Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  31 วิจารณ์
  33.71K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) War against the Noble 3 [Part 5]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ภาคใต้ของสหภาพเออริคาสตัน จุดยุทธศาสตร์จังค์ยาร์ด
 
กองกำลังโนเบิลด้านตะวันตก
 
“คิงส์แอทแทกเกอร์ถึงทุกหน่วย ถ้าเริ่มมองเห็นเนินเขา ช่องเขา หรือภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการซุ่มโจมตีให้หยุดขบวน แล้วก็เรียนผู้บังคับการกองกำลังแต่ละส่วนใครหยุดให้นับเลขด้วย เราจะเข้าตีพร้อมๆ กัน แต่ถ้าใกล้ครบเวลา 20 มานิค ให้บุกได้เลย ไม่ต้องรอ แต่บุกเข้าไปแค่นำขบวนเข้าไปในช่องเขาไห้หมดก็พอ ปืนใหญ่ของพวกมันจะไม่ยิงใส่เรา เมื่อเข้าไปแล้วให้หาที่ซ่อนแล้วก็วางการป้องกันให้ดี ให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกพวกมันโจมตีไม่ว่าจะรูปแบบไหน จากนั้น... ให้รอคำสั่ง แล้วก็ไม่ต้องกลัวกับดักระเบิด เพราะเมื่อเข้าไปถึงลานโล้งกว้างแล้วจะไม่มีกับระเบิด แต่พวกสวะจะวางกำลังดักโจมตีพวกเราเอาไว้ แม้เราจะมองไม่เห็นพวกมัน แต่เรามีปืนโต ใช้อาวุธหนักที่สุดที่เคลื่อนที่ได้คล่องตัวยิงส่งเดชสวนไปเลย ขอให้โชคดี เลิกกัน”
 
ภายในศูนย์สั่งการเคลื่อนที่ ผู้บัญชาการชั่วคราวออกคำสั่งเร็วปรื๋อ ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณไปยังบุตรชาย
 
“พันโท โรแนน กิลเดอร์โรป ถึงพันเอกหญิง ฮากาเนะ โอนิคามะ ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรกับท่าน ข้าขอให้ท่านช่วยปิดช่องทางสื่อสารอื่นทั้งหมดก่อน”
 
จากนั้นเสียงของนายทหารหญิงผู้เคร่งกฎก็ดังสวนมาอย่างมีโทสะเล็กน้อย
 
“พันเอกหญิง ฮากาเนะ โอนิคามะ... ทำไมข้าถึงต้องทำแบบนั้น”
 
“ทำไปเถอะ”
 
จู่ๆ ก็เกิดห้วนๆ ขึ้นมาแบบนี้ทำเอาฮากาเนะงันไป จึงสั่งกับพลขับให้ปิดช่องการสื่อสารอื่นทันที แล้วเริ่มคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
 
“มีอะไรเหรอ”
 
ในขณะเดียวกัน ทางด้านกองกำลังเอไพด์เมียร์ที่กำลังรอต้อนรับผู้มาเยือนอย่างไม่เป็นมิตรด้วยอาวุธหนักนานาชนิด ซึ่งบ้างก็ตั้งพื้น บ้างก็ใช้มือถือ แต่ล้วนแล้วมีแต่จำพวก ‘ปืนโต’ ทั้งสิ้น นอกจากนี้เบื้องหลังออกไปเป็นแนวยานเกราะวอล์กเกอร์รูปแมงมุมแปดขาดูปราดเปรียว ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบเท่าที่จะแทรกเข้าไปได้และสามารถเข้าออกได้สะดวก บนหลังเป็นแท่นปืนใหญ่แฝดที่นูนสูงขึ้นไปพอจะให้หันยิงได้รอบทิศ
 
มนุษย์ชายหนุ่มผิวแทนร่างกำยำผมสั้นสองสีเหลืองอ่อนด้านหน้าและที่เหลือดำหมด ในชุดที่ไม่ต่างจากทหารราบรอบๆ ตัวเพียงแต่ไม่ติดยศและแต่งแบบไม่เรียบร้อย บริเวณแขนเสื้อท่อนบนด้านขวาแทนที่จะเป็นยศ แต่กลับเป็นอาร์มที่ปักตัวอักษรภาษาโอเคิร์น (ภาษาอังกฤษ) ว่า “JOTS” ใบหน้ารูปไข่ของเขานั้นเนียนเกลี้ยงดูหล่อเหลาแต่ก็แฝงไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ โดยเฉพาะดวงตาดำสนิทที่กำลังมองกล้องส่องทางไกลขณะนอนหมอบ มือข้างซ้ายจับกล้อง ส่วนอีกข้างกำด้ามปืนใหญ่ต่อต้านเป้าวัตถุอัตโนมัติ ซึ่งตั้งขาทรายไว้เรียบร้อย
 
“เริ่มเห็นพวกมันบ้างรึยัง ครูส”
 
เสียงใหญ่ห้วนๆ ดังจากข้างหลังของชายหนุ่ม ซึ่งมันทำให้เขาคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างกลุ้มๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจากต่ำไปสูงอย่างถากถาง ขณะยังอยู่ในอิริยาบถเดิม
 
“โจ๊กเกอร์โว้ย โจ๊กเกอร์ ออฟ เดอะ ซาตาน... แล้วแกได้ยินเสียงปืนหรือเสียงยิงเวทมนตร์บ้างรึยัง ไอโง่”
 
โทรลซูเปอร์โซลเจอร์มาดเข้มก้าวมาทางข้างซ้าย นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง แล้วชักเครื่องยิงจรวดออกมาไว้บนบ่าก่อนเอ่ยถามอย่างฉลาด
 
“เออๆ ขอโทษทีว่ะ ไอฉลาด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วถ้าแกเป็นพวกมันแกจะเล่นงานพวกเรายังไง”
ครูสหัวเราะหึหึ อย่างชอบใจเหมือนกำลังรอคำถามนี้แล้วตอบว่า
 
“ฉันก็จะออกคำสั่งให้กำลังทั้งหมดแห่บุกกันเข้ามาจนเรายิงไม่ทันไง แต่สำหรับรายนี้ฉันยอมรับว่าสุดจะคาดเดาว่ะ มันผิดธรรมดาไปจากนายทหารโนเบิลทั่วไปที่เอาแต่เคร่งกฎบ้าๆ บอๆ แต่ถ้าเป็นไอผ่านศึกนี่เราจะโดนตลบหลังจนตั้งตัวไม่ติดก็ไม่แปลก”
 
แม้จะเป็นการพูดคุยกันระหว่างคนสองคนแต่รอบข้างก็ได้ยินไปทั่ว และต่างเสียงสันหลังวาบกันทั่วหน้า
 
เดสตรอยเยอร์เม้มปากเลิกคิ้วอย่างเออออห่อหมก
 
“ฉันก็ว่างั้น พวกโนเบิลมีของดีตั้งมากแต่ไม่รู้จักใช้ แล้วในที่สุดสิ่งที่พวกเราไม่อยากจะเจอมากที่สุดก็มาหาเรา... ผู้บัญชาการโนเบิลหัวก้าวหน้า สนุกแน่ละงานนี้ บังเอิญฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องใช้สมองซะด้วย”
 
ครูสยิ้มอย่างชอบใจ แล้วเอ่ยปากบอกเพื่อนร่วมหน่วยเชิงให้กำลังใจกึ่งเสียดสี
 
“ช่างเถอะ อย่างน้อยแกก็ยังแบกเครื่องยิงระเบิดมหาประลัยอยู่นี่ ฉันกำลังต้องการหน่วยปืนใหญ่ที่แสนซื่อตรงอยู่พอดี”
 
เดสตรอยเยอร์เหล่ตามองอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไร เพียงแต่คิดในใจว่า ...เออๆ ก็ได้ ฉันจะยอมแกสักครั้ง ถ้าไม่ติดว่าจะต้องร่วมมือกันรักษาที่นี่เอาไว้ฉันจะดึงแกมาบังกระสุนเป็นคนแรกเลย...
 
เหล่ากองกำลังป้องกันจุดยุทธศาสตร์ยังคงรอต่อไปอย่างอดทน รอเหยื่อที่จะเข้ามาเป็นเป้าซ้อมยิงหรือไม่ก็เหยื่อที่จะเข้ามาไล่ล่าผู้ล่า
 
ด้วยกล้องส่องทางไกลหลายอัน กวาดไปทั่วลานประหารสำหรับพวกโนเบิล หนึ่งในพวกเขาร้องตะโกนออกมาว่า
 
“ตรวจพบการเคลื่อนไหว”
 
ผ่านกล้องอันอื่นออกไปพวกเขากวาดสายตาไปยังจุดแดงที่เกิดจากการชี้เป้าของผู้ที่ตรวจพบ สิ่งที่เห็นไม่ใช่กองทัพ แต่เป็นทหารโนเบิลสองนาย เป็นหญิงทั้งคู่ คนหนึ่งดูจากชุดน่าจะเป็นนายทหาร ส่วนอีกคนน่าจะเป็นหน่วยรบพิเศษ แต่สิ่งที่น่าสังเกต คือ ฝ่ายหน่วยรบพิเศษนั้นกำลังฉุดกระชากลากจูงนายทหารหญิงมา เหมือนกับว่ากำลังลักพาตัวเพื่อส่งให้กองกำลังเอไพด์เมียร์
 
“เอายังไงดี โจ๊กเกอร์”
 
เดสตรอยเยอร์ถาม
 
“ท่าทางจะเป็นพวกกลุ่มโนเบิลหัวก้าวหน้า ลักพาตัวนายทหารมาส่งตัวให้พวกเรา”
 
เป็นคำตอบเรียบๆ ของผู้บัญชาการจำเป็น แต่มันทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาชั่วคราวของเขางงนิดๆ จึงมีคำถามต่ออีกว่า
 
“กลุ่มโนเบิลหัวก้าวหน้าเหรอ”
 
“พวกโนเบิลนอกรีตไง...”
 
ครูสละสายตาจากกล้องส่องทางไกลแล้วหันหน้าไปหาเดสตรอยเยอร์ก่อนจะให้คำตอบ จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งอย่างเร็วพร้อมชี้นิ้วในทันที
 
“เดสตรอยเยอร์ ไปรับตัวพวกหล่อนมา แล้วก็นายสองคนตามเดสตรอยเยอร์ไป”
 
โดยไม่รอช้า ซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้ม พร้อมทหารออร์คและดาร์คเอลฟ์สาว ก็ผละออกจากที่กำบังแล้วรีบวิ่งออกไปรับบุคคลที่คิดว่าน่าจะเป็นโนเบิลนอกรีตพร้อมนายทหารหญิงแห่งกองทัพผู้ประเสริฐทันที
 
ทางด้านสองสาวที่น่าจะเป็นโนเบิลหัวก้าวหน้าและนายทหารหญิงโนเบิลที่ถูกลักพาตัวก็เคลื่อนเข้าใกล้ป้อมปราการธรรมชาติเข้าไปทุกที
 
“เล่นละครเก่งเหมือนกันนี่”
 
เสียงพูดอย่างชมเชยดังไม่เกินกระซิบจากฝ่ายหน่วยรบพิเศษ ซึ่งก็คือซินเทียนั่งเอง ขณะเดินกึ่งฉุดกึ่งลากนายทหารหญิงผู้กำลังเล่นละครไปอย่างแนบเนียนโดยพันเอกหญิง ฮากาเนะ โอนิคามะ โดยที่เธอยอมถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือของชาวโนเบิลเอง
 
“ถ้าไม่ติดว่าเราโอนอำนาจบัญชาการไปให้คิงส์แอทแทกเกอร์ละก็ข้าไม่มีวันทำแบบนี้หรอก”
 
ฝ่ายนายทหารหญิงก็พูดดังไม่เกินกระซิบเช่นกัน ในขณะที่แสร้งทำเหมือนคนไม่เต็มใจเดินอย่างเนียนสนิท
 
ฝ่ายผู้เล่นละครเป็นโนเบิลนอกรีตไม่สนใจกับคำพูดนั้นนัก แต่กลับถามว่า
 
“ท่านพูดภาษาของพวกสวะได้กี่ภาษา”
 
“ไม่ได้สักภาษา ถามทำไม”
 
ฮากาเนะตอบเรียบๆ พลางเหลือบตามองไปที่คนลากอย่างสงสัย แล้วคำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะหึหึก่อนจะตามด้วยคำตอบที่ออกเป็นการดูถูกเล็กน้อย
 
“ดีแล้ว นายทหารฝ่ายเราส่วนมากพูดภาษาพวกสวะไม่ได้ ท่านจะได้ไม่ต้องพูด จะได้ดูแนบเนียนหน่อย”
 
เมื่อสิ้นเสียง ผ่านทางระบบขยายภาพ ช่องเขาแคบๆ ขนาดให้คนตัวใหญ่ๆ เดินเรียงหน้ากระดานเข้าออกได้ทีละ 5 คนซึ่งเปิดโล่งจนดูเหมือนปราศจากการป้องกัน คณะต้อนรับอย่างเร่งรัดที่กองกำลังฝ่ายศัตรูส่งมาก็พากันวิ่งเหยาะๆ โดยมีซูเปอร์โซลเจอร์โทรลวิ่งนำมา ในมือเป็นปืนลูกซองจู่โจม 1 กระบอก และข้างหลังเยื้องซ้ายขวาเป็นทหารราบชายหญิงต่างเผ่าพันธุ์พร้อมไรเฟิลจู่โจมกระชับไว้ในมือ
 
“หยุด แสดงตัวด้วย”
 
เสียงตะโกนของโทรลที่กำลังวิ่งเข้ามาแผดดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำเป็นภาษาของชาวโนเบิล ในขณะเดียวกันทั้งคณะต้อนรับก็หยุดวิ่งแล้วนั่งชันเข่าข้างหนึ่งในท่านั่งประทับเล็ง พร้อมกับเล็งปืนไปที่สองสาวชาวโนเบิลที่คาดว่าน่าจะเป็นพวกโนเบิลนอกรีตที่กำลังลักพาตัวนายทหารฝ่ายศัตรูมาส่งตัวให้
 
“ฉันชื่อซินเทีย มอร์นิ่งเชด ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเรื่องนายทหารหญิงคนนี้ นายทหารหญิงคนนี้เป็นผู้สั่งการหลักของกองกำลังของจักรพรรดิที่จะเข้าโจมตีที่นี่ เพื่ออิสรภาพและการสิ้นสุดของยุคจักรวรรดิ”
 
ซินเทียตอบอย่างเต็มเสียง แต่ในใจของเธอก็ตื่นเต้นระทึกไม่แพ้ฮากาเนะเช่นกัน แต่แล้วฝ่ายเอไพด์เมียร์ก็งับเหยื่อเข้าเต็มเปาอย่างไม่น่าเชื่อ ซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้มลดปืนลงพลางส่งสัญญาณมือว่าให้ลดอาวุธให้กับทหารราบอีกสองนายที่ตามมาด้วย ก่อนจะพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสารไปยังผู้บังคับบัญชาชั่วคราวว่า
 
“เดสตรอยเยอร์ถึงโจ๊กเกอร์ แม่นี่เป็นพวกกลุ่มหัวก้าวหน้าจริงๆ ด้วย แล้วก็ท่าทางคนที่หล่อนพามาด้วยจะเป็นคนสำคัญทีเดียว เปลี่ยน”
 
“ให้พวกหล่อนเข้ามา แล้วพาเข้าไปในเขตกักกัน แล้วก็อีกอย่างนะ ใช้มาตรการ ‘กล้องรักษาความปลอดภัย’ ด้วย เปลี่ยน”
 
ด้วยคำตอบที่ส่งมาอย่างฉลาด เดสตรอยเยอร์พยักหน้าเนิบๆ อย่างเข้าใจแล้วเขาก็กวาดตาสังเกตสองสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างคิดวิเคราะห์ ก่อนจะได้จุดสังเกตที่น่าสงสัยมาว่า ทำไมฝ่ายที่ลักพาตัวถึงไม่ถือปืนมาสักกระบอก นอกจากนี้สภาพที่มาให้เห็นก็เป็นคนที่ลักพาตัวอยู่ข้างหน้า ส่วนคนที่ถูกลักพาตัวอยู่ข้างหลัง ...เอ มันแปลกดีนะ จะว่าแม่นี่หละหลวมกับนังนายทหารนี่หัวทึบ มันก็พอเป็นไปได้เหมือนกัน แต่จะว่าไปถ้านี่เป็นแผนของพวกโนเบิลส่งสองคนนี่เข้ามาป่วนพวกเราก็เป็นไปได้เหมือนกัน หรือว่านายทหารหญิงนี่จะเป็นคนสำคัญมากจริงๆ พวกนั้นถึงได้มาเข้าตีที่นี่เพื่อยึดและช่วยเหลือไปพร้อมๆ กัน... โทรลมาดเข้มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าไปทางปราการธรรมชาติเป็นเชิงบอกว่าตามมา
 
เชลยศึกโดยเล่นละครถูกผลักไปข้างหน้าอย่างแรงจนแทบล้มคะมำก่อนจะสะบัดหน้ามาหาซินเทียด้วยความลืมตัวทำท่าเหมือนจะตวาดแวดขึ้น ผู้เล่นบทโนเบิลนอกรีตจึงส่ายหน้าเล็กน้อยเชิงปรามก่อนจะเตือนด้วยเสียงกระซิบว่า
 
“พวกสวะรู้ภาษาของเราถึงขนาดอ่านออกเขียนได้ โดยเฉพาะพวกซูเปอร์โซลเจอร์ ลืมแล้วเหรอ”
นับเป็นโชคดีที่ทางฝ่ายผู้ออกมาต้อนรับไม่มีใครสังเกต ทั้งสามลุกขึ้นยืนในขณะที่สองสาวเริ่มเดินเข้าไปหา
 
ในขณะเดียวกันทางฝ่ายของคิงส์แอทแทกเกอร์ เสียงการระดมยิงดังผ่านเข้ามาภายในตัวยานเกราะเป็นระยะๆ ตามด้วยเสียงระเบิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งจากกับระเบิดและจากอาวุธหนักของทหารราบ สองพ่อลูกนั่งเผชิญหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
 
“สมัยนั้นไม่เห็นมันจะเยอะแบบนี้เลย แสดงว่าเราอาจจะบุกผ่านชั้นที่สองเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
คิงส์แอทแทกเกอร์บ่นออกมาส่อแววท้อแท้
 
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ก็เพราะแบบนี้ข้าถึงได้ใช้แผนสุดแหกคอกแบบนั้นไง ท่านพูดเองไม่ใช่เหรอว่าต้องลองดูสักตั้ง”
 
บุตรชายให้กำลังใจ พร้อมกับย้ำคำพูดอันมั่นใจของผู้เป็นพ่อ ซึ่งภายใต้หมวกรบ ทั้งคู่ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง คิงส์แอทแทกเกอร์หัวเราะในลำคอก่อนจะเริ่มคุยอย่างเรื่อยเปื่อยระหว่างรอให้ขบวนไปถึงที่หมาย
 
“แผนแหกคอกสุดระห่ำนี่ ท่านเรียนมาจากใครเนี่ย”
 
“ข้าเรียนมาจากพ่อของข้าเอง ท่านเป็นทหารผ่านศึก ตอนนี้เป็นหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์อยู่”
โรแนนมีอารมณ์ร่วมสนุกด้วยตอบอย่างตรงไปตรงมา
 
“แล้วพ่อของท่านชื่ออะไร เผื่อข้าจะรู้จัก”
 
“ท่านชื่อ โดเซน กิลเดอร์โรป”
 
ในขณะที่ความไร้สาระเริ่มก่อตัวเป็นความครึกครื้น ก็มีเสียงเข้าแทรกเสียก่อน เป็นเสียงนับเลข 1 ทำให้สองพ่อลูกเปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลัน
 
“เหลือเวลาอีก 7 มานิคครึ่ง”
 
ทั้งคู่โพล่งขึ้นพร้อมกัน และต่างมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น และในขณะนั้นเองก็มีเสียงนับเลข 2 ดังขึ้นอีก และจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีการนับเลข 3 4 5
 
“พวกเราถึงที่หมายแล้ว คิงส์แอทแทกเกอร์ ท่านจะเอายังไงต่อ”
 
พลขับพูด ในขณะที่โดเซนถอนหายใจอย่างโล่งอก
 
“คิงส์แอทแทกเกอร์ถึงทุกหน่วย บุกได้ บุก บุก อย่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว”
 
โดเซนออกคำสั่งอย่างแข็งกร้าว เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงโห่ร้องตะโกนลั่นระงมดังมาจากภายนอก แซมด้วยเสียงฝีเท้าหลายคู่ตบลงพื้นดิน
 
กองกำลังโนเบิลหกจากเจ็ดส่วนที่เหลือทั้งหมด กำลังบุกดาหน้าเข้าหาป้อมปราการธรรมชาติอย่างดุดัน และแน่นอนทางฝ่ายที่ซุ่มซ่อนตัวตั้งรับต่างพากันยิงถล่มสวนมาด้วยอำนาจการยิงอย่างมโหฬารที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับทหารราบติดอาวุธหนักและปืนประจำยานเกราะ มีตั้งแต่หัวกระสุนต่อต้านเป้าวัตถุไปจนถึงหัวกระสุนระเบิดสะเก็ดแรงสูงขนาดใหญ่จากปืนใหญ่บนวอล์กเกอร์ ทางฝ่ายนักรบแห่งกองทัพผู้ประเสริฐเองก็ยิงสวนกลับไปด้วยอาวุธหนักในมือ กระสุนพลาสมาพุ่งยาวเป็นขบวนรถไฟตรงเข้าใส่จุดที่ปืนชี้ไปแบบยิงส่งเดช
 
สิ่งที่ทางฝ่ายโนเบิลมองเห็นมีเพียงประกายไฟจากปืนแต่ละกระบอกที่ระยิบระยับเป็นจุดเล็กๆ เหมือนดวงดาวที่เปล่งแสงเวลาแหงนมองดูท้องฟ้าเวลากลางคืนเท่านั้น แต่ทว่าทางฝ่ายตั้งรับนั้น มันเหมือนกับการยิงเป้างานวัด พื้นที่โล่งเตียนตรงหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยทหารราบฝ่ายข้าศึกนับร้อยๆ ซึ่งแทบไม่ต้องเล็งประณีตก็ยิงโดน แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนของพวกเขานั้นยังนับว่าน้อยกว่าฝ่ายศัตรูถึงสิบต่อหนึ่งถ้านับรวมหน่วยยานเกราะด้วย
 
ในขณะเดียวกัน ทางด้านซินเทียและฮากาเนะที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่ป้อมปราการธรรมชาติ โดยทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนรถหุ้มเกราะขนาดเบาล้อสายพาน ด้านบนเป็นป้อมปืนขนาดเล็กติดอาวุธเพียงปืนใหญ่คู่ขนาดเล็ก ภายในนอกจากหน่วยแทรกซึมจำเป็นแล้วทหารฝ่ายเอไพด์เมียร์ 6 คนนั่งไปด้วย ซึ่งก็คือเต็มที่นั่งในรถ และล้วนเป็นออร์ค โทรล และดาร์คเอลฟ์ทั้งสิ้น และหนึ่งในนั้นก็คือเดสตรอยเยอร์ แต่ที่น่าแปลกก็คือทั้งหมดขนาดตัวเท่ากันหมด ซินเทียสังเกตอยู่แล้ว จึงเอ่ยปากถามขึ้น
 
“ทำไมพวกคุณถึงได้ตัวเท่ากันหมดล่ะ ตอนอยู่ข้างนอกเห็นแต่ละคนอย่างเตี้ยสูงตั้งสองเมตร”
 
“เทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ เรียกว่า มิติเท่าเทียม เรียกว่าสมชื่อทีเดียวล่ะ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ขอให้เป็นคนก็พอ มนุษย์ เอลฟ์ ดาร์คเอลฟ์ อ็อบบิท แคระ ออร์ค โทรล แล้วก็พวกลูกครึ่งหรือลูกเสี้ยวอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามุดหัวเข้าไปได้ก็ย่อส่วนหรือขยายส่วนตัวเองได้”
 
ดาร์คเอลฟ์สาวข้างๆ เธอตอบอย่างภาคภูมิใจพลางนั่งกดเกมเครื่องเกมกดขนาดพกพาอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะแสดงสีหน้าแหยๆ ในขณะที่โทรลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มหน้าบานหัวเราะเบาๆ ซึ่งเขาก็ถือเกมกดแบบเดียวกันไว้ด้วย
 
ซินเทียหันมองที่หน้าจอเกมของดาร์คเอลฟ์สาว เกมที่กำลังเล่นกันอยู่นั้นเป็นเกมหมากรุก และสาเหตุที่ทำให้ดาร์คเอลฟ์สาวหน้าแหย คือ ตัวหมากราชาของเธอถูกต้อนจนมุมกลางกระดาน ซินเทียหันมองฝั่งตรงข้าม ก็เห็นทหารโทรลคนนั้นทำสัญญาณมือ ชี้นิ้วชี้ข้างขวาขึ้นพลิกหลังมือให้คู่ต่อสู้ก่อนจะพลิกกลับแล้วปาดไปมาจากนั้นก็หุบนิ้วชี้ลงพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นชี้ที่หน้าอกตัวเอง ก่อนจะคลายมือแล้วใช้ทั้งสองมือหงายแล้วค่อยๆ กำมืออย่างแข็งแรงพร้อมๆ กับยกขึ้น แล้วใช้มือขวากำมือย้ำเชิงส่งสัญญาณว่า ‘บดขยี้แหลกลาญ’ จนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
 
“ใครต่อไปดี”
 
ผู้ชนะโพล่งถามขึ้น แต่ไม่มีใครตอบรับ ราวกับปฏิเสธคำท้าทายจากเทพเจ้า ซินเทียเองก็ไม่รับคำท้าเช่นกัน เพราะเธอเล่นไม่เป็น
 
จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ทางฝ่ายโนเบิลนอกรีตปลอมยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย แต่ทว่าทางด้านกำลังโนเบิลทางตะวันออกนั้นกลับกำลังดุเดือดกว่าด้านอื่นๆ
 
หุ่นยนต์รบตัวเท่าตึกที่ยังเหลืออยู่อีก 3 หน่วย กำลังเดินจ้ำเข้าประชิดแนวป้องกันอย่างทรหด เป็นเป้าซ้อมยิงเพื่อพัฒนาฝีมืออย่างแย่เพราะขนาดอันใหญ่โตของมัน อาวุธต่อต้านยานเกราะจำนวนมากถูกระดมยิงไปที่พวกมันจนผิวทางด้านหน้ายับเยินจนไม่น่าดู แผ่นเกราะหลายแผ่นที่ติดตั้งไว้อย่างดี ตอนนี้หลุดหายไปกว่าครึ่ง และทันใดนั้นเองตัวแรกก็ล้มลงไปทางแนวป้องกันพาดเอนไว้แต่ทางฝ่ายป้องกันแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยนอกจากแรงสะเทือน แต่ก็นับเป็นโชคดีอยู่บ้างที่หน่วยปืนใหญ่สุดโหดอย่างเดสตรอยเยอร์ไม่ได้ออกมาแผลงฤทธิ์
 
“เลือกยิงพวกที่จับกลุ่มกันก่อน”
 
ครูสตะโกนสั่งไปพลางยิงกราดออกไปอย่างบ้าคลั่งด้วยปืนใหญ่ต่อต้านเป้าวัตถุอัตโนมัติในท่านอนยิง มือหนึ่งกระชับด้ามปืนแน่นกดไกแช่ อีกมือหนึ่งจับที่ซองกระสุนขนาดมหึมา ซึ่งเมื่อกระสุนหมดแต่ละครั้งเขาสามารถดึงออกแล้วเปลี่ยนใหม่ได้อย่างรวดเร็วจากซองกระสุนที่บรรจุเต็มนับสิบซองที่วางเตรียมไว้ข้างๆ ตัว ด้านหน้าเป็นขาทรายอันแข็งแรงที่กางออกเพื่อตั้งปืนให้มีความมั่นคง แต่ด้วยแรงถีบที่มากทำให้ปืนสั่นเป็นเจ้าเข้า ตัวคนยิงเอาก็สะท้านทุกครั้งที่ปืนดีดกลับ และเช่นเดียวกับเขา คนอื่นๆ ก็ใช้ปืนแบบเดียวกันนอนประทับยิงในลักษณะเดียวกัน เบื้องหลังออกไปไม่กี่เมตรเป็นแนวปืนครก ซึ่งมีทหารประจำกระบอกละสองนาย ต่างผลัดกันหยิบหัวจรวดที่วางอยู่ข้างๆ ยัดใส่ปากลำกล้องเพื่อยิงออกไปโดยมีก้อนหินขนาดเท่าครกตำน้ำพริกวางกดทับลงที่ฐานปืนเพื่อความมั่นคง แม้ตัวมันเองจะใช้เทคโนโลยีรักษาจุดตกด้วยคอมพิวเตอร์ก็ตาม และเบื้องหลังแนวปืนครกก็เป็นวอล์กเกอร์รูปแมงมุมที่กำลังยิงหัวรบระเบิดสะเก็ดแรงสูงออกไปอย่างถี่ยิบด้วยการยิงแบบหมุนผลัดเปลี่ยนลำกล้องไปเรื่อยๆ แต่ท่ามกลางแนวตั้งรับกลับมาทหารจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ช่วยยิงสกัดการบุก แต่กลับถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้
 
“ระยะ 500 เมตร”
 
หนึ่งในนั้นตะโกนออกมาสุดเสียงแข่งกับเสียงปืน ก่อนจะตามด้วยอีกหลายนายในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วการระดมยิงส่วนใหญ่ก็หยุดลงชั่วขณะ เหลือเพียงปืนครกและยานเกราะเท่านั้น ส่วนพวกที่ใช้ปืนใหญ่อัตโนมัติต่างเปลี่ยนมาเป็นปืนกลอเนกประสงค์ ซึ่งวางเตรียมพร้อมไว้ข้างๆ กายแทน พวกเขาเพียงหยิบมาตั้งประทับเล็งแล้วยิงกราดออกไปอย่างง่ายๆ แม้ขนาดหน้าตัดหัวกระสุนจะเล็กลงอย่างมาก แต่อำนาจการยิงนั้นเพิ่มทวีขึ้นอย่างมากมาย ต่างยิงกราดกวาดกันไปมาในทิศตรงกันข้าม แต่ถึงกระนั้นก็เหมือนกำลังยิงเข้าใส่ก้อนหยกสุดแกร่งที่มีชีวิตจากกระที่หัวกระสุนพุ่งเข้าใส่เกราะพลังงาน ต้องใช้หลายนัดกว่าจะล้มได้สักคนหนึ่ง
 
“ระยะ 300”
 
หนึ่งในพลวัดระยะตะโกนขึ้นอีก
 
“ส่วนไหนถึงระยะ 300 แล้วถอยไปใช้แผนมนุษย์ถ้ำได้เลย”
 
โจ๊กเกอร์พูดผ่านเครื่องมือสื่อสารส่งคำสั่งไปยังทุกหน่วยในขณะที่ทหารราบรอบๆ ต่างพากันรวมอาวุธเข้าลังคลังแสงเคลื่อนที่แล้วโดยมีทหารสองนายหิ้วกันไปคนละข้าง และหน่วยยานเกราะเริ่มถอยไปเป็น ‘มนุษย์ถ้ำ’ ตามคำสั่งแล้วโดยเป็นการถอยไปยิงไป เมื่อสิ้นเสียงตัวเขาเองก็ลุกขึ้นแล้วเก็บยุทโธปกรณ์ของตัวเองทั้งหมดเข้าคลังแสงส่วนตัว ซึ่งเป็นหัวเข็มขัดสีเงินแต่ไม่เงา แล้วหันหลังวิ่งไปพลางหยิบเอาไรเฟิลซุ่มยิงออกมาด้วย
 
วอล์กเกอร์แมงมุมที่ดูปราดเปรียวนั้นมันปราดเปรียวจริงๆ ด้วยการวิ่งนำโด่งทหารราบราวติดจรวดหายเข้าไปในโพรงถ้ำที่ใหญ่พอจะมุดลอดเข้าออกได้สะดวก
 
การระดมยิงจากฝ่ายตั้งรับเบาบางลงตามลำดับจนกระทั่งหยุด แต่ทว่าก็เป็นไปตามที่คิงส์แอทแทกเกอร์คาดการณ์ไว้ หน่วยสตอร์มวอริเออร์ที่เหลืออีก 3 หน่วยบัดนี้ล้มตึงลงกับพื้นลานประหารโดยมีรอยรูกระสุนขนาดใหญ่และรอยถูกระเบิดรวมกันนับร้อยนับพันรอย เหล่านักรบโนเบิลที่เหลืออยู่ต่างพากันรีบวิ่งเข้าไปในซอกเขาแข่งกับเวลาที่กำลังหมดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งหมดสามารถเข้ามาอยู่ในช่องเขาได้ตามแผน
 
“คิงส์แอทแทกเกอร์ถึงทุกหน่วย พวกเราปลอดภัยจากปืนใหญ่แล้ว แต่อย่าเพิ่งดีใจ เพราะพวกเรากำลังจะถูกซุ่มโจมตีจากรอบทิศทาง เหมือนเดิมให้ใช้อาวุธที่หนักที่สุดที่ถืออยู่ในมือ ยิงถล่มเข้าไปในเหมือง รู ถ้ำ หรืออุโมงค์ทุกแห่งที่ผ่าน แต่จงจำไว้ให้ดี พวกสวะมียานเกราะที่สามารถรบในพื้นที่จำกัดและพื้นที่ภูเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็เลือกทางไปที่โล้งแจ้งเอาไว้ พยายามชิดผนังเอาไว้ นอกจากนี้ระวังเวทมนตร์ของพวกมันด้วย เคลื่อนพล”
 
เมื่อสิ้นเสียง กองกำลังแต่ละส่วนก็แยกเดินเป็นสองแถวชิดกับผนังหินทั้งสองด้าน
 
“อีกอย่างนึง ถ้าได้ยินเสียงหวีดแหลมให้หมอบลงให้เร็วที่สุด ถ้าไม่อยากตาย แล้วก็เรียนผู้บังคับบัญชาทุกท่าน ขอให้สละยานสั่งการด้วย มันจะไม่ปลอดภัย จึงขอให้ท่านร่วมเดินไปกับทหารราบ เพราะช่วงนี้ไม่ว่าจะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังก็มีค่าเท่ากัน กับดักกับลานประหารที่ผ่านมามันแค่เรียกน้ำย่อย ต่อไปนี้แหละของจริง ถ้าใครจะสวดมนต์ ขอให้ทำซะเลยก่อนจะไม่มีโอกาส สิ่งที่ข้าจะกำชับมีเท่านี้แหละ แล้วเจอกันตรงกลางขอให้โชคดี เลิกกัน”
 
สิ้นการสั่งความทหารทุกคนไม่ว่าจะระดับทหารเลวหรือผู้บังคับบัญชาต่างพากันสวดมนต์กันทั่วหน้าในขณะที่เคลื่อนทัพกันไป และตามที่โดเซนได้กำชับไว้ ไม่มีใครกล้าขัดผู้บัญชาการทุกคนและพลขับยานเกราะต่างสละยานพาหนะกันทุกคน และมันเป็นไปตามคำพูดของทหารผ่านศึกผู้มากประสบการณ์เตือนเอาไว้ เมื่อเกิดมีเสียงหวีดแหลมขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กันทั้ง 6 ด้าน กระสุนปืนครกลอยโค้งดิ่งตกลงยังเป้าหมายอย่างแม่นยำ ซึ่งก็คือยานหุ้มเกราะอันเป็นศูนย์สั่งการเคลื่อนที่ขนาดเล็ก เกิดเสียงระเบิดที่ดังจนน่าตกใจ ลูกไฟสีส้มแลบขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตรงกันข้ามกับฝุ่นควันที่ฟุ้งขึ้นมาอย่างมากมายปกคลุมยานแต่ละลำไว้ทั้งลำ ผู้ที่เพิ่งลงจากยานต่างกระเด็นปลิวไปกระแทกผนังหินอย่างแรง แต่โชคดีอยู่บ้างที่แต่ลำคนสวมเกราะที่สร้างมาอย่างดี จึงสามารถลุกขึ้นนั่งบ้างยืนบ้างเหมือนแค่หกล้มแรงๆ เท่านั้น
 
เมื่อฝุ่นควันจางลง ยานสั่งการหุ้มเกราะที่ดูน่าจะปลอดภัยกลับไม่ปลอดภัยจริงๆ เพราะบัดนี้มันกลายเป็นซากยู่ยี่กองอยู่ในหลุมที่ไม่ลึกเท่าใดนักจากแรงระเบิดแต่กว้างพอจะใส่ซากนั้นได้เต็มลำ
 
“สุดยอด”
 
โรแนนร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งไม่ต่างจากคนอื่นๆ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ไม่ใช่กับโดเซน เขากลับบอกกับทุกคนอย่างเรียบเฉยว่า
 
“อย่าไปสนใจ มันกำลังข่มขวัญพวกเรา ข้าเชื่อว่ามันรู้ว่าพวกเราจะสละยานสั่งการ มันถึงได้ยิงทิ้งด้วยกระสุนที่ส่งเสียงดังกว่าปกติ ไป เคลื่อนที่ต่อ”
 
เป็นไปตามที่โดเซนบอกจริงๆ เพราะทางด้านครูสที่กำลังซุ่มสังเกตการณ์ผ่านตากล้องปืนอัตโนมัติ ซึ่งภาพถูกอัพโหลดเข้ากล้องส่องทางไกลอยู่ในอุโมงเหมืองที่ลึกพอจะหลบพ้นอาวุธทุกอย่างที่ฝ่ายข้าศึกจะประเคนใส่ เขากำลังเม้มปากอย่างเครียดๆ และค่อนข้างไม่พอใจ ก่อนจะพึมพำเบาๆ ว่า
 
“ท่าทางจะไม่ได้ผล พวกมันรู้ว่าเรากำลังข่มขวัญ...”
 
กล้องลดลง มือหนึ่งยกขึ้นกดเครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋วที่สวมไว้กับใบหู
 
“โจ๊กเกอร์ถึงทุกหน่วย การข่มขวัญไม่ได้ผล แล้วก็ดูท่าทางพวกโนเบิลจะเริ่มเดินทัพกันเป็นแล้ว ขอให้ทุกหน่วยอย่าประมาทเด็ดขาด...”
 
จากนั้นเขาก็กดอีกครั้ง
 
“โจ๊กเกอร์เรียกเดสตรอยเยอร์”
 
“เดสตรอยเยอร์ เปลี่ยน”
 
“ฉันต้องการให้แกไปที่จุดส่องปืนใหญ่ แล้วยิงสนับสนุนพวกเรา เปลี่ยน”
 
“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ เลิกกัน”
 
เมื่อสิ้นการติดต่อ คิ้วของครูสก็ขมวดเข้าหากันอย่างครางแคลงใจ พลางคิดในใจว่า ...ปกติ มันไม่น่าจะตอบแบบนี้นี่หว่า แต่ว่าช่างเถอะ สถานการณ์แบบนี้มีทางเลือกมากซะที่ไหน... เขาหยุดคิด แล้วกลับมาสนใจกับเรื่องตรงหน้า แต่เมื่อเขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องอีกครั้ง ภาพที่เห็นกลายเป็นทิวทัศน์ข้างหน้าที่ผ่านการขยาย ไม่ใช่ภาพจากตากล้องปืนอัตโนมัติ
 
“ทหาร ฉันสั่งรึเปล่าว่าให้...”
 
ครูสหันไปต่อว่าอย่างหัวเสียด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แต่ทว่ายังไม่ทันได้ขาดคำก็มีเสียงรายงานมาอย่างหัวเสียเช่นเดียวกัน
 
“โจ๊กเกอร์ ไฟฟ้าของเราถูกตัดครับ”
 
...ยุ่งละสิ แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับทางด้านคานิสแน่ๆ เลย... ครูสคิดในใจด้วยอารมณ์ฉุน ก่อนจะหันไปกำชับกับทหารข้างหลังว่า
 
“ทหาร จัดการทางนี้ต่อที...”
 
แล้วเขาก็กดเครื่องมือสื่อสารที่หู
 
“เครซี่ฮีโร่ ฉันฝากแกบัญชาการต่อจากฉันที เดสตรอยเยอร์มีปัญหา เลิกกัน”
 
โดยไม่รอเสียงขานตอบ ครูสก็รีบหันกลับแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าทันที
 
ทางด้านซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้มนั้นเป็นไปตามที่คิดจริง เพราะเขากำลังดวลกับโนเบิลนอกรีตสาวปลอมอยู่อย่างดุเดือดด้วยดาบปลายปืนที่ติดกับลูกซองเหมือนกัน ส่วนนายทหารหญิงที่แกล้งถูกลักพาตัวนั้นในขณะนี้ดูเหมือนจะกำลังป่วนแนวรบของฝ่ายตั้งรับอยู่ ซึ่งสังเกตได้จากเสียงปืนใหญ่พลาสมาที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ และมักจะตามด้วยเสียงระเบิดอยู่เสมอ
 
...ทำไมข้าต้องมาทำอะไรที่ไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ด้วยนะ... ฮากาเนะบ่นในใจอย่างไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตนกำลังทำ คือการวิ่งเข้าออกอาคารที่เก็บเตาปฏิกรณ์สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อตัดกำลังของฝ่ายตั้งรับ เธอแน่จริงเหมือนกัน ทหารที่รักษาการอยู่ที่มีอยู่อย่างเบาบางถูกเธอยิงตายเป็นใบไม้ร่วง ส่วนหน่วยซูเปอร์โซลเจอร์ที่มีอยู่คนเดียวก็กำลังติดพันอยู่กับหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ที่แทรกซึมเข้ามาอย่างแนบเนียน
 
แม้ขนาดจะต่างกันลิบลับ แต่ก็สู้กันได้อย่างสูสี จนกระทั่งฝ่ายซูเปอร์โซลเจอร์เริ่มใช้เวทมนตร์ เริ่มจากการถุยน้ำลายที่ดูเหมือนเป็นแค่ของเหลวสกปรกและน่าขยะแขยง แต่ทว่าที่ถุยออกมานั้นกลับเป็นลูกดอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่หน้าอกของเป้าหมายราวกระสุนปืน
 
ซินเทียกระโดดถอยหลังหลบได้อย่างฉิวเฉียด ลูกดอกพุ่งลอดด่านไป เธอเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะถูกโจมตีด้วยลูกดอกน้ำลายอีกครั้งแต่คราวนี้คานิสกะยิงแบบแสกหน้า โนเบิลนอกรีตปลอมเอนศีรษะหลบได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะผละออกด้วยการเปิดเครื่องพรางตัวแบบล่องหนเพื่อที่จะผละออกไปตั้งหลัก แต่นั่นหมายความว่าเกราะพลังงานของเธอก็หายไปด้วย
 
เมื่อมองไม่เห็นเป้าหมาย เดสตรอยเยอร์ก็ใช้เวทมนตร์ลมโกยฝุ่นบนพื้นขึ้นแล้วระเบิดกระจายออกรอบตัว ซินเทียตาเหลือกด้วยความตกใจพยายามหลบ แต่ก็หลบไม่พ้น ฝุ่นฟุ้งเข้าอาบร่างของเธอขึ้นเป็นรูปทันที คานิสไม่รอช้า เก็บปืนกระบอกหนึ่งเข้าคลังแสงไปก่อนจะยกพื้นหินขึ้นมาเป็นแท่งขนาดเสาไฟฟ้ายาวราวๆ 1.5 เมตร แล้วขว้างใส่ด้วยเวทมนตร์
 
ซินเทียกลิ้งตัวหลบได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนักก่อนจะยกปืนลูกซองในมือขึ้นยิงอย่างเร็วโดยไม่ต้องเล็งด้วยมือข้างเดียว แต่ทว่าลูกปรายพลาสมาทั้งหมดก็ต้องทำลายแต่กำแพงดินที่สร้างขึ้นมาด้วยเวทมนตร์อย่างรอบคอบมากกว่าที่จะรู้ทัน ที่กำแพงก็เกิดเป็นรูที่ใหญ่พอดีกับปืนลูกซองในมือของผู้สร้างทันที เดสตรอยเยอร์จึงสอดปืนลูกซองในมือเข้ารูแล้วลั่นไกอย่างไม่ต้องเล็งเช่นเดียวกัน เนื่องจากกำแพงที่บังไว้ทำให้ไม่เห็นตัวเป้าหมาย และทันใดนั้นเขาก็ต้องผงะก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างหวาดเสียว เมื่อมีอะไรอย่างหนึ่งตัดกำแพงของเขาขาดครึ่งในแนวนอนพร้อมทิ้งรอยไหม้เอาไว้
 
“ดาบเลเซอร์เหรอ นึกว่าจะมีแต่ในหนังซะอีก”
 
คานิสร้องออกมาอย่างทึ่งๆ ในขณะที่คู่ต่อสู้กระโดดขึ้นเหยียบบนขอบใหม่ของกำแพงแล้วพุ่งตัวพร้อมเงื้อดาบในมือเต็มที่หมายฟาดฟันร่างของศัตรูร่างยักษ์ให้ขาดสะบั้น แต่ซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้มก็ตอบโต้ได้อย่างทันควันด้วยการผลักมือที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์อากาศอัดเข้าใส่ร่างของโนเบิลนอกรีตปลอมสาวอย่างเต็มรัก ส่งผลให้เธอลอยคว้างออกไปอย่างไร้การควบคุม ซึ่งเธอกลายเป็นเป้าบินสำหรับปืนของศัตรูไปแล้ว
 
คานิสควักปืนลูกซองอีกกระบอกออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกระหน่ำยิงทั้งสองกระบอกแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในท่ายิงระดับเอวราวกับคาวบอย ลูกปรายที่พุ่งกระจายออกไปอย่างสะเปะสะปะเข้าปะทะร่างของซินเทียที่ห่อหุ้มด้วยเกราะพลังงานจนเขียวเหมือนมรกตไปทั้งตัวจนกระทั่งการยิงหยุดลงเพราะหมดกระสุน ร่างของกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวหล่นลงกระทบพื้นจนตัวกระดอนในขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าจำนวนหนึ่งก็วิ่งพล่านไปทั่วผิวของชุดรบก่อนจะหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเจ้าตัวเองก็แน่นิ่งไปเหมือนคนตายหรือไม่ก็หมดสติ ตัวคนยิงถล่มก็โชว์ลีลาควงปืนแบบคาวบอยแล้วเก็บเข้าคลังแสงส่วนตัวไปข้างหนึ่ง ก่อนจะย่างสามขุมเข้าหาศัตรูที่นอนแน่นิ่ง เพื่อจะยิงซ้ำเพื่อความแน่ใจ พลางหยิบกระสุนลูกซองแบบหนึ่งออกมาจากคลังแสงส่วนตัว ดูเหมือนจะเป็นลูกโดดแต่มีปลายโค้งมน จากนั้นเขาก็ถอดซองกระสุนออกแล้วบรรจงยัดกระสุนนัดนั้นเข้าไปแล้วใส่กลับก่อนจะขึ้นลำ ซึ่งก็เดินมาถึงเป้าหมายพอดี
 
แต่ทันใดนั้นเองในขณะที่กำลังยกปืนเล็งไปที่กลางแสกหน้าอย่างประณีต ร่างที่นอนแน่นิ่งก็สปริงตัวขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมเปิดดาบเลเซอร์ แทงเข้ากลางหน้าท้องของคานิสอย่างสายฟ้าแลบ ซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้มตาเหลือกอยากจะร้องออกมาก็ร้องไม่ออกเพราะความตกใจ ภายใต้แว่นกันแดดสีดำตาสีเขียวมรกตเหลือบลงมองแท่งสีแดงสว่างที่ติดอยู่กับแท่งสีดำโดยมีมือที่สวมชุดรบกำอยู่ ทันทีที่ตัวคนแทงดึงมันออก เขาก็หงายล้มตึงลงกับพื้น
 
เป็นทีของซินเทียบ้าง เธอเดินไปหอบไปในมือข้างหนึ่งถือดาบเลเซอร์ขนาดสั้น หมายจะแทงลงที่หัวใจเพื่อปลิดชีพ ‘สวะมหาประลัย’ รายแรกที่เธอเจอ แต่ยังไม่ทันได้ตั้งท่าจะแทง ก็มีเสียงปืนแผดดังขึ้นจากทางด้านซ้าย ดาบเลเซอร์ในมือหลุดกระเด็นไปไกล เมื่อหันไปทางต้นเสียง ก็เห็นคนที่แต่งตัวแทบไม่ต่างจากทหารราบธรรมดาๆ กำลังถือไรเฟิลซุ่มยิงเล็งมาจากระยะไกลเห็นเป็นตัวเท่าหลอดยาดม
 
เป็นครูสนั่นเอง เขากำลังเล็งปืนโดยทาบศูนย์เข้าที่กลางหน้าผากของศัตรูผู้ล้มเพื่อนร่วมรบของเขา แล้วเหนี่ยวไกยิงทันที แต่เป้าหมายก็เบนตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะเริ่มวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เข้าไปในตัวอาคารหลังหนึ่ง เขาลดปืนลงแล้วรีบวิ่งไปดูอาการของเดสตรอยเยอร์ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มได้ยินเสียงปืนเสียงระเบิดดังแว่วมา นั่นหมายความว่ากองกำลังของข้าศึกเริ่มบุกเข้ามาแล้ว ...อย่าเพิ่งตายนะโว้ย คานิส เทรน... เขาคิด
 
ทางด้านซินเทียที่วิ่งเข้ามาหลบในอาคารหลังหนึ่งอย่างไม่คิดชีวิตและไม่มีเวลาสังเกตอะไรทั้งสิ้น แต่ในตอนนี้ความสามารถในการอ่านภาษาของชาวเอไพด์เมียร์ของเธอก็เอื้อประโยชน์ให้อย่างเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อเหลือบขึ้นมองตัวอักษรภาษาเออริคาสตัน (ภาษาบาลี) สีแดงตรงหน้าเหนือบานประตูอัตโนมัติ มันมีความว่า “คลังอาวุธ” รอยยิ้มปรากฏขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเอง พันเอกหญิงฮากาเนะ โอนิคามะ ก็วิ่งเข้ามาพอดีพร้อมปืนใหญ่พลาสมาในมือ
 
“เอาปืนนั่นมาให้ข้า เร็ว”
 
ซินเทียบอกกับฮากาเนะเร็วปรื๋อ พันเอกหญิงโยนปืนให้ทันที
 
“หลบไปก่อน”
 
ซินเทียพูดห้วนๆ ก่อนจะประทับปืนแล้วปล่อยกระสุนพลาสมาออกไป 12 นัดซ้อนเข้าระเบิดประตูกระเด็นหลุดไปทั้งบานแล้วโยนปืนใหญ่พลาสมากลับไปให้ฮากาเนะ ส่วนตัวของเธอนั้นเข้าไปหยิบปืนใหญ่ต่อต้านเป้าวัตถุอัตโนมัติออกมา มันเป็นแบบเดียวกับที่ครูสใช้ และเธอก็ไม่ลืมหยิบซองกระสุนมาตุนเข้าคลังแสงส่วนตัวเผื่อด้วย ซึ่งต่างจากอาวุธของชาวโนเบิลส่วนมากที่ไม่จำเป็นจะต้องมีซองกระสุน เธอหยิบซองหนึ่งยัดเข้ารังเพลิงแล้วขึ้นลำอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยใช้มันมาก่อน ก่อนจะเก็บมันเข้าคลังแสงส่วนตัว
 
ฮากาเนะมองดูด้วยสายตาดูแคลน แต่ทว่าภายใต้ชุดรบที่ปิดป้องตัวไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้คนที่ถูกมองไม่รู้ตัว หรืออาจจะรู้ตัว แต่ทำไม่สนใจ
 
“ไปเร็ว เริ่มจากด้านของพวกเรากันก่อน”
 
พันเอกหญิงได้แต่พยักหน้าจำต้องทำตาม เพราะมันเป็นแผนที่จำนำไปสู่ความสำเร็จ ทั้งคู่ออกวิ่งไปพร้อมๆ กัน แต่เมื่อออกนอกตัวอาคารไปได้เพียงก้าวเดียวกระสุนไรเฟิลซุ่มยิงก็พุ่งเฉียดผ่านหน้าในระดับสายตาจนต้องผงะแทบล้มทั้งยืน
 
“จะไปไหนนังตัวแสบ”
 
ครูสตะโกนโดยหมายถึงนักรบโนเบิลหญิงทั้งสองเป็นภาษาของชาวโนเบิล เสียงของการสู้รบเริ่มดังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที แต่เขาก็ต้องละความสนใจ เพราะภาระตรงหน้า แต่เสียงนั้นก็ทวีความดังขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางด้านหลังของเขา จึงทำให้อดไม่ได้ที่ต้องหันไปมอง
 
ภาพที่เห็นทำให้ต้องลืมหน่วยแทรกซึมทั้งสองไป เมื่อเห็นกองกำลังฝ่ายตนกำลังถูกบดขยี้ด้วยกองกำลังของข้าศึกที่เหนือกว่าเกินคาดเอาไว้มาก และเมื่อหันกลับมาซินเทียกับฮากาเนะก็วิ่งหนีไปไกลเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว เพราะด้านตัวของเขาเอาก็ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังโนเบิลที่บุกเข้ามา ครูสจึงตัดสินใจลากร่างที่ไร้สติของคานิสเข้าไปหลบในอาคารคลังแสงก่อน แล้วก้มลงรักษาแผลถูกดาบเลเซอร์แทงด้วยเวทมนตร์จนกระทั่งเริ่มได้สติ แต่ถึงตอนนี้เหตุการณ์ข้างนอกก็เกินจะควบคุมแล้ว กองกำลังโนเบิลกำลังบีบล้อมเข้ามา และในตอนนั้นเองนายทหารเอลฟ์แคระยศร้อยเอกคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับคำรายงานว่า
 
“ยานลำเลียงมากำลังจะมาถึงแล้วครับ เตรียมอพยพได้แล้ว”
 
“ยานลำเลียงเหรอ... ตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
ครูสและคานิสร้องถามพร้อมกัน
 
“ก็ตั้งแต่หน่วยแทรกซึมของพวกโนเบิลเปิดเผยตัวนั่นแหละครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพวกคุณนะครับ แต่เพราะว่า...”
 
“พอเถอะ...”
 
ยังไม่ทันได้พูดจบ ครูสก็ขัดขึ้นเสียก่อน
 
“ฉันพอจะเดาออกว่านายคิดอะไร ดีแล้วที่นายทำแบบนี้... พวกเขาจะมาเมื่อไหร่”
 
“อีกประมาณ 5 นาทีครับ”
 
“ดี เอาล่ะ ไปตรึงแนวเอาไว้ก่อน เหลือพื้นที่ตรงกลางไว้ให้ทีมช่วยเหลือ”
 
โจ๊กเกอร์ออกคำสั่งอย่างเร่งรีบ พลางพยุงตัวเดสตรอยเยอร์ขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่งแล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า
 
“เป็นยังไงบ้างคานิส”
 
“เดสตรอยเยอร์โว้ย ไอฉลาด”
 
คานิสค้อนด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ชัดเจน เป็นการเอาคืนจากการโดนด่าเมื่อก่อนที่กองกำลังโนเบิลจะบุกเข้าประชิดแนวป้องกันชั้นที่สอง ซึ่งเมื่อเขาสามารถพูดออกมาได้แบบนี้ ก็สร้างความสบายใจให้ครูสเป็นอย่างมาก
 
“เออ ขอโทษ ไอโง่ แล้วแกยังพอไหวมั้ย”
 
“ถ้าแกยังต้องการหน่วยปืนใหญ่อยู่ ฉันก็ยังพอจัดให้ได้ว่ะ”
 
แล้วทั้งคู่ก็พากันลุกขึ้นแล้ววิ่งออกนอกตัวอาคาร ด้านครูสนั้นวิ่งไปก็ตะโกนแข่งกับเสียงปืนเสียงระเบิดสั่งการพวกพ้องไป ส่วนคานิสก็ใช้เวทมนตร์ไต่อากาศปีนขึ้นหลังคาราวจอมยุทธ์เหมือนคนปกติ แต่ทว่ามือข้างหนึ่งของเขาก็กุมตรงบริเวณแผลที่ถูกแทงไว้มันเปล่งแสงเล็กน้อย ซึ่งก็คือเวทมนตร์รักษา พอขึ้นถึงหลังคาเขาก็ทำปากขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรอยู่พลางนำเครื่องยิงจรวดคู่ขึ้นบ่าพร้อมยิง แต่ยังไม่ยิง
 
เมื่อการร่ายคาถาจบมันก็ราวกับวิชานินจาแยกร่าง มีคานิสแบ่งตัวออกจากร่างต้นทั้งหมด 6 ร่าง ซึ่งทั้ง 6 ร่างต่างแยกย้ายกันไปคนละทางในขณะที่ร่างต้นเริ่มเปิดฉากยิงกระหน่ำแบบไม่เลี้ยง ในขณะที่อีก 6 ร่างเมื่อร่างไหนยึดทำเลได้แล้ว จึงเริ่มเปิดฉากยิงขึ้นบ้าง สิ่งที่ดูเหมือนกับภาพลวงตาบัดนี้มันเป็นของจริง แม้จะไม่ใช่ของจริงซะทีเดียว แต่มันก็มีผลจริงๆ
 
ผู้บัญชาการกองกำลังโนเบิลชั่วคราวอึ้งไปเหมือนกันกับภาพที่เห็น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขากลัวเลยแม้แต่น้อย ทหารผ่านศึกผู้อาวุโสควักเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติออกมาจากคลังแสงอย่างรวดเร็วก่อนจะยกเล็งไปยังซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้ม ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ทันได้เห็นตอนที่คานิสร่ายเวทเสร็จ จึงตัดสินใจยิงไปทีละคน เริ่มจากที่ใกล้ที่สุดก่อน เสียงทุ้มๆ จากการยิงลูกระเบิดดังขึ้นเบาๆ ปล่อยหัวระเบิดขนาดราวๆ 4 เซนติเมตรครึ่งลอยโค้งเข้าเป้าอย่างแม่นยำ แต่ผลที่ได้คือ ไม่มีแม้แต่เสียงร้อง แต่ร่างนั้นกลับสลายกลายเป็นไอ เขาหันไปยิงที่เป้าหมายต่อไป มันเป็นการยิงอย่างสวยงามอีกนัดหนึ่ง แต่เช่นเดียวกับร่างแรก มันสลายเป็นไอ จากนั้นก็เขายิงต่อไปอีกได้เพียงสองร่างเท่านั้น ไม่มีร่างไหนเป็นร่างจริง ในขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไกยิงไปที่ร่างที่ 5 ซึ่งเป็นร่างต้นก็มีสิ่งรบกวนเข้าแทรกเสียก่อน เพราะเยื้องไปทางซ้ายของศูนย์เล็งเขาเห็นมิสไซล์ลูกหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา จึงจำต้องลดปืนลงแล้วรีบเตือนพวกพ้องในทันทีพลางตนเองก็วิ่งหลบสุดชีวิต
 
“ระวังการโจมตีทางอากาศ”
 
จากวงล้อมที่กำลังจะปิดฉากการสู้รบนั้นได้เริ่มสลายตัวหาที่กำบังกันจ้าละหวั่นเหมือนฝูงมดแตกรัง มิสไซล์หัวรบระเบิดแรงสูงพุ่งตกลงยังพื้นที่เป้าหมายของมันระเบิดออกนำร่างของนักรบโนเบิลที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางการระเบิดมากพอกระเด็นลอยขึ้นกระจายออกไปเป็นวงกว้าง
 
คิงส์แอทแทกเกอร์เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก็เห็นไจโรเพลนฝูงหนึ่งมุ่งตรงมา ซึ่งมันดูไม่เหมือนการสนับสนุนทางอากาศเท่าใดนัก เพราะในจำนวนนั้นมันประกอบด้วยเครื่องลำเลียงจำนวน 5 ลำ ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องโจมตีแบบที่นั่งเดี่ยว 4 ลำบินเรียงหน้ากระดานกันมา
 
“ยิงเครื่องโจมตีให้ตกให้หมด”
 
แม้จะร้องสั่งไปอย่างนั้น แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่ได้ทำ เพราะไม่มีโอกาส และทางฝ่ายทีมช่วยเหลือก็ไม่เปิดโอกาส หลังจากมิสไซล์ที่ยิงข่มมานัดแรกแล้ว มันก็ตามมาด้วยปืนใหญ่ที่เล็งด้วยดวงตาของนักบินที่รัวออกมากราดกระหน่ำไปทั่วบริเวณรอบๆ ฝ่ายตั้งรับที่ยังรอดชีวิตอยู่ด้วยกระสุนหัวระเบิดสะเก็ด ทำให้ทางฝ่ายผู้รุกรานถึงกับโงหัวไม่ขึ้นและต่างวิ่งเข้าไปหลบภายในตัวอาคารที่ใกล้ที่สุด และแม้จะเข้าไปกันหมดแล้วฝ่ายนักบินยานโจมตีก็ยังคงยิงขู่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งยานลำเลียงทั้ง 5 ลำลงจอดยังกลางกลุ่มของผู้รอดชีวิต
 
เหล่าทหารโนเบิลตั้งแต่ทหารเลวยันผู้บัญชาการต่างได้แต่มองดูการอพยพอย่างเคืองใจเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ แม้แต่อาวุธที่มีพร้อมในมือก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะยิงสวนได้
 
ผ่านทางดาวเทียมทหารไปยังฐานทัพในกรุงมอเชน จากภาพที่เห็นนายทหารโทรลยศพลเอกถึงกับหงายหลังผึ่งกับพนักเก้าอี้พร้อมกับมือที่กุมขมับแสดงถึงความตกตะลึงสุดขีด ซึ่งไม่ต่างจากบุคลากรรอบตัวที่ตกอยู่ในอาการเดียวกัน ไม่มีใครสามารถจะเอ่ยคำอะไรออกมาได้ พวกเขาทั้งยืนและนั่งมองดูการอพยพจนกระทั่งเสร็จสิ้น จนกระทั่งไจโรเพลนโจมตีทั้งหมดถอนตัวออกไป จากนั้นเหล่านักรบโนเบิลที่เข้าไปหลบในตัวอาคารในพื้นที่ก็พากันออกมาแล้วต่างก็เฮลั่น (ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น) และแล้วทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดึงขึ้นทำลายความเงียบ เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเคร่งเครียดและร้อนใจอย่างชัดเจน
 
“โจ๊กเกอร์ออฟเดอะซาตานถึงไลฟ์ลอร์ด ทราบแล้วเปลี่ยน”
 
“ไลฟ์ลอร์ด นี่นายพลเอกสุริยะ ดาราศักดิ์ พูด เปลี่ยน”
 
นายพลเอกโทรลกดปุ่มๆ หนึ่งที่ๆ วางแขนของเก้าอี้แช่ไว้แล้วตอบกลับทันที
 
“ผมมีเรื่องต้องเตือนพวกท่าน ด่วนมาก เปลี่ยน”
 
“ว่ามาเลย”
 
“ขอให้ท่านกระจายข้อความนี้ไปทั่วโลกด้วยนะ”
 
พอขาดคำ สุริยะก็หันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาทันทีตามคำบอก แล้วเขาก็หันมาพยักหน้ากับครูสเป็นความหมายว่าส่งสัญญาณติดต่อออกไปเรียบร้อยแล้ว และให้เขาพูดมาได้เลย
 
“ข้อความฉุกเฉินถึงท่านนายทหารทั้งระดับผู้บัญชาการและผู้ที่กำลังจะเป็น อย่าประมาทผู้บัญชาการของศัตรูเด็ดขาด ตอนนี้เราเสียจังค์ยาร์ดไปแล้ว ผู้บัญชาการโนเบิลรุ่นใหม่เริ่มใช้ยุทธวิธีในแบบของเรามาเล่นงานเราแล้ว เมื่อครู่นี้พวกเราถูกพวกมันส่งหน่วยแทรกซึมโดยปลอมตัวมาเป็นสายลับโนเบิลนอกรีตกับนายทหารที่แสร้งทำเป็นถูกลักพาตัวแล้วเข้ามาโจมตีตลบหลังพวกเราจนตั้งตัวไม่ติด จากนั้นพวกเราก็เสียท่าให้พวกมันอย่างร้ายแรง ขอให้ทุกท่านโปรดระวังด้วย โดยเฉพาะถ้าพวกท่านเริ่มเห็นท่าทีว่าพวกมันไม่เหมือนโนเบิลที่เรารู้จัก เมื่อนั่นท่านจะต้องเจอกับศึกหนัก ข้อความเตือนของผมมีเท่านี้ ขอให้พวกท่านโชคดี” 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา