอะไรจะขอร้องนายสักหน่อย” ฉันพูดแล้วก็เงียบไป รู้สึกว่าเขากำลังรอว่าฉันกำลังจะพูด

อะไรอยู่เหมือนกัน

“จูบฉันหน่อยสิ ช่วยทำให้ฉันลืมใครบางคนหน่อยได้มั้ย?”

 

PF PF PF PF PF PF PF PF

หายไปวันหนึ่งเลยจัด

ให้ยาวๆ หหวังว่าทุกคนจะไม่

ขี้เกียจอ่านก่อนนะ ฮ่าๆ 

สงสารฟางอะอยากกระทืบจินนี่

กับป็อบจุง(หัวเราะ) เม้นโหวตน้า

อ่านไม่เม้นมีงอน ฮ่าๆ

แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า จุ้บ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา