Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  31 วิจารณ์
  33.69K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) Full scale assault [Part 4]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“มารอดเดอร์ 1-1 รายงานสถานการณ์ด้วย มารอดเดอร์ 1-1 ได้ยินรึเปล่า ตอบด้วย”
 
วิกเตอร์ตะคอกใส่ที่รับส่งของเครื่องมือสื่อสารขนาดกระติกน้ำทหารอย่างร้อนรน ซึ่งเขากำลังสะพายมันอยู่ขณะที่มืออีกข้างกำลังง่วนอยู่กับการสับเปลี่ยนก้อนแบตเตอรี่สำหรับเครื่องจัดการการสื่อสาร โดยดึงออกมาก้อนหนึ่งก่อนจะนำอีกก้อนหนึ่งใส่แทนและดึงก้อนที่เหลือออกมาแล้วใส่แทนด้วยอีกก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงนำสองก้อนเดิมไปเสียบกับเครื่องชาร์จไฟที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ โดยมีแบตเตอร์รี่อีกหลายก้อนเสียบค้างไว้อยู่
 
ณ บ้านร้างสองชั้นโทรมๆ ทางตะวันตกในเขตชานเมืองของเมืองอันเป็นสมรภูมิ ซึ่งตอนแรกมียานเกราะร่วมด้วย แต่บัดนี้มันกลายเป็นสมรภูมิทหารราบไปแล้ว โดยยานพาหนะชนิดสุดท้ายที่เข้าร่วมคือ เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนแบบบลัดเอนเจิลแห่งกองทัพอากาศโวลกัน วาคานะและชูเน่วิ่งมาถึงก็ขานรหัสขึ้นอย่างพร้อมเพรียง โดยยังไม่ทันที่คนเฝ้ายามจะปรากฏตัวขึ้นจากที่กำบังดีนัก ทั้งคู่ก็วิ่งเข้าไปแล้ว
 
มีเสียงของชายหนึ่งร้องดังระงมอย่างร้อนรนแต่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมาย สองคนที่เพิ่งมาถึงมองตากันด้วยคำถามเดียวกันว่า ‘เกิดอะไรขึ้นนะ’ ก่อนที่ทั้งคู่จะทันก้าวขาออกเพื่อเดินอย่างเร่งรีบก็มีเสียงตอบกลับมาอย่างร้อนรนยิ่งกว่าและเข้าขั้นสติแตกว่า
 
“นี่ 2-3 ซูเปอร์โซลเจอร์... 1-1 ตายแล้ว พวกเรามากกว่า 40 คนถูกฆ่าไปแล้ว... มันมาคนเดียว... เราทำอะไรมันไม่ได้... เราโผล่ออกไปไม่ได้ ถอนกำลังไม่ได้ ตีโต้ตอบไม่ได้ มันอยู่บนดาดฟ้า ไม่ ไม่ มันอาจย้ายที่แล้วก็ได้... ทางเข้าออกตอนนี้ถูกขวางไว้หมดแล้ว... ใช้เวทมนตร์ดับก็ไม่ได้ ขอกำลังเสริม กำลังเสริม...”
 
โดยไม่ต้องนัดหมายจากการจะเดินอย่างเร่งรีบแปลเปลี่ยนไปเป็นวิ่งแทน มุ่งไปยังบันไดตรงหน้าแล้วก้าวขึ้นทีละ 2 ขั้นตามๆ กันไปด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง
 
ก่อนที่วิกเตอร์จะกรอกคำพูดอะไรลงไป ชูเน่ก็รุดเข้าไปคว้าที่รับส่งมาจากมือของโนเบิลหนุ่มแล้วตอบกลับไปแทนว่า
 
“นี่ดาร์คพรีสต์ ใจเย็นๆ ขอให้พวกคุณรอไปก่อน ผมจะถามหาพวกเราใกล้ๆ ให้ไปช่วย ระหว่างรอขอให้พวกคุณเตรียมพร้อมซุ่มโจมตี เลิกกัน”
 
จบเพียงแค่นั้นเขาก็คืนที่รับส่งกลับไปให้วิกเตอร์ ก่อนจะขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง หนุ่มเกินอัจฉริยะเอี้ยวตัวแหงนมองหน้าของชาวเอไพด์เมียร์ที่เป็นมิตรคนแรกที่เขารู้จักด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย ทำท่าจะปริปากพูดต่อว่าแต่วาคานะก็ปรามเอาไว้ก่อน
 
“ได้ข้อมูลเป้าหมายมารึยัง วิกเตอร์”
 
ผู้ถามคือชูเน่
 
“ได้แล้ว”
 
วิกเตอร์ตอบเรียบๆ พลางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อข้างซ้ายแล้วหยิบเอาตลับพลาสติกขนาด 1 คูณ 1 นิ้ว หนาประมาณ 4 มิลลิเมตรสีเขียวอ่อนแล้วยื่นให้ชูเน่ไป ซึ่งก็ส่งให้วาคานะอีกต่อ
 
“ทำไมคุณถึงต้องโกหกพวกเขา”
 
ว่าแล้วหนุ่มเกินอัจฉริยะก็โพล่งเชิงต่อว่าขึ้นมาจนได้ ชูเน่ถอนหายใจเอามือข้างหนึ่งเท้าเอวส่วนอีกข้างยกขึ้นลูบคางด้วยท่าทางลำบากใจแล้วหันมาหาผู้ถามอย่างเร็ว
 
“มองความจริงซะบ้าง วิกเตอร์ นั่นมันซูเปอร์โซลเจอร์นะ การส่งคนเข้าไปช่วยพวกเขาก็เท่ากับส่งคนไปตายเพิ่ม แล้วถึงจะช่วยพวกเขาออกมาได้ก็เท่ากับว่าส่งคนเข้าไปพาพวกเขาออกมาโดนยิง ฉันรู้ว่านายไม่พอใจกับการตัดสินใจของฉัน แต่ฉันเองก็อึดอัดใจเหมือนกันที่ต้องสั่งการไปแบบนั้น... แจ้งทุกหน่วยเรื่องเส้นทางถอนกำลังนอกจากจะหลีกเลี่ยงเส้นทางเคลื่อนพลของโนเบิลแล้วให้เลี่ยงเส้นทางที่จะเข้าใกล้ศูนย์บัญชาการนั่นด้วย”
 
พูดจบวิกเตอร์ก็ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของชูเน่ ...ลืมไปสนิท ซูเปอร์โซลเจอร์ หน่วยรบพิเศษที่มีความใกล้เคียงกับกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ แต่ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็คือ ซูเปอร์โซลเจอร์ ถ้าทำเพื่อปกป้องบ้านเกิดของตัวเองไม่ว่าจะใช้วิธีไร้ศักดิ์ศรีขนาดไหนก็จะทำ... หนุ่มเกินอัจฉริยะเตือนสติตัวเอง เขามองเห็นความจริงขึ้นมาบ้างแล้ว ดวงตาสีเขียวอ่อนเหลือบขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีเทาเข้มของชูเน่ด้วยความยำเกรง สำนึกได้เลยว่าผู้นำต้องแบบนี้ เยือกเย็น มีวาทศิลป์ ยอมสละได้เพื่อผลที่ดีกว่า แยกอารมณ์ส่วนตัวกับการงานได้ มีสติปัญญาดี มีความสามารถด้านจิตวิทยา และอีกมากมาย มีหลายสิ่งที่เขาไม่มี
 
“อย่างที่เคยบอก นายอยู่กับเรานายต้องเป็นเรา พวกเขาเตรียมพร้อมจะตายอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ส่วนมาก ฉันเอง วาคานะก็เหมือนกัน พวกทหารเอไพด์เมียร์หรือซูเปอร์โซลเจอร์อาจจะบุกเข้ามาที่นี่หรือบังเอิญกระสุนปืนใหญ่หรือลูกระเบิดอาจจะตกลงบนหัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นทำใจซะเถอะ”
 
ชูเน่มองตอบแล้วพูดเป็นเชิงปลอบใจกึ่งเตือนสติก่อนจะละสายตาหันไปคุยกับดราก้อนไนท์สอีกคนที่ประจำอยู่กับวิกเตอร์ด้วย ส่วนวาคานะนั้นยังคงนิ่งเฉยสยบทุกอย่างต่อไปราวกับเป็นหุ่นยนต์ ไม่เผยอะไรให้ใครอ่านออกเช่นเคย ความคิดก็พุ่งขึ้นมาในหัวของหนุ่มเกินอัจฉริยะว่านี่ไม่ใช่ความเยือกเย็นแบบผู้นำ แต่มันเป็นแบบสายลับมากกว่า นิ่งทุกสถานการณ์ ไม่เคยส่ออารมณ์ใดๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง หรืออาจจะมาจากความระวังตัวขั้นวิตกจริต ทำเหมือนมีคนแอบสังเกตการณ์ตนเองตลอดเวลา ดูไปแล้วก็มีบุคลิกทั้งลึกลับและน่ากลัวกว่าจอมเวทยอดฝีมือของฝ่ายเจ้าบ้านด้วยซ้ำไป ...ว่าทานาทรอสยามครุ่นคิดน่ากลัวแล้ว มาเจอคุณวาคานะยิ่งน่ากลัวกว่า... วิกเตอร์คิดพร้อมกับความรู้สึกหนาวแล่นขึ้นมาตามสันหลังทำเอาตัวของเขากระตุกสั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเอาไว้ คือ เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการสื่อสาร
 
เฟลเซียลั่นกระสุนจากปืนกลมือสังหารนักรบกบฏคนสุดท้ายที่อยู่ในศูนย์บัญชาการชั่วคราว ก่อนจะใช้มือสับลงที่ด้านบนของตัวปืนเบาๆ ให้ปลายด้านพานท้ายของปลอกสอดซองกระสุนเด้งขึ้นมาแล้วยกปืนเทให้ซองกระสุนร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงในขณะที่อีกมือหยิบเอาซองกระสุนใหม่ขึ้นมา ก่อนจะตะแคงปืนแล้วสอดซองกระสุนใหม่ใส่ช่องจนเข้าที่แล้วสับให้กลับเข้าช่องป้อนกระสุนตามเดิมแล้วง้างคันรั้งขึ้นลำทางด้านท้ายของปืนเหนือก้านพานท้าย
 
ปฏิกิริยาตอบโต้เป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อมีเสียงฝีเท้าหลายคู่ย่ำกันมาอย่างเร็วทางด้านหลัง เธอหันไปพร้อมกับประทับปืนเล็งไปทางนั้น
 
“เฮ้ย อย่ายิง”
 
เป็นเสียงของก็อบลินหนุ่มยศจ่าสิบเอกร้องออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ขึ้นหนึ่งถือปืนกลอเนกประสงค์โดยจับบริเวณที่รองฝ่ามือเป็นเชิงไม่แสดงอาการคุกคาม ส่วนอีกมือหนึ่งยกขึ้นหันหลังมือไปทางด้านผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตามมาด้วยเป็นเชิงปรามให้อยู่กับที่ เฟลเซียลดปืนลงมองสำรวจตรงไปยังทหารฝ่ายเดียวกันตรงหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่ก็ได้รับบาดเจ็บกันมาคนละเล็กน้อย แต่ทว่าด้านจำนวนนั้นมีไม่ถึง 1 หมู่รบ และดูค่อนข้างจะอ่อนล้าลงไปบ้างแล้ว แต่โดยรวมแล้วยังลุยต่อไหวได้อีกนานแน่นอน
 
เสียงฝีเท้าอีก 2 คู่หนักและเบาดังมาจากอีกด้านหนึ่ง แต่คราวนี้ซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ไม่ได้มีท่าทีระวังตัวแต่อย่างใด อันที่จริงไม่ได้มีท่าทีอะไรเลยมากกว่านอกจากรอยยิ้มเหมือนคนเป็นไฮเปอร์แอคทีฟเดิม
 
ยังไม่ทันที่ต้นเสียงจะปรากฏตัวขึ้นเฟลเซียก็เอ่ยปากทักทายขึ้นอย่างเป็นกันเองล่วงหน้าไว้ก่อนเหมือนมีตาทิพย์ว่า
 
“แมดอาร์ม เอสดีเอส มาตามคาดเลยนะ”
 
พูดจบต้นเสียงทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้น เป็นโอเคอร์และยูคิเอะจริงๆ ต่อจากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่ดังขึ้นมาอีก ...คงจะเป็นทหารฝ่ายเราอีกชุดละมั้ง... เฟลเซียคิด แต่ทว่าก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก เสียงการยิงปะทะกันระหว่างปืนเลเซอร์ของกองกำลังโนเบิลและปืนอัตโนมัติฝ่ายโวลกัน
 
“พวกแมร่งมีมากเกินไป เราสกัดไว้ไม่อยู่ จะร่ายเวทมนตร์บทใหญ่ๆ ก็ไม่ทัน เลยต้องถอยมาก่อน”
 
ผู้บอกเล่าเหตุการณ์คือโอเคอร์
 
“สัญญาณกองไฟที่ศูนย์บัญชาการ เธอเป็นคนก่อมันใช่รึเปล่า”
 
ยูคิเอะถาม
 
“ใช่ สภาพการณ์ตอนนี้ใครๆ ก็มองออกว่าไม่มีทางรักษาพื้นที่นี้ไว้ได้แน่นอน อันที่จริงฉันไม่ได้จุดไฟเฉยๆ หรอกนะ แต่พวกกบฏดันมาเพ่นพ่านอยู่ที่ลานจอดรถเอง”
 
คำตอบเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ทุกอย่าง ยูคิเอะมองไปยังทหารที่เหลือรอดที่อยู่ข้างหลังเฟลเซีย นับจำนวนดูก็ทำเอาตกใจเหมือนกัน ถ้ารวมกับพวกที่จะเหลือรอดจากการยิงต่อสู้อยู่กับทหารศัตรูในตอนนี้คงได้เพียง ...1 หมู่รบเศษเองมั้ง... ซูเปอร์โซลเจอร์สาวกึ่งภูติเพลิงคิด
 
เสียงการยิงต่อสู้จบลงแล้ว เสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังย่ำขึ้นมาตามบันไดหนีไฟ และต่อด้วยพื้นเรียบๆ ที่เป็นทางเดินกว้างๆ ตามลักษณะของห้างสรรพสินค้า ทั้งซูเปอร์โซลเจอร์และทหารราบธรรมดาต่างเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับต้นเสียงฝีเท้าหลายคู่นั้น... ใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา... จนกระทั่งสามารถแยกเสียงออกได้ว่ามีหลายขนาดตัว ทุกคนต่างลดท่าทีระวังภัยลง เมื่อรู้ว่าต้นเสียงเป็นพวกเดียวกันแน่นอน
 
ครึ่งเอลฟ์ออร์คหญิงยศร้อยตรีวิ่งนำหน้า โดยมีทหารราบหลากเผ่าพันธุ์ตามหลังมาติดๆ มีจำนวนทั้งสิ้น 7 คนเท่านั้น เมื่อมาถึงร้อยตรีหญิงก็รีบรายงานสถานการณ์ทันที
 
“พวกผู้ดีกระชั้นชิดเข้ามาแล้วค่ะ เมื่อกี้เราได้ปะทะกับพวกมัน 2 หมู่รบ และผู้บัญชาการของพวกมันคงจะรู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่ รีบไปกันเถอะค่ะ”
 
“เออใช่ แล้วพวกผู้การล่ะ”
 
โอเคอร์ทวงถามขึ้น
 
“พันเอกสตาซิกินตายแล้ว ส่วนร้อยโทชิซุเนะน่าจะหนีไปได้ ถ้าตอนนี้ไม่ไปถึงค่ายทหารหรือที่ตั้งทางทหารใกล้ๆ สักที่หนึ่ง ก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี่แหละ”
 
ได้คำตอบจากเฟลเซีย นักรบโทรลบินก็สบถออกมาเบาๆ ก่อนจะสูดหายใจลึกระงับอารมณ์ แต่ก็แสดงออกมาทางใบหน้าที่กำลังยู่ยี่อยู่ดี ...ทำไมไม่ยิงซีดเดอร์หรือส่งบลัดเอนเจิลมาถล่มพวกแมร่งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ... โอเคอร์คิด แล้วชายตามองไปทางเพื่อนมาดเจ้าแม่เป็นนัยขอความเห็น ซึ่งยูคิเอะได้มองอยู่ก่อนแล้ว
 
“ถอยทัพไปที่ที่ตั้งทางทหารที่ใกล้ที่สุด ถ้าพบพวกเดียวกันระหว่างทางให้เข้าช่วยไม่ว่าจะมีกี่คนก็ตาม เราต้องการกำลังให้มากที่สุดฝ่าแนวล้อมของพวกกบฏออกไป ถ้าพบพลเรือนให้ฆ่าได้ทันที เราจะถือว่าที่นี่เป็นพื้นที่สงครามจะต้องไม่มีพลเรือนอาศัยอยู่ที่นี่อีก...”
 
เป็นคำสั่งใหม่อย่างรวบรัด ซึ่งทุกคนเห็นด้วย โดยเฉพาะโอเคอร์ ซึ่งถูกพลเรือนหญิงเอาปืนต่อต้านยานเกราะสัญชาติโอเคอร์นไล่ยิงหัวซุกหัวซุนมาแล้วเมื่อเร็วๆ นี้
 
“ใครถนัดใช้เวทมนตร์มากกว่าปืนอนุญาตให้สาดได้เต็มที่ แต่อย่าบทใหญ่นักก็พอ มีใครในนี้ถนัดเวทมนตร์สายพิทักษ์บ้าง”
 
เฟลเซียพูดออกมาอย่างเต็มเสียง ซ่อนความรู้สึกภายในอย่างมิดชิด แสดงความเป็นผู้นำออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้เหล่าทหารที่เหลือรอดต่างพลอยมีกำลังใจขึ้นมาด้วย ประโยคหลังเธอถามขึ้นพลางหันมองกลุ่มทหาร ซึ่งคำตอบที่ได้ คือ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นดาร์คเอลฟ์หนุ่มยศสิบตรีร่างผอมสูงไว้ผมสั้นรองทรงสูงสีขาวโพลนดั่งหิมะ สีผิวเป็นสีเทาเข้มอมม่วงเข้ากับทรงหน้าเรียวรูปไข่หล่อเหลาทำให้ดูลึกลับระคนเท่ ถ้าไม่นับน้ำเสียงที่ส่อถึงความประหม่าที่เขาออกตอนที่ตอบเฟลเซียไป และท่าทางยืนตรงตัวแข็งเป็นท่อนไม้ ทำให้เพื่อนทหารบางคนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความขบขัน
 
“นายชื่ออะไร หมู่”
 
เฟลเซียถามอย่างเป็นกันเอง
 
“ผม สิบตรี อัจฉริยะ ธรณีเทพ ครับ...”
 
เสียงของสิบตรีดาร์คเอลฟ์หนุ่มขาดไปเมื่อทหารมนุษย์ข้างๆ กระทุ้งศอกใส่เบาๆ เป็นการเตือนสติ ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยปากพูดใหม่ด้วยความเกร็งที่น้อยลง
 
“เรียกผมว่า แสง ก็ได้ครับ”
 
“ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกฉันว่า อัลตราแมนิแอค หรือเรียกสั้นๆ ว่า แมนิแอค ก็ได้ ส่วนยศจริงฉันคงบอกไม่ได้ ฟังจากสำเนียงการพูด นายไม่ใช่คนโวลกันใช่รึเปล่า”
 
เฟลเซียป้อนคำถามอย่างสงสัย
 
“ครับ ผมไม่ใช่คนโวลกัน ผมเป็นทหารจอมเวทเออริคาสตัน สังกัด...”
 
“ช่างมันเถอะ แต่ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”
 
เฟลเซียตัดบทเข้าสู่คำถามต่อไปทันที
 
“ผู้หมวดผมส่งผมเข้าโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรชั่วคราว ผมถึงได้มาอยู่นี่”
 
ซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่พยักหน้าเนิบๆ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง พลางก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของจอมเวทเออริคาสตันตรงหน้า ลอบใช้เวทมนตร์ตรวจสอบอะไรบางอย่าง ...โอ้โห... เธออุทานในใจ
 
“แสง ฉันอยากให้นายคอยป้องกันพวกเราจากการยิงปูพรมหรือเวทมนตร์โจมตีแบบเป็นกลุ่มทุกอย่างที่มาทางเรา เพราะเราจะเคลื่อนไปเป็นกลุ่มเดียว ไม่ต้องกลัวเรื่องที่จะถูกยิงระหว่างร่ายเวท เพราะแมดอาร์มจะคอยปกป้องนาย...”
 
เฟลเซียผายมือไปทางโอเคอร์ ซึ่งพลบินโทรลก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้พลางยิ้มเก๊กให้เป็นนัยว่า ‘ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง’ ส่วนแสงก็ยิ้มเล็กน้อยตอบอย่างเชื่อใจ
 
“เรามีเวลาไม่มากแล้ว เคลื่อนพล”
 
สิ้นเสียงของซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ ทุกคนพากันวิ่งไปทางบันใดหนีไฟ
 
ย้อนหลังไปไม่กี่นาที ณ ศูนย์บัญชาการชั่วคราวของกองกำลังโนเบิล ซึ่งจัดขึ้นอย่างลวกๆ ผู้ช่วยผู้บัญชาการได้รับข่าวสารมาจากกลุ่มนักรบกลุ่มหนึ่ง เขาจึงแจ้งไปยังลีออน ถึงข่าวที่ได้รับมา ผู้นำกองกำลังโนเบิลครางในลำคออย่างพินิจพิจารณา ...พฤติการณ์น่าสงสัย... พวกสวะสวมชุดพลเรือนถูกเผาอยู่เกลื่อนลานกว้าง บ้างก็ถูกยิง... นึกว่าถูกล้างบางไปหมดแล้วซะอีก แบบนี้เราชนะแน่... ขอแค่ทหารฝ่ายเราอย่าได้ไปเจอพวกเขาเลย... นายพันอาวุโสคิด
 
“ดำเนินตามแผนเดิม สถานที่ๆ พวกเขารายงานมาท่าทางจะเป็นศูนย์บัญชาการของพวกมัน ข้าต้องการอย่างน้อย 4 หมู่รบตั้งมั้นรักษาที่นั่นเอาไว้ ถ้าข้าเป็นพวกสวะที่อยู่ที่นั่นข้าจะไม่รอให้พวกเราเข้าโจมตีที่นั่นหรอก ตอนนี้พวกมันน่าจะล่าถอยไปแล้ว อย่างน้อยครึ่งอัสมานิคชัยชนะจะเป็นของพวกเรา”
 
ลีออนออกคำสั่งอย่างเรียบๆ พร้อมคาดการณ์อย่างคร่าวๆ ด้วยประสบการณ์จากสงครามครั้งก่อนหน้า แต่ทว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการกลับแย้งว่า
 
“แล้วมันจะไม่เรียกกำลังเสริมเหรอครับ”
 
ลีออนหัวเราะหึหึอย่างมั่นใจ แล้วตอบกลับไปว่า
 
“ถ้ามันจะเรียกกำลังเสริมป่านนี้พวกเราไม่ได้มาคุยกันอยู่ตรงนี้หรอก เครื่องบินทิ้งระเบิดนั่นเป็นการสนับสนุนครั้งสุดท้ายของพวกมัน ถ้าจะมีกำลังของพวกมันมาหาเราก็คงจะเป็นตอนที่จะยึดที่นี่กลับ ถึงตอนนั้นกำลังเสริมของเราจะมาถึงและเราจะพร้อมรบเต็มอัตราอีกครั้ง... เจ้าก็ผ่านสงครามครั้งนั้นมากับข้าไม่ใช่เหรอ อัล จะไปกลัวทำไม ดำรงยศแค่จ่าแต่บอกตรงๆ ว่าข้าไว้ใจให้เจ้าบัญชาการต่อจากข้ามากกว่าพวกนายพลหน้าโง่พวกนั้นเป็นไหนๆ น่าเสียดายทั้งเราทั้งคู่น่าจะได้ขึ้นถึงนายพลแท้ๆ ดันมีเรื่องความคิดบ้าบอนี่เข้ามาขวาง ข้ามันไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ้ามันโผงผาง เลยโดนลดเหลือแค่จ่า”
 
ผู้ช่วยผู้บัญชาการเป็นพลขับยานบัญชาการนั่นเอง ได้คำตอบจากสหายศึกผู้เผชิญสงครามมาด้วยกัน อัลก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจแต่ไม่ดังมากนัก เขาเห็นด้วยกับเพื่อนของเขา แล้วก็กลายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์องค์กรทางทหารของพวกตนอย่างสนุกปาก
 
“เออจริง ทั้งที่ได้รับบทเรียนขนาดนั้นไม่รู้ทำไมถึงยังบ้าดื้อดึงรบแบบเดิมๆ แถมยังไปเกณฑ์พวกที่เป็นอาณานิคมมาอีก ข้าว่าต่อให้มีพลังมากขนาดไหนแต่ถ้าเจอยุทธวิธีฉลาดๆ มันก็ไร้ความหมาย เห็นอย่างเก่งก็แค่รู้วิธีการใช้ปืนใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพ”
 
“ใช่ ข้าก็ว่างั้น คิดดูสิหุ่นยนต์รบตัวมโหฬารถูกทหารราบตัวกระจ้อยกับยานรบขนาดรถถังพังทิ้งอย่างง่ายดาย เพราะการสั่งการอย่างโง่ๆ”
 
ทุกถ้อยคำสนทนาระหว่างนายทหารอาวุโสทั้งสองผ่านเข้าโสตประสาทของนายพันหนุ่มจอมมุทะลุที่ถูกจับพันธนาการเอาไว้ สร้างความโกรธเคืองให้เป็นอย่างมาก ความโกรธเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการพูดถึงการบัญชาการที่ผิดพลาดเมื่อเร็วๆ นี้ และหนักขึ้นอีกเมื่อมีการพูดถึงนายทหารชั้นแม่ทัพในแง่ลบ ...ถ้าข้าหลุดออกไปเมื่อไหร่ข้าจะฆ่าพวกเจ้า... เขาคิด
 
ถนนขนาดสี่เลนในความมืดเกือบสนิท ทำให้เหล่าทหารฝ่ายเจ้าบ้านต้องเปิดแว่นมองกลางคืนกันเกือบทุกคน เว้นแต่เหล่าซูเปอร์โซลเจอร์ที่ใช้วิธีกางข่ายเวทมนตร์ตรวจจับแทน ซึ่งเป็นวิธีที่กินพลังงานทีละน้อยแต่ตลอดเวลา พวกเขาได้ทหารที่เหลือรอดเพิ่มมาอีกจำนวนหนึ่ง
 
ทั้งหมดกำลังวิ่งไปพร้อมกันด้วยความเร็วพอๆ กัน มีการแบ่งเป็นกระบวนแถวรูปลิ่ม 3 กลุ่มอย่างลงตัว กลุ่มละ 5 คน โดยสองกลุ่มหน้ามีหัวหอกเป็นซูเปอร์โซลเจอร์สองสาว ส่วนกลุ่มที่ทำหน้าที่เป็นแนวยิงเสริมและระวังหลังมีร้อยโทหญิงครึ่งเอลฟ์ออร์คเป็นหัวหอก ส่วนตรงกลางเป็นโอเคอร์ที่สวมชุดเกราะเวทมนตร์และดาร์คเอลฟ์จอมเวทหนุ่มยศสิบตรี สิ่งที่เป็นไปในตอนนี้ไม่ต่างจากขบวนยานเกราะเบาเคลื่อนที่เร็ว ที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่เมืองที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน เพียงแต่ไม่ใช่ขบวนยานพาหนะแต่อย่างใด ...ท่าทางจะยิงกันหูดับตับไหม้ไปตลอดทางแหงเลย... สิบตรีอัจฉริยะคิด
 
ทหารแต่ละคนที่ใช้ไรเฟิลจู่โจม ปืนกลมือ และปืนลูกซองได้รับแบ่งซองกระสุนกันอย่างสมบูรณ์พูนพร้อม คือ พกกันเต็มหน้าอกแทนเกราะกันกระสุนยังได้ ในกระเป๋ากางเกงก็มีข้างละ 2 ซองเป็นอย่างน้อย ส่วนพวกที่ใช้ปืนกลอเนกประสงค์ก็พาดสไบสายกระสุนเต็มตัวราวกับสวมชุดเกราะ ส่วนพวกพลอาวุธหนักก็ไม่ต่างกันนัก แต่ไม่เหมือนตรงที่ว่าแทนที่จะเป็นสายกระสุนกลับเป็นรังกระสุนทรงกระบอก ซึ่งภายในบรรจุกระสุนเอาไว้มากกว่า 300 นัด และปืนที่ถือเป็นปืนกลกล้องหมุน มีขนาดที่ค่อนข้างเทอะทะ ดังนั้นโทรลและออร์คจึงรับหน้าที่นี้ไป
 
“แสง เริ่มร่ายเวทม่านคุ้มภัยได้แล้ว”
 
เสียงของซูเปอร์โซลเจอร์มาดเจ้าแม่ดังมาจากกลุ่มทางซ้าย แสงก็เริ่มท่องมนต์ปากขมุบขมิบในทันทีพลางในมือก็ผนึกพลังเกิดเป็นดวงไฟสีขาวนวลเล็กๆ นั่นหมายความว่า ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนจะต้องมีใครมองเห็นแน่นอน ทั้งพวกเดียวกันและศัตรู
 
ในเวลาไม่นานดวงไฟดวงเล็กก็แผ่ขยายออกเป็นโดมสีขาวจางจนเกือบใสคลุมกลุ่มนักรบที่เหลือรอดเอาไว้หมด กลายเป็นจุดเด่นในบัลดล ในเวลาไม่นานนักขีปนาวุธร่อนแบบเดียวกับที่ใช้ทำลายรถถังสัญชาติโวลกันก็บินเลี้ยวโฉบเข้ามาทางด้านหน้าอย่างเร็ว มันปะทะกับท่านพลังงานแล้วระเบิดออกอย่างรุนแรงสมกับเป็นขีปนาวุธต่อต้านยานเกราะ ทำเอาจอมเวทคนเดียวในทีมแทบสมาธิขาด
 
“นั่นอะไร”
 
แสงร้องถามอย่างสงสัยระคนตกใจ
 
“ขีปนาวุธร่อนประทับบ่ายิงของชทัมม่า”
 
เฟลเซียตอบเรียบๆ โดยที่ไม่หันมามอง
 
หลังจากขีปนาวุธนัดแรกเข้าปะทะกับม่านเวทมนตร์ได้ไม่นานก็ตามด้วยนัดที่ 2 และห่ากระสุนจากรอบทิศทางโดยเน้นหนักไปทางด้านหน้าและด้านข้าง โดยไม่ต้องร้องสั่งการ ปืนในมือของทุกคนยกเว้นปืนพกในซองของสิบตรีอัจฉริยะเปิดฉากยิงประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง แสงไฟสีส้มจากหัวกระสุนฟอสฟอรัส (กระสุนส่องวิถี) พุ่งออกไปจากปากลำกล้องปืนราวกับดาวหาง สวนกันสับสนทั้งสองฝ่าย แสงปล่อยมือข้างหนึ่งจากการผนึกพลังเวทแล้วยื่นไปทางขีปนาวุธร่อน ก่อนจะยิงลูกดอกน้ำแข็งออกไปทำลายหัวรบอย่างแม่นยำก่อนที่มันจะเข้าปะทะ
 
จากอัตรายิงที่รวดเร็วอันเป็นเอกลักษณ์ของอาวุธโวลก้า ทำให้กระสุนที่มีความจุน้อยหมดอย่างรวดเร็ว ซองกระสุนซองแล้วซองเล่าถูกถอดทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นซองใหม่อย่างมันมือ พลปืนกลอเนกประสงค์ก็กดไกแช่รัวกระสุนอย่างบ้าคลั่งจนลำกล้องร้อน แต่แทนที่จะพัก พวกเขาเสกละอองหิมะอัดเข้าไปหล่อเย็นทางปากลำกล้องแทนก่อนจะบรรจุกระสุนใหม่ ไม่นานก็กลับมายิงต่อได้ ต่างจากพลอาวุธหนัก ที่กดไกสาดกันอย่างไม่ต้องหยุดพักเว้นแต่ตอนบรรจุกระสุนเท่านั้น ปลอกกระสุนร่วงกราวเหมือนเทก้อนกรวดออกจากถัง เมื่อรวมกับปืนกระบอกอื่นๆ แล้วก็แทบจะเป็นการปูพรมด้วยปลอกกระสุนทีเดียว
 
การต่อต้านหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกระสุนปืนขนาดเล็กจากอาวุธต่อต้านทหารราบไปจนถึงหัวกระสุนต่อต้านยานเกราะขนาดปืนใหญ่ขนาดเล็ก ผสมโรงด้วยขีปนาวุธร่อนประทับบ่ายิง เสียงเครื่องยนต์ไอพ่นของมันครางกระหึ่มไปทั่วบริเวณฟังดูน่าขนลุก แสงสีส้มสว่างจากท่อแรงขับแสดงตำแหน่งของพวกมันจากทั่วเมืองรี่เข้าหาขบวนทหารราบ นอกจากนี้ยังมีจอมเวทฝ่ายกบฏที่ลอยตัวนิ่งอยู่เหนือตำแหน่งที่มีการยิงต่อสู้กันและบินช้าๆ ตามกลุ่มทหารราบเบื้องล่าง พลางร่ายเวทโจมตีต่างๆ นานารุมถล่มไปที่จุดเดียว
 
โอเคอร์และแสงโบกมือยิงปืนปล่อยเวทกันเป็นพัลวัน ต่อต้านภัยทุกอย่างที่มาจากด้านบนและบางครั้งก็ด้านหลัง เมื่อขีปนาวุธร่อนนัดหนึ่งถูกบังคับให้บินโฉบเข้าทางด้านหลัง พลบินโทรลเร่งไอพ่นบินขึ้นไม่สูงนักเล็งปืนกลประจำตัวอย่างลวกๆ แล้วปล่อยกระสุนออกไปเป็นชุดไม่ยาวนัก หัวรบขีปนาวุธร่อนขนาดจิ๋วถูกทำลายได้อย่างทันท่วงที
 
ถนนยาวที่นำลึกเข้าสู่ตัวเมืองชั้นในเข้าไป ประกอบกับการยิงต้านทานจากฝ่ายกบฏที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลงทำให้บางคนเริ่มขาดแคลนกระสุนกันบ้างแล้ว เสียงตะโกนร้องขอกระสุนเพิ่มดังระงม ทำให้เหล่าซูเปอร์โซลเจอร์ต้องหยิบชุดกระสุนจากคลังแสงจิ๋วแจกจ่ายกันจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร ทำให้อำนาจการยิงลดลงอย่างมาก ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเมื่อรู้ว่าเจ้าบ้านเริ่มขาดแคลนกระสุนแล้วจึงฉวยโอกาสถอนกำลังพลางยิงสวนไปด้วย โดยได้รับการคุ้มกันจากจอมเวทจากเบื้องบนและพลยิงขีปนาวุธร่อนที่กระจายอยู่ทั่วเมือง
 
“ทางนี้!... ทางนี้!”
 
มีเสียงร้องตะโกนเรียกแข่งกับเสียงปืนดังมาจากฝั่งขวาไม่ไกลมากนัก เป็นร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวนั่นเอง เธอยืนโบกมือเรียกอยู่กลางกลุ่มทหารที่เหลือรอด ซึ่งกำลังยิงต่อสู้อยู่ โดยมีจอมเวท 2 คนยืนร่ายเวทอยู่ข้างๆ คนหนึ่งกางเวทม่านคุ้มภัยให้ เกิดเป็นแสงสีขาวนวลอ่อนๆ พอบ่งบอกตำแหน่งได้ ส่วนอีกคนร่ายเวทโจมตีสนับสนุนทหารราบ
 
ขบวนทหารราบก็ตอบรับทันที เฟลเซียร้องสั่งให้เคลื่อนเข้าไปสมทบกับรองผู้บัญชาการ เมื่อมาถึงก็พบกับร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวสวมชุดพลเรือนอันเป็นชุดที่เธอขโมยมาจากกบฏหญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินมาจัดการกับศพของเหล่าผู้บัญชาการฝ่ายเจ้าบ้าน แต่ดันถูกคนที่คิดว่าน่าจะเป็นศพไปแล้วฆ่าอย่างเงียบเชียบ บางคนที่มาถึงก็พอเข้าใจได้ทันทีถึงเหตุผลของการเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย และอีกสิ่งที่พบก็คือบันไดเลื่อนที่ไม่เลื่อนเพราะไม่มีกระแสไฟทอดลึกลงไปใต้ดินประมาณ 7 เมตร มีแสงไฟสีขาวอ่อนๆ ลอดออกมาพอให้มองเห็นพื้นกระเบื้องยางผิวหยาบสีเปลือกไข่ไก่ มีเสียงคนกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ข้างล่าง และพูดคุยกัน
 
“กระสุนหมด”
 
เสียงทหารคนหนึ่งที่กำลังยิงต่อสู้อยู่ร้องตะโกนขึ้นมาแล้วผละจากท่านั่งยิงลุกวิ่งเหยาะๆ ลงบันไดไป ครู่หนึ่งก็มีทหารอีกคนวิ่งสวนทางขึ้นมาแล้วไปประจำที่แทน
 
“ข้างล่างมีลังกระสุนเวทมนตร์อยู่ ลงไปเติมเร็วเข้า ดูจากกองไฟที่ศูนย์บัญชาการส่วนหน้าพวกโนเบิลกำลังใกล้เข้ามาใช่รึเปล่า”
 
รองผู้บัญชาการใช้มือไปทางบันไดเลื่อนก่อนเอ่ยถามสถานการณ์ เฟลเซียไม่ตอบแต่นำทหารตรงลงบันไดที่เคยเลื่อนไปหาลังกระสุน ยูคิเอะจึงตอบแทนว่า
 
“ใช่ ก่อนเราจะออกจากที่นั่นไม่นานมีพวกโนเบิลส่วนหนึ่งบุกมาถึงแล้ว สถานการณ์ทางด้านพวกคุณเป็นยังไงบ้าง”
 
ร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวไม่ตอบแต่ผายมือไปรอบตัวให้ผู้ถามมองตาม ภาพที่เห็นเป็นทหารราบ 8 นายและจอมเวทชายหญิง 1 คู่ ก่อนจะตะโกนตอบเพิ่มเติมแข่งกับเสียงปืนว่า
 
“แล้วก็ข้างล่างยังมีทหารราบอีก 1 หมู่ครึ่ง จอมเวทหญิง 1 นาย พลประจำรถถัง 1 นาย แล้วก็ลังกระสุนเวทมนตร์อีก 2 ลัง”
 
“แล้วอาวุธ”
 
ยูคิเอะถามต่อ
 
“ไรเฟิลจู่โจม 9 ปืนกลอเนกประสงค์ 3 ไรเฟิลซุ่มยิง 2 ไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุ 1 ลูกซอง 4 และอาเรียอาร์มอีก 2”
 
“อาเรียอาร์มเหรอ”
 
ยูคิเอะร้องถามขึ้นอย่างสงสัย
 
“ขีปนาวุธต่อต้านยานเกราะปัญญาประดิษฐ์ เพิ่งเข้าประจำการได้เมื่อ 2 วันก่อน” (ARtificial Intelligence Anti-ARmor Missile (ARIAARM))
 
“แล้วทางออกจากที่นี่... ฉันหมายถึงเส้นทางถอนกำลัง”
 
“พวกกบฏปิดเส้นทางบนพื้นดินเอาไว้หมดแล้ว...”
 
พูดยังไม่ทันขาดคำยูคิเอะก็ขัดขึ้นก่อนอย่างร้อนใจ
 
“มีทางจะตีฝ่าออกไปได้รึเปล่า”
 
แต่ทว่าตรงกันข้ามกับรองผู้บัญชาการสาวครึ่งแวมไพร์ที่ดูใจเย็นตัดกับสถานการณ์ที่กำลังมีการยิงกันราวกับนรกแตก กลับมีรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความมั่นใจปรากฏขึ้นด้วยซ้ำ
 
“ไม่จำเป็นต้องตีฝ่า พลประจำรถถังของเราบังเอิญเป็นช่างเครื่องด้วย ข้างล่างมีรถไฟจอดอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ เขากำลังซ่อมมันอยู่...”
 
ก่อนที่ซูเปอร์โซลเจอร์สาวตรงหน้าจะปริปากพูดขัดขึ้นมาอีกรองผู้บัญชาการก็ยกมือขึ้นปรามแล้วพูดต่อ
 
“ไม่ต้องกังวลเรื่องกับดัก ตอนนี้จอมเวทที่อยู่ข้างล่างกำลังล่วงหน้าไปปลดกับดักเปิดทางให้อยู่ แต่มันมีเรื่องน่าเป็นห่วงอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า เบรกของหัวรถจักรเสียหายถึงขั้นต้องถอดเปลี่ยน นั่นหมายความว่าถ้าจะเบรก เราต้องเบรกด้วยเวทมนตร์สถานเดียว”
 
สาวกึ่งภูติเพลิงที่กำลังลุกเป็นไฟได้ยินดังนั้นก็เย็นลงได้บ้าง แต่ก็ยังคงร้อนอยู่ดี ...เบรกรถไฟที่ความเร็วสามสี่ร้อยด้วยเวทมนตร์เนี่ยนะ เอาเถอะยังไงทางเลือกนี้ก็ดีกว่าต้องฝ่าแนวปิดล้อมออกไป... ยูคิเอะคิด แล้วสบตากับร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า
 
“อีกนานไหมกว่าจะซ่อมเสร็จ”
 
“น่าจะราวๆ อีก... ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ไม่รวมเวลาที่จอมเวทหญิงคนนั้นจะกลับมารวมกับเรา”
 
ยูคิเอะถึงกับผงะแล้วไฟในใจก็โหมแรงขึ้นอีกครั้งพลางก็คิดไปอย่างอึดอัดใจ ...อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะ แล้วไหนจะแม่จอมเวทนั่นอีก...
 
ทันใดนั้นเฟลเซียและโอเคอร์ก็โผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมอาวุธคู่กาย ของโอเคอร์ก็หนีไม่พ้นปืนกลกล้องหมุนคู่ประจำชุดเกราะ ส่วนเฟลเซียก็เป็นเครื่องยิงลูกระเบิดที่เคยใช้ย่างสดกลุ่มนักรบกบฏที่ลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าอันเป็นศูนย์บัญชาการส่วนหน้า
 
“อีกหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยรถจะออก มาช่วยกันก่อนเถอะ เอสดีเอส”
 
โอเคอร์บอกกับยูคิเอะโดยไม่หันไปมองขณะเดินไปที่แนวป้องกับแล้วเข้าร่วมกับทหารราบในทันที ในขณะที่เฟลเซียยืนอยู่วงในคอยส่งหัวรบระเบิดแรงสูงลอยโค้งโด่งออกไปจากแนวตั้งรับเข้าหาที่กำบังของฝ่ายกบฏ ซึ่งก็คือช่องหน้าต่างทุกบานที่มีประกายไฟอันเกิดจากการยิงปืนแลบออกมา เห็นดังนั้นยูคิเอะจึงควักเอาปืนกลหนักคู่ออกมาประกอบแล้วอุ้มขึ้นที่สูง คือหน้าต่างของอาคารที่อยู่ด้านหลัง แล้วประกอบลงกับขาหยั่งก่อนจะชักปืนลูกซองออกมาร่ายเวทอะไรบางอย่างลงไปแล้วกดไกยิงออกไปไม่กี่นัด ผนังตรงหน้าก็ระเบิดออกเป็นช่องกว้างพอให้มองลอดออกไปเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ ก่อนจะเก็บปืนลูกซองแล้วหันมากระชับด้ามปืนทั้งสองแล้วเหนี่ยวไกสาดออกไปอย่างไม่เลี้ยงส่งเสียงดังเด่นขึ้นจากเสียงปืนกระบอกเล็กๆ ทั้งหมด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา